เขากำลังจะไปทำเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า? ไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาตกหลุมพราง เขาจะไปสะสางกับเจียงฉูฉู่หรือเปล่า? ก่อนอื่น เขาจะกล้าจัดการคนที่เคยช่วยชีวิตตัวเองไหม? แต่ก่อนเจียงฉูฉู่เคยช่วยเธอไว้ และเธอก็ตอบแทนบุญคุณมาตลอดห้าปี แถมยังยอมตกลงตามเงื่อนไขมากมาย และไม่ต้องพูดถึงว่าเจียงฉูฉู่ยังเคยช่วยชีวิตฉินเย่ไว้ด้วย แล้วเขาจะตอบแทนบุญคุณยังไงถึงจะหมด? น่าเสียดายที่เรื่องบุญคุณ ไม่ใช่แค่ให้เงินแล้วจะจบได้ ในขณะที่เธอกำลังคิด จู่ๆ ร่างของคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งตัว เขาก็ก้มตัวลงและจูบที่หน้าผากขาวๆ ของเธอ เสิ่นเหมิงเหมิงเห็นแบบนั้น ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองทำท่าทางเขินอาย ส่วนเสิ่นซือเหนียนนั้นก็ตกตะลึงค้างอยู่กับที่ ไม่คิดเลยว่าผ่านไปแค่คืนเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลุงเย่มู่จะพัฒนาไปเร็วขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เสิ่นซือเหนียนที่ตกตะลึง แต่เสิ่นหยินอู้เองก็ชะงัก เพราะเธอไม่เข้าใจเลยว่าฉินเย่กำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อคืนเขาจูบเธอแล้วก็สลบไป พอตื่นขึ้นมายังกล้าจูบเธอต่อหน้าลูกสองคนอีก? เขาบ้าหรือเป็นเธอเองที่บ้ากันแน่?ฉินเย่จ
ถ้าเป็นเพราะลืมบอกก็คงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้กลับเป็นเพราะกลัวว่าเธอจะเสียใจเลยไม่บอก เรื่องนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก ลูกที่เธอเลี้ยงดูมาอย่างดี กลับถูกคนอื่นพูดจาไม่ดีใส่ และเจ้าตัวน้อยสองคนนี้ก็ยังคอยคิดถึงเธออยู่เสมอ เมื่อคิดแบบนี้ น้ำตาของเสิ่นหยินอู้ก็เอ่อล้นออกมาแต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังว่า "แต่ว่าหม่ามี๊คะ ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ หนูกับพี่ชายกำลังจะมีพ่อแล้ว ถ้าครูพูดไม่ดีเกี่ยวกับหนูกับพี่ชายอีก หนูก็จะให้พ่อไปไล่คนไม่ดีออกไปค่ะ" เด็กตัวเล็กๆ ก็มีความคิดที่ไร้เดียงสาเสมอ ความจริงแล้วเสิ่นหยินอู้รู้ดีว่า เจ้าตัวน้อยสองคนนี้แค่กลัวว่าจะทำให้เธอลำบาก จึงคิดถึงเธอในทุกๆ เรื่อง และเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกเธอ ทั้งที่พวกเขายังเด็กขนาดนี้ แต่กลับเป็นแบบนี้แล้ว แล้วต่อไปล่ะ? ในช่วงเวลาที่พวกเขาเติบโตขึ้น ถ้ายังเจอเรื่องแบบนี้อีก พวกเขาจะต้องคิดถึงเธอทุกครั้งและอดทนต่อความรู้สึกไม่ดีแบบหรือเปล่าตอนที่เธอยังเด็ก เธอก็เคยได้รับความเจ็บปวดแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นคนที่ถูกโจมตีคือแม่ของเธอ แม้ในตอนนั้นเธอจะมีฉินเย่คอยปกป้อง
