“ก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านพูดถึงคุณ” คำพูดของฉินเย่ทำให้เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นไปมองเขาในทันที "จริงเหรอ??" ฉินเย่มองเธอ “ท่านคิดถึงคุณมาก” ประโยคเดียวทำให้น้ำตาของเสิ่นหยินอู้ไหลรินออกมาทันที จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายราวกับก๊อกน้ำที่ถูกเปิด ในที่สุด ภาพนี้ก็ทำให้ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา เขากอดเธอไว้แน่น เสียงร้องไห้ของเธอนั้นเงียบสนิท เธอไม่ได้ผลักฉินเย่ออกไป ราวกับว่าเธอสูญเสียพละกำลังทั้งหมดไป เธอซบเขาอยู่แบบนั้นและหลั่งน้ำตาออกมา หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็รู้สึกได้ถึงไหล่ที่เปียกชื้นของเขา เขาเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เขารู้สึกว่าเสิ่นหยินอู้กำลังจะต้องไห้จนน้ำตาไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว จากนั้น เขาก็ยกมือขึ้นมาตบที่ไหล่ของเธอเบาๆ "ช่างมันเถอะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว" ในเวลาเดียวกัน โม่ไป๋ไปรับเด็กๆทั้งสองคน หลังจากที่เด็กทั้งสองขึ้นรถมาแล้ว โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นพอดี เขาไม่รีบขับรถออกไป แต่กลับรับโทรศัพท์ก่อน หลังจากที่คนที่อยู่ปลายสายรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าที่อบอุ่นก็ค่อยๆโกรธเกรี้ยวขึ้น
ทันทีที่เปิดประตูออกไป เสิ่นหยินอู้ก็เห็นฉินเย่ยืนอยู่ที่ประตูห้องน้ำ เขาเดินมาพร้อมกับขวดน้ำเกลือ เมื่อเขาเห็นเธอเปิดประตูออกมา ความตึงเครียดในดวงตาของเขาก็ผ่อนคลายลง เสิ่นหยินอู้จ้องมองใบหน้าอันหดหู่ของเขา หลังจากเธอจึงเป็นฝ่ายถามก่อนว่า: "ยังเหลืออีกกี่ขวด?" “ไม่แน่ใจ ถ้าคุณอยากรู้ ผมไปดูให้ได้” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเพียงเดินไปตรวจดูที่ลิสต์รายการ หลังจากอ่านแล้ว เธอก็พูดกับฉินเย่ว่า "นี่ขวดสุดท้ายแล้ว" “อืม” ฉินเย่ตอบรับ สายตาของเขาจับจ้องไปที่เธอโดยไม่ละไปไหน แม้ว่าเธอจะเพิ่งร้องไห้ไปอย่างหนัก แต่เขากลับรู้สึกว่าอารมณ์ของเธอในตอนนี้สงบมากเกินไป “จริงสิ เสื้อของคุณ...” ขณะที่เสิ่นหยินอู้พูด เธอก็เปิดตู้และหยิบชุดผู้ป่วยชุดใหม่ออกมา "เมื่อกี้ฉันทำเสื้อของคุณเปียก ขอโทษที คุณเปลี่ยนชุดใหม่เถอะ" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็มองลงไปที่มุมเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของเขา จากนั้นก็มองท่าทีที่เสิ่นหยินอู้ส่งเสื้อผ้าให้เขา และเม้มริมฝีปากบาง “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็แห้งแล้ว” “คุณป่วยอยู่แล้ว เดี๋ยวถ้าเป็นหวัดแล้วมันจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของคุณ” ฉินเย่จ้
เสิ่นหยินอู้ชะงักฝีเท้าและหันกลับมา "ว่าไง?" “คุณจะมาพรุ่งนี้ใช่ไหม?” เสิ่นหยินอู้นิ่งไปครู่หนึ่ง "แน่นอน ฉันพูดแล้วก็ต้องทำตามที่พูดสิ" “ยังมีอะไรอีกไหม?” ฉินเย่เม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก "งั้นฉันไปก่อนนะ" เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรอีก เสิ่นหยินอู้ก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป ความเงียบสงัดกลับคืนสู่ห้องผู้ป่วยอีกครั้ง ฉินเย่หลับตาลง นัยน์ตาของเขาสีดำสนิท ทันทีที่ออกจากห้องผู้ป่วย เสิ่นหยินอู้ก็เห็นหลี่มู่ถิงที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก หลี่มู่ถิงพูดและทำสิ่งที่ผิด ดังนั้นหลังจากถูกให้ออกไป เขาจึงยืนพิงกำแพงด้วยอารมณ์ที่สับสนยุ่งเหยิงมาก เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เขาก็ยืนตัวตรงขึ้นมาทันที เมื่อเขาเห็นเสิ่นหยินอูเ เขาก็แสดงท่าทีที่รู้สึกผิดออกมา แล้วมองเธอโดยลังเลที่จะพูด: "คุณหนูเสิ่น..." เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปคุยกับเขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หลี่มู่ถิงฟังอย่างตั้งใจและพยักหน้าขณะฟัง “ได้ครับ งั้นคืนนี้ผมไปซื้ออาหารให้ประธานฉินกินได้แล้วใช่ไหมครับ?” “อืม ถ้าเขาไม่ยอมกินอีกก็บอกเขาว่าพรุ่งนี้ฉันจะไม่มา” “ได้เลยครับ” หลี่มู่ถิงพยักหน้าอย่างแข็งขัน “ไม
"เปล่า" คำพูดนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธไปโดยไม่รู้ตัว “โม่ไป๋ มันไม่ใช่แบบที่นายคิด พูดตรงๆ ฉันคิดว่าฉันไม่คู่ควรกับนาย นายอย่ามาเสียเวลากับฉันอีกเลย” คำพูดนี้ ไม่ใช่เพราะเสิ่นหยินอู้กำลังถ่อมตัวให้กับโม่ไป๋อย่างแน่นอน เธอคิดว่าโม่ไป๋เป็นคนดีจริงๆ เขามีภูมิหลังครอบครัวที่ดี หน้าตาดี นิสัยก็ดี และยังรักและเคารพตนเอง เขาไม่เคยไปยุ่งกับผู้หญิงคนไหนเพียงเพราะเขามีฐานะที่ดี “เธอคิดว่าเธอไม่คู่ควรกับผมเหรอ?” โม่ไป๋หัวเราะแล้วเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น “แต่ว่านะหยินอู้ ถ้าเธอคิดแบบนี้จริงๆ ทำไมถึงไม่มาถามผมล่ะ? ผมคิดว่าเธอคู่ควรดีแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น ยังมีอะไรให้กังวลอีกไหม?” เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ โม่ไป๋จึงพูดอีกครั้ง: "หรือว่าเธอกังวลเรื่องเขา? ถ้าไม่กลับมาที่จีน เธอ….." "ห้าปี" เมื่อได้ยินโม่ไป๋ก็ตกตะลึง “ห้าปีแล้ว ฉันรู้ว่านายดีกับฉัน ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยลองที่จะยอมรับนาย แต่ฉันพบว่าฉันยอมรับนายไม่ได้” เสิ่นหยินอู้มองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างจริงจังผ่านเลนส์แว่น “เมื่อก่อนฉันบอกนายไปแล้วว่าฉันไม่มีทางตอบรับความรู้สึกที่นายมีต่อฉันได้ และบอกให้นายไม่ตเองมาทำดีกับฉัน” โ
