แต่เนื่องจากรถสีขาวขับมาเร็วเกินไป จึงเฉี่ยวเข้าที่ท้ายรถสีดำโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะเป็นเพียงการเฉี่ยวกันเล็กๆน้อยๆ แต่เสิ่นหยินอู้ก็รู้ว่าปัญหากำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง อย่างที่คิด หลังจากที่รถชนกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็เปิดประตูลงมาจากรถ และเริ่มโต้เถียงกันเรื่องที่จอดรถและการเฉี่ยวชนกัน เธอคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว จึงส่ายหัวแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน โดยปกติแล้วเธอเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ลิฟต์ แต่วันนี้กลับมีคนหลายคนรอลิฟต์อยู่ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสวมแว่นตามีหน้าตาที่อ่อนโยนและสะอาดสะอ้าน เมื่อเห็นว่าเธอหน้าตาสวยงาม บุคลิกดูมีเอกลักษณ์ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายริเริ่มทักทายเธอก่อน “สวัสดีครับ คุณก็มาสมัครงานด้วยเหรอครับ?” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็อึ้งไปเล็กน้อย “คุณกำลังคุยกับฉันอยู่เหรอคะ?” “ใช่ครับ” ผู้ชายสวมแว่นตาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่บริสุทธิ์: “คุณสวยจังครับ” นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินคำชมที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายพูดด้วยความจริงใจมาก ไม่ได้ดูน่ารังเกียจเลย เสิ่นหยินอู้ยกมุมปากขึ้นแล้วพูดว่า "ขอบคุณค่ะ
ก็ถูกเสิ่นหยินอู้ไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ จากนั้นเธอก็นึกถึงคนที่ตอนนี้ยังคงนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล แต่ทันใดนั้น ความคิดที่คลุมเครือนี้ก็ถูกเสิ่นหยินอู้โยนทิ้งไป เธอไม่สามารถคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเขาได้อีก จะทนมาเป็นเวลาห้าปี แล้วพอกลับประเทศก็ถูกเขาทำให้ความคิดเธอยุ่งเหยิงไม่ได้ เธอต้องเดินไปตามทางของเธอเอง เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็หยิบมันออกมาดู “ฟู่ถิงสือน่ะ” “ประธานฟู่? ทำไมเขาถึงต้องโทรหาคุณ? คงไม่ใช่ว่าเขาคิดที่จะ....” “ไม่หรอก รับก่อนแล้วกัน” อู๋อี้ไห่พยักหน้าและเดินออกไปอย่างรู้งาน “ประธานฟู่หรอ?” หลังจากออกจากบริษัทของเขาในวันนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้คุยกับเขาอีก หลังจากได้รู้ว่าเขาจะไม่ลงทุนในบริษัทของเธออีก เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเสียเวลาอีก อย่างไรก็ตาม เธอต้องการเติบโตที่เจียงเฉิง เธอจึงไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับฟู่ถิงสือ “คุณหนูเสิ่น ช่วงนี้บริษัทของคุณเป็นยังไงบ้างครับ? เรื่องในวันนั้น ผมขอโทษนะครับ” "ไม่เป็นไรคะ" “คือว่า ถึงผมจะไม่สามารถลงทุนกับบริษัทของคุณได้ แต่ถ้ามีความจำเป็น ผมสา
“คุณหมอ ขอโทษจริงๆครับ ถ้าประธานฉินฟื้นแล้ว ผมจะไปอธิบายกับเขาให้ชัดเจนเองครับ” คุณหมอโกรธมากกับการที่ฉินเย่ไม่สนใจในชีวิตของตัวเองจนไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี “ถ้าอยากตายมากนักก็ไม่ควรมาโรงพยาบาล แล้วก็ไม่ควรมาหาผมด้วย” เมื่อถูกคุณหมอตำหนิ ผู้ช่วยหลี่จึงไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงคิดตามอย่างว่างเปล่า เสิ่นหยินอู้เฝ้ามองอยู่จากด้านข้าง สามารถเห็นได้ชัดจากปฏิกิริยาของคุณหมอว่าอาการในครั้งนี้ของฉินเย่นั้นรุนแรงเป็นพิเศษ หลังจากนั้นคุณหมอก็พูดบางอย่างกับผู้ช่วยหลี่ จากนั้นก็สะบัดมือแล้วเดินจากไป ผู้ช่วยหลี่รู้สึกหดหู่เหมือนกับลูกสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง เขาพิงกำแพงและก้มหน้าลง สีหน้าดูเศร้าหมองเป็นมาก หลังจากเงียบไปเนิ่นนาน เสิ่นหยินอู้ก็เดินก้าวเข้าไปหาเขา เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว หลี่มู่ถิงก็เงยหน้าขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็ตระหนักได้ว่าเขาที่เป็นผู้ใหญ่กลับมีดวงตาที่แดงก่ำ ก็ไม่รู้ว่าที่ตาเขาแดงก่ำนั้นเป็นเพราะคำพูดที่รุนแรงของคุณหมอหรือเป็นเพราะเขาเป็นห่วงฉินเย่ เมื่อเห็นเธอ หลี่มู่ถิงก็มีปฏิกิริยา จากนั้นก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไร
เนื่องจากหลี่มู่ถิงกำลังคิดบางอย่างอยู่ เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นถึงจุดที่ผิดปกติของเสิ่นหยินอู้ เขาเพียงรับรู้ได้ว่าฝีเท้าของเธอหยุดลง เขาจึงหยุดเดินแล้วอธิบายว่า: "ผมหมายความว่า ก่อนที่คุณนายฉินจะเสียชีวิต จริงๆแล้วอาการของประธานฉินก็ดีกว่านี้หน่อย แม้ว่าเขาจะดื่มบ้าง แต่ทุกครั้งก่อนที่จะไปพบคุณนายฉิน เขาจะควบคุมตัวเองไว้และไม่ดื่มเป็นการชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คุณนายฉินได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างกายของเขา แต่ตั้งแต่คุณนายฉินจากไปก็ไม่มีใครสามารถหยุดประธานฉินได้อีกเลย” หลี่มู่ถิงพูดออกมายาวมาก แต่เสิ่นหยินอู้เพียงมองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับไปมา เธอกลับไม่ได้ยินคำพูดใดๆเลย ในทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ยินเสียงทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ราวกับว่าหูของเธอถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำ เธอไม่ได้ยินอะไรเลย ความชัดเจนที่อยู่ตรงหน้าเธอก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ ในตอนแรกเธอยังคงเห็นริมฝีปากของหลี่มู่ถิงขยับอยู่ แต่แล้วมันก็เลือนลาง แล้วก็มองไม่เห็นอะไรเลย “ก่อนหน้านี้ คุณหนูเจียงก็มาเกลี้ยกล่อมประธานฉิน แต่นั่นก็เปล่าประโยชน์ ประธานฉินไม่ฟังเธอเลย และเขาก็ไม่อยากแม้แต่จะเจอหน้าเธอด้วยซ้ำ แต่กับคุณหน
“ถ้าไม่เป็นไรแล้วทำไมถึงเป็นลม? ช่วยพยุงผมขึ้นที” ฉินเย่กัดฟันและออกแรงไปยังมือที่หลี่มู่ถิงกดเขาไว้ หลี่มู่ถิงรู้สึกได้ถึงแรงของเขา ในที่สุดก็ทำได้เพียงปล่อยมือที่กดฉินเย่ไว้และช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น หลังจากนั้น เขาได้ตรวจดูบาดแผลที่อยู่บนมือของฉินเย่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว เขาก็ช่วยพยุงฉินเย่เดินไปที่เตียงผู้ป่วยของเสิ่นหยินอู้พร้อมกับขวดน้ำเกลือในมือ เสิ่นหยินอู้ที่นอนสลบอยู่มีสีหน้าขาวซีด แม้แต่ริมฝีปากที่ปกติมีสีแดงสดของเธอก็ซีดเผือก เธอนอนอยู่ตรงนั้นอย่างอิดโรยและตัวซีดมาก เสิ่นหยินอู้ที่เป็นเช่นนี้ทำให้ฉินเย่รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างทิ่มแทงเข้าไปที่หัวใจของเขา เขาขยับริมฝีปากบางแล้วถามว่า "เกิดอะไรขึ้น?" หลี่มู่ถิงก็มีความสับสนเล็กน้อยเช่นกัน “ผะ ผมก็ไม่แน่ใจ ผมบอกคุณหนูเสิ่นไปว่าคุณอาเจียนเป็นเลือด แล้วเธอก็มาที่โรงพยาบาล หลังจากที่เธอมาถึง ผมก็ยังเห็นว่าสีหน้าของเธอดูสบายดีและไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ใครจะรู้ว่าจู่ๆเธอก็จะเป็นลมไป" “หมอบอกว่ายังไงบ้าง?” “คุณหมอบอกว่าเหมือนเธอจะมีอาการช็อค การทำงานของร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไร ตอนนี้ทำได้แค่สังเกตดูอาการและให้เ
“ขะ ขอโทษด้วยครับประธานฉิน ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากเพราะจู่ๆคุณหนูเสิ่นก็ถามผมเกี่ยวกับอาการของคุณ ผมคิดว่าเธอเป็นห่วงคุณ ก็เลยบอกเรื่องอาการของคุณไป ผมไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย" ลมหายใจของฉินเย่ถี่มาก ความโกรธเคืองในดวงตาของเขารุนแรงมากจนแทบจะจับหลี่มู่ถิงพลิกลงกับพื้น แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ควบคุมตัวเองไว้ อาจเป็นเพราะเขากลัวว่าการกระทำที่เสียงดังอาจส่งผลต่อเสิ่นหยินอู้ที่กำลังนอนหมดสติอยู่ เขาปล่อยหลี่มู่ถิง ระงับความโกรธแล้วพูดว่า: "ไสหัวออกไป" หลี่มู่ถิงต้องการออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพียงพูดอย่างน้อยใจว่า: "ขวดน้ำเกลือนี่ ... " ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินเย่ทำท่าที่ว่าจะเอาเข็มออก เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็รีบไปขวางตรงหน้าเขาที่กำลังพยายามเอาเข็มออกแล้วพูดว่า "ประธานฉิน คุณอยากให้คุณหนูเสิ่นที่อยู่ในอาการช็อกตื่นขึ้นมาแล้วเป็นห่วงคุณอีกงั้นหรอ?" หลังจากได้ยิน มือที่ขยับอยู่ของฉินเย่ก็หยุดเคลื่อนไหว “เดิมทีแล้ว คุณหนูเสิ่นไม่ได้อยากจะสนใจคุณ แต่เธอมาที่นี่หลังจากได้ยินว่าคุณอาเจียนเป็นเลือด แล้วทำไมคุณไม่ทำตัวให้ดีๆอีก?” ขณะที่เขาพูด ความกล้าของหลี่มู่ถิงก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น "
เพราะหย่ากับเขาไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ถือว่าคุณย่าเป็นครอบครังของเธออีก? ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็คงจะดีกว่า ถ้าไม่สนใจ ก็จะไม่เสียใจ แต่ต่อมาเมื่อเธอไปโรงแรม เธอก็ถามถึงเรื่องของคุณย่าอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉินเย่ก็รู้ว่าเธอแค่ปากแข็งกับเรื่องของคุณย่าเท่านั้น เธอเป็นลมทันทีที่ได้ยินเรื่องของคุณย่า ฉินเย่ไม่กล้าจินตนาการเลยว่าเธอจะเป็นอย่างไรเมื่อเธอตื่นขึ้นมา ตอนนี้เธอนอนสลบอยู่และไม่รับรู้อะไร แต่หลังจากเธอตื่นขึ้นมาล่ะ? เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือของเขาออกไปกุมข้อมือของเธอเบาๆ เวลาผ่านไปทีละวินาที ฉินเย่และหลี่มู่ถิงเฝ้าอยู่แบบนั้นในห้องผู้ป่วย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าของเสิ่นหยินอู้ก็ดังขึ้น หลี่มู่ถิงลุกขึ้นยืนไปหยิบกระเป๋าของเสิ่นหยินอู้มาให้ฉินเย่ เมื่อเห็นว่ามือของฉินเย่ไม่ว่าง เขาจึงรูดซิปเปิดอย่างระมัดระวังและหยิบโทรศัพท์ออกมา ฉินเย่มองดูหมายเลขที่โทรมา จากนั้นใบหน้าของก็บึ้งตึง โม่ไป๋“ถ้าคุณหนูเสิ่นไม่ได้เป็นลมนอนอยู่ที่โรงพยาบาล นี่ก็เป็นเวลาเลิกงานแล้วและเธอคงจะต้องกลับบ้านแล้ว น่าจะเป็นคนในคร
“สามปีที่แล้วเหรอ?” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบ เสิ่นหยินอู้จึงถามอีกครั้ง สายตาของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา ราวกับว่าเธอจะไม่ยอมจนกว่าเธอจะได้รับคำตอบ แต่สายตาและท่าทางของเธอดูสงบมาก แม้แต่ดวงตาของเธอก็ไม่แดงเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเธอตกใจมากกับการรู้เรื่องนี้จนหมดสติไป แต่ในตอนนี้เธอไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นี่มันปกติเหรอ? นี่มันไม่ปกติ ฉินเย่เม้มริมฝีปาก มองเธออย่างจริงจังแล้วพูดว่า "คุณจะไม่พักผ่อนอีกสักหน่อยเหรอ?" “ฉินเย่” เสิ่นหยินอู้เรียกชื่อเขา "ฉันกำลังถามคุณอยู่นะ" หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็พยักหน้า "ประมาณนั้น" “ประมาณนั้นเหรอ?” คำตอบนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้หัวเราะเยาะออกมาเบาๆ: “แม้แต่คุณย่าของคุณ คุณก็ไม่รู้เหรอว่าท่านเสียไปตั้งแต่เมื่อไร? ประมาณนั้นนี่มันหมายความว่ายังไง?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว จู่ๆบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมา หลี่มู่ถิงที่นั่งอยู่ที่ด้านหลังก็ดูเหมือนจะถูกทำให้ร่างกายชาไปด้วย เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ อย่างที่คิด คุณหนูเสิ่นกังวลมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอถึงพูดออกมาเช่นนี้ “ทำไมล่ะ? พูดไม่ออกเหรอ?” เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้
"ถึงแม้เธอจะปิดบังได้เก่งแค่ไหน แต่แม่ของฉินเย่ก็ยังดูออก หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ เด็กๆ สองคนตามคุณพ่อของฉินเย่เข้าไปเล่นในห้องหนังสือ แล้วแม่ของฉินเย่ก็ถามเธออย่างเงียบๆ""เป็นยังไงบ้าง? ติดต่อฉินเย่ได้มั้ย?" เมื่อได้ยินคำถาม เสิ่นหยินอู้ถึงกับชะงักไป ไม่รู้จะตอบยังไงดี"มีอะไรหรือเปล่า? มีเรื่องกังวลใจอะไรไม่กล้าบอกแม่หรือเปล่า? หยินอู้ แม่บอกเลยนะ ถึงแม้แม่จะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหนู แต่ถ้าหนูอยากจะคิดว่าแม่เป็นแม่แท้ๆของหนู แม่ก็ยินดี หนูคุยกับแม่ได้ทุกเรื่องเลยนะ ตอนที่หนูจากไป แม่ยังไม่ได้มีโอกาสได้เจอหนูเลย และแม่ก็ไม่รู้เรื่องของพวกหนูซักเท่าไหร่ แต่ถ้าแม่รู้ แม่ก็จะบอกหนูว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างหนูกับฉินเย่ ถึงหนูจะไม่อยากจะมีเขาอีกแล้ว แต่หนูยังสามารถนับแม่เป็นแม่ของหนูได้เสมอ" คำพูดที่ไม่ได้คาดคิดนี้ ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจและทำให้น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตา "ขอบคุณค่ะ แม่ คำพูดของแม่ หนูจะจดจำไว้เสมอ" ตอนเด็ก เธอเคยอิจฉาคนอื่นที่มีแม่ ทำไมเธอไม่มี เธอก็อยากมีแม่ที่อ่อนโยนและรักเธอ คอยซื้อกระโปรงสวยๆ ให้เธอ สวมใส่ให้เธอ คอยกอดเธอตอนนอน เล่านิทานให้ฟัง
"เรื่องนี้คุณไม่ต้องห่วงเลยครับ ในตอนที่คุณฉินว่าจ้างผม เขาจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าหนึ่งปีมาแล้วครับ" หนึ่งปี?? เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงกับตกใจไปเล็กน้อย เขาจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าไว้นานขนาดนี้ "ดังนั้น คุณเสิ่น ภายในหนึ่งปีนี้ เราจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณอย่างดีครับ" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอดไม่ได้ "พวกคุณทำงานตามค่าจ้างใช่ไหม?" หัวหน้าบอดี้การ์ดพยักหน้า"งั้นก็ดี ถ้าฉันจ่ายมากกว่าเขา แล้วขอให้พวกคุณไปต่างประเทศด้วยกันเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน พวกคุณจะรับไหมคะ?" เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวหน้าบอดี้การ์ดถึงกับอึ้งไป"ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่แค่ฉินเย่ที่มีเงิน ฉันเองก็จ่ายได้ค่ะ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อ ฉันก็สามารถจ่ายล่วงหน้าให้พวกคุณได้เหมือนกัน""เอ่อ......" "หรือว่าขอบเขตการคุ้มกันของพวกคุณมีแค่ในประเทศ?""ไม่ใช่นะครับ ในต่างประเทศก็ทำได้ เพียงแต่ว่า...... พวกเราสัญญากับคุณฉินแล้วว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณ ดังนั้นพวกเรา......""ใช่" เสิ่นหยินอู้ยิ้มเล็กน้อย "พวกคุณคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน แต่ไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพของฉันใช่ไหมคะ? หรือว
"อย่าเป็นแบบไหน? ถ้าผมทำแบบนี้ตั้งแต่แรก เธอคงจะไม่กลับประเทศหรือเปล่า? บางทีการให้เธอกลับประเทศอาจจะเป็นความผิดพลาด อย่างน้อยถ้าอยู่ต่างประเทศ ถึงเธอจะไม่ยอมรับผม แต่ก็จะไม่ไปอยู่ข้างคนอื่น"คำพูดของเขาทำให้เสิ่นหยินอู้หลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะถามว่า "เขาอยู่กับนายหรือเปล่า? นายทำอะไรกับเขา?""ไม่มีความอดทนพอที่จะฟังผมพูดเรื่องอื่นแล้วหรอ?""ฉัน......""ถ้าเธออยากรู้จริงๆ ว่าเขาเป็นยังไง ทำไมไม่มาดูเองล่ะ?"เสิ่นหยินอู้รู้สึกหายใจสะดุด"ก่อนจะเห็นหน้าเธอ ผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเขาเด็ดขาด" เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปาก"ตอนแรกทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว ทำไมนายต้องทำแบบนี้?""หึ"โม่ไป๋หัวเราะเบาๆ "ใช่ ก่อนหน้านั้นทุกอย่างมันดี ทำไมเธอต้องกลับประเทศ?" เสิ่นหยินอู้เงียบไปชั่วขณะ เขากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอไม่สามารถพูดอะไรกับเขาได้เลย"มาหาผมสิ ผมรออยู่ที่เดิม"พูดจบ โม่ไป๋ก็ทำท่าจะวางสาย เสิ่นหยินอู้รู้สึกกังวล "เดี๋ยวก่อน นายยังไม่ได้บอกเลยว่านายทำอะไรกับเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?""หยินอู้ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะเจอหน้าเธอ แน่นอนว่าเธอก็อย่าหวังว่าจะหาเขาเจอ" พูดจบ โม่ไ
ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงถูกเชิญให้กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน โดยที่ตรงหน้าต่างมีคนคอยเฝ้าอยู่ รวมถึงที่หน้าประตูด้วย ถ้าหากตอนนี้มีกล้องถ่ายอยู่ในห้องนี้ คงจะคิดว่าเธอเป็นภรรยาของหัวหน้าแก๊งมาเฟียแน่ๆ เธอไม่มีอารมณ์จะทำงาน มือถือวางอยู่ข้างตัวตลอดเวลา กลัวจะพลาดการติดต่อใดๆ แม้จะไม่มีสมาธิ แต่เธอก็พยายามทำงานจนเสร็จไปบางส่วน และได้รับข้อความจากหลี่มู่ถิงว่าเขาขึ้นเครื่องแล้วหลังจากเขาขึ้นเครื่องแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้อีก ทำได้แค่รอจนกว่าเครื่องบินจะลงจอดมือถือเงียบไปทั้งบ่าย ขณะที่เสิ่นหยินอู้เตรียมเก็บของกลับบ้าน ในที่สุดมือถือก็ส่งเสียงขึ้นมา พอได้ยินเสียง เสิ่นหยินอู้หยิบมือถือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเห็นว่าเป็นสายจากต่างประเทศที่ไม่รู้จัก นี่คือ? เธอไม่ได้คิดมาก รีบกดรับสายทันที“ฮัลโหล?” ในใจลึกๆ เธอหวังว่าคนที่โทรมาคือฉินเย่ เพื่อบอกเธอว่าเขาไม่เป็นอะไร แค่จำเป็นต้องใช้เบอร์นี้ชั่วคราวเท่านั้น แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังไม่กล้าพูดชื่อเขาออกมาตรงๆ“ในที่สุด เธอก็กลับมาใช้เบอร์นี้อีกครั้งนะ” ทว่า เสียงที่ดังเข้ามาในโสตประสาทของเธอกลับเป็นเสียงอีกคนหนึ่งท
เขาเรียกเถ้าแก่อยู่หลายครั้งก่อนจะดึงสติเสิ่นหยินอู้กลับมาได้ หลังจากกลับมาได้สติอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่อู๋อี้ไห่ที่มีสีหน้าเหนื่อยใจที่อยู่ตรงหน้าเธอ ความรู้สึกผิดในใจพุ่งถึงขีดสุด “ขอโทษที เมื่อกี้ฉันฟุ้งซ่านไปหน่อย” “เถ้าแก่ ผมรู้ว่าเรื่องของคุณอาจจะสำคัญมาก แต่... ตอนนี้คุณต้องสละเวลามาดูสัญญานี้สักพัก เสร็จแล้วก็ค่อยไปฟุ้งซ่านต่อ โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขา เปิดริมฝีปากขาวซีดของเธอออกเล็กน้อยแล้วพยักหน้า คราวนี้เธอไม่ได้ฟุ้งซ่านอีก เธออ่านสัญญาอย่างละเอียดจนจบและทำการเซ็นชื่อ หลังจากนั้นเธอก็ยื่นสัญญาให้อู๋อี้ไห่: "ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานในช่วงที่ผ่านมา" “ไม่หรอกครับ ใครใช้ให้ผมเป็นผู้ช่วยของคุณล่ะครับ?” อู๋อี้ไห่ยิ้มเล็กน้อย ในตอนแรกเขากำลังจะถือสัญญาแล้วเดินออกไป แต่ก่อนจากไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เถ้าแก่ เป็นปัญหาทางด้านความรักเหรอครับ?” อย่างไรก็ตาม คำถามของเขาไม่ได้รับการตอบกลับ เพราะหลังจากที่เสิ่นหยินอู้ส่งสัญญาให้กับเขา เธอก็ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง หลังจากนั้น อู๋อี้ไห่ก็ทำได้เพียงพูดอย่างช่วยไม่ได้: "ช่างมันเถอะ อีกเดี๋ยวตอนกลับบ้านก็กลั
เสิ่นหยินอู้เก็บโทรศัพท์ไป เธอไม่มีอารมณ์จะทานอาหารอีกต่อไป ในตอนแรกเธอคิดที่จะออกไปข้างนอก แต่ตอนนี้เธอเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอกอีก “คุณหนูเสิ่น?”ก่อนหน้านี้เธอคุยโทรศัพท์อยู่ อารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน คนใช้ที่อยู่ข้างๆไม่กล้าพูดอะไร หลังจากเธอวางสาย เธอก็ยังไม่ได้ทานอาหาร ดังนั้นคนรับใช้จึงทำได้เพียงเตือนเธออย่างระมัดระวัง: "อาหารจะเย็นหมดแล้วนะคะ” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองลงไปที่จานอาหารตรงหน้าเธอ จากนั้นก็มองไปที่คนรับใช้ ริมฝีปากของเธอขยับ ในตอนแรกเธออยากจะบอกว่าเธอกินไม่ลงแล้วและจะให้คนรับใช้เอาอาหารไปเก็บ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะทานอาหารเข้าไปสองสามคำก่อนจะลุกขึ้นและจากไป เธอมักจะบอกลูกๆทั้งสองคนเสมอว่าอย่ากินเหลือ เธอก็ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเขาไม่ใช่หรอ? หลังจากขึ้นไปชั้นบนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปที่ห้องและกดโทรไปที่เบอร์ของฉินเย่ แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะบอกว่าเธอว่าติดต่อไม่ได้ แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ตู๊ดตู๊ด--- หลังจากที่โทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้ง โทรศัพท์ก็ตัดสายไปโดยอัตโนมัติ และไม่มีเสียงบอกว่าอีกฝ่าย
หากไม่ให้เงิน ก็จะฆ่าทิ้ง สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในสังคม เป็นเพราะว่าคนรวยปกป้องลูกของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ถ้าพวกเขาประมาทและปล่อยให้อาชญากรมีเวลาและพื้นที่ แม้พวกเขาจะมีเงินทองไม่ขาดสาย แต่คงจะต้องเป็นห่วงลูกๆของพวกเขาว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นคุณแม่ฉินจึงไม่แปลกใจที่เห็นบอดี้การ์ดติดตามพวกเขาไปในทุกๆที่ "โอเค เข้าใจแล้วค่ะ" หลังจากรับปากกับเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังกลับและจากไป เธอกลับไปที่ห้องของเธอ เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองแล้วลงไปที่ชั้นล่าง เดิมทีเธอคิดจะออกไปในทันที แต่คนรับใช้เรียกเธอเพื่อให้เธอลงมารับประทานอาหารเช้าเสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงนั่งลง และทานอาหารเช้าโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลางเลื่อนดูโทรศัพท์ไปด้วย เธอไม่มีความอยากอาหาร ดังนั้นเธอจึงฝืนทานไปสักสองสามคำ จากนั้นก็ได้รับสายจากหลี่มู่ถิง เมื่อเห็นสายของหลี่มู่ถิง หัวใจของเสิ่นหยินอู้ก็เต้นรัวในทันที เธอรีบรับสายอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล ผู้ช่วยหลี่ มีข่าวอะไรบ้างไหมคะ?” อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า: "คุณหนูเสิ่น อย่าเพิ่งใจร้อนครับ ถึงผมจะยังไม่ได้ติดต่อกับประธานฉ
ถ้าคิดดูอีกทีมันก็ถูก เขาน่าจะติดต่อตัวเธอเองมากที่สุดแล้ว เขาไม่ได้ติดต่อเธอ และคงไม่ได้ติดต่อตนอื่น แต่แม้ว่าจะรู้ดีว่าเป็นเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยังไม่ยอมแพ้และต้องการที่จะถามดู ตอนนี้เธอได้รับคำตอบแล้ว แต่เธอก็ยังคงผิดหวังมาก เมื่อคุณแม่ฉินเห็นหยินอู้ลดสายตาต่ำลงราวกับว่ากำลังจมเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นหยินอู้เติบโตขึ้น หากปะปิดปะต่อเรื่องราวก่อนหลังสักนิด เธอก็สามารถรู้ได้ว่าเสิ่นหยินอู้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอก้าวไปข้างหน้าและถามหยั่งเชิงดู: "หยินอู้ ฉินเย่ไม่ได้ติดต่อหนูมาในช่วงสองวันมานี้ หนูเป็นห่วงเขาหรอ?" เมื่อเผชิญกับคำถามของคุณแม่ฉิน อาจเป็นเพราะพวกเธอทั้งคู่เป็นผู้หญิง เธอจึงพยักหน้ายอมรับอย่างไม่มีความกดดันใดๆ “อืม ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติแล้ว เขาควรจะตอบกลับข้อความมันถึงจะถูก” “จะว่าไปมันก็ใช่” หลังจากฟังคำพูดของเธอ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้ติดต่อหนูมานานแค่ไหนแล้ว?” เสิ่นหยินอู้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเวลาและข้อความที่เธอส่งไปให้เขาที่เขายังไม่ได้ตอบกลับให้คุณแม่ฉินฟังคร่าวๆ “ถ้าพูดตามหลักเหตุผล ตั้งแต่เมื่อวานถึงตอน
เรื่องสำคัญที่ต้องทำเหรอ? ทำไมเขาถึงไม่บอกเธอล่ะ? แต่ในไม่ช้า เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกโล่งใจ ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ตอบข้อความของเธอ ที่แท้เขาก็ยุ่งอยู่จริงๆนี่เองถ้างั้นข้อความที่เธอส่งไปก็คงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เขาใช่ไหม? “คุณหนูเสิ่น ไม่ต้องกังวลนะครับ ประธานฉินไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ก็ดึกแล้ว คุณรีบพักผ่อนจะดีกว่านะครับ” แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะพูดเช่นนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว มันไม่ใช่เวลาที่จะรบกวนเขา “โอเค งั้นคุณพักผ่อนตามสบายค่ะ” “ถ้ามีเรื่องอะไร คุณหนูเสิ่นโทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับประธานฉิน ผมจะรีบแจ้งให้คุณหนูเสิ่นทราบในทันทีที่ผมได้ข่าว” "ขอบคุณค่ะ" หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กำโทรศัพท์ไว้และพลิกตัวไป เธอยังคงไม่ได้นอน เธอกัดริมฝีปากล่าง อาจพูดได้ว่าหัวใจของเธอนั้นยุ่งเหยิงเหมือนด้ายที่พันกัน แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็หลับไปกับความคิดเช่นนี้พร้อมกับกำโทรศัพท์ไว้ในมือ จากนั้นเธอก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการที่โทรศัพท์สั่น หลังจากตื่นขึ้น เธอก็พบว่ามันคื