เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับไปทันทีว่า “ก่อนที่บริษัทจะเติบโตขึ้นจริงๆ ประหยัดได้เท่าไหร่ก็ควรประหยัด” "เชอะ" อู๋อี้ไห่พูดหยอกล้อว่า “ประหยัดจากผมเหรอ? เถ้าแก่ คุณนี่ใจร้ายจริงๆ” เสิ่นหยินอู้ยิ้มตอบ “อืม ถ้าบริษัทเติบโตขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันไม่มีทางลืมความดีของผู้จัดการอู๋แน่นอน” “โอเค งั้นผมจะรอฟังและหวังให้บริษัทเติบโตยิ่งใหญ่ในเร็ววัน” แม้ภายนอกเธอจะเล่นมุกกับเขา แต่ตอนประชุมเสิ่นหยินอู้ก็แสดงความคิดเห็นเฉียบแหลมหลายข้อ แต่ก็เผลอคิดฟุ้งซ่านไปหลายครั้ง ครั้งแรกยังพอถูไถไปได้ แต่หลายๆ ครั้งเข้าก็มีคนสังเกตเห็น หลังจากการประชุมจบลง อู๋อี้ไห่ก็ถามเธอขึ้นมา "เป็นอะไรหรือเปล่า? ตอนประชุมดูเหมือนจะเหม่อลอยตลอดเลย?"เสิ่นหยินอู้ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร” “เถ้าแก่อยากจะให้เวลาตัวเองพักสักหน่อยไหม?” พักหน่อย?เสิ่นหยินอู้ยิ้มอย่างหมดหนทาง “ตั้งแต่คุณเข้ามาทำงาน ฉันก็หยุดไปหลายครั้งแล้ว ถ้าหยุดอีก บริษัทจะเดินต่อได้ยังไง” “ยังไงคุณก็เป็นเถ้าแก่ จะมีปัญหาอะไรล่ะ?”“เถ้าแก่ยิ่งไม่ควรละเลยหน้าที่ ถ้าคนทุกตำแหน่งคิดแบบนี้ บริษัทก็คงจะล้มในไม่ช้า”อู๋อี้ไห่หัวเราะ “ก็จริง แ
อย่างไรก็ตาม หลังจากทราบข่าว ดาราดังบางคนก็เริ่มถกเถียงกันอย่างดุเดือดในกลุ่ม “ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จงั้นเหรอ? รักษาได้ทันเวลาเหรอ? งั้นก็คงบอกไม่ได้ว่าต้องการฆ่าตัวตายจริงๆหรือเปล่า” “ฉันคิดว่ามันเป็นแค่การทำร้ายตัวเองเพื่อตบตาเพราะไม่อยากยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กันก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นจะแต่งงานเข้าตระกูลฉินได้ยังไงกัน” “เอาน่า ประธานฉินกับคนก่อนหน้าก็หย่าร้างกันมาหลายปีแล้ว ถ้าเธอแต่งเข้าไปได้เธอก็คงจะแต่งเข้าไปนานแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้? ถ้าฉันเป็นเจียงฉูฉู่ ฉันคงจะปล่อยฉินเย่ไปนานแล้ว เป็นผู้มีพระคุณดีๆ แล้วก็ค่อยหาคนผู้ชายคนอื่นที่รักฉันไม่ดีกว่าหรอ?” “ถึงจะพูดแบบนั้น แต่นั่นคือฉินเย่เชียวนะ ถ้าเธอมีโอกาสใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนอื่นๆก็จะกลายเป็นแค่คนธรรมดา” หลังจากพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็หยุดพูด ดูเหมือนจะยอมรับไปโดยปริยาย จนกระทั่งมีคนโพล่งขึ้นมาว่า “มันไม่มีประโยชน์หรอกต่อให้เธอจะไม่ยอมแพ้ มีข่าวซุบซิบว่าเสิ่นหยินอู้กลับมาที่ประเทศจีนแล้ว” ทุกคนต่างก็ตกใจ “เสิ่นหยินอู้? อดีตภรรยาของฉินเย่น่ะเหรอ? เธอกลับจีนมาแล้วหรอ?” “ใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่าเธอเ
