เสิ่นหยินอู้มองการกระทำของเขา คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน"คุณจะทำอะไร?" เขาไม่ตอบ เดินเข้าไปใกล้เธออีกสองก้าว เสิ่นหยินอู้เห็นดังนั้นก็ถอยไปตามสัญชาตญาณ ฉินเย่เห็นแบบนั้นก็ไม่หยุด กลับยิ่งก้าวเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหลังของเสิ่นหยินอู้ชนกับตู้ข้างประตู เธอจึงต้องเอนตัวเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างมือใหญ่ทั้งสองข้างวางลงที่เอวของเธออย่างแผ่วเบา ฉินเย่จ้องเธอด้วยสายตาเคร่งขรึม"ในเมื่อคุณไม่รั้งให้ผมอยู่ ผมก็ต้องอยู่เองแล้วล่ะ"เสิ่นหยินอู้ "......" เขาหน้าหนาเกินไปจริงๆ ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด มือของเขาที่วางอยู่ที่เอวของเธอค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปอีกนิด เสิ่นหยินอู้เหมือนเผชิญหน้ากับศัตรู สายตาของเธอเบิกกว้าง"คุณจะทำอะไร?" ฉินเย่ก้มหน้าหัวเราะเบาๆที่ซอกคอของเธอ ลมหายใจร้อนๆของเขาพ่นออกมาที่ลำคอของเธอ ทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้จนทนแทบไม่ไหว"นั่วนั่ว" เขาเรียกชื่อเล่นของเธอด้วยเสียงต่ำ "ผมค้นพบบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เพราะงั้นผมจะไม่ไปไหน" ไม่เพียงแค่ไม่ไป เขาจะยิ่งตามติดเธอมากขึ้น เมื่อพูดจบ ฉินเย่ก็ปล่อยมือออก "ไปกันเถอะ ไปกินข้าวเช้ากัน" เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ตรงนั้นค
เขากำลังจะไปทำเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า? ไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาตกหลุมพราง เขาจะไปสะสางกับเจียงฉูฉู่หรือเปล่า? ก่อนอื่น เขาจะกล้าจัดการคนที่เคยช่วยชีวิตตัวเองไหม? แต่ก่อนเจียงฉูฉู่เคยช่วยเธอไว้ และเธอก็ตอบแทนบุญคุณมาตลอดห้าปี แถมยังยอมตกลงตามเงื่อนไขมากมาย และไม่ต้องพูดถึงว่าเจียงฉูฉู่ยังเคยช่วยชีวิตฉินเย่ไว้ด้วย แล้วเขาจะตอบแทนบุญคุณยังไงถึงจะหมด? น่าเสียดายที่เรื่องบุญคุณ ไม่ใช่แค่ให้เงินแล้วจะจบได้ ในขณะที่เธอกำลังคิด จู่ๆ ร่างของคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งตัว เขาก็ก้มตัวลงและจูบที่หน้าผากขาวๆ ของเธอ เสิ่นเหมิงเหมิงเห็นแบบนั้น ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองทำท่าทางเขินอาย ส่วนเสิ่นซือเหนียนนั้นก็ตกตะลึงค้างอยู่กับที่ ไม่คิดเลยว่าผ่านไปแค่คืนเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลุงเย่มู่จะพัฒนาไปเร็วขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เสิ่นซือเหนียนที่ตกตะลึง แต่เสิ่นหยินอู้เองก็ชะงัก เพราะเธอไม่เข้าใจเลยว่าฉินเย่กำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อคืนเขาจูบเธอแล้วก็สลบไป พอตื่นขึ้นมายังกล้าจูบเธอต่อหน้าลูกสองคนอีก? เขาบ้าหรือเป็นเธอเองที่บ้ากันแน่?ฉินเย่จ
