เสิ่นหยินอู้คัดค้าน “ฉันไม่ได้ไม่อยาก แต่ฉันกำลังทำงาน บริษัทต้องดำเนินต่อไป และต้องใช้เงินทุนด้วย ก่อนหน้านี้ผู้จัดการอู๋เคยเป็นพนักงานจัดการของบริษัทใหญ่มาก่อน ฉินซื่อก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ อีกอย่าง ฉันปลงแล้ว ไม่ใส่ใจแล้ว ก็แค่ร่วมงานกันจะเป็นอะไรไป? ฉันไม่ได้รับผลกระทบสักหน่อย จะให้ฉันทำงานในเมืองเจียงเฉิง แล้วหนีทุกครั้งที่เจอเขาเลยหรือไง?”“เหรอ? เธอแน่ใจเหรอว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย?”“ฉันมั่นใจ”“โอเค ถ้างั้นเธอตกลงกับฉัน”เสิ่นหยินอู้ “อะไร?”“ตกลงคบกับฉัน”เป็นครั้งแรกที่บนใบหน้ารูปหล่อของโม่ไป๋ไม่มีรอยยิ้มและความอบอุ่นเสิ่นหยินอู้มองเขานิ่งๆไม่คิดเลยว่าจู่ๆ เขาจะบังคับถึงขนาดนี้“นาย…”“ไหนว่าไม่ได้รับผลกระทบเลยไง? ตอนอยู่บนรถก่อนหน้านี้ ก่อนที่ผู้จัดการอู๋จะโทรมา เธอตั้งใจจะพูดอะไรกับฉัน?” โม่ไป๋จ้องเธอเขม็ง “เธอบอกว่าไม่ได้รับผลกระทบ ถ้างั้นตอนนี้เธอบอกฉันมาว่าความคิดของเธอเปลี่ยนไปไหม ถ้าเทียบกับตอนนั้น?”เสิ่นหยินอู้เงียบเพราะเธอพบว่าตัวเองไม่สามารถคัดค้านได้เลยความคิดหนึ่งเกิดขึ้น ความคิดหนึ่งหายไปตอนนั้นเธอจะตอบโม่ไป๋ว่า ถ้าเขายินดี ตนสามารถ
“ได้ สามวัน”เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการ โม่ไป๋จึงยอมปล่อยเธอไปในที่สุด จากนั้นเขาก็กลับมายิ้มอย่างปกติอีกครั้ง“ดูเหมือนเธอมีเรื่องจะคุยกับผู้จัดการอู๋ งั้นฉันไปเรียกเขาเข้ามาละกัน”พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินออกไปทันทีที่เขาออกไป เสิ่นหยินอู้ที่ตึงเครียดมาตลอดก็รู้สึกผ่อนคลายลงทันที เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเหมือนกับปลาที่เกือบตายบนฝั่ง แต่เมื่อได้กลับลงน้ำก็สามารถหายใจได้ตามปกติเสิ่นหยินอู้พิงตัวลงบนโซฟา เธอหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าโม่ไป๋...เปลี่ยนไปมากจริง ๆก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่า เขาเป็นผู้ชายที่สุภาพและเข้าถึงง่ายมาโดยตลอดแต่วันนี้เขากลับดูแข็งกร้าวขึ้นมา ทำให้เธอรู้สึกว่าถ้าเธอไม่ยอมตอบตกลง เขาก็คงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่เสียงจากข้างนอกดังขึ้น อู๋อี้ไห่เดินเข้ามา“ประธาน?”หลังจากที่อู๋อี้ไห่เข้ามา เขาก็แอบชำเลืองมองออกไปที่นอกประตูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเสิ่นหยินอู้แต่ก็กลัวว่าจะมีมาคนได้ยิน เลยรีบวิ่งสับๆออกไปนอกประตูอย่างรวดเร็วเมื่อแน่ใจว่าโม่ไป๋ไม่อยู่แล้ว เขาถึงปิดประตูแล้วเดินเข้ามาหาเสิ่นหยินอู้อย่างลับๆล่อๆ“ประธาน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู
ค่ำคืนที่เงียบสงบราวกับสายน้ำณ โรงพยาบาลหลี่มู่ถิงนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ จ้องมองอาหารหลายจานบนโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นเขาก็หันไปมองฉินเย่ที่ไม่ยอมกินอะไรเลยพลันถอนหายใจว่า “ประธานฉิน นี่ก็ผ่านมาทั้งวันแล้ว คุณควรจะกินอะไรบ้างนะ?”แต่ฉินเย่กลับใส่หูใส่ฟังบลูทูธ เขานั่งพิงตัวลงหัวเตียงแล้วมองจอโทรศัพท์มือถืออย่างเงียบๆหลี่มู่ถิงยื่นหน้าเข้าไปดูพบว่าบนจอโทรศัพท์มือถือ ปรากฏภาพเด็กน้อยสองคนกำลังไลฟ์สดเขารู้สึกพูดไม่ออก นี่ถึงขั้นยอมดูเด็กน้อยไลฟ์สดแต่ไม่ยอมกินข้าวเนี่ยนะ หลี่มู่ถิงมองจอมือถือด้วยความรู้สึกชาด้านแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาถ้าเขาไปสมัครบัญชีปลอมแล้วส่งข้อความถึงเด็กน้อยสองคนนี้ บอกว่าเพื่อนเขาคนหนึ่งชอบดูไลฟ์สดของพวกเขามาก แต่ตอนนี้เพื่อนคนนั้นป่วยหนักและไม่ยอมกินข้าวหรือรับการรักษาใดๆ ขอให้เด็กน้อยทั้งสองคนช่วยพูดเกลี่ยกล่อมหน่อย จะมีประโยชน์หรือเปล่านะ?เขารู้สึกว่าน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ถ้าเด็กสองคนนี้พูดในดูไลฟ์สดว่าอยากให้เพื่อนคนนี้กินข้าวเยอะๆ ฉินเย่อาจจะยอมฟังก็ได้?คิดได้เช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็แอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเริ่มลงมือทันทีเพร