คุณพ่อเจียงกลัวเธอมากจนไม่กล้าพูดอะไรอีกและทำเดินออกจากห้องผู้ป่วยไปอย่างเงียบๆ หลังจากที่เขาจากไป เจียงฉูฉู่ก็หรี่ตาลงและพูดอย่างน่าสงสารว่า: "แม่ หนูควรจะฟังที่พ่อพูดแล้วเลิกไปยุ่งเขาใช่ไหม?" “ไม่ต้องฟังที่พ่อพูดหรอก เขาไม่เข้าใจผู้ชายเลยสักนิด ฉูฉู่ การช่วยฉินเย่ไว้นั้นเป็นโอกาสที่หายากสำหรับแก ไม่มีใครเคยช่วยฉินเย่ได้ มีแค่แกเท่านั้น มีแค่แกเท่านั้นที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ เพราะฉะนั้นสำหรับเขาแล้ว แกคือคนพิเศษที่สุดตลอดไป พอเขามา แกก็แค่เอาเรื่องความเป็นความตายมาขู่เขา ให้เขาขอแกแต่งงาน ไม่งั้นแกจะฆ่าตัวตายต่อหน้าเขา” “แต่...เขาจะฟังหรอ?” แม่ของเจียงหัวเราะเยาะ: "เขาฟังอยู่แล้ว เว้นแต่เขาจะอยากเป็นคนเนรคุณ" เจียงฉูฉู่กัดริมฝีปากล่าง “ฟังที่แม่พูดเถอะ มันเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะบังคับให้เขารับปากที่จะมาขอแกแต่งงาน ต่อให้เขาจะโกรธแกในภายหลัง แต่พอแกสองคนได้อยู่ด้วยกัน แกก็ค่อยง้อเขาก็ได้แล้วนี่? ผู้ชายก็เป็นพวกมีคุณธรรมแบบนั้นแหละ พอแกควบคุมเขาได้แล้ว เขาก็คงจะไม่จำเรื่องที่แกไปบังคับเขาแล้วแหละ” เจียงฉูฉู่รู้สึกประทับใจมากกับสิ่งที่คุณแม่เจียงพูด และเธอก็เริ่มจินตนาการถึง
เมื่อได้ยินว่าฉินเย่เรียกทั้งคู่กลับมา เจียงฉูฉู่ก็กังวลเล็กน้อย หรือว่าฉินเย่รู้เรื่องเธอตั้งตอนเช้าแล้วงั้นเหรอ? แต่ลองคิดดูก็น่าจะใช่ แต่ว่า...ตอนนี้เขาไม่อยากเจอเธอแล้ว แม้จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมรับโทรศัพท์ เขายังโทรหาคุณพ่อและคุณแม่ฉินให้รีบกลับมาที่จีนโดยด่วนอีกด้วย ดูยังไงก็ไม่เหมือนว่าเขาจะมาจัดการกับเรื่องนี้ แต่น่าจะต้องการจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แทน... เมื่อเจียงฉูฉู่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ เธอก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอทำได้เพียงกอดคุณแม่ฉินและร้องไห้คร่ำครวญด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้คุณแม่ฉินเชื่อเธออย่างสุดใจ คุณแม่ฉินปลอบใจเธออยู่ในห้องผู้ป่วยสักพักหนึ่งก่อนที่ออกไป หลังจากออกจากโรงพยาบาล คุณพ่อคุณแม่ฉินก็ขึ้นรถ “เรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?” คุณพ่อฉินขมวดคิ้วแน่นแล้วถามทันทีที่คุณแม่ฉินขึ้นรถคุณแม่ฉินก็ขมวดคิ้ว และทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็จริงจังขึ้นมา: "คงมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าให้พูดตามเหตุผล เรื่องใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นกับฉูฉู่ ต่อให้ลูกชายของเราจะไม่ชอบเธอ เขาก็ควรจะมาเยี่ยมบ้าง แต่เมื่อกี้ฉันไม่เห็นลูกชายอยู่
