หากพิจารณาจากทุกๆ เรื่อง เขาถือว่าเป็นแฟนที่ดีที่หายากคนหนึ่งจริงๆแต่น่าเสียดายที่เรื่องของความรู้สึก เป็นจุดอ่อนของเสิ่นหยินอู้เธอหันกลับไปมองเขา “ขอโทษ”โม่ไป๋มองเธอนิ่งๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมาอีกครั้ง “วันนี้เธอเหนื่อยแล้วใช่ไหม? เธอขึ้นไปก่อนเถอะ มีเรื่องอะไร อีกสองวันเราค่อยมาคุยกัน”“โม่ไป๋…”“เด็กๆ น่าจะรอเก้อแล้ว รีบขึ้นไปเถอะ”ระหว่างที่พูด โม่ไป๋ยังเอามือจับไหล่ผลักเธอเข้าไปในลิฟต์ จากนั้นเขากดชั้นให้เธอเรียบร้อย แล้วออกไปพร้อมพูดกับเธอว่า “เธอขึ้นไปถึงแล้ว ก็บอกให้ผู้ช่วยเฉินลงมาเลยก็พอ”เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วอันมีเสน่ห์ ไม่ได้ตอบเขาไม่นานประตูลิฟต์ก็ปิดลงช้าๆ ก่อนที่ประตูจะปิดสนิท เสิ่นหยินอู้เห็นโม่ไป๋ส่งยิ้มให้กับเธอ“ฝันดีนะ”ทันใดนั้นเอง ประตูลิฟต์ก็ปิดลงอย่างสนิทเสิ่นหยินอู้กลับไปถึงบ้าน ผู้ช่วยเฉินและพี่เลี้ยงเด็กประจำอีกคนหนึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นเธอกลับมาถึงก็รีบลุกขึ้นทักทายเธอเมื่อนึกถึงคำพูดที่โม่ไป๋พูดแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงพูดกับเขาว่า “ผู้ช่วยเฉิน โม่ไป๋รอนายอยู่ข้างล่างน่ะ”“หืม? ทำไมวันนี้ประธานโม่ถึงไม่ขึ้นมาด
วันต่อมาเสิ่นหยินอู้ส่งลูกทั้งสองคนไปโรงเรียนด้วยตัวเองเดิมทีช่วงนี้โม่ไป๋จะเป็นคนรับส่ง แต่หลังจากคุยกันเมื่อคืนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ให้เขามารับส่งอีก“ถ้านายจะให้เวลาฉันคิดจริงๆ งั้นช่วงนี้นายก็อย่าทำเรื่องที่แทรกแซงความคิดของฉัน”โม่ไป๋ถูกเธอพูดจนเปลี่ยนใจ และไม่ปรากฏตัวอีกเมื่อเห็นว่าเขาไม่ปรากฏตัว เสิ่นหยินอู้ก็โล่งใจไปเฮือกหนึ่ง แล้วพาลูกๆ ไปส่งที่โรงเรียนด้วยตัวเอง เพราะว่ากะเวลาล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว อีกอย่างในมือเธอยังถือกล่องเก็บความร้อนไว้ด้วย ดังนั้น ระหว่างทางเด็กทั้งสองก็เลยถามบางอย่างขึ้นด้วยความสงสัย“อืม ลูกค้าร่วมงานของบริษัทหม่ามี๊คนหนึ่งป่วยน่ะ หม่ามี๊ก็เลยทำอาหารไปให้เขา”เสิ่นเหมิงเหมิงปากหวาน ไม่เพียงแต่หยุดถามต่อ แต่ยังเอ่ยชมเสิ่นหยินอู้ด้วย“หม่ามี๊ใจดีมากเลย คนก็สวย แถมใจดีอีก ต่อไปใครได้หม่ามี๊เป็นแฟนนะ ต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในสามโลกเลย”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยกมุมปากขึ้นคำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่โจวชวงชวงเคยสอนเด็กๆ เสิ่นเหมิงเหมิงมักจะใช้ประโยคนี้ชมเสิ่นหยินอู้บ่อยๆทุกครั้งที่ชม เสิ่นหยินอู้ก็จะอดยิ้มออกมาไม่ได้ไม่ใช่เพราะชมดี