ถ้าเป็นเพราะลืมบอกก็คงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้กลับเป็นเพราะกลัวว่าเธอจะเสียใจเลยไม่บอก เรื่องนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก ลูกที่เธอเลี้ยงดูมาอย่างดี กลับถูกคนอื่นพูดจาไม่ดีใส่ และเจ้าตัวน้อยสองคนนี้ก็ยังคอยคิดถึงเธออยู่เสมอ เมื่อคิดแบบนี้ น้ำตาของเสิ่นหยินอู้ก็เอ่อล้นออกมาแต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังว่า "แต่ว่าหม่ามี๊คะ ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ หนูกับพี่ชายกำลังจะมีพ่อแล้ว ถ้าครูพูดไม่ดีเกี่ยวกับหนูกับพี่ชายอีก หนูก็จะให้พ่อไปไล่คนไม่ดีออกไปค่ะ" เด็กตัวเล็กๆ ก็มีความคิดที่ไร้เดียงสาเสมอ ความจริงแล้วเสิ่นหยินอู้รู้ดีว่า เจ้าตัวน้อยสองคนนี้แค่กลัวว่าจะทำให้เธอลำบาก จึงคิดถึงเธอในทุกๆ เรื่อง และเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกเธอ ทั้งที่พวกเขายังเด็กขนาดนี้ แต่กลับเป็นแบบนี้แล้ว แล้วต่อไปล่ะ? ในช่วงเวลาที่พวกเขาเติบโตขึ้น ถ้ายังเจอเรื่องแบบนี้อีก พวกเขาจะต้องคิดถึงเธอทุกครั้งและอดทนต่อความรู้สึกไม่ดีแบบหรือเปล่าตอนที่เธอยังเด็ก เธอก็เคยได้รับความเจ็บปวดแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นคนที่ถูกโจมตีคือแม่ของเธอ แม้ในตอนนั้นเธอจะมีฉินเย่คอยปกป้อง
ที่แท้แล้วเจียงฉูฉู่ก็กินยาเข้าไปด้วย เมื่อวานหลังจากวิ่งตามฉินเย่ออกไป ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ขณะเธออยู่บนถนน จากนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาเห็นเข้า เห็นเธอเดินเซไปมาเลยคิดว่าเธอเมา จึงเข้ามาช่วยพยุงเพื่อจะพาเธอกลับบ้าน แต่พอเข้ามาช่วยก็ถูกเจียงฉูฉู่เกาะตัวไว้ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไปเปิดห้องพักด้วยกัน เมื่อเจียงฉูฉู่ตื่นขึ้นมา จะเสียใจมันก็สายเกินไปแล้ว เธอโทรหา พ่อแม่ของเธอ อยากจะปิดเรื่องนี้ไว้ ไม่อยากสานสัมพันธ์อะไรต่อกับผู้ชายคนนั้นอีก แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเจียงเฉิง แถมเขายังเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ และต้องการรับผิดชอบต่อเจียงฉูฉู่ พ่อแม่ของเจียงฉูฉู่ไม่อยู่ที่เจียงเฉิง จึงต้องให้ญาติมาดูแลเรื่องนี้แทน แต่ข่าวก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก ตระกูลเจียงไม่สามารถปิดข่าวไว้ได้ เพียงเช้าวันเดียว ทุกคนก็รู้เรื่องของเจียงฉูฉู่กับชายคนนี้แล้ว ในกลุ่มสังคมก็พูดถึงเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน หยอกล้อเจียงฉูฉู่กันไม่หยุด"เจียงฉูฉู่นี่ไม่ใช่ว่าเคยคบกับประธานฉินหรอกเหรอ ก่อนหน้านี้ยังมีข่าวว่าเธอเร่งรีบจะหมั้น แล้วทำไมถึงไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นได้เร
ดังนั้น หลายสิ่งที่เขาไม่กล้าพูดมาก่อน แต่ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับเสิ่นหยินอู้หลี่มู่ถิงก็มักจะถือโอกาสพูดออกมาอย่างเต็มที่ เหมือนอย่างตอนนี้ เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องของประธานฉินในแง่ของผู้ชาย แต่ประธานฉินกลับแค่พูดเบาๆ ว่านายอยากโดนหรือไง? แล้วก็ไม่มีอะไรต่อ ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาอาจจะต้องโดนหักโบนัสปลายปีแน่ๆ แต่ตอนนี้...... เมื่อนึกถึงบางอย่าง หลี่มู่ถิงที่ตั้งใจจะล้อเล่นก็หยุดคิดและกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที"ทางฝั่งคุณเจียง ประธานฉินมีแผนจะจัดการยังไงครับ?"พูดมาถึงตรงนี้ หลี่มู่ถิงก็ยกมือขึ้นดันแว่นตา "อันที่จริง จากสถานการณ์ตอนนี้ ถึงประธานฉินจะไม่ทำอะไร คุณเจียงก็คงไม่กล้ามายุ่งกับคุณอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข่าวก็แพร่ไปทุกทิศทาง ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับเธอก็ประกาศว่าจะรับผิดชอบ เรื่องนี้บริษัทของเขาน่าจะอยากได้ประโยชน์จากทรัพยากรและสายสัมพันธ์ของตระกูลเจียง และอยากจะใช้โอกาสนี้ปีนขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม" ถึงแม้ว่าครอบครัวของฝ่ายชายจะค่อนข้างดี แต่ก็ยังต่างกับตระกูลเจียงในช่วงหลายปีนี้อยู่มาก ตระกูลเจียงในช่วงหลายปีมานี้ได้เกาะเกี่ยวกับตระกูลฉินซึ่งถือเป็นเรือใหญ่ ทำให้สถานะ
พูดมาถึงตรงนี้ แม่ของต้วนจื่อฝานมองเข้าไปข้างในหนึ่งที"ถ้าจะพูดถึงการทำร้ายล่ะก็ ในฐานะแม่คนหนึ่ง ฉันยังรู้สึกว่าคุณหนูเจียงทำร้ายลูกชายของฉันด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง แล้วเธอจะจับต้องคนอื่นได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบแน่ๆ? ฉันเป็นแม่ที่ใจเปิดกว้าง พวกเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำอะไรก็ต้องมีความคิดของตัวเอง ถ้าพวกเขาชอบกันและอยากอยู่ด้วยกัน ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไร" เมื่อได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของคุณแม่เจียงก็เริ่มมืดมน ตั้งแต่ที่ตระกูลเจียงได้เกาะเกี่ยวกับตระกูลฉิน สถานะและเกียรติของตระกูลเจียงก็ยกระดับขึ้นอย่างมาก ตลอดหลายปีนี้ไม่ว่าจะไปงานไหนก็ไม่มีใครกล้ามาทำสีหน้าใส่เธอ นอกจากต้องอ่อนน้อมต่อคุณนายฉินแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คอยยกยอและเอาใจเธอ ไม่นึกเลยว่าตอนนี้จะต้องมาโดนผู้หญิงคนหนึ่งที่ครอบครัวของเธอไม่ใหญ่โตสั่งสอน และยังคิดอยากจะให้ลูกชายของเธอได้อยู่กับลูกสาวของเธออีกคุณแม่เจียงมองแม่ของต้วนจื่อฝานด้วยสายตาดูถูก "เธอเป็นใคร คิดว่ามีสิทธิ์มาพูดกับฉันหรอ?" แม่ของต้วนจื่อฝานยกมือขึ้นเก็บผมเส้นหนึ่งที่ตกลงมาข้างแก้มไว้หลังหู แล้วยิ้มต่อ "คุณนายเจียงคะ ฉันยังจำได้ตอนที่ตระกูลเ
เมื่อได้ยินว่าสุดท้ายไม่สามารถแต่งงานกับฉินเย่ได้ และยังต้องมองเขาไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เจียงฉูฉู่ก็เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างหนัก พร้อมกับเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟังด้วยน้ำตา ใบหน้าที่ขุ่นเคืองของคุณแม่เจียงยิ่งดูบึ้งตึงมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากได้ฟังคำพูดของเจียงฉูฉู่ "ฉันนึกว่าแกยังไม่ลงมือซะอีก ไม่นึกว่าแกลงมือแล้วแต่ยังปล่อยให้เขาหนีไปได้ แกทำอะไรกันแน่? เวลาผ่านมาตั้งนานแล้ว ทำไมผู้ชายแค่คนเดียวแกยังจับไม่ได้?""แม่...... หนูก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่หนูก็ไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องได้ยังไง อยู่ๆ เขาก็หนีไป เมื่อคืนนี้เขาต้องไปหาเสิ่นหยินอู้แน่ๆ แล้วตอนนี้จะทำยังไงดี? หนูไม่อยากอยู่กับต้วนจื่อฝาน หนูชอบแค่ฉินเย่" เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณแม่เจียงมองลูกสาวด้วยสายตาที่ผิดหวัง"ไม่ต้องห่วง ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้แกอยู่กับต้วนจื่อฝานแน่นอน" แม้ว่าจะเพื่อประโยชน์ของตระกูลเจียงก็ตาม คนที่เจียงฉูฉู่ต้องแต่งงานด้วยก็ต้องเป็นฉินเย่เท่านั้น คุณแม่เจียงเม้มริมฝีปาก กัดฟันตัดสินใจ "เรื่องนี้ต้องใช้วิธีสุดท้ายขั้นเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะสำเร็จ" "แม่ หนู...... หนูต้องทำยังไง?" ตอนแรก
เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับไปทันทีว่า “ก่อนที่บริษัทจะเติบโตขึ้นจริงๆ ประหยัดได้เท่าไหร่ก็ควรประหยัด” "เชอะ" อู๋อี้ไห่พูดหยอกล้อว่า “ประหยัดจากผมเหรอ? เถ้าแก่ คุณนี่ใจร้ายจริงๆ” เสิ่นหยินอู้ยิ้มตอบ “อืม ถ้าบริษัทเติบโตขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันไม่มีทางลืมความดีของผู้จัดการอู๋แน่นอน” “โอเค งั้นผมจะรอฟังและหวังให้บริษัทเติบโตยิ่งใหญ่ในเร็ววัน” แม้ภายนอกเธอจะเล่นมุกกับเขา แต่ตอนประชุมเสิ่นหยินอู้ก็แสดงความคิดเห็นเฉียบแหลมหลายข้อ แต่ก็เผลอคิดฟุ้งซ่านไปหลายครั้ง ครั้งแรกยังพอถูไถไปได้ แต่หลายๆ ครั้งเข้าก็มีคนสังเกตเห็น หลังจากการประชุมจบลง อู๋อี้ไห่ก็ถามเธอขึ้นมา "เป็นอะไรหรือเปล่า? ตอนประชุมดูเหมือนจะเหม่อลอยตลอดเลย?"เสิ่นหยินอู้ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร” “เถ้าแก่อยากจะให้เวลาตัวเองพักสักหน่อยไหม?” พักหน่อย?เสิ่นหยินอู้ยิ้มอย่างหมดหนทาง “ตั้งแต่คุณเข้ามาทำงาน ฉันก็หยุดไปหลายครั้งแล้ว ถ้าหยุดอีก บริษัทจะเดินต่อได้ยังไง” “ยังไงคุณก็เป็นเถ้าแก่ จะมีปัญหาอะไรล่ะ?”“เถ้าแก่ยิ่งไม่ควรละเลยหน้าที่ ถ้าคนทุกตำแหน่งคิดแบบนี้ บริษัทก็คงจะล้มในไม่ช้า”อู๋อี้ไห่หัวเราะ “ก็จริง แ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