เมื่อก่อนเมื่อคุณแม่ฉินมีความคิดนี้ เธอมักจะรู้สึกผิดและรู้สึกว่าหัวใจของเธอมืดมนเกินไป แต่เธอคาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในเวลานี้ คุณพ่อฉินที่หนักแน่นมาโดยตลอดก็พูดว่า: "จริงๆแล้วลูกไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเป็นหนี้เธอ นับตั้งแต่เธอช่วยชีวิตแก หลายปีมานี้ ตระกูลฉินของเราได้ทำอะไรตั้งมากมายให้พวกเขาอยู่เบื้องหลัง ไม่งั้นตระกูลเจียงคงจะไม่สามารถมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ในทุกๆวันนี้ได้เองหรอก พวกเขาคงล้มละลายและหายไปตั้งนานแล้ว” “ใช่แล้ว ครั้งก่อนที่ลุงเจียงรับออเดอร์มา บริษัทก็เกือบจะล้มละลาย แต่เป็นพ่อของลูกที่ช่วยพลิกสถานการณ์ให้ ตระกูลเจียงยังใช้ชื่อของตระกูลฉินในการทำเรื่องต่างๆมากมายลับหลัง ถึงสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถเอามาแลกกับชีวิตของลูกได้ แต่ตระกูลฉินของเราก็เมตตาต่อตระกูลเจียงอย่างถึงที่สุด ดังนั้นถ้าเราเสนอผลประโยชน์และพูดคุยกันดีๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถตัดความสัมพันธ์ได้” คุณแม่ฉินพูดเสริม สำหรับพ่อแม่แล้ว ไม่ว่ายังไง ความคิดของลูกชายก็สำคัญที่สุด เมื่อพูดถึงตรงนี้ คุณแม่ฉินก็นึกอะไรขึ้นได้และแสดงสีหน้าที่เป็นกังวลออกมา “ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น จริงๆฉูฉู่ก็เป็นคนดี
แค่ได้ยินว่าเสิ่นหยินอู้กลับมาแล้ว เธอก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ถ้าเธอบอกว่าเฉินหยุนหวู่ให้กำเนิดลูกสองคน เธอจะตื่นเต้นมากกว่านี้ไหม? อย่างไรก็ตาม ฉินเย่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ในตอนนี้ ท้ายที่สุดแล้ว...หยินอู้ก็ยังไม่ยอมรับเขา เธอยังกลัวว่าเขาจะแย่งลูกๆไปจากเธอ ตามนิสัยของแม่ เธอคงจะดีใจมากอย่างแน่นอนถ้าเธอรู้ว่าเธอมีหลาน ถ้าเธอรู้ว่าเธอมีหลาน และถ้าเขายังต้องมาหยุดไม่ให้เธอไปเจอหลาน มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะไม่สามารถหยุดเธอได้ ความตื่นเต้นของคุณแม่ฉินจะทำให้เสิ่นหยินอู้ตกใจกลัวอย่างแน่นอน ดังนั้นควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อนจะดีกว่า แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ฉินเย่พูดไปเมื่อครู่นี้ทำให้คุณนายฉินเกิดความสงสัย "ทำไมแม่ถึงต้องดีใจมากจนนอนไม่หลับล่ะ? มีเรื่องอะไรดีๆหรอ? ลูกกลับมาคืนดีกับเธอแล้วหรอ?" ฉินเย่: "..." ก่อนที่เขาจะได้ทันอธิบาย คุณแม่ฉินก็เริ่มทึกทักไปเองแล้ว “แม่เข้าใจแล้ว เพราะลูกคืนดีกับเธอแล้ว ฉูฉู่ก็เลยร้อนใจมากจนต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้เพื่อรั้งลูกเอาไว้ใช่ไหม?” "..." สีหน้าของฉินเย่เหวอไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าความเข้าใจของแม่เขาจะตรงกับความจร
