เสิ่นหยินอู้ชะงักฝีเท้าและหันกลับมา "ว่าไง?" “คุณจะมาพรุ่งนี้ใช่ไหม?” เสิ่นหยินอู้นิ่งไปครู่หนึ่ง "แน่นอน ฉันพูดแล้วก็ต้องทำตามที่พูดสิ" “ยังมีอะไรอีกไหม?” ฉินเย่เม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก "งั้นฉันไปก่อนนะ" เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรอีก เสิ่นหยินอู้ก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป ความเงียบสงัดกลับคืนสู่ห้องผู้ป่วยอีกครั้ง ฉินเย่หลับตาลง นัยน์ตาของเขาสีดำสนิท ทันทีที่ออกจากห้องผู้ป่วย เสิ่นหยินอู้ก็เห็นหลี่มู่ถิงที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก หลี่มู่ถิงพูดและทำสิ่งที่ผิด ดังนั้นหลังจากถูกให้ออกไป เขาจึงยืนพิงกำแพงด้วยอารมณ์ที่สับสนยุ่งเหยิงมาก เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เขาก็ยืนตัวตรงขึ้นมาทันที เมื่อเขาเห็นเสิ่นหยินอูเ เขาก็แสดงท่าทีที่รู้สึกผิดออกมา แล้วมองเธอโดยลังเลที่จะพูด: "คุณหนูเสิ่น..." เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปคุยกับเขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หลี่มู่ถิงฟังอย่างตั้งใจและพยักหน้าขณะฟัง “ได้ครับ งั้นคืนนี้ผมไปซื้ออาหารให้ประธานฉินกินได้แล้วใช่ไหมครับ?” “อืม ถ้าเขาไม่ยอมกินอีกก็บอกเขาว่าพรุ่งนี้ฉันจะไม่มา” “ได้เลยครับ” หลี่มู่ถิงพยักหน้าอย่างแข็งขัน “ไม
"เปล่า" คำพูดนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธไปโดยไม่รู้ตัว “โม่ไป๋ มันไม่ใช่แบบที่นายคิด พูดตรงๆ ฉันคิดว่าฉันไม่คู่ควรกับนาย นายอย่ามาเสียเวลากับฉันอีกเลย” คำพูดนี้ ไม่ใช่เพราะเสิ่นหยินอู้กำลังถ่อมตัวให้กับโม่ไป๋อย่างแน่นอน เธอคิดว่าโม่ไป๋เป็นคนดีจริงๆ เขามีภูมิหลังครอบครัวที่ดี หน้าตาดี นิสัยก็ดี และยังรักและเคารพตนเอง เขาไม่เคยไปยุ่งกับผู้หญิงคนไหนเพียงเพราะเขามีฐานะที่ดี “เธอคิดว่าเธอไม่คู่ควรกับผมเหรอ?” โม่ไป๋หัวเราะแล้วเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น “แต่ว่านะหยินอู้ ถ้าเธอคิดแบบนี้จริงๆ ทำไมถึงไม่มาถามผมล่ะ? ผมคิดว่าเธอคู่ควรดีแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น ยังมีอะไรให้กังวลอีกไหม?” เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ โม่ไป๋จึงพูดอีกครั้ง: "หรือว่าเธอกังวลเรื่องเขา? ถ้าไม่กลับมาที่จีน เธอ….." "ห้าปี" เมื่อได้ยินโม่ไป๋ก็ตกตะลึง “ห้าปีแล้ว ฉันรู้ว่านายดีกับฉัน ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยลองที่จะยอมรับนาย แต่ฉันพบว่าฉันยอมรับนายไม่ได้” เสิ่นหยินอู้มองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างจริงจังผ่านเลนส์แว่น “เมื่อก่อนฉันบอกนายไปแล้วว่าฉันไม่มีทางตอบรับความรู้สึกที่นายมีต่อฉันได้ และบอกให้นายไม่ตเองมาทำดีกับฉัน” โ
