“บุตรีของท่านเจ้าเมืองงั้นหรือขอรับ มิน่าเล่าถึงไม่คุ้นหน้าเลย ทหารจึงไปแจ้งไม่ถูกว่าเป็นผู้ใด นางคงจะพึ่งเข้าวังเป็นครั้งแรกสินะขอรับ”“ใช่ คิดว่าเป็นเช่นนั้น เจ้า….ให้คนไปแจ้งท่านเจ้าเมืองในงานให้เขารีบมาที่นี่เถอะ”“ขอรับท่านแม่ทัพ”ข่าวที่บุตรสาวเจ้าเมืองคนใหม่ถูกฆ่าในวังหลวงเริ่มกระจายไปจนทั่ว เมื่อความถึงฝ่าบาทพระองค์ก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมากจนส่งราชโองการลงมาหยุดงานเลี้ยงทั้งหมด ปรับเบี้ยหวัดตำหนักองค์ชายหกลงครึ่งหนึ่งและให้เขางดสุราและงานเลี้ยงทั้งหมดครึ่งปีห้ามดื่มสุราและห้ามนำคณิกาหรือนักดนตรีมาที่ตำหนัก สั่งปิดตำหนักองค์ชายและห้ามคนในตำหนักออกมาข้างนอก“นี่มันอะไรกัน เสด็จพ่อทำราวกับว่าท่านเป็นผู้ก่อเหตุ”“หุบปาก ข้าไม่มีอารมณ์ข้าหงุดหงิดอยู่”“องค์ชายเพคะ หกเดือนห้ามออกจากตำหนักลดเบี้ยหวัดลงกึ่งหนึ่ง เช่นนี้แล้วข้า….จะมีเงินใช้เพียงพอหรือไม่”“เสด็จพ่อไม่เอาความและสั่งลงโทษเจ้าก็ดีเท่าใดแล้ว!! เจ้าบอกข้ามา เรื่องนี้เจ้ารู้เห็นสิ่งใดหรือไม่”“ไม่นะเพคะ”“พี่เขยเพคะหม่อมฉันขอบังอาจทูล”“เจ้า…..มีอะไร เหตุใดยังไม่กลับไปอีก”“หม่อมฉันมีข้อสงสัย เรื่องในงานเลี้ยงวันนี้เพคะหากว่าม
ฟางหยุนเฟยยืนตกใจอยู่ตรงหน้าห้อง นางดีขึ้นมากแล้วเมื่อตื่นขึ้นมาดื่มน้ำก็ได้ยินเสียงขององครักษ์ทั้งสองคุยกัน พวกเขาไม่ทันระวังเพราะคิดว่านางหลับอยู่ แต่นางเปิดออกมาเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันแต่จับใจความไม่ได้จึงตัดสินใจเปิดประตูออกมาถาม“คุณหนูฟาง ตอนนี้ท่านอ๋องไม่ปกติพระองค์เองก็ออกไปที่ใดไม่ได้เช่นกันแต่ข้าน้อยจำเป็นต้องตามองครักษ์ไปที่ชันสูตรศพและไปตรวจสอบอีกไม่นานจะรีบกลับขอรับ ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าห้ามคุณหนูไปที่ห้องบรรทมโดยเด็ดขาด”“ข้าเข้าใจแล้วท่านรีบไปเถอะ ข้าดูแลท่านอ๋องเอง”“ขอรับ เรารีบไปกันเถอะ”หยุนเฟยรีบกลับเข้าไปในห้องทันที นางรู้สึกสับสนยิ่งนัก แม้ว่านางจะช่วยท่านอ๋องและช่วยตัวเองให้พ้นข้อกล่าวหาที่ในนิยายเขียนเอาไว้ แต่สุดท้ายเรื่องก็ยังวนมาเหมือนเดิม คือนางเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าคน“ไม่ใช่คดีวางยาท่านอ๋อง แต่เป็นคดีฆ่าจางเหมยลั่วงั้นหรือ”“อ๊ากก….!!”เสียงดังขึ้นจากห้องด้านในตำหนักที่อยู่ลึกเข้าไป หยุนเฟยตกใจจนต้องรีบวิ่งออกไป เสียงของท่านอ๋องดังจนนางกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปจนลืมนึกไปว่าเขา….ถูกพิษอยู่“ท่านอ๋องเพคะ”“อย่า!!……หยุนเฟย……เจ้าอย่าเข้ามา!!”“แต่ว่าหม่อมฉันได้ยิน
หยุนเฟยไม่มีแรงจะตอบเขา เมื่อเขาค่อย ๆ ขยับกายส่วนล่าง นางค่อย ๆ ปรับตัวได้แต่ก็ยังเจ็บอยู่ ท่านอ๋องก้มลงมาจูบนางเพื่อปลอบโยน เมื่อเขาทำเช่นนี้นางจึงเริ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อค่อย ๆ คลายตัวเพื่อรองรับเขาได้มากขึ้นมือหนาเริ่มหันไปบดขยี้ยอดปทุมทั้งสองข้างอีกครั้ง คราวนี้เป็นหยุนเฟยที่เริ่มรู้สึกร้อนตรงจุดที่ร่างทั้งสองประสานกัน นางปรารถนาให้เขาขยับเสียที“อ๊าา เว่ยหราน…อ๊าา”“เจ้าเริ่มดีขึ้นแล้ว อาาา หยุนเฟยจากนี้ข้าจะหยุดไมไ่ด้แล้ว อาา”“เว่ยหราน อ๊าาา เว่ยหราน อื้อ…..อ๊าาา”เสียงเรียกร้องนี้แหละที่เขาต้องการฟังมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าจะต้องมาทำเช่นนี้ในเวลาเช่นนี้ แต่เขากับนางใจตรงกันและกำลังจะหมั้นหมายกันอยู่แล้วเรื่องเช่นนี้ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น เพียงแค่มันเกิดขึ้นก่อนเท่านั้น“อาา หยุนเฟยข้าทนไม่ไหว ทีเดียวเลยนะ”ลิ้นของเขาลากอยู่ที่ยอดอกของนาง หยุนเฟยโอบรอบคอเขาเอาไว้เพื่อให้ทำเช่นนี้กระตุ้นอารมณ์นางเช่นกัน เขาดูดดึงหน้าอกอย่างดุดันพร้อมกับจังหวะที่ดังขึ้นและถี่ขึ้นจนร่างทั้งสองเอนแอ่นไปพร้อมกันพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกปลดปล่อยจนหมดสิ้น….“หยุนเฟย ข้า….”“เว่ยหราน หากไม่พอก็ทำ
ท่านอ๋องเมื่อคุยกับหลีเม่ยและจื่อลู่แล้วก็รีบออกจากจวนเพื่อไปพบกับฉินเกาหานทันที เมื่อมาถึงเขาจึงรีบเข้าไปพบแม่ทัพหนุ่มที่รออยู่หน้าห้องชันสูตรศพของจางเหมยลั่ว“ท่านอ๋อง”“เกาหาน เจ้าบอกว่ามีเรื่องที่ต้องให้ข้ามาดู”“เชิญเสด็จทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องรีบเดินตามแม่ทัพฉินเข้าไป แต่ห้องนี้ยังมิใช่ห้องที่เก็บศพนาง ฉินเกาหานพาเขามาพบกับท่านหมอที่มีหน้าที่ชันสูตรศพของจางเหมยลั่วก่อน“ท่านอ๋อง นี่คือท่านหมอหลัวเป่า ดูแลเรื่องชันศพพ่ะย่ะค่ะ”“ถวายบังคมท่านอ๋อง”“ท่านหมอหลัว รีบพูดมาเถอะการตายของนางมีสิ่งใดผิดแปลกไปงั้นหรือ”“ทูลท่านอ๋อง หากมองจากภายนอกสภาพศพดูจะไม่มีปัญหา แม้ว่าจะเหมือนว่านางถูกผ้าแพรสีขาวรัดคอจนตาย แต่ว่าที่จริงแล้วนางตายเพราะคอหักเฉียบพลันพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านกำลังหมายถึง ผ้าแพรนั่นเป็นเพียงอุบาย ไม่ใช่สิ ในตอนนั้นหากว่ารอผ้าแพรรัดนางอาจจะไม่ตายทันทีและหากว่านางส่งเสียง เสี่ยงว่าอาจจะมีผู้พบเจอได้จึงใช้วิธีหักคอให้ตายในทันที”“พระองค์ทรงปรีชายิ่งแล้ว กระหม่อมกับใต้เท้าฉินก็คิดเช่นนี้เช่นกัน เพราะหากนางตายเพราะถูกรัด สภาพศพจะต้องเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่นี่ศพกลับกำมือแน่นตาเบิกกว้างป
“กระหม่อมไม่มีทางเชื่อว่าคนอย่างฟางหยุนเฟยจะฆ่าคนได้พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องรู้สึกโล่งใจไปได้มากเมื่อได้ฟังฉินเกาหานพูดเช่นนี้ เดิมทีก่อนหน้าที่เหตุการณ์ทุกอย่าง ทั้งเรื่องราวที่จางเหมยลั่วทะเลาะกับหยุนเฟยจนถูกไล่ออกมาจากค่ายผู้อพยพและยังเรื่องที่เขาไปที่จวนท่านเจ้าเมืองก็บ่งชี้มาที่ฟางหยุนเฟยอยู่แล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เจ้าบอกว่า….ฟ่งลี่เซียนงั้นหรือ”“พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้า…เหตุใดจึงสงสัยนางได้ล่ะ”ฉินเกาหานเองก็ไม่อยากเชื่อ เขาจึงเล่าเรื่องที่ได้เห็นและได้ยินมาหลังจากที่ตัดสินใจแอบตามนางกับพระชายาหกไปที่ห้องด้านหลัง แต่เขาฟังได้เพียงตอนสุดท้ายเท่านั้นว่านางให้คนไปรอแล้วเรียบร้อย รอเพียงเป้าหมายติดกับก็พาไปที่นั่นได้ทันทีซึ่งเขาได้ฟังเพียงเท่านั้นและเดินมาหาท่านอ๋องจากนั้นไม่นานพวกนางก็หายออกไปจากงานเลี้ยง เขาเดินติดตามนางไปแต่พวกนางกลับเดินกลับเข้ามาที่งานเสียก่อน “และกระหม่อมก็เอ่ยทักนางเพื่อถามว่านางไปที่ใดมา นางตอบว่าไปห้องน้ำมา ซึ่งในเวลานั้นพระชายาหกได้ขอตัวเดินแยกออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเวลาเดียวกันกับที่หยุนเฟยเองก็ออกไปเช่นกัน”“ใกล้เคียงกันพ่ะย่ะค่ะ”“แต่ว่าเหตุใดเพียงแค่นางหายไปเจ้าก
ท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอด หยุนเฟยซบลงไปที่อกกว้างนั้นโดยทันที“ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเจ้าจะฆ่าคนได้ แต่ข้าเพียงแค่อยากถามบางอย่างกับเจ้าก่อน”“ถามมาเถิดเพคะ”“ตอนที่เจ้าเดินออกไปด้านนอก เจ้าพบผู้ใดหรือเจออะไรผิดปกติบ้างหรือไม่”“หม่อมฉันเดินออกไปนั่งพักที่โต๊ะด้านหน้าอุทยานเพคะ ไม่นานก็ได้ยินเสียงของสาวใช้ในวังคุยกันถึงเรื่องบางอย่าง….”หยุนเฟยเล่าให้ท่านอ๋องฟังอย่างละเอียดทั้งหมด ว่านางแอบฟังสาวใช้คุยกันจนกระทั่งพวกนางเดินเข้าไปยังห้องรับรองแขกด้านในพร้อมกับสตรีคนหนึ่งที่เดินตามสาวใช้ทั้งสองที่คุยกันก่อนหน้านี้ไปแต่ว่านางไม่เห็นหน้าสตรีผู้นั้น “จำได้แค่เพียงนางสวมชุดสีเขียวเพคะแต่หม่อมฉันไม่ทันเห็นหน้า”“ชุดสีเขียวงั้นหรือ”“เพคะ ทำไมหรือเพคะ”“เป็นอย่างที่ข้าคิดจริง ๆ สตรีที่เจ้าเห็นนั่นคือจางเหมยลั่ว”“จางเหมยลั่ว!! เหตุใดนางจึงต้องตามสาวใช้พวกนั้นไปด้วยเพคะ”“เรื่องนี้ข้าคิดว่าคงเป็นความสอดรู้ของนางเอง จึงทำให้นางพบกับจุดจบเช่นนี้”หยุนเฟยนั่งคิดทบทวน ในนิยายมีตอนหนึ่งที่กล่าวถึงจางเหมยลั่ว แม้ว่าชื่อนางจะมิได้ปรากฏบ่อยนักในนิยายแต่ว่าในนิยายนางเป็นผู้ไปแจ้งแม่ทัพฉิน และเป็นพยานชี้ตั
“แต่พวกเรามีหลักฐานในที่เกิดเหตุ และผลการชันสูตรก็ออกมาแล้วยิ่งกว่านั้น…เพียงแค่ตรวจสอบโดยละเอียดก็จะรู้แล้วว่ามีผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง ข้าเพียงแค่รอหลักฐานบางอย่างเพิ่มเติมเท่านั้น”“อะไรหรือเพคะ”“หยุนเฟยเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ากับเกาหานไม่มีทางปล่อยให้เจ้าถูกคนใส่ร้ายเป็นแน่”“พี่เกาหาน ท่านเองก็เชื่อหรือว่าฟ่งลี่เซียนจะเป็นผู้ทำเรื่องนี้จริง ๆ”ฉินเกาหานเลี่ยงสายตานางไปนิดหน่อย แม้ว่าเขาเองจะไม่อยากยอมรับ แต่ว่าหลักฐานในมือของเขาก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าผู้ใดเป็นคนร้าย“ข้า….เรื่องนี้รอพรุ่งนี้หากว่าเรียกสอบสวนก็น่าจะพอรู้แล้วล่ะ”“เช่นนั้นข้า….”“ไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่และห้ามออกจากจวนนี้เป็นอันขาด”“แต่ว่า….”“เชื่อข้าสิ ข้ากับเกาหานต้องจัดการเรื่องนี้ได้แน่ เจ้าอยู่กับหลีเม่ยที่นี่”“เชื่อท่านอ๋องเถอะความจริงเป็นอย่างไรอีกไม่นานก็จะรู้ เช่นนั้นท่านอ๋องกระหม่อมจะต้องรีบเข้าวังไปสืบเรื่องที่เหลือคงต้องขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“อืม เจ้าก็ระวังตัวด้วย”ฉินเกาหานหันมามองนางเป็นครั้งสุดท้าย เขายิ้มให้นาง เป็นรอยยิ้มราวกับจะกล่าวลาก่อนที่เขาจะหันกลับไปถวายบังคมท่านอ๋อ
“แต่ว่า หม่อมฉันยังไม่พร้อม…”“หยุนเฟยเจ้าคิดมากไปแล้ว เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะใจร้ายรังแกเจ้าได้ตลอดเวลาหรอกนะ คืนนี้พักผ่อนเถอะข้าแค่อยากนอนกอดเจ้าเท่านั้น พรุ่งนี้ข้าต้องรีบเข้าประชุมราชสำนักแต่เช้า แต่ก่อนจะเข้าวังอย่างไรก็ต้องพบกับเกาหานก่อน”“หม่อมฉันไม่สามารถช่วยสิ่งใดพระองค์ได้เลยหรือเพคะ”“ช่วยได้สิ ช่วงนี้ในเวลาที่คดียังไม่คลี่คลาย ข้าอยากให้เจ้าเชื่อข้า อยู่แต่ในจวนอย่าออกไปข้างนอกหากว่าไม่จำเป็น ข้าจะให้จื่อลู่อยู่คุ้มกันพวกเจ้าที่จวน”“ไม่ได้นะเพคะ เช่นนั้นแล้วผู้ใดจะคุ้มกันพระองค์เล่าเพคะ”“ข้าอยู่กับแม่ทัพรักษาแผ่นดินอย่างฉินเกาหานยังต้องกลัวสิ่งใดอีกงั้นหรือ เอาล่ะตกลงตามนี้ เจ้ารีบนอนเถอะ”“เพคะ”หยุนเฟยถอดชุดด้านนอกและแขวนเอาไว้ก่อนจะรอรับเอาชุดของท่านอ๋องไปแขวนเอาไว้ด้วย เมื่อเขามองนางที่กำลังนำชุดของเขาไปแขวนเอาไว้ข้าง ๆ กันความรู้สึกอบอุ่นใจก็พลันเกิดขึ้น ราวกับว่าเขาและนางเป็นสามีภรรยากันแล้ว“พระองค์มองอะไรหรือเพคะ”“ข้าเพียงแค่คิดว่า ดีจริงที่เจ้าอยู่ที่นี่ หรือว่าข้าควรขอบคุณคนที่วางยาพิษนี้กันนะ”“พระองค์ไม่คิดบ้างหรือเพคะว่าหม่อมฉันเป็นคนวางยาพิษในสุราของพระองค์
ทางด้านฉินเกาหานเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พาหลีเม่ยเดินมายังด้านหลังและได้ยินข่าวดีของพระชายากับท่านอ๋องว่านางตั้งครรภ์“ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”“ท่านอ๋องคงพานางกลับไปที่จวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากเราค่อยไปทีหลัง มานี่ก่อน”“ไปไหนเจ้าคะ”“ตามข้ามา จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าคู่ใจในทันที หลีเม่ยที่ไม่เคยขี่ม้าถึงกับต้องคว้ารอบคอของเจ้าม้าเอาไว้เพราะกลัวตกเมื่อเกาหานขึ้นมานั่งกับนางจึงค่อย ๆ จัดท่าให้นางใหม่“มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวตกหรอก จับตรงนี้อย่าไปดึงขนมันเดี๋ยวมันจะโมโห”“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ ข้าไม่เคยนั่งหลังม้า ว้าย!!”เขาพานางวิ่งออกไปทันทีเพราะผ่านเวลามานานแล้ว เขาควบทะยานออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นทางชุมชนแล้ว หลีเม่ยหลับตาไม่กล้ามองเพราะความเร็วของม้านั้นทำให้นางตาพร่ามัวจนม้าค่อย ๆ ไต่เขาขึ้นไปนางจึงกล้าลืมตาอีกครั้ง“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ”“ยอดเขานี้แหละ ไม่ไกลหรอก”“ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“พาเจ้าไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอันตราย”“ตัวท่านต่างหากที่อันตรายต่อหัวใจข้า”“ข้าได้ยินเจ้าพูดนะหลีเม่ย”ม้าค่อย ๆ ขึ้นไปยั
ยี่สิบสองวันถัดมาหลังจากพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านฟางหมิงยังคงคึกคักไม่หยุดเพราะยังเหลืองานใหญ่อีกหนึ่งงานนั่นคือ "พิธีปักปิ่น" ของสตรีที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีในปีนี้ ซึ่งได้รับพระราชานุญาตจากฝ่าบาทและฮองเฮาจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสตรีที่อยู่ในหมู่บ้านและในเมืองหลวงที่อยากเข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรตินี้“อาเม่ยอยู่เฉย ๆ สิอย่าดิ้น”“ท่านแม่ผิวข้าจะแตกแล้ว โอ๊ย!!”ฟางหลีเม่ยบ่นเมื่อมารดาและอาหงซึ่งตอนนี้ต้องมาดูแลขัดผิวให้นางหลังจากจบภารกิจส่งพระชายาท่านอ๋องเข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในจวนสกุลฟางต่างวุ่นวายเรื่องการจัดเตรียมงานปักปิ่นให้หลีเม่ยเพราะนอกจากเป็นพิธีที่เป็นทางการแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นงานหมั้นระหว่างนางและแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” อีกด้วย“หากว่าหยุนเฟยเห็นว่าเจ้าแอบหนีไม่ยอมทำละก็นางจะว่าเอาได้นะ พิธีนี้สำคัญยิ่ง เจ้าดูสิแม่ทัพฉินพาคนมาจัดเตรียมมากมายเพื่อเจ้าแล้วดูเจ้าสิ”“พี่เกาหานก็ทำตามหน้าที่ งานนี้ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดขึ้นมาเพื่อทุกคน หาใช่ข้าคนเดียวไม่ ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ชอบงานเช่นนี้”“เอาล่ะ ๆ อย่าบ่น”“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนู...เอ่อ พระชายาเสด็จ
เขาไม่รอช้าเมื่อนางถึงสวรรค์ไปก่อนด้วยนิ้วของเขา นั่นแสดงว่านางเองก็คงกลั้นความคิดถึงเอาไว้เหมือนกับเขา ร่างแกร่งสอดใส่ประสานรักกับนางอย่างรวดเร็ว คนใต้ร่างส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงดังของร่างทั้งสองแต่ท่านอ๋องเองก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เขาตามนางไปติด ๆ ในเวลาไม่นาน“อาาา หยุนเฟย เพียงได้กลิ่นเจ้าข้าก็….เอาไว้แก้ตัวรอบหน้า อึ๊ยยย!!”น้ำรักอุ่น ๆ ถูกฉีดพ่นเข้าไปด้านในสุดแรง หยุนเฟยเปลี่ยนมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นบ้าตายเพราะร่างที่งดงามและขาวดุจฝ้ายบริสุทธิ์ ผิวนุ่มลื่นดุจแพรไหมเมื่อนางเริ่มขยับเอวเพื่อควบคุมเขาทำเอาเขาแทบคลั่งตาย“อาา หยุนเฟย อย่าเร่ง ข้าจะ…แตก…อาาา”“เว่ยหราน ….อื้อ….ท่านพี่ อ๊าาา ดึงแรง ๆ แรงอีก อ๊าา”นางจับมือหนาของเขาให้มาช่วยจับหน้าอกทั้งสองของนางเพื่อเร่งจังหวะให้นาง ความเสียวเข้าเล่นงานนางจนแทบจะหลอมละลายคาเตียงไปพร้อมกับเขา ไฟรักถูกจุดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลามีหรือทั้งคู่จะยอมหยุด“อ๊าา อีกไม่นานแล้ว ท่านพี่ ข้า…อ๊าา”“ก้มลงมาหน่อย ขอกินนมหน่อย อ๊าาา”“อ๊าา เว่ยหราน ทนไม่ไหว….อย่าเด้งมาถี่ หม่อมฉัน…จะ…เสร็จ…อ๊าาา”นึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ห่างกันจะสาม
ท่านอ๋องที่ท่าทีฉุนเฉียวเดินมานั่งรอพวกเขาที่โต๊ะในระเบียงก่อนจะออกไปที่สวน เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่หลีเม่ยถือมาแล้วก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น หรือว่าหยุนเฟยจะทำอาหารมาให้เขากันนะ“นั่นเจ้าเอาอะไรมาด้วยอาเม่ย”“พี่เขย นะ…นี่….พี่ใหญ่เกรงว่าท่านจะไม่ยอมกินข้าวก็เลย…”“เอามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”เกาหานยกเถาปิ่นโตหลายชั้นส่งให้ท่านอ๋องทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเห็นก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพลังแห่งรักจะทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวฉุนเฉียว อีกเดี๋ยวก็ยิ้มเพียงแค่เห็นเถาปิ่นโตที่ถูกส่งมาจากว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง“เจ้าขำอะไรเกาหาน”“อะแฮ่ม กระหม่อม…มิได้ขำพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าให้ถึงคราวเจ้าบ้างก็แล้วกัน ข้าจะรอดูเจ้าทรมาน”“ท่านอ๋องอย่าทรงขู่เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นทหารนะพ่ะย่ะค่ะ ย่อม….อดทนได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“หึ แล้วข้ามิใช่ทหารงั้นหรือ ข้าจะรอดูเจ้าทุรนทุราย นี่อะไรขนมที่นางทำเองงั้นหรือ มะ…มีจดหมายด้วย”“ท่านอ๋องเพคะ ยังมีนี่ด้วยเพคะ พี่ใหญ่กำชับมาว่าให้ส่งให้พระองค์….”เขารีบคว้าซองจดหมายที่อบร่ำกลิ่นมาอย่างดีพร้อมกับมองของที
สำนักศึกษา เทียนเป่าฟางหมิง เหล่าชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารและม่านมงคลเพื่อประดับตามที่ต่าง ๆ เนื่องในวันมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองงานในเร็ววันนี้งานแรกคงไม่พ้นงานสมรสพระราชทานที่มีฮองเฮาเป็นเจ้าภาพ ทรงโปรดเกล้าฯให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันที่สำนักศึกษาและส่งตัวที่เรือนหอพระราชทานของท่านอ๋องอีกงานหนึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีครบวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งปีนี้ได้รับพระราชทานพิเศษจากฝ่าบาทให้จัดที่นี่เพื่อเป็นเกียรติกับเหล่าสตรีในเมืองหลวง“เร็ว ๆ เข้า ต้องทำสุดฝีมือเลยนะพวกเรา หัวไชเท้าวางตรงนี้ นั่น ๆ พวกเจ้าเอาผักกาดไปล้างเร็ว ๆ เข้าอย่าได้พลาดเชียว”“ท่านป้า เห็ดหอมนี่ได้มามากเลยให้เอาไว้ที่ใด”“เอาไปวางไว้ในครัวเลย หลานฮูหยินรออยู่เร็ว ๆ เข้า”ในโรงครัวที่สร้างขยายขึ้นชั่วคราวเริ่มวุ่นวายเมื่อของและผักสด ๆ เริ่มทยอยนำมาส่งจากแปลงผักสวนใหม่ของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เนินเขาที่นั่นพื้นที่กว้าง อากาศดีและยังมีลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลผ่าน ผักที่ปลูกจากที่นั่นทั้งโตไวและงดงามขายได้ราคา ชาวบ้านที่นี่เริ่มมีรายได้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มมีโรงงานทอผ้ามาตั้งเพิ่มแล้วเพราะท่านเจ้าเมืองเริ่มอนุญาตให้ขยายที
“หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ”“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”“หม่อมฉันอยากทำบะหมี่กินเองเพคะ”“เจ้ายังลุกไหวงั้นหรือ ให้คนทำให้ดีกว่าหรือไม่”“แต่หม่อมฉันอยากทำบะหมี่ให้พระองค์เสวย ที่นี่เป็นเรือนหอของเรามิใช่หรือเว่ยหราน หม่อมฉันอยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีบ้าง”“อืม…เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเจ้า เราช่วยกันทำดีหรือไม่”“พระองค์ทำเป็นหรือเพคะ”“ก็…ช่วยเจ้านวดแป้งก็พอได้ ข้าแรงเยอะนะ แม้ว่าจะถูกเจ้าดูดพลังไปมากก็ยังพอมีเหลืออยู่”“เช่นนั้นก็ได้เพคะ”ห้องครัวหยุนเฟยพึ่งค้นพบความสุขที่เรียบง่ายที่สุดที่นางเคยเฝ้ารอมาทั้งชีวิต การทำบะหมี่ให้คนที่รักกินและได้ทำครัวร่วมกัน สอนท่านอ๋องนวดแป้งเพื่อทำบะหมี่สำหรับพวกเขาสองคน“แรงกว่านี้หน่อยสิ ไหนท่านบอกว่าแรงยังเหลืออยู่อย่างไรเพคะ”“ก็เจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าต้องนวดท่าเดียวนี่นานขนาดนี้ วันนั้นฮูหยินกับพวกท่านป้าทำอย่างไรกันนะ มีความอดทนกันเกินไปแล้ว งานเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ”“เว่ยหราน ท่านรับปากแล้วว่าจะทำ”“ข้าก็ไม่ไ่ด้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย มานี่หน่อยสิมีอะไรติดหน้าเจ้าแน่ะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเขาและโดนท่านอ๋องขโมยจูบไปอีกครั้ง หยุนเฟยยอมให้เขาจูบเพราะกลัวว
ท่านอ๋องหันมามองหน้านางที่ยิ้มอย่างจริงใจพร้อมกับเดินเข้ามาเบียดกายจนชิดเขา ท่านอ๋องลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ท่าทางที่น้อยใจนางเมื่อครู่ลดลงราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่เขาจะไม่ให้อภัยนางง่าย ๆ หรอก“อย่าเลย วันนี้เย็นแล้ว ข้าพาเจ้ากลับ…หยุนเฟย เจ้าจะไปไหน”นางเดินนำเขาเข้าไปด้านใน ในเมื่อเขายืนยันจะกลับแต่หากนางเดินเข้ามาเขาก็ไม่กล้าขัดใจนางหรอก หยุนเฟยเดินสำรวจทีละห้องอย่างพอใจแต่ก็ติติงเกี่ยวกับการจัดห้องและเริ่มบอกกับท่านอ๋องให้โยกย้ายบางอย่างจนท่านอ๋องนึกแปลกพระทัยขึ้นมา“โต๊ะนี่ตั้งตรงนี้ไม่เหมาะ เวลาแดดส่องจะทำงานไม่ได้แม้ว่าแสงจะส่งมาเพียงพอ กลับอีกทางจะดีกว่า ม่านตรงนี้เอาออกเพราะมันจะพัดออกไปและดึงเศษใบไม้เข้ามา โคมไฟนี่เอามาตั้งตรงนี้ได้เช่นไรเพคะ เสี่ยงมากเวลาลมพัดแรงอาจจะทำให้ไฟไหม้ขึ้นได้ เอาออกมา”ท่านอ๋องต้องรีบยกของที่นางชี้ทีละอย่างและโยกย้ายจนกว่านางจะพอใจเพราะวันนี้เขาไม่ได้พาจื่อลู่มาด้วย เขาเลยต้องเหนื่อยยกเองทีละอย่างจนเดินมาถึงในห้องบรรทมที่ถูกจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ที่นี่เป็นที่เดียวที่หยุนเฟยไม่สั่งให้ท่านอ๋องย้ายอย่างอื่นไป“หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะขอพักสักครู่”“ข