ในตอนแรกเธอคิดว่าการฆ่าตัวตายจะกระตุ้นความสงสารของฉินเย่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะไม่ได้ผลเลยสักนิด เจียงฉูฉู่มองไปที่คุณแม่เจียงอย่างหดหู่ “แม่ แม่ไม่ได้บอกว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลแน่นอนงั้นหรอ? แต่ตอนนี้ฉินเย่ไม่รับสายเลย เขาเกลียดหนูไปแล้วใช่ไหม? เขาไม่อยากเจอหนูอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?” คุณแม่เจียงกัดริมฝีปากล่าง: "คิดไม่ถึงเลยว่าฉินเย่จะเป็นที่ใจแข็งขนาดนี้" "ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่" เจียงฉูฉู่ร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ: "ถ้าแม่ไม่เสนอความคิดที่จะให้หนูวางยาเขา เรื่องระหว่างหนูกับเขาคงไม่เป็นแบบนี้ หนูก็คงยังอยู่ข้างๆเขาได้..." การที่เธอร้องไห้เสียใจทำให้คุณแม่เจียงรู้สึกหงุดหงิดมาก ถึงขั้นยังตำหนิฉูฉู่ด้วย เธอหรี่ตาลงและดุว่า: "ถ้าแกไม่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชขนาดนั้น ฉันจะต้องถึงกับคิดอะไรแบบนี้ให้แกไหม? ทำไมแกไม่โทษตัวเองล่ะ? เขาเดินเข้ามาในกำมือของแกแล้วแท้ๆ แต่แกก็ยังปล่อยเขาหลุดมือไป แกมันไร้ประโยชน์เองแท้ๆแต่ดันมาโทษฉันว่ามีความคิดแย่ๆงั้นหรอ? แกเป็นแบบนี้ยังคิดอยากอยู่ข้างๆเขาอีกงั้นหรอ?” เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกจากคุณแม่เจียง เจียงฉูฉู่ก็นึกถึงเมื่อคืนนี้ที่เธอได้นอนกับ
ความทรงจำเหล่านั้นที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาในหัวเธอเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เธอค่อยๆปะติดปะต่อภาพที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกันได้ วันนั้นฉินเย่ลื่นตกลงไปในน้ำ เนื่องจากเขาเคยมีประสบการณ์จมน้ำในตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาจึงกลัวน้ำมาโดยตลอดและไม่เคยเรียนว่ายน้ำเลย เนื่องจากเธอและฉินเย่ไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน ดังนั้นเวลาเธอออกไปข้างนอก เธอจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนๆในห้อง ครั้งนั้นเป็นเพื่อนโต๊ะข้างๆเธอที่แนะนำให้ไปที่แม่น้ำเพื่อจับกุ้ง ทั้งสองตกลงกัน แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง เพื่อนของเธอก็บอกว่าเธอลืมของ และบอกให้หยินอู้ไปรอเธอที่ริมแม่น้ำก่อน เสิ่นหยินอู้ตกลง และเพื่อนของเธอก็กลับไปเอาของ ส่วนหยินอู้ก็ไปที่ริมแม่น้ำก่อน ความหนาวเย็นแผ่ไปทั่วริมแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างทางเสิ่นหยินอู้ถูกลมพัดจนต้องหดคอลง และยังลังเลอยู่ว่าจะกลับไปบอกเพื่อนว่าไม่ต้องไปจับกุ้งจะดีกว่าไหมเพราะอากาศหนาวเกินไป ถ้าไปจับกุ้ง ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะหนาวจนเป็นหวัดหรือเปล่า เธอกำลังสับสนอยู่ในใจ และเมื่อเธอกำลังจะกลับไป จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ เสิ่นหยินอู้มองไปตามเสียงและเห็นเจี
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน