“ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมพาไปเอง”อู๋อี้ไห่ทักทายเสิ่นหยินอู้เสร็จสรรพ ก็พาทุกคนจากไปทันทีหนุ่มแว่นเดินตามหลังอู๋อี้ไห่ติดๆ “ผู้จัดการอู๋ครับ เธอเป็นบอสของเราจริงๆ เหรอครับ?”ทั้งๆ ที่พูดชัดขนาดนั้นแล้ว ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มจะถามอีกครั้งในเวลานี้อู๋อี้ไห่เป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน เพียงแค่แวบเดียวก็อ่านความคิดของหนุ่มแว่นออกทันที“ทำไม ถ้าไม่ใช่บอสแล้วนายคิดจะจีบเหรอ?”ตามคาด พอเขาพูดออกไปแบบนั้น ชายหนุ่มก็หน้าแดงขึ้นมา“ผู้จัดการอู๋ อย่าพูดมั่วสิครับ”“ฮ่าๆๆ!”อู๋อี้ไห่หัวเราะลั่นออกมา “ไอ้หนุ่ม กลัวอะไรเล่า? ชอบก็จีบเลย เท่าที่ฉันรู้มา บอสของเรายังโสดอยู่นะ”หนุ่มแว่นชะงักงัน ดวงตาฉายแววประกายขึ้นอีกครั้ง แต่พอคิดดูอีกที ก็คอตกเหมือนเดิม“ช่างเถอะครับ เธอออกจะสวยขนาดนั้น ถึงจะไม่ใช่บอส ผมก็ไม่คู่ควรกับเธอหรอก แถมเธอยังรวยด้วย”ได้ยินดังนั้น อู๋อี้ไห่ก็ตบบ่าเขาเบาๆ “จึ นายนี่มันรู้ตัวดีแฮะ ถ้างั้นก็ทำงานดีๆ ต่อไปถ้าผลงานเด่นขึ้นมา ถึงจะไม่เจอผู้หญิงแบบบอสเรา แต่ก็ไม่มีทางแย่แน่นอน”คนกลุ่มหนึ่งเดินห่างไปไกล-เพราะเป็นบริษัทใหม่ ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่เสิ่นหยินอู้ต้องจัดการ เ
คำสามคำง่ายๆ สั้นๆ ได้ใจความนี้ ทำเอาฉินเย่นิ่งเงียบไปทั้งเย็นวันนี้จนกระทั่งฟ้ามืดสนิท เสิ่นหยินอู้ถึงจะมาถึงฉินเย่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย อารมณ์ฉุนเฉียงแรงมาก เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งลงข้างหน้าตัวเองแล้วถึงได้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ทำไมเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย เพียงแค่เหลือบมองฉินเย่นิ่งๆ แวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “เดินทางไปมาไม่ต้องใช้เวลาหรือไง? ทำอาหารไม่ต้องใช้เวลาหรือไง?”คำถามสองคำถามนี้ ทำให้ฉินเย่เงียบกริบในบัดดล พูดอะไรไม่ออกจนกระทั่งเสิ่นหยินอู้วางของกินไว้บนมือเขา ฉินเย่ถึงจะเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มๆ ว่า “ความจริงเธอมาแค่ตัวก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอาหารมาให้ฉันหรอก”เสิ่นหยินอู้ “นายคิดว่าฉันอยากทำหรือไง?”สีหน้าของฉินเย่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย“แล้วทำไมเธอถึง?”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแค่ลุกขึ้นเก็บของ ถึงแม้เธอจะหันหลังให้เขา แต่แผ่นหลังของเธอกลับเหมือนมีตาทิพย์ เธอพูดตักเตือน “นายควรจะรีบกินให้เสร็จนะ เสียเวลาฉันมาก”ฉินเย่กินอาหารที่เธอทำมาให้เงียบๆ จนหมดหลังจากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็มาเก็บถ้วยไป แล้วพูดด้วยน้