หากพิจารณาจากทุกๆ เรื่อง เขาถือว่าเป็นแฟนที่ดีที่หายากคนหนึ่งจริงๆแต่น่าเสียดายที่เรื่องของความรู้สึก เป็นจุดอ่อนของเสิ่นหยินอู้เธอหันกลับไปมองเขา “ขอโทษ”โม่ไป๋มองเธอนิ่งๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมาอีกครั้ง “วันนี้เธอเหนื่อยแล้วใช่ไหม? เธอขึ้นไปก่อนเถอะ มีเรื่องอะไร อีกสองวันเราค่อยมาคุยกัน”“โม่ไป๋…”“เด็กๆ น่าจะรอเก้อแล้ว รีบขึ้นไปเถอะ”ระหว่างที่พูด โม่ไป๋ยังเอามือจับไหล่ผลักเธอเข้าไปในลิฟต์ จากนั้นเขากดชั้นให้เธอเรียบร้อย แล้วออกไปพร้อมพูดกับเธอว่า “เธอขึ้นไปถึงแล้ว ก็บอกให้ผู้ช่วยเฉินลงมาเลยก็พอ”เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วอันมีเสน่ห์ ไม่ได้ตอบเขาไม่นานประตูลิฟต์ก็ปิดลงช้าๆ ก่อนที่ประตูจะปิดสนิท เสิ่นหยินอู้เห็นโม่ไป๋ส่งยิ้มให้กับเธอ“ฝันดีนะ”ทันใดนั้นเอง ประตูลิฟต์ก็ปิดลงอย่างสนิทเสิ่นหยินอู้กลับไปถึงบ้าน ผู้ช่วยเฉินและพี่เลี้ยงเด็กประจำอีกคนหนึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นเธอกลับมาถึงก็รีบลุกขึ้นทักทายเธอเมื่อนึกถึงคำพูดที่โม่ไป๋พูดแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงพูดกับเขาว่า “ผู้ช่วยเฉิน โม่ไป๋รอนายอยู่ข้างล่างน่ะ”“หืม? ทำไมวันนี้ประธานโม่ถึงไม่ขึ้นมาด
วันต่อมาเสิ่นหยินอู้ส่งลูกทั้งสองคนไปโรงเรียนด้วยตัวเองเดิมทีช่วงนี้โม่ไป๋จะเป็นคนรับส่ง แต่หลังจากคุยกันเมื่อคืนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ให้เขามารับส่งอีก“ถ้านายจะให้เวลาฉันคิดจริงๆ งั้นช่วงนี้นายก็อย่าทำเรื่องที่แทรกแซงความคิดของฉัน”โม่ไป๋ถูกเธอพูดจนเปลี่ยนใจ และไม่ปรากฏตัวอีกเมื่อเห็นว่าเขาไม่ปรากฏตัว เสิ่นหยินอู้ก็โล่งใจไปเฮือกหนึ่ง แล้วพาลูกๆ ไปส่งที่โรงเรียนด้วยตัวเอง เพราะว่ากะเวลาล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว อีกอย่างในมือเธอยังถือกล่องเก็บความร้อนไว้ด้วย ดังนั้น ระหว่างทางเด็กทั้งสองก็เลยถามบางอย่างขึ้นด้วยความสงสัย“อืม ลูกค้าร่วมงานของบริษัทหม่ามี๊คนหนึ่งป่วยน่ะ หม่ามี๊ก็เลยทำอาหารไปให้เขา”เสิ่นเหมิงเหมิงปากหวาน ไม่เพียงแต่หยุดถามต่อ แต่ยังเอ่ยชมเสิ่นหยินอู้ด้วย“หม่ามี๊ใจดีมากเลย คนก็สวย แถมใจดีอีก ต่อไปใครได้หม่ามี๊เป็นแฟนนะ ต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในสามโลกเลย”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยกมุมปากขึ้นคำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่โจวชวงชวงเคยสอนเด็กๆ เสิ่นเหมิงเหมิงมักจะใช้ประโยคนี้ชมเสิ่นหยินอู้บ่อยๆทุกครั้งที่ชม เสิ่นหยินอู้ก็จะอดยิ้มออกมาไม่ได้ไม่ใช่เพราะชมดี
“เปล่าครับๆ ผมแค่มาดูว่าคุณมาถึงหรือยังเฉยๆ”เสิ่นหยินอู้พูดไปด้วยเดินเข้าห้องผู้ป่วยไปด้วย แล้ววางกล่องเก็บความร้อนในมือลงบนตะด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ จากนั้นถกแขนเสื้อขึ้นเปิดฝากล่องเก็บความร้อนออกเมื่อฝาถูกเปิดออก กลิ่นหอมกรุ่นจากอาหารก็ลอยฟุ้งออกมาอบอวลทั่วห้องหลี่มู่ถิงที่ทานมื้อเช้าไปแล้วได้กลิ่นนี้เข้า ความรู้สึกหิวก็ถูกกระตุ้นทีแรกเขาคิดว่าอาหารที่คุณเสิ่นเอามาให้ประธานฉิน จะเป็นอาหารจากข้างนอกด้วยซ้ำ แต่พอชะเง้อไปดูถึงรู้ว่าเป็นอาหารที่เธอทำเองฉินเย่มองดูอยู่ข้างๆ เห็นการกระทำของเธอที่ชำนาญไร้ข้อบกพร่องราวกับทำเรื่องแบบนี้มานับพันนับหมื่นครั้งแล้วอย่างไรอย่างนั้นยิ่งดูเท่าไหร่ หัวคิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดแน่นเท่านั้นรอให้เสิ่นหยินอู้ยกอาหารมาตรงหน้าเขา “กินซะ เป็นอาหารย่อยง่ายหมดเลย ฉันถามหมอมาแล้ว อาการของนายตอนนี้กินอาหารแบบนี้ดีที่สุด”หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ฉินเย่ก็รับถ้วยอาหารมากลิ่นหอมมาก ฉินเย่ที่รู้สึกไม่อยากอาหารมานานได้กลิ่นนี้เข้า ก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที แต่ว่า…เขามองเสิ่นหยินอู้แวบหนึ่ง “เธอทำเองเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ถามกลับ “ไม่อย่างนั้นล่ะ?”ฉินเย
หลังจากออกจากโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้ก็ตรงไปบริษัททันทีเพราะรถติดมาก ดังนั้นตอนที่เธอไปถึงบริษัทก็เลทแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะพบกับผู้ชายคนเมื่อวานอีกครั้งเมื่อเขาเห็นเสิ่นหยินอู้ หนุ่มแว่นคนนั้นก็เผยรอยยิ้มขี้อายออกมาพร้อมยื่นมือทักทายเธอก่อนด้วย“สวัสดีครับ ต่อจากนี้เราคือเพื่อนร่วมงานกันแล้วนะครับ”เสิ่นหยินอู้ยื่นมือออกไปจับมือเขาตอบ“เมื่อวานฉันคิดว่าเธอมาสมัครงานซะอีก ไม่คิดว่าจะเป็นพนักงานที่นี่แล้ว เออนี่ ทำไมเธอถึงสนใจบริษัทเล็กๆ นี้เหรอ? เพราะรู้ล่วงหน้าว่าฉินซื่อกรุ๊ปจะลงทุนให้พวกเขาเหรอ?”รู้ล่วงหน้า?เสิ่นหยินอู้หัวเราะแห้ง กล่าวว่า “ไม่ถึงขนาดรู้ล่วงหน้าหรอก แต่ว่าฉันรับรองว่ารู้ก่อนพวกนายแน่ๆ”“ก็จริง เพราะยังไงเธอก็เข้าบริษัทนี้แล้ว ส่วนพวกเราเห็นผ่านหนังสือสมัครงานเท่านั้น”ข้างในลิฟต์ยังมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย แต่ว่าคนอื่นๆ ดูไม่มีอะไรจะพูด และนอกจากหนุ่มแว่นแล้ว เสิ่นหยินอู้เองก็ไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนอื่นเลยดูท่าแล้วคนที่อยู่ในลิฟต์ตัวเดียวกันกับเธอเมื่อวาน นอกจากหนุ่มแว่นตรงหน้าแล้ว คนอื่นคงถูกปัดตกหมดแล้วหลังจากที่ประตูลิฟต์เปิดออก เสิ่นหยินอู้ก็เดินตรงไปทางซ้