“เปล่าครับๆ ผมแค่มาดูว่าคุณมาถึงหรือยังเฉยๆ”เสิ่นหยินอู้พูดไปด้วยเดินเข้าห้องผู้ป่วยไปด้วย แล้ววางกล่องเก็บความร้อนในมือลงบนตะด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ จากนั้นถกแขนเสื้อขึ้นเปิดฝากล่องเก็บความร้อนออกเมื่อฝาถูกเปิดออก กลิ่นหอมกรุ่นจากอาหารก็ลอยฟุ้งออกมาอบอวลทั่วห้องหลี่มู่ถิงที่ทานมื้อเช้าไปแล้วได้กลิ่นนี้เข้า ความรู้สึกหิวก็ถูกกระตุ้นทีแรกเขาคิดว่าอาหารที่คุณเสิ่นเอามาให้ประธานฉิน จะเป็นอาหารจากข้างนอกด้วยซ้ำ แต่พอชะเง้อไปดูถึงรู้ว่าเป็นอาหารที่เธอทำเองฉินเย่มองดูอยู่ข้างๆ เห็นการกระทำของเธอที่ชำนาญไร้ข้อบกพร่องราวกับทำเรื่องแบบนี้มานับพันนับหมื่นครั้งแล้วอย่างไรอย่างนั้นยิ่งดูเท่าไหร่ หัวคิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดแน่นเท่านั้นรอให้เสิ่นหยินอู้ยกอาหารมาตรงหน้าเขา “กินซะ เป็นอาหารย่อยง่ายหมดเลย ฉันถามหมอมาแล้ว อาการของนายตอนนี้กินอาหารแบบนี้ดีที่สุด”หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ฉินเย่ก็รับถ้วยอาหารมากลิ่นหอมมาก ฉินเย่ที่รู้สึกไม่อยากอาหารมานานได้กลิ่นนี้เข้า ก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที แต่ว่า…เขามองเสิ่นหยินอู้แวบหนึ่ง “เธอทำเองเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ถามกลับ “ไม่อย่างนั้นล่ะ?”ฉินเย
หลังจากออกจากโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้ก็ตรงไปบริษัททันทีเพราะรถติดมาก ดังนั้นตอนที่เธอไปถึงบริษัทก็เลทแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะพบกับผู้ชายคนเมื่อวานอีกครั้งเมื่อเขาเห็นเสิ่นหยินอู้ หนุ่มแว่นคนนั้นก็เผยรอยยิ้มขี้อายออกมาพร้อมยื่นมือทักทายเธอก่อนด้วย“สวัสดีครับ ต่อจากนี้เราคือเพื่อนร่วมงานกันแล้วนะครับ”เสิ่นหยินอู้ยื่นมือออกไปจับมือเขาตอบ“เมื่อวานฉันคิดว่าเธอมาสมัครงานซะอีก ไม่คิดว่าจะเป็นพนักงานที่นี่แล้ว เออนี่ ทำไมเธอถึงสนใจบริษัทเล็กๆ นี้เหรอ? เพราะรู้ล่วงหน้าว่าฉินซื่อกรุ๊ปจะลงทุนให้พวกเขาเหรอ?”รู้ล่วงหน้า?เสิ่นหยินอู้หัวเราะแห้ง กล่าวว่า “ไม่ถึงขนาดรู้ล่วงหน้าหรอก แต่ว่าฉันรับรองว่ารู้ก่อนพวกนายแน่ๆ”“ก็จริง เพราะยังไงเธอก็เข้าบริษัทนี้แล้ว ส่วนพวกเราเห็นผ่านหนังสือสมัครงานเท่านั้น”ข้างในลิฟต์ยังมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย แต่ว่าคนอื่นๆ ดูไม่มีอะไรจะพูด และนอกจากหนุ่มแว่นแล้ว เสิ่นหยินอู้เองก็ไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนอื่นเลยดูท่าแล้วคนที่อยู่ในลิฟต์ตัวเดียวกันกับเธอเมื่อวาน นอกจากหนุ่มแว่นตรงหน้าแล้ว คนอื่นคงถูกปัดตกหมดแล้วหลังจากที่ประตูลิฟต์เปิดออก เสิ่นหยินอู้ก็เดินตรงไปทางซ้
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมพาไปเอง”อู๋อี้ไห่ทักทายเสิ่นหยินอู้เสร็จสรรพ ก็พาทุกคนจากไปทันทีหนุ่มแว่นเดินตามหลังอู๋อี้ไห่ติดๆ “ผู้จัดการอู๋ครับ เธอเป็นบอสของเราจริงๆ เหรอครับ?”ทั้งๆ ที่พูดชัดขนาดนั้นแล้ว ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มจะถามอีกครั้งในเวลานี้อู๋อี้ไห่เป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน เพียงแค่แวบเดียวก็อ่านความคิดของหนุ่มแว่นออกทันที“ทำไม ถ้าไม่ใช่บอสแล้วนายคิดจะจีบเหรอ?”ตามคาด พอเขาพูดออกไปแบบนั้น ชายหนุ่มก็หน้าแดงขึ้นมา“ผู้จัดการอู๋ อย่าพูดมั่วสิครับ”“ฮ่าๆๆ!”อู๋อี้ไห่หัวเราะลั่นออกมา “ไอ้หนุ่ม กลัวอะไรเล่า? ชอบก็จีบเลย เท่าที่ฉันรู้มา บอสของเรายังโสดอยู่นะ”หนุ่มแว่นชะงักงัน ดวงตาฉายแววประกายขึ้นอีกครั้ง แต่พอคิดดูอีกที ก็คอตกเหมือนเดิม“ช่างเถอะครับ เธอออกจะสวยขนาดนั้น ถึงจะไม่ใช่บอส ผมก็ไม่คู่ควรกับเธอหรอก แถมเธอยังรวยด้วย”ได้ยินดังนั้น อู๋อี้ไห่ก็ตบบ่าเขาเบาๆ “จึ นายนี่มันรู้ตัวดีแฮะ ถ้างั้นก็ทำงานดีๆ ต่อไปถ้าผลงานเด่นขึ้นมา ถึงจะไม่เจอผู้หญิงแบบบอสเรา แต่ก็ไม่มีทางแย่แน่นอน”คนกลุ่มหนึ่งเดินห่างไปไกล-เพราะเป็นบริษัทใหม่ ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่เสิ่นหยินอู้ต้องจัดการ เ
คำสามคำง่ายๆ สั้นๆ ได้ใจความนี้ ทำเอาฉินเย่นิ่งเงียบไปทั้งเย็นวันนี้จนกระทั่งฟ้ามืดสนิท เสิ่นหยินอู้ถึงจะมาถึงฉินเย่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย อารมณ์ฉุนเฉียงแรงมาก เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งลงข้างหน้าตัวเองแล้วถึงได้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ทำไมเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย เพียงแค่เหลือบมองฉินเย่นิ่งๆ แวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “เดินทางไปมาไม่ต้องใช้เวลาหรือไง? ทำอาหารไม่ต้องใช้เวลาหรือไง?”คำถามสองคำถามนี้ ทำให้ฉินเย่เงียบกริบในบัดดล พูดอะไรไม่ออกจนกระทั่งเสิ่นหยินอู้วางของกินไว้บนมือเขา ฉินเย่ถึงจะเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มๆ ว่า “ความจริงเธอมาแค่ตัวก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอาหารมาให้ฉันหรอก”เสิ่นหยินอู้ “นายคิดว่าฉันอยากทำหรือไง?”สีหน้าของฉินเย่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย“แล้วทำไมเธอถึง?”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแค่ลุกขึ้นเก็บของ ถึงแม้เธอจะหันหลังให้เขา แต่แผ่นหลังของเธอกลับเหมือนมีตาทิพย์ เธอพูดตักเตือน “นายควรจะรีบกินให้เสร็จนะ เสียเวลาฉันมาก”ฉินเย่กินอาหารที่เธอทำมาให้เงียบๆ จนหมดหลังจากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็มาเก็บถ้วยไป แล้วพูดด้วยน้
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “การแลกเปลี่ยนอะไร?”ในเมื่อเปิดประเด็นแล้ว เสิ่นหยินอู้เองก็ไม่คิดจะปิดบังอีก เพราะไหนๆ ก็ผ่านมาหลายวันแล้วเธอเดินไปตรงหน้าฉินเย่ “สองสามวันนี้ อาการป่วยของนายดีขึ้นมาแล้วใช่ไหม?”ฉินเย่เม้มริมฝีปาก ไม่พูดจา รอให้เธอพูดต่อผ่านไปนาน เสิ่นหยินอู้ถึงจะพูดขึ้น “ฉันอยากเจอคุณย่า”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็หรี่ตาลง“เพราะฉะนั้น?”“เพราะฉะนั้นที่ฉันทำอาหารมาส่งให้นายสองสามวันนี้ ถือเป็นการช่วยรักษาอาการป่วยของนายด้วย แล้วก็เป็นการแลกเปลี่ยนขอเจอหน้าคุณย่าด้วย”ฉินเย่จ้องเธออยู่พักหนึ่ง แล้วหลุดหัวเราะออกมาไม่น่าล่ะ หลังจากที่เธอร้องไห้ในวันนั้น พอออกมาจากห้องน้ำ ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เพียงแต่ยอมมาเจอหน้าเขาเท่านั้น แต่ยังทำอาหารมาให้เขาด้วยทำแบบนี้ต่อเนื่องอยู่หลายวัน เขาคิดว่าจู่ๆ เธอก็เปลี่ยนไปซะอีก ที่ไหนได้ เธอคิดคำนวณตนไว้แต่แรกแล้วเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ฉินเย่ก็ถามขึ้นกะทันหันว่า “ถ้าไม่ใช่เรื่องคุณย่า เธอไม่คิดจะทำอาหารสำหรับสองสามวันนี้เลยใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้มองเขายิ่งๆ“นายกินก็กินไปแล้ว อาการป่วยก็ดีขึ้นมากแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้หรอ
หลี่มู่ถิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับ ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงจะถามขึ้นเสียงเบาว่า “ประธานฉิน จะทำเรื่องออกโรงพยาบาลจริงเหรอครับ? คุณยังไม่หายดีเลยนะ”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉินเย่ก็แย่ถึงสุดขีด“นายไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด? ให้ฉันไปทำเรื่องออกโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนี้เลยน่ะ”หลี่มู่ถิงกะพริบตาปริบๆ “ไม่สิ คุณบอกเองว่าจะทำเรื่องออกโรงพยาบาล คุณเสิ่นไม่ได้บอกสักหน่อย”ฉินเย่ “…”“อีกอย่าง วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเป็นคนถามขึ้นก่อนว่าเพราะอะไรคุณเสิ่นถึงทำอาหารส่งมาให้คุณล่ะก็ คุณเสิ่นเขาไม่คิดจะสารภาพกับคุณตั้งแต่วันนี้เลยสักหน่อย”ยิ่งฟัง สีหน้าของฉินเย่ก็ยิ่งคล้ำดำ“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ มะรืนล่ะ?”“ประธานฉิน ผมว่านะ ถ้าคุณอยากเห็นหน้าคุณเสิ่นตลอด คุณก็ต้องรุกหน่อยสิ คนประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ไม่ควรใช้ชีวิตจริงจังเกินไป คุณเป็นคนตามจีบคนอื่นเขาก่อนเอง ถ้าคุณยังใช้ชีวิตจริงจังมากแบบนี้ คุณจะจีบติดเหรอ?”หลังจากกระชับความสัมพันธ์กันมาหลายวัน หลี่มู่ถิงเองก็กล้าพูดตรงไปตรงมาแล้ว เพราะเขาพบว่าเรื่องระหว่างเขากับเสิ่นหยินอู้นั้น ถ้าหากคำแนะนำของเขามีประโยชน์ล่ะก็ ฉินเย่ก็จะไม่โ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