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “การแลกเปลี่ยนอะไร?”ในเมื่อเปิดประเด็นแล้ว เสิ่นหยินอู้เองก็ไม่คิดจะปิดบังอีก เพราะไหนๆ ก็ผ่านมาหลายวันแล้วเธอเดินไปตรงหน้าฉินเย่ “สองสามวันนี้ อาการป่วยของนายดีขึ้นมาแล้วใช่ไหม?”ฉินเย่เม้มริมฝีปาก ไม่พูดจา รอให้เธอพูดต่อผ่านไปนาน เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้น “ฉันอยากเจอคุณย่า”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็หรี่ตาลง“เพราะฉะนั้น?”“เพราะฉะนั้นที่ฉันทำอาหารมาส่งให้นายสองสามวันนี้ ถือเป็นการช่วยรักษาอาการป่วยของนายด้วย แล้วก็เป็นการแลกเปลี่ยนขอเจอหน้าคุณย่าด้วย”ฉินเย่จ้องเธออยู่พักหนึ่ง แล้วหลุดหัวเราะออกมาไม่น่าล่ะ หลังจากที่เธอร้องไห้ในวันนั้น พอออกมาจากห้องน้ำ ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เพียงแต่ยอมมาเจอหน้าเขาเท่านั้น แต่ยังทำอาหารมาให้เขาด้วยทำแบบนี้ต่อเนื่องอยู่หลายวัน เขาคิดว่าจู่ๆ เธอก็เปลี่ยนไปซะอีก ที่ไหนได้ เธอคิดคำนวณตนไว้แต่แรกแล้วเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ฉินเย่ก็ถามขึ้นกะทันหันว่า “ถ้าไม่ใช่เรื่องคุณย่า เธอไม่คิดจะทำอาหารสำหรับสองสามวันนี้เลยใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้มองเขายิ่งๆ“นายกินก็กินไปแล้ว อาการป่วยก็ดีขึ้นมากแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้หรอ
หลี่มู่ถิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับ ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงจะถามขึ้นเสียงเบาว่า “ประธานฉิน จะทำเรื่องออกโรงพยาบาลจริงเหรอครับ? คุณยังไม่หายดีเลยนะ”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉินเย่ก็แย่ถึงสุดขีด“นายไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด? ให้ฉันไปทำเรื่องออกโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนี้เลยน่ะ”หลี่มู่ถิงกะพริบตาปริบๆ “ไม่สิ คุณบอกเองว่าจะทำเรื่องออกโรงพยาบาล คุณเสิ่นไม่ได้บอกสักหน่อย”ฉินเย่ “…”“อีกอย่าง วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเป็นคนถามขึ้นก่อนว่าเพราะอะไรคุณเสิ่นถึงทำอาหารส่งมาให้คุณล่ะก็ คุณเสิ่นเขาไม่คิดจะสารภาพกับคุณตั้งแต่วันนี้เลยสักหน่อย”ยิ่งฟัง สีหน้าของฉินเย่ก็ยิ่งคล้ำดำ“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ มะรืนล่ะ?”“ประธานฉิน ผมว่านะ ถ้าคุณอยากเห็นหน้าคุณเสิ่นตลอด คุณก็ต้องรุกหน่อยสิ คนประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ไม่ควรใช้ชีวิตจริงจังเกินไป คุณเป็นคนตามจีบคนอื่นเขาก่อนเอง ถ้าคุณยังใช้ชีวิตจริงจังมากแบบนี้ คุณจะจีบติดเหรอ?”หลังจากกระชับความสัมพันธ์กันมาหลายวัน หลี่มู่ถิงเองก็กล้าพูดตรงไปตรงมาแล้ว เพราะเขาพบว่าเรื่องระหว่างเขากับเสิ่นหยินอู้นั้น ถ้าหากคำแนะนำของเขามีประโยชน์ล่ะก็ ฉินเย่ก็จะไม่โ