หากพิจารณาจากทุกๆ เรื่อง เขาถือว่าเป็นแฟนที่ดีที่หายากคนหนึ่งจริงๆแต่น่าเสียดายที่เรื่องของความรู้สึก เป็นจุดอ่อนของเสิ่นหยินอู้เธอหันกลับไปมองเขา “ขอโทษ”โม่ไป๋มองเธอนิ่งๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมาอีกครั้ง “วันนี้เธอเหนื่อยแล้วใช่ไหม? เธอขึ้นไปก่อนเถอะ มีเรื่องอะไร อีกสองวันเราค่อยมาคุยกัน”“โม่ไป๋…”“เด็กๆ น่าจะรอเก้อแล้ว รีบขึ้นไปเถอะ”ระหว่างที่พูด โม่ไป๋ยังเอามือจับไหล่ผลักเธอเข้าไปในลิฟต์ จากนั้นเขากดชั้นให้เธอเรียบร้อย แล้วออกไปพร้อมพูดกับเธอว่า “เธอขึ้นไปถึงแล้ว ก็บอกให้ผู้ช่วยเฉินลงมาเลยก็พอ”เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วอันมีเสน่ห์ ไม่ได้ตอบเขาไม่นานประตูลิฟต์ก็ปิดลงช้าๆ ก่อนที่ประตูจะปิดสนิท เสิ่นหยินอู้เห็นโม่ไป๋ส่งยิ้มให้กับเธอ“ฝันดีนะ”ทันใดนั้นเอง ประตูลิฟต์ก็ปิดลงอย่างสนิทเสิ่นหยินอู้กลับไปถึงบ้าน ผู้ช่วยเฉินและพี่เลี้ยงเด็กประจำอีกคนหนึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นเธอกลับมาถึงก็รีบลุกขึ้นทักทายเธอเมื่อนึกถึงคำพูดที่โม่ไป๋พูดแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงพูดกับเขาว่า “ผู้ช่วยเฉิน โม่ไป๋รอนายอยู่ข้างล่างน่ะ”“หืม? ทำไมวันนี้ประธานโม่ถึงไม่ขึ้นมาด
วันต่อมาเสิ่นหยินอู้ส่งลูกทั้งสองคนไปโรงเรียนด้วยตัวเองเดิมทีช่วงนี้โม่ไป๋จะเป็นคนรับส่ง แต่หลังจากคุยกันเมื่อคืนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ให้เขามารับส่งอีก“ถ้านายจะให้เวลาฉันคิดจริงๆ งั้นช่วงนี้นายก็อย่าทำเรื่องที่แทรกแซงความคิดของฉัน”โม่ไป๋ถูกเธอพูดจนเปลี่ยนใจ และไม่ปรากฏตัวอีกเมื่อเห็นว่าเขาไม่ปรากฏตัว เสิ่นหยินอู้ก็โล่งใจไปเฮือกหนึ่ง แล้วพาลูกๆ ไปส่งที่โรงเรียนด้วยตัวเอง เพราะว่ากะเวลาล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว อีกอย่างในมือเธอยังถือกล่องเก็บความร้อนไว้ด้วย ดังนั้น ระหว่างทางเด็กทั้งสองก็เลยถามบางอย่างขึ้นด้วยความสงสัย“อืม ลูกค้าร่วมงานของบริษัทหม่ามี๊คนหนึ่งป่วยน่ะ หม่ามี๊ก็เลยทำอาหารไปให้เขา”เสิ่นเหมิงเหมิงปากหวาน ไม่เพียงแต่หยุดถามต่อ แต่ยังเอ่ยชมเสิ่นหยินอู้ด้วย“หม่ามี๊ใจดีมากเลย คนก็สวย แถมใจดีอีก ต่อไปใครได้หม่ามี๊เป็นแฟนนะ ต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในสามโลกเลย”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยกมุมปากขึ้นคำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่โจวชวงชวงเคยสอนเด็กๆ เสิ่นเหมิงเหมิงมักจะใช้ประโยคนี้ชมเสิ่นหยินอู้บ่อยๆทุกครั้งที่ชม เสิ่นหยินอู้ก็จะอดยิ้มออกมาไม่ได้ไม่ใช่เพราะชมดี
“เปล่าครับๆ ผมแค่มาดูว่าคุณมาถึงหรือยังเฉยๆ”เสิ่นหยินอู้พูดไปด้วยเดินเข้าห้องผู้ป่วยไปด้วย แล้ววางกล่องเก็บความร้อนในมือลงบนตะด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ จากนั้นถกแขนเสื้อขึ้นเปิดฝากล่องเก็บความร้อนออกเมื่อฝาถูกเปิดออก กลิ่นหอมกรุ่นจากอาหารก็ลอยฟุ้งออกมาอบอวลทั่วห้องหลี่มู่ถิงที่ทานมื้อเช้าไปแล้วได้กลิ่นนี้เข้า ความรู้สึกหิวก็ถูกกระตุ้นทีแรกเขาคิดว่าอาหารที่คุณเสิ่นเอามาให้ประธานฉิน จะเป็นอาหารจากข้างนอกด้วยซ้ำ แต่พอชะเง้อไปดูถึงรู้ว่าเป็นอาหารที่เธอทำเองฉินเย่มองดูอยู่ข้างๆ เห็นการกระทำของเธอที่ชำนาญไร้ข้อบกพร่องราวกับทำเรื่องแบบนี้มานับพันนับหมื่นครั้งแล้วอย่างไรอย่างนั้นยิ่งดูเท่าไหร่ หัวคิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดแน่นเท่านั้นรอให้เสิ่นหยินอู้ยกอาหารมาตรงหน้าเขา “กินซะ เป็นอาหารย่อยง่ายหมดเลย ฉันถามหมอมาแล้ว อาการของนายตอนนี้กินอาหารแบบนี้ดีที่สุด”หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ฉินเย่ก็รับถ้วยอาหารมากลิ่นหอมมาก ฉินเย่ที่รู้สึกไม่อยากอาหารมานานได้กลิ่นนี้เข้า ก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที แต่ว่า…เขามองเสิ่นหยินอู้แวบหนึ่ง “เธอทำเองเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ถามกลับ “ไม่อย่างนั้นล่ะ?”ฉินเย
หลังจากออกจากโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้ก็ตรงไปบริษัททันทีเพราะรถติดมาก ดังนั้นตอนที่เธอไปถึงบริษัทก็เลทแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะพบกับผู้ชายคนเมื่อวานอีกครั้งเมื่อเขาเห็นเสิ่นหยินอู้ หนุ่มแว่นคนนั้นก็เผยรอยยิ้มขี้อายออกมาพร้อมยื่นมือทักทายเธอก่อนด้วย“สวัสดีครับ ต่อจากนี้เราคือเพื่อนร่วมงานกันแล้วนะครับ”เสิ่นหยินอู้ยื่นมือออกไปจับมือเขาตอบ“เมื่อวานฉันคิดว่าเธอมาสมัครงานซะอีก ไม่คิดว่าจะเป็นพนักงานที่นี่แล้ว เออนี่ ทำไมเธอถึงสนใจบริษัทเล็กๆ นี้เหรอ? เพราะรู้ล่วงหน้าว่าฉินซื่อกรุ๊ปจะลงทุนให้พวกเขาเหรอ?”รู้ล่วงหน้า?เสิ่นหยินอู้หัวเราะแห้ง กล่าวว่า “ไม่ถึงขนาดรู้ล่วงหน้าหรอก แต่ว่าฉันรับรองว่ารู้ก่อนพวกนายแน่ๆ”“ก็จริง เพราะยังไงเธอก็เข้าบริษัทนี้แล้ว ส่วนพวกเราเห็นผ่านหนังสือสมัครงานเท่านั้น”ข้างในลิฟต์ยังมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย แต่ว่าคนอื่นๆ ดูไม่มีอะไรจะพูด และนอกจากหนุ่มแว่นแล้ว เสิ่นหยินอู้เองก็ไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนอื่นเลยดูท่าแล้วคนที่อยู่ในลิฟต์ตัวเดียวกันกับเธอเมื่อวาน นอกจากหนุ่มแว่นตรงหน้าแล้ว คนอื่นคงถูกปัดตกหมดแล้วหลังจากที่ประตูลิฟต์เปิดออก เสิ่นหยินอู้ก็เดินตรงไปทางซ้
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมพาไปเอง”อู๋อี้ไห่ทักทายเสิ่นหยินอู้เสร็จสรรพ ก็พาทุกคนจากไปทันทีหนุ่มแว่นเดินตามหลังอู๋อี้ไห่ติดๆ “ผู้จัดการอู๋ครับ เธอเป็นบอสของเราจริงๆ เหรอครับ?”ทั้งๆ ที่พูดชัดขนาดนั้นแล้ว ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มจะถามอีกครั้งในเวลานี้อู๋อี้ไห่เป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน เพียงแค่แวบเดียวก็อ่านความคิดของหนุ่มแว่นออกทันที“ทำไม ถ้าไม่ใช่บอสแล้วนายคิดจะจีบเหรอ?”ตามคาด พอเขาพูดออกไปแบบนั้น ชายหนุ่มก็หน้าแดงขึ้นมา“ผู้จัดการอู๋ อย่าพูดมั่วสิครับ”“ฮ่าๆๆ!”อู๋อี้ไห่หัวเราะลั่นออกมา “ไอ้หนุ่ม กลัวอะไรเล่า? ชอบก็จีบเลย เท่าที่ฉันรู้มา บอสของเรายังโสดอยู่นะ”หนุ่มแว่นชะงักงัน ดวงตาฉายแววประกายขึ้นอีกครั้ง แต่พอคิดดูอีกที ก็คอตกเหมือนเดิม“ช่างเถอะครับ เธอออกจะสวยขนาดนั้น ถึงจะไม่ใช่บอส ผมก็ไม่คู่ควรกับเธอหรอก แถมเธอยังรวยด้วย”ได้ยินดังนั้น อู๋อี้ไห่ก็ตบบ่าเขาเบาๆ “จึ นายนี่มันรู้ตัวดีแฮะ ถ้างั้นก็ทำงานดีๆ ต่อไปถ้าผลงานเด่นขึ้นมา ถึงจะไม่เจอผู้หญิงแบบบอสเรา แต่ก็ไม่มีทางแย่แน่นอน”คนกลุ่มหนึ่งเดินห่างไปไกล-เพราะเป็นบริษัทใหม่ ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่เสิ่นหยินอู้ต้องจัดการ เ
คำสามคำง่ายๆ สั้นๆ ได้ใจความนี้ ทำเอาฉินเย่นิ่งเงียบไปทั้งเย็นวันนี้จนกระทั่งฟ้ามืดสนิท เสิ่นหยินอู้ถึงจะมาถึงฉินเย่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย อารมณ์ฉุนเฉียงแรงมาก เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งลงข้างหน้าตัวเองแล้วถึงได้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ทำไมเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย เพียงแค่เหลือบมองฉินเย่นิ่งๆ แวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “เดินทางไปมาไม่ต้องใช้เวลาหรือไง? ทำอาหารไม่ต้องใช้เวลาหรือไง?”คำถามสองคำถามนี้ ทำให้ฉินเย่เงียบกริบในบัดดล พูดอะไรไม่ออกจนกระทั่งเสิ่นหยินอู้วางของกินไว้บนมือเขา ฉินเย่ถึงจะเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มๆ ว่า “ความจริงเธอมาแค่ตัวก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอาหารมาให้ฉันหรอก”เสิ่นหยินอู้ “นายคิดว่าฉันอยากทำหรือไง?”สีหน้าของฉินเย่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย“แล้วทำไมเธอถึง?”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแค่ลุกขึ้นเก็บของ ถึงแม้เธอจะหันหลังให้เขา แต่แผ่นหลังของเธอกลับเหมือนมีตาทิพย์ เธอพูดตักเตือน “นายควรจะรีบกินให้เสร็จนะ เสียเวลาฉันมาก”ฉินเย่กินอาหารที่เธอทำมาให้เงียบๆ จนหมดหลังจากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็มาเก็บถ้วยไป แล้วพูดด้วยน้
หลี่มู่ถิง: “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะให้พวกเขาคอยสังเกต แล้วคุณเสิ่น...…” “ฉันจะอยู่ที่นี่ชั่วคราว สำหรับเรื่องหลังจากนี้......ฉันจะหาทางติดต่อพวกคุณไปค่ะ” เมื่อได้ยินแบบนี้ หลี่มู่ถิงก็เข้าใจได้ทันทีว่า เธอจะไม่กลับไปกับพวกเขา “คุณเสิ่น คุณถูกกักตัวไว้หรือเปล่าครับ?” ถูกกักไว้เหรอ? เสิ่นหยินอู้มองออกไปข้างนอก คิดถึงตอนที่ผู้ช่วยเฉินเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าเธอจะหนีหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดจะกักเธอไว้ สิ่งที่กักขังเธอไว้คือความห่วงใยที่มีให้ฉินเย่ ตั้งแต่เธอตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ ก็เหมือนเธอถูกกักไว้แล้ว“ไม่มีใครกักฉันไว้ค่ะ ฉันค่อนข้างอิสระที่นี่ แต่คุณน่าจะเข้าใจว่าพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไร วันนี้คุณพาคนกลับไปได้เลยค่ะ กลับไปพักผ่อนและหาเบาะแสต่อเถอะ” อีกฝ่ายเงียบไปนานก่อนจะพยักหน้า“คุณเสิ่น ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำตามที่คุณบอก”ตู๊ด ตู๊ด—— หลังจากวางสาย เสิ่นหยินอู้วางโทรศัพท์ลงบนอ่างล้างหน้า ก้มลงล้างหน้าแล้วปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำหลังจากนั้น เธอก็หมุนตัวออกจากห้องน้ำไปหาผู้ช่วยเฉิน เธอคิดว่าเขาจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งของวิลล่า แต่เธอกลับเห็นเขา
ความจริงใจ...... คำนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา เขายังคิดว่าตัวเองมีความจริงใจอยู่อีกหรอ? เสิ่นหยินอู้พยายามระงับความรู้สึกที่จะด่าเขา เธอตัดสายโทรศัพท์ทันทีแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ช่วยเฉิน“ฉันจะดูรูปตอนนี้”ผู้ช่วยเฉินรับโทรศัพท์มาอย่างไร้ความรู้สึกแล้วเปิดรูปให้ดู พอเสิ่นหยินอู้เห็นรูป สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีในรูป ฉินเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว มีผ้าก๊อซพันอยู่รอบหน้าผากและยังมีรอยเลือดอยู่บนผ้าก๊อซ“นี่มันเรื่องอะไร?” เสิ่นหยินอู้เดินเข้ามาจับแขนของผู้ช่วยเฉิน “ทำไมเขาถึงบาดเจ็บขนาดนี้? โม่ไป๋ทำเขาเจ็บแบบนี้หรอ? เขาเป็นอันตรายถึงชีวิตไหม?” ผู้ช่วยเฉินมองมือของเธอ จากนั้นสะบัดออกอย่างไร้ความรู้สึก แล้วถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง“คุณเสิ่น เรื่องนี้ผมไม่ทราบ หากคุณอยากรู้ ก็ไปถามคุณโม่ด้วยตัวเองดีกว่าครับ” “ได้ ฉันจะถามเขาเอง” แต่ผู้ช่วยเฉินกลับดึงโทรศัพท์กลับไป ไม่ได้ให้เธออีกแล้ว“คุณบอกให้ฉันถามเองไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ให้โทรศัพท์ ฉันจะโทรหาเขาได้ยังไง?” “คุณเสิ่น คุณโม่หมายความว่า รอให้เจอกันก่อนแล้วเขาจะบอกคุณ”เสิ่นหยินอู้"......" เมื่อพูดจบ ผู้
เธอมองคนที่มาอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกตัว จากนั้นรีบก้าวเข้าไปอย่างดีใจ“ผู้ช่วยเฉิน ดีจังเลยที่คุณไม่เป็นอะไร ฉันนึกว่าคุณ...…” แต่พอเธอเดินเข้าไปใกล้ ผู้ช่วยเฉินกลับถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเธอเสิ่นหยินอู้หยุดก้าวทันที มองเขาด้วยความสงสัย“เป็นอะไรไปคะ?” แต่สายตาของผู้ช่วยเฉินกลับเย็นชา มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีท่าทีเหมือนก่อนหน้านี้ไม่สิ คนแปลกหน้าก็ยังไม่เย็นชาขนาดนี้ ราวกับว่าพวกเขามีความแค้นต่อกัน “คุณเสิ่นให้ผมรออยู่นานเลยนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสิ่นหยินอู้ "......"รอยยิ้มที่มุมปากของเธอค่อย ๆ หายไป ก่อนจะพูดขึ้นหลังจากเงียบไปซักพัก “ผู้ช่วยเฉิน คุณเป็นอะไรไปคะ?” แต่ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบ กลับจ้องไปที่นอกประตูแทน“คุณเสิ่นมาคนเดียวใช่ไหมครับ? ได้ทำตามสัญญาหรือเปล่า?” เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำได้แค่พยักหน้าตามคำพูดของเขา“พวกเขามาส่งฉันค่ะ แต่ยังอยู่ห่างจากที่นี่ ฉันไม่ได้ให้พวกเขาเข้ามา” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้หยุดไปซักพัก แล้วพูดต่อว่า “นี่ไม่นับเป็นการผิดสัญญาใช่ไหม?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบรับ เสิ่นหยินอ
อาจเป็นเพราะสองวันนี้ไม่ได้กินอะไรดี ๆ ลำไส้และกระเพาะอาหารเลยรู้สึกไม่ค่อยดี ประกอบกับเส้นทางที่ขรุขระแบบนี้ ความรู้สึกคลื่นไส้เริ่มผุดขึ้นมา แต่เธอก็ทำได้แค่พยายามอดทน ทันทีที่รถหยุด สิ่งแรกที่เสิ่นหยินอู้ทำคือลงจากรถแล้วพุ่งไปอาเจียนข้างทาง“คุณเสิ่นครับ!” หลี่มู่ถิงตกใจในปฏิกิริยาของเธอ จึงรีบเปิดประตูรถตามลงไปทันที“คุณเสิ่นเป็นอะไรมั้ยครับ?” เสิ่นหยินอู้นั่งยองข้างถนน เพราะลมพัดแรง หลี่มู่ถิงจึงรีบถอดเสื้อคลุมออกแล้วคลุมให้เธอ จากนั้นก็พยุงเสิ่นหยินอู้ที่ใบหน้าซีดเซียวให้ยืนขึ้น“ไม่เป็นไรค่ะ” หลี่มู่ถิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ซีดราวกับกระดาษ ตอนที่อยู่ในรถเขามัวแต่คิดและสั่งการเลยไม่ได้สังเกตเห็น ตอนนี้เขาสังเกตดูอาการของเสิ่นหยินอู้ คงเป็นเพราะเส้นทางขรุขระเกินไปทำให้เธอเมารถ ขณะที่เขากำลังคาดเดาในใจ เสิ่นหยินอู้ก็พูดขึ้นว่า “แค่เมารถนิดหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นค่ะ”“ขอโทษครับคุณเสิ่น ถนนเส้นนี้ขรุขระเกินไป ผมน่าจะให้พวกเขาขับช้ากว่านี้” คุณเสิ่นอดทนมาก เมารถมาตลอดทางแต่ก็ไม่พูดอะไรเลย เสิ่นหยินอู้เพียงแค่ยิ้มให้เขา เป็นสัญญาณว่าเธอไม่เป็นอะไร
ได้ยินถึงตรงนี้ หลี่มู่ถิงก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเธอแล้ว“คุณเสิ่นครับ ประเทศนี้ คุณมาเป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับ?” เสิ่นหยินอู้คิดอยู่สักพัก ก่อนจะส่ายหน้า“ก็ไม่ถือว่าเป็นครั้งแรกหรอกค่ะ แต่ครั้งก่อนฉันมาคนเดียว และอยู่ที่นี่แค่สองวันเท่านั้น” ตอนนั้นเธอพักที่โรงแรม ไม่ได้มีสถานที่ที่เรียกว่าเป็นที่เก่ากับโม่ไป๋หรอก? ไม่ใช่แค่ครั้งก่อน ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เธอไม่รู้สึกว่ามีที่เก่าที่ไหนเลย นอกจากวิลล่าหลังนั้นที่พวกเขาเคยไป เพราะนั่นเป็นสถานที่ที่เธออยู่นานที่สุด หลังจากฟังเธอพูด หลี่มู่ถิงก็ตกอยู่ในห้วงความคิดเช่นกัน“หรือว่า ที่เก่าที่เขาพูดถึง ไม่ได้หมายถึงเมืองนี้ หรือประเทศนี้?” ตอนแรกเสิ่นหยินอู้ก็คิดแบบเดียวกัน แต่จากนิสัยของโม่ไป๋แล้วไม่น่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าเธอมาผิดที่จริง โม่ไป๋ก็น่าจะบอกเธอทางโทรศัพท์ เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องการเจอเธอ แล้วเขาก็ยังรู้หมายเลขเที่ยวบินของเธอด้วย“ไม่น่าจะใช่ค่ะ ถ้าไม่มีที่อื่นแล้ว ก็คงต้องไปที่นั่นแล้วล่ะ” ที่นี่ก็ไม่มีที่อื่นอีกแล้ว ถ้าเธอจะไปหาเขา ก็มีแค่สถานที่นั้นเท่านั้น หลี่มู่ถิงรู้สึกจนปัญญาไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้ก
"ไม่ต้องดูหรอกค่ะ หมายเลขนั้นคงโทรกลับไปไม่ได้หรอก เขาคงจัดการมันไปแล้ว" ความหมายของเขาชัดเจนมาก เขาต้องการให้เธอไปหาเขา และต้องไปคนเดียว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมที่เขากล้าทำแบบนี้ก็เพราะว่าเขามีสิ่งที่เป็นจุดอ่อนพวกเธออยู่ในมือรู้การเคลื่อนไหวของเธอทั้งหมด แต่กลับไม่ให้คนไปหาเธอ ต้องการให้เธอไปหาเขาแทนเสิ่นหยินอู้หลับตาลง เห็นได้ชัดว่าฉินเย่อยู่ในกำมือของเขาจริงๆเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ทำไมฉินเย่ถึงแพ้เขาได้? เขาวางแผนลอบทำร้ายฉินเย่เหรอ?"คุณเสิ่น คุณไปคนเดียวไม่ได้หรอกครับ" หลี่มู่ถิงพูดอย่างโกรธเคือง “เขาตั้งใจจะควบคุมคุณ""ค่ะ ก็รู้แล้ว แต่จะทำยังไง? คุณมีวิธีที่จะหาฉินเย่เจอไหม?"หลี่มู่ถิง "......" หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่มู่ถิงก็พูดขึ้นว่า "คนของเราที่ส่งออกไปก็กำลังพยายามหาอย่างสุดความสามารถอยู่ครับ"เมื่อเห็นว่าเสิ่นหยินอู้ไม่ตอบ เขาพูดต่อว่า "ขอโทษครับคุณเสิ่น เป็นเพราะผมใช้ไม่ได้ ตอนนั้นผมน่าจะอยู่ช่วยเขา"ถึงตอนนี้แล้ว ใครจะใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วเสิ่นหยินอู้ไม่อยากพูดอะไรต่อ แต่เธอก็ยังปลอบใจเขาว่า "อย่าคิดแบบนั้นเลยค่ะ เรื่องนี้จริ
เป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่แค่เสิ่นหยินอู้ ทุกคนในรถที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ต่างก็ปรับท่านั่งให้ตั้งตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวหลี่มู่ถิงมองโทรศัพท์ด้วยความกังวลแล้วหันไปมองเสิ่นหยินอู้"คุณเสิ่น พอรับสายแล้วเปิดลำโพงได้ไหมครับ?""ค่ะ"เสิ่นหยินอู้รับสายโดยที่ไม่แสดงอารมณ์ และเปิดลำโพงทุกคนในรถต่างก็เผลอหายใจเบาลงโดยไม่รู้ตัวเสิ่นหยินอู้รับสายและพูดออกมาช้าๆ “ฮัลโหล?"มีเสียงหัวเราะต่ำๆ ที่ดูพอใจดังมาจากจากอีกฝั่ง จากนั้นโม่ไป๋ก็พูดขึ้นมาว่า “เธอมาจริงๆด้วย เร็วกว่าที่ผมคาดไว้อีก"เสิ่นหยินอู้ “......"เขาคงจับตาดูการเคลื่อนไหวของเธออยู่จริงๆก็แน่ล่ะ ด้วยความสามารถและคอนเนคชั่นของเขา อะไรที่เขาอยากรู้เขาจะไม่รู้ได้ยังไง?เขาไม่ต้องสืบหาอะไรเลย แค่ถามใครสักคนก็คงรู้แล้วว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่"ดูเหมือนว่าในใจของเธอเขาจะสำคัญมากจริงๆ......"เสิ่นหยินอู้ได้ยินความไม่พอใจจากเสียงที่ลากยาวของเขา"ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่รีบร้อนขนาดนี้หรอก"ได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วสวยของเธอ ก่อนจะกลับเป็นปกติแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “คนที่ควรจะร
"คุณเสิ่น!" ทุกคนตะโกนเรียกเธอพร้อมกัน เสิ่นหยินอู้ยกมือขึ้นไปที่ริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว เพื่อเป็นสัญญาณให้พวกเขาหยุดส่งเสียง ในช่วงเวลานี้ ทุกคนต่างก็กำลังพักผ่อน แต่พวกเขากลับเสียงดังมาก หัวหน้าบอดี้การ์ดแสดงสีหน้าละอายในทันทีจริงๆ แล้วเสียงของพวกเขาก็ไม่ได้ดังมาก แต่เมื่อทุกคนพูดออกมาพร้อมกัน มันเลยดูดังขึ้นมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้กลัวว่าพวกเขาจะพูดขึ้นมาอีก จึงรีบลากกระเป๋าเดินทางลงมา"ไปกันเถอะ" "คุณเสิ่น ให้ผมถือกระเป๋าให้ดีกว่าครับ" ในกระเป๋าเดินทางของเสิ่นหยินอู้จริงๆ แล้วไม่ได้มีของอะไรมากมาย เธอแค่เอาเสื้อผ้าที่ใช้เปลี่ยนในแต่ละวันไป แม้แต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวก็ไม่ได้เอาอะไรไปเลย ดังนั้นมันจึงเบามาก เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว “ฉันถือเองได้ค่ะ ในกระเป๋าแทบจะไม่มีอะไรเลย”หัวหน้าบอร์ดี้การ์ดยังคงยืนกราน ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็เลยต้องยอมส่งกระเป๋าให้เขาหลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขึ้นรถภายใต้การคุ้มกันของพวกเขา ขณะที่เธอนั่งอยู่ในรถ แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่เสิ่นหยินอู้ก็มองเห็นขบวนรถยาวเรียงกันบนถนนจากกระจกมองหลังแสงไฟหน้ารถทำให้สภาพแวดล้อมที่มืดมิดสว่างไสวราวกับกลางวัน เสิ่
"คุณไม่พูด แสดงว่าคุณก็คิดเหมือนกับฉันใช่มั้ยล่ะคะ? ตอนนี้ติดต่อเขาไม่ได้ คุณก็เป็นห่วงเขาเหมือนกันใช่ไหม?""คุณเสิ่น"หลี่มู่ถิงพึ่งได้สติ เขากัดฟันพูดว่า “ใช่ครับ ผมเป็นห่วงประธานฉินมาก แต่ก่อนออกเดินทางประธานฉินได้กำชับผมว่า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของคุณกับเด็กๆ ถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้น ประธานฉินก็จะหาทางหนีด้วยตัวเอง ผมจะไม่ยอมให้คุณเสิ่นต้องเสี่ยงเพื่อประธานฉินเด็ดขาด'" "หนีได้? ถ้าเป็นในประเทศก็ว่าไปอย่าง คุณรู้หรือเปล่าว่าที่ต่างประเทศสถานการณ์เป็นยังไง? คุณคุ้นเคยกับสถานที่มากแค่ไหนคะ?" เสิ่นหยินอู้ถามหลี่มู่ถิงอย่างรวดเร็วติดต่อกันหลายประโยคจนทำให้เขาถึงกับชะงักไป "ฉันบอกคุณตอนนี้เลย ถ้าเขาหนีไม่ได้หรือเกิดอะไรขึ้น คุณจะรู้สึกเสียใจมั้ยคะที่ยืนยันแบบวันนี้?" หลี่มู่ถิงเงียบไป"ฉันจะซื้อตั๋วเดี๋ยวนี้ค่ะ"พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็วางสายทันที เข้าแอปพลิเคชั่นเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน เธอจัดการอย่างรวดเร็วและตั้งใจแน่วแน่ ครั้งก่อนเป็นเพราะลูกๆ อยู่กับเธอ เธอจึงทำอะไรไม่สะดวกมากนัก แต่ครั้งนี้เธอไปคนเดียว เหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนมีคุณปู่คุณย่าคอยดูแล แถมยังมีบอดี้การ์ดมากม