ก็ถูกเสิ่นหยินอู้ไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ จากนั้นเธอก็นึกถึงคนที่ตอนนี้ยังคงนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล แต่ทันใดนั้น ความคิดที่คลุมเครือนี้ก็ถูกเสิ่นหยินอู้โยนทิ้งไป เธอไม่สามารถคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเขาได้อีก จะทนมาเป็นเวลาห้าปี แล้วพอกลับประเทศก็ถูกเขาทำให้ความคิดเธอยุ่งเหยิงไม่ได้ เธอต้องเดินไปตามทางของเธอเอง เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็หยิบมันออกมาดู “ฟู่ถิงสือน่ะ” “ประธานฟู่? ทำไมเขาถึงต้องโทรหาคุณ? คงไม่ใช่ว่าเขาคิดที่จะ....” “ไม่หรอก รับก่อนแล้วกัน” อู๋อี้ไห่พยักหน้าและเดินออกไปอย่างรู้งาน “ประธานฟู่หรอ?” หลังจากออกจากบริษัทของเขาในวันนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้คุยกับเขาอีก หลังจากได้รู้ว่าเขาจะไม่ลงทุนในบริษัทของเธออีก เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเสียเวลาอีก อย่างไรก็ตาม เธอต้องการเติบโตที่เจียงเฉิง เธอจึงไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับฟู่ถิงสือ “คุณหนูเสิ่น ช่วงนี้บริษัทของคุณเป็นยังไงบ้างครับ? เรื่องในวันนั้น ผมขอโทษนะครับ” "ไม่เป็นไรคะ" “คือว่า ถึงผมจะไม่สามารถลงทุนกับบริษัทของคุณได้ แต่ถ้ามีความจำเป็น ผมสา
“คุณหมอ ขอโทษจริงๆครับ ถ้าประธานฉินฟื้นแล้ว ผมจะไปอธิบายกับเขาให้ชัดเจนเองครับ” คุณหมอโกรธมากกับการที่ฉินเย่ไม่สนใจในชีวิตของตัวเองจนไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี “ถ้าอยากตายมากนักก็ไม่ควรมาโรงพยาบาล แล้วก็ไม่ควรมาหาผมด้วย” เมื่อถูกคุณหมอตำหนิ ผู้ช่วยหลี่จึงไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงคิดตามอย่างว่างเปล่า เสิ่นหยินอู้เฝ้ามองอยู่จากด้านข้าง สามารถเห็นได้ชัดจากปฏิกิริยาของคุณหมอว่าอาการในครั้งนี้ของฉินเย่นั้นรุนแรงเป็นพิเศษ หลังจากนั้นคุณหมอก็พูดบางอย่างกับผู้ช่วยหลี่ จากนั้นก็สะบัดมือแล้วเดินจากไป ผู้ช่วยหลี่รู้สึกหดหู่เหมือนกับลูกสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง เขาพิงกำแพงและก้มหน้าลง สีหน้าดูเศร้าหมองเป็นมาก หลังจากเงียบไปเนิ่นนาน เสิ่นหยินอู้ก็เดินก้าวเข้าไปหาเขา เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว หลี่มู่ถิงก็เงยหน้าขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็ตระหนักได้ว่าเขาที่เป็นผู้ใหญ่กลับมีดวงตาที่แดงก่ำ ก็ไม่รู้ว่าที่ตาเขาแดงก่ำนั้นเป็นเพราะคำพูดที่รุนแรงของคุณหมอหรือเป็นเพราะเขาเป็นห่วงฉินเย่ เมื่อเห็นเธอ หลี่มู่ถิงก็มีปฏิกิริยา จากนั้นก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไร
เนื่องจากหลี่มู่ถิงกำลังคิดบางอย่างอยู่ เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นถึงจุดที่ผิดปกติของเสิ่นหยินอู้ เขาเพียงรับรู้ได้ว่าฝีเท้าของเธอหยุดลง เขาจึงหยุดเดินแล้วอธิบายว่า: "ผมหมายความว่า ก่อนที่คุณนายฉินจะเสียชีวิต จริงๆแล้วอาการของประธานฉินก็ดีกว่านี้หน่อย แม้ว่าเขาจะดื่มบ้าง แต่ทุกครั้งก่อนที่จะไปพบคุณนายฉิน เขาจะควบคุมตัวเองไว้และไม่ดื่มเป็นการชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คุณนายฉินได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างกายของเขา แต่ตั้งแต่คุณนายฉินจากไปก็ไม่มีใครสามารถหยุดประธานฉินได้อีกเลย” หลี่มู่ถิงพูดออกมายาวมาก แต่เสิ่นหยินอู้เพียงมองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับไปมา เธอกลับไม่ได้ยินคำพูดใดๆเลย ในทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ยินเสียงทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ราวกับว่าหูของเธอถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำ เธอไม่ได้ยินอะไรเลย ความชัดเจนที่อยู่ตรงหน้าเธอก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ ในตอนแรกเธอยังคงเห็นริมฝีปากของหลี่มู่ถิงขยับอยู่ แต่แล้วมันก็เลือนลาง แล้วก็มองไม่เห็นอะไรเลย “ก่อนหน้านี้ คุณหนูเจียงก็มาเกลี้ยกล่อมประธานฉิน แต่นั่นก็เปล่าประโยชน์ ประธานฉินไม่ฟังเธอเลย และเขาก็ไม่อยากแม้แต่จะเจอหน้าเธอด้วยซ้ำ แต่กับคุณหน
“ถ้าไม่เป็นไรแล้วทำไมถึงเป็นลม? ช่วยพยุงผมขึ้นที” ฉินเย่กัดฟันและออกแรงไปยังมือที่หลี่มู่ถิงกดเขาไว้ หลี่มู่ถิงรู้สึกได้ถึงแรงของเขา ในที่สุดก็ทำได้เพียงปล่อยมือที่กดฉินเย่ไว้และช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น หลังจากนั้น เขาได้ตรวจดูบาดแผลที่อยู่บนมือของฉินเย่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว เขาก็ช่วยพยุงฉินเย่เดินไปที่เตียงผู้ป่วยของเสิ่นหยินอู้พร้อมกับขวดน้ำเกลือในมือ เสิ่นหยินอู้ที่นอนสลบอยู่มีสีหน้าขาวซีด แม้แต่ริมฝีปากที่ปกติมีสีแดงสดของเธอก็ซีดเผือก เธอนอนอยู่ตรงนั้นอย่างอิดโรยและตัวซีดมาก เสิ่นหยินอู้ที่เป็นเช่นนี้ทำให้ฉินเย่รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างทิ่มแทงเข้าไปที่หัวใจของเขา เขาขยับริมฝีปากบางแล้วถามว่า "เกิดอะไรขึ้น?" หลี่มู่ถิงก็มีความสับสนเล็กน้อยเช่นกัน “ผะ ผมก็ไม่แน่ใจ ผมบอกคุณหนูเสิ่นไปว่าคุณอาเจียนเป็นเลือด แล้วเธอก็มาที่โรงพยาบาล หลังจากที่เธอมาถึง ผมก็ยังเห็นว่าสีหน้าของเธอดูสบายดีและไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ใครจะรู้ว่าจู่ๆเธอก็จะเป็นลมไป" “หมอบอกว่ายังไงบ้าง?” “คุณหมอบอกว่าเหมือนเธอจะมีอาการช็อค การทำงานของร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไร ตอนนี้ทำได้แค่สังเกตดูอาการและให้เ
“ขะ ขอโทษด้วยครับประธานฉิน ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากเพราะจู่ๆคุณหนูเสิ่นก็ถามผมเกี่ยวกับอาการของคุณ ผมคิดว่าเธอเป็นห่วงคุณ ก็เลยบอกเรื่องอาการของคุณไป ผมไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย" ลมหายใจของฉินเย่ถี่มาก ความโกรธเคืองในดวงตาของเขารุนแรงมากจนแทบจะจับหลี่มู่ถิงพลิกลงกับพื้น แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ควบคุมตัวเองไว้ อาจเป็นเพราะเขากลัวว่าการกระทำที่เสียงดังอาจส่งผลต่อเสิ่นหยินอู้ที่กำลังนอนหมดสติอยู่ เขาปล่อยหลี่มู่ถิง ระงับความโกรธแล้วพูดว่า: "ไสหัวออกไป" หลี่มู่ถิงต้องการออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพียงพูดอย่างน้อยใจว่า: "ขวดน้ำเกลือนี่ ... " ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินเย่ทำท่าที่ว่าจะเอาเข็มออก เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็รีบไปขวางตรงหน้าเขาที่กำลังพยายามเอาเข็มออกแล้วพูดว่า "ประธานฉิน คุณอยากให้คุณหนูเสิ่นที่อยู่ในอาการช็อกตื่นขึ้นมาแล้วเป็นห่วงคุณอีกงั้นหรอ?" หลังจากได้ยิน มือที่ขยับอยู่ของฉินเย่ก็หยุดเคลื่อนไหว “เดิมทีแล้ว คุณหนูเสิ่นไม่ได้อยากจะสนใจคุณ แต่เธอมาที่นี่หลังจากได้ยินว่าคุณอาเจียนเป็นเลือด แล้วทำไมคุณไม่ทำตัวให้ดีๆอีก?” ขณะที่เขาพูด ความกล้าของหลี่มู่ถิงก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น "
เพราะหย่ากับเขาไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ถือว่าคุณย่าเป็นครอบครังของเธออีก? ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็คงจะดีกว่า ถ้าไม่สนใจ ก็จะไม่เสียใจ แต่ต่อมาเมื่อเธอไปโรงแรม เธอก็ถามถึงเรื่องของคุณย่าอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉินเย่ก็รู้ว่าเธอแค่ปากแข็งกับเรื่องของคุณย่าเท่านั้น เธอเป็นลมทันทีที่ได้ยินเรื่องของคุณย่า ฉินเย่ไม่กล้าจินตนาการเลยว่าเธอจะเป็นอย่างไรเมื่อเธอตื่นขึ้นมา ตอนนี้เธอนอนสลบอยู่และไม่รับรู้อะไร แต่หลังจากเธอตื่นขึ้นมาล่ะ? เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือของเขาออกไปกุมข้อมือของเธอเบาๆ เวลาผ่านไปทีละวินาที ฉินเย่และหลี่มู่ถิงเฝ้าอยู่แบบนั้นในห้องผู้ป่วย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าของเสิ่นหยินอู้ก็ดังขึ้น หลี่มู่ถิงลุกขึ้นยืนไปหยิบกระเป๋าของเสิ่นหยินอู้มาให้ฉินเย่ เมื่อเห็นว่ามือของฉินเย่ไม่ว่าง เขาจึงรูดซิปเปิดอย่างระมัดระวังและหยิบโทรศัพท์ออกมา ฉินเย่มองดูหมายเลขที่โทรมา จากนั้นใบหน้าของก็บึ้งตึง โม่ไป๋“ถ้าคุณหนูเสิ่นไม่ได้เป็นลมนอนอยู่ที่โรงพยาบาล นี่ก็เป็นเวลาเลิกงานแล้วและเธอคงจะต้องกลับบ้านแล้ว น่าจะเป็นคนในคร
“สามปีที่แล้วเหรอ?” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบ เสิ่นหยินอู้จึงถามอีกครั้ง สายตาของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา ราวกับว่าเธอจะไม่ยอมจนกว่าเธอจะได้รับคำตอบ แต่สายตาและท่าทางของเธอดูสงบมาก แม้แต่ดวงตาของเธอก็ไม่แดงเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเธอตกใจมากกับการรู้เรื่องนี้จนหมดสติไป แต่ในตอนนี้เธอไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นี่มันปกติเหรอ? นี่มันไม่ปกติ ฉินเย่เม้มริมฝีปาก มองเธออย่างจริงจังแล้วพูดว่า "คุณจะไม่พักผ่อนอีกสักหน่อยเหรอ?" “ฉินเย่” เสิ่นหยินอู้เรียกชื่อเขา "ฉันกำลังถามคุณอยู่นะ" หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็พยักหน้า "ประมาณนั้น" “ประมาณนั้นเหรอ?” คำตอบนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้หัวเราะเยาะออกมาเบาๆ: “แม้แต่คุณย่าของคุณ คุณก็ไม่รู้เหรอว่าท่านเสียไปตั้งแต่เมื่อไร? ประมาณนั้นนี่มันหมายความว่ายังไง?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว จู่ๆบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมา หลี่มู่ถิงที่นั่งอยู่ที่ด้านหลังก็ดูเหมือนจะถูกทำให้ร่างกายชาไปด้วย เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ อย่างที่คิด คุณหนูเสิ่นกังวลมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอถึงพูดออกมาเช่นนี้ “ทำไมล่ะ? พูดไม่ออกเหรอ?” เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้
“ก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านพูดถึงคุณ” คำพูดของฉินเย่ทำให้เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นไปมองเขาในทันที "จริงเหรอ??" ฉินเย่มองเธอ “ท่านคิดถึงคุณมาก” ประโยคเดียวทำให้น้ำตาของเสิ่นหยินอู้ไหลรินออกมาทันที จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายราวกับก๊อกน้ำที่ถูกเปิด ในที่สุด ภาพนี้ก็ทำให้ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา เขากอดเธอไว้แน่น เสียงร้องไห้ของเธอนั้นเงียบสนิท เธอไม่ได้ผลักฉินเย่ออกไป ราวกับว่าเธอสูญเสียพละกำลังทั้งหมดไป เธอซบเขาอยู่แบบนั้นและหลั่งน้ำตาออกมา หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็รู้สึกได้ถึงไหล่ที่เปียกชื้นของเขา เขาเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เขารู้สึกว่าเสิ่นหยินอู้กำลังจะต้องไห้จนน้ำตาไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว จากนั้น เขาก็ยกมือขึ้นมาตบที่ไหล่ของเธอเบาๆ "ช่างมันเถอะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว" ในเวลาเดียวกัน โม่ไป๋ไปรับเด็กๆทั้งสองคน หลังจากที่เด็กทั้งสองขึ้นรถมาแล้ว โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นพอดี เขาไม่รีบขับรถออกไป แต่กลับรับโทรศัพท์ก่อน หลังจากที่คนที่อยู่ปลายสายรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าที่อบอุ่นก็ค่อยๆโกรธเกรี้ยวขึ้น