“งั้นเหรอ?”แค่เปลี่ยนเสื้อต้องลนลานขนาดนี้เลยเหรอ?เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว เขาคงไม่ได้อาเจียนเป็นเลือดอีกหรอกนะ?แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ สองสามวันนี้อาการของเขาก็ดูดีขึ้นเยอะนี่ถึงแม้เขาจะแอดมิดโรงพยาบาลอยู่นานพอควร และยังไม่ควรออกจากโรงพยาบาลวันนี้ แต่เธอไม่ได้บอกให้เขาออกจากโรงพยาบาลสักหน่อย เขายืนยันจากออกเองเธอเองก็ไม่อยากห้ามแล้วด้วยแต่ถ้าเขาอาเจียนเป็นเลือดอีก…เสิ่นหยินอู้รู้สึกผิดเล็กน้อย รู้แบบนี้เธอน่าจะรอเวลาอีกหน่อยค่อยพูดคำพูดที่เธอพูดออกมาเมื่อเช้านี้คงจะไปกระตุ้นอาการของเขาอีกเสิ่นหยินอู้เดินไปทางห้องนอน แต่หลี่มู่ถิงที่อยู่ข้างหลังก็ยังคงห้ามเธออย่างต่อเนื่องเธอขมวดคิ้วมุ่น กำลังจะผลักประตูเข้าไป จู่ๆ ประตูห้องนอนก็เปิดออกเองอัตโนมัติฉินเย่ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏอยู่ตรงหน้าเสิ่นหยินอู้ ขวางทางเดินของเธอพอดิบพอดีเสิ่นหยินอู้มองเขาแวบหนึ่งฉินเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาแฝงด้วยความเย็นชา“ทำอะไรน่ะ?”“นายไม่เป็นอะไรนะ?” เสิ่นหยินอู้สำรวจมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาคล้ายกำลังหาร่องรอยบางอย่างเมื่อเห็นเธอกำลังสำรวจมองตัวเองอยู่นั้น ฉินเย่แ
ถ้าหากสีหน้าของเขาไม่ซีดขนาดนี้ และไม่ปฏิเสธเธอขนาดนี้ เธอก็คงไม่นึกสงสัยแล้วแต่ฉินเย่ในตอนนี้ การกระทำทุกอย่างของเขาดูแปลกๆ แม้แต่หลี่มู่ถิงผู้ช่วยของเขาด้วยเมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก แล้วพูดว่า “ฉันจะนั่งตรงไหนมันขึ้นอยู่กับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? อย่าลืมสิว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยน ฉันจะนั่งข้างหลัง”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็เข้าไปในรถโดยไม่สนใจฉินเย่อีกเงียบกริบหลังจากที่เธอขึ้นรถแล้ว หลี่มู่ถิงก็แอบมองฉินเย่แวบหนึ่ง จากนั้นเลิกคิ้วพูดกระซิบเบาๆ ว่า “ประธานฉิน นั่งแบบนี้เลยไหมครับ?”ฉินเย่ไม่ตอบ แต่สีหน้าแย่มากเสิ่นหยินอู้กลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ผู้ช่วยหลี่ ไปเถอะ”“ครับ”หลังจากที่รถแล่นออกไป เสิ่นหยินอู้ก็คอยสังเกตพฤติกรรมของฉินเย่ที่อยู่ข้างๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะออกห่างเธอ แล้วพิงกระจกรถ ปล่อยให้เธอเห็นเพียงท้ายทอยของเขาเท่านั้นคราวนี้เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อีกทีแรกเธอยังคิดจะสังเกตจากสีหน้าของเขาว่าอาการกำเริบหรือเปล่า แต่ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรสักอย่างแต่ว่าก็รับการรักษามานานหลายวันแล้ว คงไม่กำเริบหรอกมั้ง?เมื่อมาถึงสนามบิน เสิ
“ทำไม กลัวว่าไปที่นั่งชั้นหนึ่งแล้วฉันจะทำอะไรเธองั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้เก็บตั๋วนิ่งๆ “ฉันแค่อยากประหยัดเงินน่ะ นายก็รู้ว่าตอนนี้ฉันเปิดบริษัท”คำพูดนี้ทำเอาฉินเย่ขมวดคิ้วมุ่น“ลงทุนให้เธอแล้วไม่ใช่เหรอ?”“ใช่ แต่บริษัทยังไม่มีกำไรเข้าเลย”ฉินเย่ “…”เธอคิดหาเหตุผลสารพัดมาหมดแล้วหลังจากนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเยาะ “ก็ดีเหมือนกัน”หลังจากนั้น เขาก็ไม่พูดกับเธออีกต่อไป เพียงแต่นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าดีไม่ดีสุดๆ ริมฝีปากก็ซีดเซียวถ้าไม่ใช่เพราะประชดประชัน ความจริงวันนี้เธอก็คงไม่ต้องเร่งกลับเมืองหนานเฉิงเขายังไม่ทันหายดี ก็ให้เขาเดินทางพร้อมกับตัวเองแบบนี้ ก็คงทรมานแย่เหมือนกันช่างเถอะ ให้บทเรียนเขาซะบ้างก็ดีเหมือนกันพวกเขานั่งที่นั่งชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ขึ้นเครื่องก่อนเสิ่นหยินอู้ไม่มี ก็เลยต้องไปต่อแถวคนทั้งสองแถวเริ่มขับเคลื่อนหลี่มู่ถิงเดินตามหลังฉินเย่ รู้สึกว่าความโกรธในตัวเขาแทบจะฆ่าคนได้ปานนั้น เขาจึงเสนอว่า “ประธานฉิน คุณวางใจได้เลยครับ เดี๋ยวตอนขึ้นเครื่อง ผมจะแลกที่นั่งกับคุณเสิ่นให้”แต่ว่าสีหน้าของฉินเย่กลับยังคงบูดบึ้งหลี่มู่ถิงปลอบเขา “ปร
วินาทีที่เสิ่นหยินอู้ถูกฉินเย่จับมือเอาไว้ เธอมีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น คือหนาวมือของฉินเย่ราวกับเพิ่งจับน้ำแข็งมาหมาดๆ ต่างจากอุณหภูมิอุ่นๆ ของเธออย่างสิ้นเชิง เย็นเสียจนเธออดขนลุกซู่ไม่ได้เสิ่นหยินอู้มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของฉินเย่อย่างอดไม่ได้เพราะทั้งสองถูกเนื้อต้องตัวกัน ดังนั้นฉินเย่เองก็สามารถสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของเสิ่นหยินอู้เช่นเดียวกันหลังจากที่เธอนั่งตัวตรงแล้ว ก็เก็บมือของตัวเองอย่างฉับพลันเมื่อแอร์โฮสเตสเดินจากไป เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“ไม่ให้ฉันเข้าไม่ใช่เหรอ?”ฉินเย่ปั้นหน้าขรึม ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจกลับรู้สึกว่าแผนการของหลี่มู่ถิงนี่ไม่เลวจริงๆเป็นไปตามคาด ยิ่งเขาทำตัวไม่อยากใกล้ชิดเธอมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งคิดว่าตนกำลังปิดบังเรื่องอาการป่วยกับเธอมากเท่านั้น และจะไม่ปฏิเสธในการใกล้ชิดกับเขาผลลัพธ์นี้ตรงตามที่เขาต้องการพอดีหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ถามขึ้นก่อนว่า “นายทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?”“ไม่อย่างนั้นล่ะ? จะรอให้กลับมาแล้วไปแอดมิดต่อเหรอ?”น้ำเสียงของเขาไม่ถือว่าดีนัก แต่เมื่อคิดว่าเขากำลังจะ
เขาพูดด้วยเสียงที่เบามากจนแทบไม่ได้ยิน ขณะที่เขาโน้มตัวเข้ามาเช็ดอีกด้าน เดิมทีเสิ่นหยินอู้จิตใจไม่สงบ พอได้ยินก็แค่กระพริบตาเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้เธอเสร็จ ก็ถอนมือกลับไป หลังจากนั้นเขาก็กลับมาเป็นปกติ ตอนเช้าที่ผู้ช่วยเฉินบอกเธอว่าฉินเย่ปลอดภัย เธอก็ยังอดกังวลไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะบอกสถานการณ์ให้เธอฟังอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ก็ยังอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้อีก ท้ายที่สุด รูปถ่ายนั้นก็สร้างความหวาดกลัวให้เธอมากเกินไป อาจเป็นเพราะเพิ่งฝันร้าย ตอนนี้เธอยังคงรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วอยู่ ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่ถ้าเรื่องในฝันเกิดขึ้นจริงล่ะจะทำยังไง?เมื่อนึกถึงแบบนั้น เธอก็ถอนหายใจลึก ๆ อย่างอ่อนล้า จากนั้นทำทีเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจว่า "ผู้ช่วยเฉิน คุณเคยฝันร้ายไหม?" ทันทีที่เธอพูดขึ้น คนรอบข้างก็หันมามองผู้ช่วยเฉินไม่คาดคิดว่าเธอจะคุยด้วย เขาจึงชะงักไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “เคยครับ” หลังจากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้ช่วยเฉินมองเธอแวบหนึ่งและปลอบว่า “คุณเสิ่นความฝันก็คือความฝัน เพราะมันตรงข้ามกับความเป็นจริง สภาพของคุณต
เสิ่นหยินอู้พยายามจะอธิบายกับเขา แต่เขากลับดึงเข็มน้ำเกลือออกแล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เสิ่นหยินอู้รีบออกไปตามหา แต่เมื่อออกมาจากห้องผู้ป่วยกลับไม่เห็นเขา เธอจึงวิ่งตามหาอย่างกระหืดกระหอบ แต่ก็ไม่พบตัวฉินเย่เลย เธอค้นหาเขาหลายสถานที่ จนในที่สุดก็เห็นแผ่นหลังที่เหมือนกับฉินเย่ทุกประการ แต่ไม่ว่าจะพยายามไล่ตามแค่ไหนก็ไม่ทัน เธอทำได้แค่เดินตามหลัง และเห็นเขาก้าวเข้าไปในพิธีแต่งงานพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่สวมชุดเจ้าสาวถึงขั้นที่สุดท้าย ผู้หญิงคนนั้นไล่เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนออกไป แล้วชี้มาทางเธอพร้อมกับพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกัน พาลูกนอกสมรสสองคนมาคิดจะมาเป็นคุณนายฉินหรอ? เพ้อเจ้อจริง ๆ รีบไสหัวไปให้พ้นก่อนที่ฉันจะโมโห ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่ปรานี” เด็กทั้งสองคนกอดเธอและร้องไห้เสียงดัง ถามหา ‘ป่าป๊า’ เสิ่นหยินอู้รู้สึกกระวนกระวายใจมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมเรื่องราวถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ เธอต้องการแก้ไขสถานการณ์ แต่เหมือนถูกพันธนาการจนขยับไม่ได้ ทำให้เธอกระวนกระวายใจอย่างคนที่ร้อนใจไม่เป็นสุข “คุณเสิ่น......คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้เหมือนจะได้ยินเสียงค
หลังจากขอบคุณนักศึกษาหญิงที่มีน้ำใจแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ออกจากห้องน้ำและกลับไปหากลุ่มคนที่รอเธออยู่ เธอไม่ทันสังเกตว่านักศึกษาหญิงแอบเดินตามเธอออกจากห้องน้ำและมองดูเธอเดินไปหากลุ่มชายหนุ่มที่รุมล้อมเธอไว้จากระยะไกล “คุณเสิ่นครับ คุณกลับมาแล้ว งั้นตอนนี้เราออกเดินทางกันเถอะครับ” ด้วยความเป็นห่วงเพราะได้รับคำสั่ง พวกเขาก็ล้อมเสิ่นหยินอู้ไว้ขณะพาเธอไปยังจุดหมาย นักศึกษาหญิงมองพวกเขาจากข้างหลังด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ระหว่างเดินออกไป เสิ่นหยินอู้ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้า หาจังหวะเพื่อแอบเอากระดาษทิชชู่ใส่ในกระเป๋าของผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เธอทำ ดวงตาฉายแววเล็กน้อย แต่ยังคงทำท่าทางเฉยเมยเดินหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งก่อนขึ้นเครื่อง เขาอ้างเหตุผลขอไปเข้าห้องน้ำและแอบเปิดกระดาษทิชชู่ที่เสิ่นหยินอู้เขียนมาให้ เสิ่นหยินอู้ไม่ได้เขียนอะไรมากนัก คำถามแรกคือ ตอนนี้ฉินเย่เป็นยังไงบ้าง? คำถามที่สองคือ แล้วเขาล่ะ? มีจุดอ่อนอะไรอยู่ในมือของโม่ไป๋หรือเปล่า? ความห่วงใยของเธอทำให้ผู้ช่วยเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจความลำบากของเขาและไม่ได้เข้าใจ
เธอสบตากับผู้ช่วยเฉิน และพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ เขามีท่าทีเย็นชาใส่เธอมาตลอด นั่นเป็นเพราะในคฤหาสน์มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่ เขาจึงไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้ แม้กระทั่งการส่งสายตา แต่ตอนนี้มาถึงสนามบินแล้ว สนามบินอาจจะไม่ได้มีสายลับของโม่ไป๋อยู่ ถึงจะมีบ้าง แต่คงไม่เยอะเท่ากับในคฤหาสน์ สายลับในสนามบินน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมักจะอู้บ้าง และไม่ได้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งเหมือนกับกล้องวงจรปิด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ยังมีการดักฟังตลอดเวลา เธอจึงไม่สามารถพูดคุยกับผู้ช่วยเฉินได้เลย ถ้าอยากจะพูดคุยกัน ต้องหาวิธีในภายหลังเสิ่นหยินอู้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เมื่อกี้ฉันดื่มเบียร์เย็นเข้าไป ตอนนี้รู้สึกไม่สบายท้องเลย”เมื่อได้ยิน ผู้ช่วยเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “คุณเสิ่นให้ผมเตรียมยามาให้ไหมครับ?”เสิ่นหยินอู้ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ฉันขอกระดาษทิชชู่หน่อย คุณพอมีมั้ยคะ?” เธอพูดด้วยท่าทางปกติ น้ำเสียงก็เย็นชา จนผู้ช่วยเฉินไม่แน่ใจว่าเธอสังเกตเห็นสัญญาณทางสายตาที่เขาส่งให้หรือเปล่า“มีครับ” ผู้ช่วยเฉินหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าแ
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เธอก็รู้นี่ ว่าผมไม่อยากเห็นเธอเจ็บปวด” “จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา“อย่าดื่มเบียร์เลยนะ โอเคมั้ย?”ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตอบทันทีว่า “ได้สิ งั้นคืนนี้ฉันจะออกเดินทางเลย” เดิมทีเธอแค่ต้องการดื่มอะไรเย็น ๆ เพื่อคลายความหงุดหงิด แต่กลับกลายเป็นว่าเธอสามารถควบคุมโม่ไป๋ด้วยเรื่องนี้ได้ ดังนั้นอย่าโทษที่เธอจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ยังไงเธอก็ถูกเขาข่มขู่ให้มาที่นี่อยู่แล้ว อีกฝั่งเงียบไปนานก่อนจะพูดว่า “วันนี้ไม่ได้”“จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะเย็นชา “ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วใช่ไหม?” “หยินอู้ เธอต้องการจะขัดผมจริง ๆ เหรอ?”“ขัด?” เสิ่นหยินอู้สายตาหม่นหมองลง “ฉันคิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกัน ถ้าวันไหนที่ฉันต้องขัดนายจริง ๆ ก็คงเป็นเพราะนายบังคับเอง” พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรต่อแล้วก็ตัดสายไปทันที หลังจากนั้นเธอก็ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มจิบ ๆ ไปเรื่อย ๆ ผ่านไปซักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้ช่วยเฉินเดินเข้ามาทันทีและพยายามหยิบเบียร์จากมือเธอไป แต่เสิ่นหยินอู้เหมือนจะรู้ทัน และเลื่อนเบี
สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้น เดินลงไปที่ครัวชั้นล่างและเปิดตู้เย็น ขณะที่เธอกำลังหาของ ผู้ช่วยเฉินก็ตามมาพร้อมพูดว่า “คุณเสิ่นต้องการอะไร บอกผมมาก็ได้ครับ” เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจเขา ค้นหาของในตู้เย็นอยู่นาน และในที่สุดก็เจอเบียร์เย็นสองกระป๋อง เธอหยิบเบียร์และหันกลับไปเดินขึ้นชั้นบน ทันใดนั้น เสียงเย็นยะเยือกในหูฟังของผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เธอดื่มเบียร์”ใช่ นี่คือเสียงของโม่ไป๋ ตั้งแต่เขาเจอกับคุณเสิ่น เขาก็เฝ้าฟังความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เขาต้องรักษาท่าทีเย็นชากับเสิ่นหยินอู้ เมื่อได้ยินคำสั่งของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็รีบตอบสนองทันที ก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามเสิ่นหยินอู้ไป“คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้หยุดเดินและมองเขาอย่างไร้อารมณ์เช่นกัน“เบียร์นี้ ผมให้คุณไม่ได้ครับ” ผู้ช่วยเฉินยื่นมือไปหาเธอ “ส่งมาให้ผมเถอะ”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก้มมองเบียร์สองกระป๋องในมือ แล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า “อะไร แค่อิสระในการเลือกของ ฉันยังไม่มีเลยหรอคะ?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆเมื่อเห็นเขาทำสีหน้าท่าทางแบบนั้น เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบา ๆ และไม่ได้ส่งเบียร์ให้เข
หลี่มู่ถิง: “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะให้พวกเขาคอยสังเกต แล้วคุณเสิ่น...…” “ฉันจะอยู่ที่นี่ชั่วคราว สำหรับเรื่องหลังจากนี้......ฉันจะหาทางติดต่อพวกคุณไปค่ะ” เมื่อได้ยินแบบนี้ หลี่มู่ถิงก็เข้าใจได้ทันทีว่า เธอจะไม่กลับไปกับพวกเขา “คุณเสิ่น คุณถูกกักตัวไว้หรือเปล่าครับ?” ถูกกักไว้เหรอ? เสิ่นหยินอู้มองออกไปข้างนอก คิดถึงตอนที่ผู้ช่วยเฉินเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าเธอจะหนีหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดจะกักเธอไว้ สิ่งที่กักขังเธอไว้คือความห่วงใยที่มีให้ฉินเย่ ตั้งแต่เธอตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ ก็เหมือนเธอถูกกักไว้แล้ว“ไม่มีใครกักฉันไว้ค่ะ ฉันค่อนข้างอิสระที่นี่ แต่คุณน่าจะเข้าใจว่าพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไร วันนี้คุณพาคนกลับไปได้เลยค่ะ กลับไปพักผ่อนและหาเบาะแสต่อเถอะ” อีกฝ่ายเงียบไปนานก่อนจะพยักหน้า“คุณเสิ่น ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำตามที่คุณบอก”ตู๊ด ตู๊ด—— หลังจากวางสาย เสิ่นหยินอู้วางโทรศัพท์ลงบนอ่างล้างหน้า ก้มลงล้างหน้าแล้วปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำหลังจากนั้น เธอก็หมุนตัวออกจากห้องน้ำไปหาผู้ช่วยเฉิน เธอคิดว่าเขาจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งของวิลล่า แต่เธอกลับเห็นเขา
ความจริงใจ...... คำนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา เขายังคิดว่าตัวเองมีความจริงใจอยู่อีกหรอ? เสิ่นหยินอู้พยายามระงับความรู้สึกที่จะด่าเขา เธอตัดสายโทรศัพท์ทันทีแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ช่วยเฉิน“ฉันจะดูรูปตอนนี้”ผู้ช่วยเฉินรับโทรศัพท์มาอย่างไร้ความรู้สึกแล้วเปิดรูปให้ดู พอเสิ่นหยินอู้เห็นรูป สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีในรูป ฉินเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว มีผ้าก๊อซพันอยู่รอบหน้าผากและยังมีรอยเลือดอยู่บนผ้าก๊อซ“นี่มันเรื่องอะไร?” เสิ่นหยินอู้เดินเข้ามาจับแขนของผู้ช่วยเฉิน “ทำไมเขาถึงบาดเจ็บขนาดนี้? โม่ไป๋ทำเขาเจ็บแบบนี้หรอ? เขาเป็นอันตรายถึงชีวิตไหม?” ผู้ช่วยเฉินมองมือของเธอ จากนั้นสะบัดออกอย่างไร้ความรู้สึก แล้วถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง“คุณเสิ่น เรื่องนี้ผมไม่ทราบ หากคุณอยากรู้ ก็ไปถามคุณโม่ด้วยตัวเองดีกว่าครับ” “ได้ ฉันจะถามเขาเอง” แต่ผู้ช่วยเฉินกลับดึงโทรศัพท์กลับไป ไม่ได้ให้เธออีกแล้ว“คุณบอกให้ฉันถามเองไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ให้โทรศัพท์ ฉันจะโทรหาเขาได้ยังไง?” “คุณเสิ่น คุณโม่หมายความว่า รอให้เจอกันก่อนแล้วเขาจะบอกคุณ”เสิ่นหยินอู้"......" เมื่อพูดจบ ผู้
เธอมองคนที่มาอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกตัว จากนั้นรีบก้าวเข้าไปอย่างดีใจ“ผู้ช่วยเฉิน ดีจังเลยที่คุณไม่เป็นอะไร ฉันนึกว่าคุณ...…” แต่พอเธอเดินเข้าไปใกล้ ผู้ช่วยเฉินกลับถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเธอเสิ่นหยินอู้หยุดก้าวทันที มองเขาด้วยความสงสัย“เป็นอะไรไปคะ?” แต่สายตาของผู้ช่วยเฉินกลับเย็นชา มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีท่าทีเหมือนก่อนหน้านี้ไม่สิ คนแปลกหน้าก็ยังไม่เย็นชาขนาดนี้ ราวกับว่าพวกเขามีความแค้นต่อกัน “คุณเสิ่นให้ผมรออยู่นานเลยนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสิ่นหยินอู้ "......"รอยยิ้มที่มุมปากของเธอค่อย ๆ หายไป ก่อนจะพูดขึ้นหลังจากเงียบไปซักพัก “ผู้ช่วยเฉิน คุณเป็นอะไรไปคะ?” แต่ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบ กลับจ้องไปที่นอกประตูแทน“คุณเสิ่นมาคนเดียวใช่ไหมครับ? ได้ทำตามสัญญาหรือเปล่า?” เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำได้แค่พยักหน้าตามคำพูดของเขา“พวกเขามาส่งฉันค่ะ แต่ยังอยู่ห่างจากที่นี่ ฉันไม่ได้ให้พวกเขาเข้ามา” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้หยุดไปซักพัก แล้วพูดต่อว่า “นี่ไม่นับเป็นการผิดสัญญาใช่ไหม?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบรับ เสิ่นหยินอ