“ขอให้หายไวๆ นะครับ!”ทุกคนที่อยู่ในห้องไลฟ์สดต่างเป็นคนดีเสิ่นซือเหนียนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าน่ารักและละเอียดอ่อนจ่อเข้าไปใกล้กล้องจนเต็มหน้าจอ“โอ๊ย!”หลี่มู่ถิงที่ถือโทรศัพท์อยู่ถึงกับอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ เขามองใบหน้าน้อยๆ ที่จ่อกล้องด้วยความตกตะลึงไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า เขากลับคิดว่าใบหน้าน้อยๆ นี้คือฉินเย่ในเวอร์ชันย่อส่วน!จากนั้น หลี่มู่ถิงก็เงยหน้ามองฉินเย่แล้วก้มหน้ามองเสิ่นซือเหนียนในโทรศัพท์สลับกันไปมายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจจนในที่สุด เขาก็พูดไม่ออกเมื่อก่อนเขารู้แค่ว่าฉินเย่ชอบดูไลฟ์สดของเด็กน้อยสองคนนี้ และรู้ว่าเด็กน้อยสองคนนี้หน้าตาคล้ายฉินเย่มาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพระยะใกล้ของเจ้าหนู ดวงตา คิ้ว และใบหน้าที่ละเอียดอ่อน แม้จะยังดูไร้เดียงสา แต่กลับเริ่มแสดงออกถึงความเยือกเย็นและสุขุมที่คล้ายคลึงกับฉินเย่อย่างมากก่อนหน้านี้เด็กบางคนที่ถูกพาไปทำศัลยกรรม แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ใบหน้าของเด็กเหล่านั้นที่ผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้วมักจะมองออกได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติกับเจ้าหนูคนนี้แล้ว พอมองใกล้ๆ สิ่งที่เห็นคือผิว
มันได้ผล! เมื่อหลี่มู่ถิงเห็นถึงความอบอุ่นนั้น เขาก็รู้สึกว่าความพยายามของเขานั้นเป็นผล เขาถามอย่างปลื้มปิติว่า"ประธานฉิน งั้นเราไปหาอะไรทานกันไหมครับ?" ใครจะรู้ว่าคำตอบของฉินเย่ในวินาทีถัดมาจะเหมือนกับน้ำเย็นๆที่ราดลงมา ณ ตอนนั้น “ผมบอกว่าอยากกินหรอ? ผมไม่ได้บอกหรอว่าอย่าทำอะไรที่มันไม่จำเป็น” หลี่มู่ถิงอ้ำอึ้งอยู่ที่เดิม “ทำไมล่ะ? เมื่อกี้คุณไม่ได้เพิ่ง...” เขาที่ก่อนหน้านี้มีความอบอุ่นอยู่ในสายตา ในตอนนี้กลับมาเป็นปกติ และกลายเป็นฉินเย่ที่เย็นชาและไม่น่าเข้าใกล้อีกครั้ง ฉินเย่ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเขาอีกต่อไป ในหัวของเขากลับนึกถึงคำพูดของเด็กน้อยสองคนที่บอกว่าขอให้เขามีสุขภาพแข็งแรง และเขาก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ ช่างน่าแปลกที่เด็กสองคนที่เขาไม่รู้จักสามารถเยียวยาเขาผ่านหน้าจอได้ ฉินเย่ขยับนิ้วของเขาและให้รางวัลเด็กทั้งสองอีกครั้ง “เอ๊ะ?” เสิ่นเหมิงเหมิงเห็นข้อความที่เป็นรางวัลบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เธอเบิกตาโตเป็นประกายและพูดว่า “ลุงเย่มู่ก็อยู่หรอคะ ลุงเย่น่ารักมากเลย ขอบคุณสำหรับของขวัญนะคะ” เสียงเล็กๆของเด็กสาวตัวเล็กๆนั้นเหมือนกับตอนที่เขาพบกับเ
"คุณหนูเสิ่น โทรศัพท์คุณดัง ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการให้เองค่ะ" "ก็ได้ค่ะ" เสิ่นหยินอู้ไม่มีทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์ออกไปข้างนอกเพื่อรับสาย "ฮัลโหล?" “คุณหนูเสิ่น” เสียงที่คุ้นเคยทำให้เสิ่นหยินอู้ชะงักไป "ผู้ช่วยหลี่?" ทำไมเขาถึงโทรหาเธออีกแล้ว? “คุณหนูเสิ่น ขอโทษทีครับ ดึกขนาดนี้ ผมคงไม่ได้รบกวนคุณใช่ไหม?” เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า: "มีอะไรหรอคะ?" ขณะที่หลี่มู่ถิงกำลังจะพูดบางอย่าง ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เขาเปิดสปีกเกอร์โฟน ดังนั้นขณะที่กำลังถูกเขาจ้องมอง หลี่มู่ถิงจึงทำได้เพียงเปิดสปีกเกอร์โฟน แล้วพูดอย่างทุลักทุเลว่า "ก็คือแบบนี้ครับ ประ ประธานฉินยังไม่ยอมทานอะไรเลย คุณช่วย..." “ผู้ช่วยหลี่” ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็ถูกเสิ่นหยินอู้ขัดจังหวะอย่างรวดเร็ว: "ประธานฉินของคุณโตแล้ว เขาสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ว่าเขาควรกินหรือไม่กิน และเขนต้องกินหรือไม่กิน ถ้าเขาไม่กิน นั่นหมายความว่าเขารู้จักร่างกายของเขาดี" หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็วางสายไป หลี่มู่ถิง: "..." เขาถือโทรศัพท์ไว้ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ร
เจียงเฉิงงั้นเหรอ?เมื่อเธอเห็นว่าอีกฝ่ายก็อยู่ที่เจียงเฉิงด้วย เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ช่วงนี้มีเรื่องบังเอิญมากเกินไปแล้วก่อนมาที่นี่ เธอคิดว่าเจียงเฉิงเป็นเมืองที่เงียบสงบ หากเธอเปิดบริษัทของตัวเองที่นี่ก็คงไม่เจอคนที่เป็นศัตรูมากนักใครจะไปรู้...เมื่อนึกถึงใครบางคน เสิ่นหยินอู้ก็วางโทรศัพท์ลงช่าบเถอะ แล้วถ้าเจอแล้วมันจะทำไมล่ะ? เจียงเฉิงใหญ่ขนาดนี้ เธอต้องการเปิดบริษัทเพื่อหาเลี้ยงชีพ ตอนนี้เขามาลงทุนในบริษัทของเธอ ในท้ายที่สุดก็ยังคงต้องติดต่อกันอยู่ มันก็แค่นั้นก็แค่ทำให้เป็นเหมือนหุ้นส่วนทั่วๆไปก็โอเคแล้วอย่างไรก็ตาม แม้จะคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้กลับนอนไม่หลับในคืนนั้นเธอพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เธอคิดถึงแต่คำพูดเหล่านั้นที่คุณหมอและหลี่มู่ถิงพูดกับเธอเขาเป็นโรคกระเพาะที่รุนแรงแท้ๆ แต่เขาสามารถเลื่อนการกินยาไปได้ตลอดเวลา ช่างน่าตลกเสียจริง ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ไม่ใส่ใจกับร่างกายของตัวเองเช่นนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปในระยะยาวแล้วมีอะไรเกิดขึ้น เขาคงจะรู้ตัวดีแต่เขายังคงทำเช่นนี้ งั้นก็หมายความว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะรับผลที
แต่เนื่องจากรถสีขาวขับมาเร็วเกินไป จึงเฉี่ยวเข้าที่ท้ายรถสีดำโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะเป็นเพียงการเฉี่ยวกันเล็กๆน้อยๆ แต่เสิ่นหยินอู้ก็รู้ว่าปัญหากำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง อย่างที่คิด หลังจากที่รถชนกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็เปิดประตูลงมาจากรถ และเริ่มโต้เถียงกันเรื่องที่จอดรถและการเฉี่ยวชนกัน เธอคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว จึงส่ายหัวแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน โดยปกติแล้วเธอเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ลิฟต์ แต่วันนี้กลับมีคนหลายคนรอลิฟต์อยู่ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสวมแว่นตามีหน้าตาที่อ่อนโยนและสะอาดสะอ้าน เมื่อเห็นว่าเธอหน้าตาสวยงาม บุคลิกดูมีเอกลักษณ์ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายริเริ่มทักทายเธอก่อน “สวัสดีครับ คุณก็มาสมัครงานด้วยเหรอครับ?” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็อึ้งไปเล็กน้อย “คุณกำลังคุยกับฉันอยู่เหรอคะ?” “ใช่ครับ” ผู้ชายสวมแว่นตาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่บริสุทธิ์: “คุณสวยจังครับ” นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินคำชมที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายพูดด้วยความจริงใจมาก ไม่ได้ดูน่ารังเกียจเลย เสิ่นหยินอู้ยกมุมปากขึ้นแล้วพูดว่า "ขอบคุณค่ะ