ที่แท้แล้วเจียงฉูฉู่ก็กินยาเข้าไปด้วย เมื่อวานหลังจากวิ่งตามฉินเย่ออกไป ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ขณะเธออยู่บนถนน จากนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาเห็นเข้า เห็นเธอเดินเซไปมาเลยคิดว่าเธอเมา จึงเข้ามาช่วยพยุงเพื่อจะพาเธอกลับบ้าน แต่พอเข้ามาช่วยก็ถูกเจียงฉูฉู่เกาะตัวไว้ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไปเปิดห้องพักด้วยกัน เมื่อเจียงฉูฉู่ตื่นขึ้นมา จะเสียใจมันก็สายเกินไปแล้ว เธอโทรหา พ่อแม่ของเธอ อยากจะปิดเรื่องนี้ไว้ ไม่อยากสานสัมพันธ์อะไรต่อกับผู้ชายคนนั้นอีก แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเจียงเฉิง แถมเขายังเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ และต้องการรับผิดชอบต่อเจียงฉูฉู่ พ่อแม่ของเจียงฉูฉู่ไม่อยู่ที่เจียงเฉิง จึงต้องให้ญาติมาดูแลเรื่องนี้แทน แต่ข่าวก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก ตระกูลเจียงไม่สามารถปิดข่าวไว้ได้ เพียงเช้าวันเดียว ทุกคนก็รู้เรื่องของเจียงฉูฉู่กับชายคนนี้แล้ว ในกลุ่มสังคมก็พูดถึงเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน หยอกล้อเจียงฉูฉู่กันไม่หยุด"เจียงฉูฉู่นี่ไม่ใช่ว่าเคยคบกับประธานฉินหรอกเหรอ ก่อนหน้านี้ยังมีข่าวว่าเธอเร่งรีบจะหมั้น แล้วทำไมถึงไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นได้เร
ดังนั้น หลายสิ่งที่เขาไม่กล้าพูดมาก่อน แต่ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับเสิ่นหยินอู้หลี่มู่ถิงก็มักจะถือโอกาสพูดออกมาอย่างเต็มที่ เหมือนอย่างตอนนี้ เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องของประธานฉินในแง่ของผู้ชาย แต่ประธานฉินกลับแค่พูดเบาๆ ว่านายอยากโดนหรือไง? แล้วก็ไม่มีอะไรต่อ ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาอาจจะต้องโดนหักโบนัสปลายปีแน่ๆ แต่ตอนนี้...... เมื่อนึกถึงบางอย่าง หลี่มู่ถิงที่ตั้งใจจะล้อเล่นก็หยุดคิดและกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที"ทางฝั่งคุณเจียง ประธานฉินมีแผนจะจัดการยังไงครับ?"พูดมาถึงตรงนี้ หลี่มู่ถิงก็ยกมือขึ้นดันแว่นตา "อันที่จริง จากสถานการณ์ตอนนี้ ถึงประธานฉินจะไม่ทำอะไร คุณเจียงก็คงไม่กล้ามายุ่งกับคุณอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข่าวก็แพร่ไปทุกทิศทาง ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับเธอก็ประกาศว่าจะรับผิดชอบ เรื่องนี้บริษัทของเขาน่าจะอยากได้ประโยชน์จากทรัพยากรและสายสัมพันธ์ของตระกูลเจียง และอยากจะใช้โอกาสนี้ปีนขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม" ถึงแม้ว่าครอบครัวของฝ่ายชายจะค่อนข้างดี แต่ก็ยังต่างกับตระกูลเจียงในช่วงหลายปีนี้อยู่มาก ตระกูลเจียงในช่วงหลายปีมานี้ได้เกาะเกี่ยวกับตระกูลฉินซึ่งถือเป็นเรือใหญ่ ทำให้สถานะ
พูดมาถึงตรงนี้ แม่ของต้วนจื่อฝานมองเข้าไปข้างในหนึ่งที"ถ้าจะพูดถึงการทำร้ายล่ะก็ ในฐานะแม่คนหนึ่ง ฉันยังรู้สึกว่าคุณหนูเจียงทำร้ายลูกชายของฉันด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง แล้วเธอจะจับต้องคนอื่นได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบแน่ๆ? ฉันเป็นแม่ที่ใจเปิดกว้าง พวกเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำอะไรก็ต้องมีความคิดของตัวเอง ถ้าพวกเขาชอบกันและอยากอยู่ด้วยกัน ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไร" เมื่อได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของคุณแม่เจียงก็เริ่มมืดมน ตั้งแต่ที่ตระกูลเจียงได้เกาะเกี่ยวกับตระกูลฉิน สถานะและเกียรติของตระกูลเจียงก็ยกระดับขึ้นอย่างมาก ตลอดหลายปีนี้ไม่ว่าจะไปงานไหนก็ไม่มีใครกล้ามาทำสีหน้าใส่เธอ นอกจากต้องอ่อนน้อมต่อคุณนายฉินแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คอยยกยอและเอาใจเธอ ไม่นึกเลยว่าตอนนี้จะต้องมาโดนผู้หญิงคนหนึ่งที่ครอบครัวของเธอไม่ใหญ่โตสั่งสอน และยังคิดอยากจะให้ลูกชายของเธอได้อยู่กับลูกสาวของเธออีกคุณแม่เจียงมองแม่ของต้วนจื่อฝานด้วยสายตาดูถูก "เธอเป็นใคร คิดว่ามีสิทธิ์มาพูดกับฉันหรอ?" แม่ของต้วนจื่อฝานยกมือขึ้นเก็บผมเส้นหนึ่งที่ตกลงมาข้างแก้มไว้หลังหู แล้วยิ้มต่อ "คุณนายเจียงคะ ฉันยังจำได้ตอนที่ตระกูลเ
เมื่อได้ยินว่าสุดท้ายไม่สามารถแต่งงานกับฉินเย่ได้ และยังต้องมองเขาไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เจียงฉูฉู่ก็เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างหนัก พร้อมกับเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟังด้วยน้ำตา ใบหน้าที่ขุ่นเคืองของคุณแม่เจียงยิ่งดูบึ้งตึงมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากได้ฟังคำพูดของเจียงฉูฉู่ "ฉันนึกว่าแกยังไม่ลงมือซะอีก ไม่นึกว่าแกลงมือแล้วแต่ยังปล่อยให้เขาหนีไปได้ แกทำอะไรกันแน่? เวลาผ่านมาตั้งนานแล้ว ทำไมผู้ชายแค่คนเดียวแกยังจับไม่ได้?""แม่...... หนูก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่หนูก็ไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องได้ยังไง อยู่ๆ เขาก็หนีไป เมื่อคืนนี้เขาต้องไปหาเสิ่นหยินอู้แน่ๆ แล้วตอนนี้จะทำยังไงดี? หนูไม่อยากอยู่กับต้วนจื่อฝาน หนูชอบแค่ฉินเย่" เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณแม่เจียงมองลูกสาวด้วยสายตาที่ผิดหวัง"ไม่ต้องห่วง ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้แกอยู่กับต้วนจื่อฝานแน่นอน" แม้ว่าจะเพื่อประโยชน์ของตระกูลเจียงก็ตาม คนที่เจียงฉูฉู่ต้องแต่งงานด้วยก็ต้องเป็นฉินเย่เท่านั้น คุณแม่เจียงเม้มริมฝีปาก กัดฟันตัดสินใจ "เรื่องนี้ต้องใช้วิธีสุดท้ายขั้นเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะสำเร็จ" "แม่ หนู...... หนูต้องทำยังไง?" ตอนแรก
เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับไปทันทีว่า “ก่อนที่บริษัทจะเติบโตขึ้นจริงๆ ประหยัดได้เท่าไหร่ก็ควรประหยัด” "เชอะ" อู๋อี้ไห่พูดหยอกล้อว่า “ประหยัดจากผมเหรอ? เถ้าแก่ คุณนี่ใจร้ายจริงๆ” เสิ่นหยินอู้ยิ้มตอบ “อืม ถ้าบริษัทเติบโตขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันไม่มีทางลืมความดีของผู้จัดการอู๋แน่นอน” “โอเค งั้นผมจะรอฟังและหวังให้บริษัทเติบโตยิ่งใหญ่ในเร็ววัน” แม้ภายนอกเธอจะเล่นมุกกับเขา แต่ตอนประชุมเสิ่นหยินอู้ก็แสดงความคิดเห็นเฉียบแหลมหลายข้อ แต่ก็เผลอคิดฟุ้งซ่านไปหลายครั้ง ครั้งแรกยังพอถูไถไปได้ แต่หลายๆ ครั้งเข้าก็มีคนสังเกตเห็น หลังจากการประชุมจบลง อู๋อี้ไห่ก็ถามเธอขึ้นมา "เป็นอะไรหรือเปล่า? ตอนประชุมดูเหมือนจะเหม่อลอยตลอดเลย?"เสิ่นหยินอู้ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร” “เถ้าแก่อยากจะให้เวลาตัวเองพักสักหน่อยไหม?” พักหน่อย?เสิ่นหยินอู้ยิ้มอย่างหมดหนทาง “ตั้งแต่คุณเข้ามาทำงาน ฉันก็หยุดไปหลายครั้งแล้ว ถ้าหยุดอีก บริษัทจะเดินต่อได้ยังไง” “ยังไงคุณก็เป็นเถ้าแก่ จะมีปัญหาอะไรล่ะ?”“เถ้าแก่ยิ่งไม่ควรละเลยหน้าที่ ถ้าคนทุกตำแหน่งคิดแบบนี้ บริษัทก็คงจะล้มในไม่ช้า”อู๋อี้ไห่หัวเราะ “ก็จริง แ
อย่างไรก็ตาม หลังจากทราบข่าว ดาราดังบางคนก็เริ่มถกเถียงกันอย่างดุเดือดในกลุ่ม “ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จงั้นเหรอ? รักษาได้ทันเวลาเหรอ? งั้นก็คงบอกไม่ได้ว่าต้องการฆ่าตัวตายจริงๆหรือเปล่า” “ฉันคิดว่ามันเป็นแค่การทำร้ายตัวเองเพื่อตบตาเพราะไม่อยากยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กันก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นจะแต่งงานเข้าตระกูลฉินได้ยังไงกัน” “เอาน่า ประธานฉินกับคนก่อนหน้าก็หย่าร้างกันมาหลายปีแล้ว ถ้าเธอแต่งเข้าไปได้เธอก็คงจะแต่งเข้าไปนานแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้? ถ้าฉันเป็นเจียงฉูฉู่ ฉันคงจะปล่อยฉินเย่ไปนานแล้ว เป็นผู้มีพระคุณดีๆ แล้วก็ค่อยหาคนผู้ชายคนอื่นที่รักฉันไม่ดีกว่าหรอ?” “ถึงจะพูดแบบนั้น แต่นั่นคือฉินเย่เชียวนะ ถ้าเธอมีโอกาสใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนอื่นๆก็จะกลายเป็นแค่คนธรรมดา” หลังจากพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็หยุดพูด ดูเหมือนจะยอมรับไปโดยปริยาย จนกระทั่งมีคนโพล่งขึ้นมาว่า “มันไม่มีประโยชน์หรอกต่อให้เธอจะไม่ยอมแพ้ มีข่าวซุบซิบว่าเสิ่นหยินอู้กลับมาที่ประเทศจีนแล้ว” ทุกคนต่างก็ตกใจ “เสิ่นหยินอู้? อดีตภรรยาของฉินเย่น่ะเหรอ? เธอกลับจีนมาแล้วหรอ?” “ใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่าเธอเ
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน