เขาจับข้อมือขาวเรียวของเธอ “ผมจะทำดีกับคุณมากๆ คุณอยากได้อะไรก็จะให้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตก็ให้ได้ โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ยื่นมือไปแตะหน้าผากของเขา พบว่าไข้ลดลงบ้างแล้ว แต่เขายังไข้ขึ้นจนถึงกับพูดเรื่องจะให้ชีวิตได้เลยหรอ “ไม่โอเค” เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ในขณะที่เช็ดตัวให้เขาไปด้วยเมื่อเช็ดไปถึงด้านหลังแขน เสิ่นหยินอู้คิดสักพักแล้วพูดกับเขา “ยกมือขึ้น แล้วพลิกตัว ฉันจะเช็ดหลังให้” ถ้าเขาไม่ตื่น เธอก็คงจะทำเองได้ แต่ในเมื่อเขาตื่นแล้ว ก็ให้เขาพลิกตัวเอง เธอจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงพอพูดจบ เห็นเขานิ่งไม่ขยับ เสิ่นหยินอู้จึงเร่ง “เร็วๆ หน่อย” ฉินเย่ที่นอนนิ่งอยู่จึงยกมือขึ้น แต่แทนที่เขาจะพลิกตัว เขากลับใช้มือโอบรอบคอของเธอ แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแรง “อ๊ะ” เสิ่นหยินอู้ร้องออกมาด้วยความตกใจ ผ้าขนหนูในมือหลุดร่วงลงพื้น ร่างกายทั้งตัวของเธอพลัดตกลงสู่อ้อมกอดของเขายังไม่ทันที่เธอจะตั้งสติได้ คางของเธอก็ถูกจับไว้ และทันใดนั้นก็มีลมหายใจอุ่นๆ เข้ามาใกล้เธอ ในพริบตา หน้าผากของทั้งสองชนกัน อยู่ใกล้ชิดกันมากจนไม่มีช่องว่าง“ทำไม
จูบเสร็จก็ล้มพับไปเลย? ริมฝีปากยังรู้สึกได้ถึงความร้อนของเขาอยู่เลย แถมยังบวมขึ้นเล็กน้อย แต่คนที่ทำเรื่องนี้เมื่อครู่กลับนอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนโซฟา เสิ่นหยินอู้หรี่ตาลง มองใบหน้าหล่อเหลาของฉินเย่ ไม่ล้มตอนแรก ไม่ล้มตอนหลัง แต่พอเธอผลักเท่านั้นแหละก็ล้มเลย?เสิ่นหยินอู้ยื่นมือไปตบแก้มเขาเบาๆ "อย่ามาแกล้งเลย ตื่นขึ้นมา" แต่คนที่ถูกตบกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร เสิ่นหยินอู้แตะหน้าผากของเขาแล้วพบว่าเขาไข้ขึ้นอีกแล้วไม่ใช่ว่าเมื่อกี้จูบกันรุนแรงไปจน...... พอนึกถึงท่าทางของเขาที่ดูมีอารมณ์เมื่อครู่ ถ้าเขาไม่เป็นลมไปซะก่อน เกรงว่าคืนนี้เธออาจจะถูกเขากินจนหมดตัว เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากเบาๆ รู้สึกเสียใจในใจทำไมตอนหลังเธอถึงได้......ยอมเขานะ? ทันใดนั้น คำพูดของโจวชวงชวงที่ว่าเธอยังชอบเขาอยู่ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเสิ่นหยินอู้หรือว่าเธอจะเป็นอย่างที่โจวชวงชวงบอกจริงๆ ว่ายังชอบเขาอยู่?เพียงชั่วขณะเดียว สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา-วันรุ่งขึ้น"ลุงเย่มู่ ลุงเย่มู่"ฉินเย่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงเรียกของเด็กน้อย ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังใช้มือน้อยๆ พยาย
มีแค่บางฉากเท่านั้นที่เขาจดจำได้อย่างชัดเจน เช่น ตอนที่เธอปิดประตูใส่เขา แล้วกลับมาเปิดให้เขาเข้าไป หรือตอนที่เธอหยิบผ้าห่มจากเตียงมาให้เขา แต่เขาไม่รับ และยังมี ตอนที่เขาจูบหน้าผากเธออย่างสั่นเทา แล้วก็......ตอนที่ทั้งสองคนกอดรัดและจูบกัน จูบที่เร่าร้อน...... ภาพเหล่านี้ผุดขึ้นในหัวของฉินเย่หมุนวนไม่หยุด ทำให้หัวใจของเขาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉินเย่ค่อยๆยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากบางของตัวเองริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มสวยงาม เมื่อคืนเขารู้สึกได้ว่า เธอตอบรับจูบของเขา นั่นหมายความว่า เธอไม่ได้เกลียดเขามากขนาดนั้น ใช่ไหม? แค่คิดแบบนี้ ฉินเย่ก็รู้สึกดีขึ้น อาการปวดหัวและเจ็บที่อกก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดเสิ่นหยินอู้ เสิ่นนั่วนั่ว...... เขาตัดสินใจไว้แล้วว่า ถ้าเธอแสดงออกมาสักนิด ถึงแม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไป เหมือนอย่างตอนนี้ เพราะเขาได้รับรู้ความรู้สึกจากเธอแล้วจริงๆ หลังจากที่ฤทธิ์ยาหมดลง ร่างกายก็อ่อนแรงและรู้สึกไม่สบายตัวหลังจากอาบน้ำเย็น แม้ว่าฉินเย่จะลุกขึ้นมานั่งและไอหลายครั้ง แต่เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ใจของเขาก็รู้สึ
เสิ่นหยินอู้มองการกระทำของเขา คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน"คุณจะทำอะไร?" เขาไม่ตอบ เดินเข้าไปใกล้เธออีกสองก้าว เสิ่นหยินอู้เห็นดังนั้นก็ถอยไปตามสัญชาตญาณ ฉินเย่เห็นแบบนั้นก็ไม่หยุด กลับยิ่งก้าวเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหลังของเสิ่นหยินอู้ชนกับตู้ข้างประตู เธอจึงต้องเอนตัวเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างมือใหญ่ทั้งสองข้างวางลงที่เอวของเธออย่างแผ่วเบา ฉินเย่จ้องเธอด้วยสายตาเคร่งขรึม"ในเมื่อคุณไม่รั้งให้ผมอยู่ ผมก็ต้องอยู่เองแล้วล่ะ"เสิ่นหยินอู้ "......" เขาหน้าหนาเกินไปจริงๆ ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด มือของเขาที่วางอยู่ที่เอวของเธอค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปอีกนิด เสิ่นหยินอู้เหมือนเผชิญหน้ากับศัตรู สายตาของเธอเบิกกว้าง"คุณจะทำอะไร?" ฉินเย่ก้มหน้าหัวเราะเบาๆที่ซอกคอของเธอ ลมหายใจร้อนๆของเขาพ่นออกมาที่ลำคอของเธอ ทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้จนทนแทบไม่ไหว"นั่วนั่ว" เขาเรียกชื่อเล่นของเธอด้วยเสียงต่ำ "ผมค้นพบบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เพราะงั้นผมจะไม่ไปไหน" ไม่เพียงแค่ไม่ไป เขาจะยิ่งตามติดเธอมากขึ้น เมื่อพูดจบ ฉินเย่ก็ปล่อยมือออก "ไปกันเถอะ ไปกินข้าวเช้ากัน" เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ตรงนั้นค
เขากำลังจะไปทำเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า? ไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาตกหลุมพราง เขาจะไปสะสางกับเจียงฉูฉู่หรือเปล่า? ก่อนอื่น เขาจะกล้าจัดการคนที่เคยช่วยชีวิตตัวเองไหม? แต่ก่อนเจียงฉูฉู่เคยช่วยเธอไว้ และเธอก็ตอบแทนบุญคุณมาตลอดห้าปี แถมยังยอมตกลงตามเงื่อนไขมากมาย และไม่ต้องพูดถึงว่าเจียงฉูฉู่ยังเคยช่วยชีวิตฉินเย่ไว้ด้วย แล้วเขาจะตอบแทนบุญคุณยังไงถึงจะหมด? น่าเสียดายที่เรื่องบุญคุณ ไม่ใช่แค่ให้เงินแล้วจะจบได้ ในขณะที่เธอกำลังคิด จู่ๆ ร่างของคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งตัว เขาก็ก้มตัวลงและจูบที่หน้าผากขาวๆ ของเธอ เสิ่นเหมิงเหมิงเห็นแบบนั้น ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองทำท่าทางเขินอาย ส่วนเสิ่นซือเหนียนนั้นก็ตกตะลึงค้างอยู่กับที่ ไม่คิดเลยว่าผ่านไปแค่คืนเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลุงเย่มู่จะพัฒนาไปเร็วขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เสิ่นซือเหนียนที่ตกตะลึง แต่เสิ่นหยินอู้เองก็ชะงัก เพราะเธอไม่เข้าใจเลยว่าฉินเย่กำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อคืนเขาจูบเธอแล้วก็สลบไป พอตื่นขึ้นมายังกล้าจูบเธอต่อหน้าลูกสองคนอีก? เขาบ้าหรือเป็นเธอเองที่บ้ากันแน่?ฉินเย่จ
ถ้าเป็นเพราะลืมบอกก็คงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้กลับเป็นเพราะกลัวว่าเธอจะเสียใจเลยไม่บอก เรื่องนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก ลูกที่เธอเลี้ยงดูมาอย่างดี กลับถูกคนอื่นพูดจาไม่ดีใส่ และเจ้าตัวน้อยสองคนนี้ก็ยังคอยคิดถึงเธออยู่เสมอ เมื่อคิดแบบนี้ น้ำตาของเสิ่นหยินอู้ก็เอ่อล้นออกมาแต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังว่า "แต่ว่าหม่ามี๊คะ ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ หนูกับพี่ชายกำลังจะมีพ่อแล้ว ถ้าครูพูดไม่ดีเกี่ยวกับหนูกับพี่ชายอีก หนูก็จะให้พ่อไปไล่คนไม่ดีออกไปค่ะ" เด็กตัวเล็กๆ ก็มีความคิดที่ไร้เดียงสาเสมอ ความจริงแล้วเสิ่นหยินอู้รู้ดีว่า เจ้าตัวน้อยสองคนนี้แค่กลัวว่าจะทำให้เธอลำบาก จึงคิดถึงเธอในทุกๆ เรื่อง และเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกเธอ ทั้งที่พวกเขายังเด็กขนาดนี้ แต่กลับเป็นแบบนี้แล้ว แล้วต่อไปล่ะ? ในช่วงเวลาที่พวกเขาเติบโตขึ้น ถ้ายังเจอเรื่องแบบนี้อีก พวกเขาจะต้องคิดถึงเธอทุกครั้งและอดทนต่อความรู้สึกไม่ดีแบบหรือเปล่าตอนที่เธอยังเด็ก เธอก็เคยได้รับความเจ็บปวดแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นคนที่ถูกโจมตีคือแม่ของเธอ แม้ในตอนนั้นเธอจะมีฉินเย่คอยปกป้อง
ที่แท้แล้วเจียงฉูฉู่ก็กินยาเข้าไปด้วย เมื่อวานหลังจากวิ่งตามฉินเย่ออกไป ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ขณะเธออยู่บนถนน จากนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาเห็นเข้า เห็นเธอเดินเซไปมาเลยคิดว่าเธอเมา จึงเข้ามาช่วยพยุงเพื่อจะพาเธอกลับบ้าน แต่พอเข้ามาช่วยก็ถูกเจียงฉูฉู่เกาะตัวไว้ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไปเปิดห้องพักด้วยกัน เมื่อเจียงฉูฉู่ตื่นขึ้นมา จะเสียใจมันก็สายเกินไปแล้ว เธอโทรหา พ่อแม่ของเธอ อยากจะปิดเรื่องนี้ไว้ ไม่อยากสานสัมพันธ์อะไรต่อกับผู้ชายคนนั้นอีก แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเจียงเฉิง แถมเขายังเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ และต้องการรับผิดชอบต่อเจียงฉูฉู่ พ่อแม่ของเจียงฉูฉู่ไม่อยู่ที่เจียงเฉิง จึงต้องให้ญาติมาดูแลเรื่องนี้แทน แต่ข่าวก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก ตระกูลเจียงไม่สามารถปิดข่าวไว้ได้ เพียงเช้าวันเดียว ทุกคนก็รู้เรื่องของเจียงฉูฉู่กับชายคนนี้แล้ว ในกลุ่มสังคมก็พูดถึงเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน หยอกล้อเจียงฉูฉู่กันไม่หยุด"เจียงฉูฉู่นี่ไม่ใช่ว่าเคยคบกับประธานฉินหรอกเหรอ ก่อนหน้านี้ยังมีข่าวว่าเธอเร่งรีบจะหมั้น แล้วทำไมถึงไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นได้เร
ดังนั้น หลายสิ่งที่เขาไม่กล้าพูดมาก่อน แต่ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับเสิ่นหยินอู้หลี่มู่ถิงก็มักจะถือโอกาสพูดออกมาอย่างเต็มที่ เหมือนอย่างตอนนี้ เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องของประธานฉินในแง่ของผู้ชาย แต่ประธานฉินกลับแค่พูดเบาๆ ว่านายอยากโดนหรือไง? แล้วก็ไม่มีอะไรต่อ ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาอาจจะต้องโดนหักโบนัสปลายปีแน่ๆ แต่ตอนนี้...... เมื่อนึกถึงบางอย่าง หลี่มู่ถิงที่ตั้งใจจะล้อเล่นก็หยุดคิดและกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที"ทางฝั่งคุณเจียง ประธานฉินมีแผนจะจัดการยังไงครับ?"พูดมาถึงตรงนี้ หลี่มู่ถิงก็ยกมือขึ้นดันแว่นตา "อันที่จริง จากสถานการณ์ตอนนี้ ถึงประธานฉินจะไม่ทำอะไร คุณเจียงก็คงไม่กล้ามายุ่งกับคุณอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข่าวก็แพร่ไปทุกทิศทาง ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับเธอก็ประกาศว่าจะรับผิดชอบ เรื่องนี้บริษัทของเขาน่าจะอยากได้ประโยชน์จากทรัพยากรและสายสัมพันธ์ของตระกูลเจียง และอยากจะใช้โอกาสนี้ปีนขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม" ถึงแม้ว่าครอบครัวของฝ่ายชายจะค่อนข้างดี แต่ก็ยังต่างกับตระกูลเจียงในช่วงหลายปีนี้อยู่มาก ตระกูลเจียงในช่วงหลายปีมานี้ได้เกาะเกี่ยวกับตระกูลฉินซึ่งถือเป็นเรือใหญ่ ทำให้สถานะ
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน