“ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมพาไปเอง”อู๋อี้ไห่ทักทายเสิ่นหยินอู้เสร็จสรรพ ก็พาทุกคนจากไปทันทีหนุ่มแว่นเดินตามหลังอู๋อี้ไห่ติดๆ “ผู้จัดการอู๋ครับ เธอเป็นบอสของเราจริงๆ เหรอครับ?”ทั้งๆ ที่พูดชัดขนาดนั้นแล้ว ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มจะถามอีกครั้งในเวลานี้อู๋อี้ไห่เป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน เพียงแค่แวบเดียวก็อ่านความคิดของหนุ่มแว่นออกทันที“ทำไม ถ้าไม่ใช่บอสแล้วนายคิดจะจีบเหรอ?”ตามคาด พอเขาพูดออกไปแบบนั้น ชายหนุ่มก็หน้าแดงขึ้นมา“ผู้จัดการอู๋ อย่าพูดมั่วสิครับ”“ฮ่าๆๆ!”อู๋อี้ไห่หัวเราะลั่นออกมา “ไอ้หนุ่ม กลัวอะไรเล่า? ชอบก็จีบเลย เท่าที่ฉันรู้มา บอสของเรายังโสดอยู่นะ”หนุ่มแว่นชะงักงัน ดวงตาฉายแววประกายขึ้นอีกครั้ง แต่พอคิดดูอีกที ก็คอตกเหมือนเดิม“ช่างเถอะครับ เธอออกจะสวยขนาดนั้น ถึงจะไม่ใช่บอส ผมก็ไม่คู่ควรกับเธอหรอก แถมเธอยังรวยด้วย”ได้ยินดังนั้น อู๋อี้ไห่ก็ตบบ่าเขาเบาๆ “จึ นายนี่มันรู้ตัวดีแฮะ ถ้างั้นก็ทำงานดีๆ ต่อไปถ้าผลงานเด่นขึ้นมา ถึงจะไม่เจอผู้หญิงแบบบอสเรา แต่ก็ไม่มีทางแย่แน่นอน”คนกลุ่มหนึ่งเดินห่างไปไกล-เพราะเป็นบริษัทใหม่ ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่เสิ่นหยินอู้ต้องจัดการ เ
คำสามคำง่ายๆ สั้นๆ ได้ใจความนี้ ทำเอาฉินเย่นิ่งเงียบไปทั้งเย็นวันนี้จนกระทั่งฟ้ามืดสนิท เสิ่นหยินอู้ถึงจะมาถึงฉินเย่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย อารมณ์ฉุนเฉียงแรงมาก เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งลงข้างหน้าตัวเองแล้วถึงได้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ทำไมเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย เพียงแค่เหลือบมองฉินเย่นิ่งๆ แวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “เดินทางไปมาไม่ต้องใช้เวลาหรือไง? ทำอาหารไม่ต้องใช้เวลาหรือไง?”คำถามสองคำถามนี้ ทำให้ฉินเย่เงียบกริบในบัดดล พูดอะไรไม่ออกจนกระทั่งเสิ่นหยินอู้วางของกินไว้บนมือเขา ฉินเย่ถึงจะเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มๆ ว่า “ความจริงเธอมาแค่ตัวก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอาหารมาให้ฉันหรอก”เสิ่นหยินอู้ “นายคิดว่าฉันอยากทำหรือไง?”สีหน้าของฉินเย่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย“แล้วทำไมเธอถึง?”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแค่ลุกขึ้นเก็บของ ถึงแม้เธอจะหันหลังให้เขา แต่แผ่นหลังของเธอกลับเหมือนมีตาทิพย์ เธอพูดตักเตือน “นายควรจะรีบกินให้เสร็จนะ เสียเวลาฉันมาก”ฉินเย่กินอาหารที่เธอทำมาให้เงียบๆ จนหมดหลังจากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็มาเก็บถ้วยไป แล้วพูดด้วยน้
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “การแลกเปลี่ยนอะไร?”ในเมื่อเปิดประเด็นแล้ว เสิ่นหยินอู้เองก็ไม่คิดจะปิดบังอีก เพราะไหนๆ ก็ผ่านมาหลายวันแล้วเธอเดินไปตรงหน้าฉินเย่ “สองสามวันนี้ อาการป่วยของนายดีขึ้นมาแล้วใช่ไหม?”ฉินเย่เม้มริมฝีปาก ไม่พูดจา รอให้เธอพูดต่อผ่านไปนาน เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้น “ฉันอยากเจอคุณย่า”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็หรี่ตาลง“เพราะฉะนั้น?”“เพราะฉะนั้นที่ฉันทำอาหารมาส่งให้นายสองสามวันนี้ ถือเป็นการช่วยรักษาอาการป่วยของนายด้วย แล้วก็เป็นการแลกเปลี่ยนขอเจอหน้าคุณย่าด้วย”ฉินเย่จ้องเธออยู่พักหนึ่ง แล้วหลุดหัวเราะออกมาไม่น่าล่ะ หลังจากที่เธอร้องไห้ในวันนั้น พอออกมาจากห้องน้ำ ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เพียงแต่ยอมมาเจอหน้าเขาเท่านั้น แต่ยังทำอาหารมาให้เขาด้วยทำแบบนี้ต่อเนื่องอยู่หลายวัน เขาคิดว่าจู่ๆ เธอก็เปลี่ยนไปซะอีก ที่ไหนได้ เธอคิดคำนวณตนไว้แต่แรกแล้วเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ฉินเย่ก็ถามขึ้นกะทันหันว่า “ถ้าไม่ใช่เรื่องคุณย่า เธอไม่คิดจะทำอาหารสำหรับสองสามวันนี้เลยใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้มองเขายิ่งๆ“นายกินก็กินไปแล้ว อาการป่วยก็ดีขึ้นมากแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้หรอ
หลี่มู่ถิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับ ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงจะถามขึ้นเสียงเบาว่า “ประธานฉิน จะทำเรื่องออกโรงพยาบาลจริงเหรอครับ? คุณยังไม่หายดีเลยนะ”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉินเย่ก็แย่ถึงสุดขีด“นายไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด? ให้ฉันไปทำเรื่องออกโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนี้เลยน่ะ”หลี่มู่ถิงกะพริบตาปริบๆ “ไม่สิ คุณบอกเองว่าจะทำเรื่องออกโรงพยาบาล คุณเสิ่นไม่ได้บอกสักหน่อย”ฉินเย่ “…”“อีกอย่าง วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเป็นคนถามขึ้นก่อนว่าเพราะอะไรคุณเสิ่นถึงทำอาหารส่งมาให้คุณล่ะก็ คุณเสิ่นเขาไม่คิดจะสารภาพกับคุณตั้งแต่วันนี้เลยสักหน่อย”ยิ่งฟัง สีหน้าของฉินเย่ก็ยิ่งคล้ำดำ“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ มะรืนล่ะ?”“ประธานฉิน ผมว่านะ ถ้าคุณอยากเห็นหน้าคุณเสิ่นตลอด คุณก็ต้องรุกหน่อยสิ คนประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ไม่ควรใช้ชีวิตจริงจังเกินไป คุณเป็นคนตามจีบคนอื่นเขาก่อนเอง ถ้าคุณยังใช้ชีวิตจริงจังมากแบบนี้ คุณจะจีบติดเหรอ?”หลังจากกระชับความสัมพันธ์กันมาหลายวัน หลี่มู่ถิงเองก็กล้าพูดตรงไปตรงมาแล้ว เพราะเขาพบว่าเรื่องระหว่างเขากับเสิ่นหยินอู้นั้น ถ้าหากคำแนะนำของเขามีประโยชน์ล่ะก็ ฉินเย่ก็จะไม่โ
“งั้นเหรอ?”แค่เปลี่ยนเสื้อต้องลนลานขนาดนี้เลยเหรอ?เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว เขาคงไม่ได้อาเจียนเป็นเลือดอีกหรอกนะ?แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ สองสามวันนี้อาการของเขาก็ดูดีขึ้นเยอะนี่ถึงแม้เขาจะแอดมิดโรงพยาบาลอยู่นานพอควร และยังไม่ควรออกจากโรงพยาบาลวันนี้ แต่เธอไม่ได้บอกให้เขาออกจากโรงพยาบาลสักหน่อย เขายืนยันจากออกเองเธอเองก็ไม่อยากห้ามแล้วด้วยแต่ถ้าเขาอาเจียนเป็นเลือดอีก…เสิ่นหยินอู้รู้สึกผิดเล็กน้อย รู้แบบนี้เธอน่าจะรอเวลาอีกหน่อยค่อยพูดคำพูดที่เธอพูดออกมาเมื่อเช้านี้คงจะไปกระตุ้นอาการของเขาอีกเสิ่นหยินอู้เดินไปทางห้องนอน แต่หลี่มู่ถิงที่อยู่ข้างหลังก็ยังคงห้ามเธออย่างต่อเนื่องเธอขมวดคิ้วมุ่น กำลังจะผลักประตูเข้าไป จู่ๆ ประตูห้องนอนก็เปิดออกเองอัตโนมัติฉินเย่ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏอยู่ตรงหน้าเสิ่นหยินอู้ ขวางทางเดินของเธอพอดิบพอดีเสิ่นหยินอู้มองเขาแวบหนึ่งฉินเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาแฝงด้วยความเย็นชา“ทำอะไรน่ะ?”“นายไม่เป็นอะไรนะ?” เสิ่นหยินอู้สำรวจมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาคล้ายกำลังหาร่องรอยบางอย่างเมื่อเห็นเธอกำลังสำรวจมองตัวเองอยู่นั้น ฉินเย่แ
ถ้าหากสีหน้าของเขาไม่ซีดขนาดนี้ และไม่ปฏิเสธเธอขนาดนี้ เธอก็คงไม่นึกสงสัยแล้วแต่ฉินเย่ในตอนนี้ การกระทำทุกอย่างของเขาดูแปลกๆ แม้แต่หลี่มู่ถิงผู้ช่วยของเขาด้วยเมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก แล้วพูดว่า “ฉันจะนั่งตรงไหนมันขึ้นอยู่กับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? อย่าลืมสิว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยน ฉันจะนั่งข้างหลัง”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็เข้าไปในรถโดยไม่สนใจฉินเย่อีกเงียบกริบหลังจากที่เธอขึ้นรถแล้ว หลี่มู่ถิงก็แอบมองฉินเย่แวบหนึ่ง จากนั้นเลิกคิ้วพูดกระซิบเบาๆ ว่า “ประธานฉิน นั่งแบบนี้เลยไหมครับ?”ฉินเย่ไม่ตอบ แต่สีหน้าแย่มากเสิ่นหยินอู้กลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ผู้ช่วยหลี่ ไปเถอะ”“ครับ”หลังจากที่รถแล่นออกไป เสิ่นหยินอู้ก็คอยสังเกตพฤติกรรมของฉินเย่ที่อยู่ข้างๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะออกห่างเธอ แล้วพิงกระจกรถ ปล่อยให้เธอเห็นเพียงท้ายทอยของเขาเท่านั้นคราวนี้เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อีกทีแรกเธอยังคิดจะสังเกตจากสีหน้าของเขาว่าอาการกำเริบหรือเปล่า แต่ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรสักอย่างแต่ว่าก็รับการรักษามานานหลายวันแล้ว คงไม่กำเริบหรอกมั้ง?เมื่อมาถึงสนามบิน เสิ
“ทำไม กลัวว่าไปที่นั่งชั้นหนึ่งแล้วฉันจะทำอะไรเธองั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้เก็บตั๋วนิ่งๆ “ฉันแค่อยากประหยัดเงินน่ะ นายก็รู้ว่าตอนนี้ฉันเปิดบริษัท”คำพูดนี้ทำเอาฉินเย่ขมวดคิ้วมุ่น“ลงทุนให้เธอแล้วไม่ใช่เหรอ?”“ใช่ แต่บริษัทยังไม่มีกำไรเข้าเลย”ฉินเย่ “…”เธอคิดหาเหตุผลสารพัดมาหมดแล้วหลังจากนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเยาะ “ก็ดีเหมือนกัน”หลังจากนั้น เขาก็ไม่พูดกับเธออีกต่อไป เพียงแต่นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าดีไม่ดีสุดๆ ริมฝีปากก็ซีดเซียวถ้าไม่ใช่เพราะประชดประชัน ความจริงวันนี้เธอก็คงไม่ต้องเร่งกลับเมืองหนานเฉิงเขายังไม่ทันหายดี ก็ให้เขาเดินทางพร้อมกับตัวเองแบบนี้ ก็คงทรมานแย่เหมือนกันช่างเถอะ ให้บทเรียนเขาซะบ้างก็ดีเหมือนกันพวกเขานั่งที่นั่งชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ขึ้นเครื่องก่อนเสิ่นหยินอู้ไม่มี ก็เลยต้องไปต่อแถวคนทั้งสองแถวเริ่มขับเคลื่อนหลี่มู่ถิงเดินตามหลังฉินเย่ รู้สึกว่าความโกรธในตัวเขาแทบจะฆ่าคนได้ปานนั้น เขาจึงเสนอว่า “ประธานฉิน คุณวางใจได้เลยครับ เดี๋ยวตอนขึ้นเครื่อง ผมจะแลกที่นั่งกับคุณเสิ่นให้”แต่ว่าสีหน้าของฉินเย่กลับยังคงบูดบึ้งหลี่มู่ถิงปลอบเขา “ปร
วินาทีที่เสิ่นหยินอู้ถูกฉินเย่จับมือเอาไว้ เธอมีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น คือหนาวมือของฉินเย่ราวกับเพิ่งจับน้ำแข็งมาหมาดๆ ต่างจากอุณหภูมิอุ่นๆ ของเธออย่างสิ้นเชิง เย็นเสียจนเธออดขนลุกซู่ไม่ได้เสิ่นหยินอู้มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของฉินเย่อย่างอดไม่ได้เพราะทั้งสองถูกเนื้อต้องตัวกัน ดังนั้นฉินเย่เองก็สามารถสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของเสิ่นหยินอู้เช่นเดียวกันหลังจากที่เธอนั่งตัวตรงแล้ว ก็เก็บมือของตัวเองอย่างฉับพลันเมื่อแอร์โฮสเตสเดินจากไป เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“ไม่ให้ฉันเข้าไม่ใช่เหรอ?”ฉินเย่ปั้นหน้าขรึม ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจกลับรู้สึกว่าแผนการของหลี่มู่ถิงนี่ไม่เลวจริงๆเป็นไปตามคาด ยิ่งเขาทำตัวไม่อยากใกล้ชิดเธอมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งคิดว่าตนกำลังปิดบังเรื่องอาการป่วยกับเธอมากเท่านั้น และจะไม่ปฏิเสธในการใกล้ชิดกับเขาผลลัพธ์นี้ตรงตามที่เขาต้องการพอดีหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ถามขึ้นก่อนว่า “นายทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?”“ไม่อย่างนั้นล่ะ? จะรอให้กลับมาแล้วไปแอดมิดต่อเหรอ?”น้ำเสียงของเขาไม่ถือว่าดีนัก แต่เมื่อคิดว่าเขากำลังจะ