“ว่าอย่างไรนะเพคะ ช่างเด็ดขาดนัก”“หยุนเฟย คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์รุนแรงและโหดเหี้ยมอีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับคนในราชวงศ์ และคนร้ายยังเป็นถึงพระสนมด้วย ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเอาไว้นานหรอก”“แต่ว่าท่านพ่อเจ้าคะ เช่นนี้แล้วสกุลชุนจะยอมหรือเจ้าคะ”“แม้แต่ใต้เท้าชุนเหลียงบิดาของนางยังถูกลดขั้นเหลือเพียงขุนนางขั้นสี่จากตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนาง ครั้งนี้ฝ่าบาทเห็นว่าเขาเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และไม่ได้รู้เห็นกับบุตรสาวจึงยังไม่ปลดเขาออกก็นับว่าโชคดี"“จบสิ้นจริง ๆ สักทีสินะ”ท่านอ๋องหันไปมองหน้าท่านราชครู เขายิ้มและพยักหน้ากลับคืนมาให้ท่านอ๋องจึงได้กล่าวออกมา“เรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว พวกเราเองก็คงต้องเตรียมตัวแล้วนะหยุนเฟย”“เตรียมตัวหรือเพคะ”“ใช่ พ่อพึ่งออกมาจากวัง ฝ่าบาทแจ้งว่าฮองเฮาทรงโปรดปรานเจ้ามากหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง รับสั่งว่าจะเป็นประธานเปิดสำนักศึกษาแห่งใหม่และให้เจ้าดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่”“จริงหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เป็น….อาจารย์ใหญ่เลยหรือเจ้าคะ”“ใช่ จากนี้เจ้าต้องตั้งใจ อย่าทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงผิดหวัง”“เจ้าค่ะท่านพ่อลูกสัญญาว่าจะตั้งใจเจ้าค่ะ”“อีกอย่าง ข้าเองก็ขอให้ฝ่าบาทเร
“จำได้สิเพคะ ก็หม่อมฉันบอกแล้วว่าจะหาวิธีที่จะทำให้พระสนมเว่ยและชุนลี่ถิงสารภาพความผิด หม่อมฉันจึงแกล้งว่าผีของจางเหมยลั่วเข้าสิงและบีบให้นางพูดก็ได้ผลมิใช่หรือเพคะ ชุนลี่ถิงกลัวจนยอมพูดออกมาแล้วจากนั้นหม่อมฉันก็สลบไป”ท่านอ๋องมองนางและรู้สึกเป็นห่วงนางอย่างมาก แม้ว่านางจะเล่ามาเช่นนี้นั่นแสดงว่าหลังจากเรื่องนี้แล้วนางไม่รู้สึกตัวเลยงั้นหรือ หยุนเฟยราวกับรู้ว่าต้องเกิดเรื่องที่ผิดปกติขึ้นแน่หลังจากที่นางสลบไปแล้ว“เว่ยหรานหรือว่าหลังจากที่หม่อมฉันสลบไป ยังมีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรือเพคะ”“นี่เจ้า….มิได้แกล้งเป็นฟ่งลี่เซียน ต่อจากที่….”“ฟ่งลี่เซียน!! ไม่นะเพคะก็เราตกลงกันแค่ว่าหม่อมฉันแกล้งเป็นเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นและนางก็สารภาพแล้วนี่เพคะ”ท่านอ๋องรีบดึงนางเข้ามากอดด้วยความกลัวที่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง โชคดีมากจริง ๆ ที่นางไม่เป็นอะไรไป โชคดีที่ฟางหยุนเฟยแค่มาลาเท่านั้นและฟ่งลี่เซียนเพียงแค่ต้องการมาแก้แค้นชุนลี่ถิงโดยผ่านร่างของนาง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ การที่เขาและท่านราชครูยอมให้นางแสดงละครเพื่อจับคนร้ายแต่ผลที่ตามมากลับน่ากลัวเกินคาดเดา หากรู้เช่นนี้คงไม่ยอม