เมื่อได้ยินคำพูดของโจวชวงชวงที่ต่อว่าฉินเย่ เสิ่นหยินอู้ก็ต้องการแก้ตัวแทนฉินเย่โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อคำพูดนั้นมาจ่ออยู่ที่ปากของเธอ เธอกลับพูดไม่ออกสักคำ ริมฝีปากของเธอเปิดออก แต่เธอก็พบว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงเลย แก้ตัวเหรอ? สิ่งที่เป็นความจริงอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอยังต้องแก้ตัวอะไรอีก? เมื่อคิดแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ลดสายตาลงและไม่พูดอะไรอีก โจวชวงชวงได้ตัดสินใจแทนเธอแล้ว “ไม่ต้องไป พวกเขาอยากเจอเธอก็ปล่อยให้พวกเขามาหาเธอเอง ทำไมเธอต้องไปที่นั่นเพียงเพราะพวกเขาโทรหาเธอและส่งที่อยู่มาให้เธอ?” เมื่อเห็นว่าโจวชวงชวงโกรธจัด เสิ่นหยินอู้ก็ปลอบเธอแทน “เอ่อ ฉันไม่ได้คิดจะไป หายโกรธได้แล้ว” “ฉันโกรธที่ไหนกัน ฉันแค่รู้สึกเสียใจแทนเธอเฉยๆ” โจวชวงชวงพูดอย่างขมขื่น เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอจึงหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “เจียงฉูฉู่อาจจะขอให้เพื่อนมาหาเธอจริงๆ ดูเหมือนว่าเธอกำลังร้อนรน ฉูฉู่คงกลัวว่าถ้าเธอไม่ทำแท้ง เธอจะขโมยฉินเย่ไปจากฉูฉู่สินะ? โถ่ ฉูฉู่คงรู้ว่าตัวเธอเองคงมั่นใจไม่ได้ร้อยเปอเซ็นต์แหละ” เสิ่นหยินอู้วางมือถือของเธอลงและไม่ได้สนใจข้อความนั้น ต่อให้โจว
นับตั้งแต่วันนั้นที่เธอลบข้อความนั้นออกจากโทรศัพท์ของฉินเย่ เจียงฉูฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจมาจนถึงตอนนี้ ที่จริงแล้ว เธอเดาได้ว่าตั้งแต่เสิ่นหยินอู้บอกฉินเย่ทางข้อความ เธอคงไม่กล้าพอที่จะบอกเรื่องนั้นกับฉินเย่ด้วยตนเอง แต่เธอยังคงกังวล วันนั้นจึงคิดที่จะชวนฉินเย่ออกไป ผลก็คือ ในคืนนั้นเขาก็ทำงานล่วงเวลา จึงออกไปข้างนอกไม่ได้ แต่เจียงฉูฉู่ก็ยังคงกังวลใจ เธอจึงไปทำงานล่วงเวลาที่บริษัทเป็นเพื่อนเขา และเมื่อเขาเลิกงาน เธอก็ลากเขาไปงานเลี้ยงกับเพื่อนๆของเธอด้วย เขาดื่มเหล้ามากจนเมาหมดสติไป ในช่วงเวลานั้น เธอได้โทรหาเสิ่นหยินอู้ แต่อีกฝ่ายวางสายไปด้วยความอารมณ์เสีย สิ่งนี้ทำให้เจียงฉูฉู่รู้สึกเบิกบานอย่างเงียบๆ ปฏิกิริยาของเสิ่นหยินอู้แสดงให้เห็นว่าเธอเริ่มรู้สึกผิดหวัง แต่เธอเพียงแค่ต้องทำให้เหมือนกับว่าฉินเย่ต้องการให้เธอทำแท้ง และเธอ เจียงฉูฉู่จะชดเชยเธอให้ เช่นนั้น เธอก็จะไม่มีต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้หยินอู้พูดออกมาได้ หากฉินเย่รู้เข้าในอนาคต เขาจะต้องโทษเธอสำหรับอาชญากรรมเช่นนี้ ดังนั้น เธอจึงบอกเรื่องนี้ให้เพื่อนๆของเธอฟังโดยไม่ได
ไม่ต้องคิดเลย จะต้องเป็นเพื่อนของฉูฉู่อีกแน่ๆ เธอกำลังจะตัดสาย แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เธอจึงกดรับสาย เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา และอีกฝ่ายก็เงียบอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงของเจียงฉูฉู่ “หยินอู้ ฉันฉูฉู่เอง...” อย่างที่คิด เพื่อนโทรไม่ติด ก็เลยโทรมาเองเลยงั้นเหรอ? เสิ่นหยินอู้ยกมุมปากขึ้น "อืม" “สะดวกไหมที่จะมาเจอกันสักหน่อยไหม?” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ดูเหมือนว่าจะกลัวเธอปฏิเสธ จึงพูดต่อว่า "บอกที่อยู่ของเธอมา ฉันจะไปหาเธอเอง" เสิ่นหยินอู้คิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "ฉันอยู่ที่บ้าน" อีกฝ่ายเงียบไปเป็นเวลานาน และในที่สุดเธอก็ถามว่า "หมาย หมายความว่าไง?" "เธอก็มาที่บ้านฉันสิ" เจียงฉูฉู่ "..." อีกฝ่ายตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน จากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก "วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น" หลังจากนั้นไม่นาน เจียงฉูฉู่ก็พูดว่า "ได้ ฉันจะไปหาเธอ" หลังจากวางสายแล้ว จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็ตัดสินใจได้ในทันที เธออยากเก็บเด็กคนนี้ไว้! ทำไมเจียงฉูฉู่ถึงมาหาเธอในเวลานี้? หลังจากที่เธ
เอาอีกแล้ว มาทรงนี้อีกแล้ว ในอดีต เสิ่นหยินอู้คิดว่าเจียงฉูฉู่เป็นคนที่อ่อนโยนและอบอุ่น เพราะเธอทำตัวมีน้ำใจและรู้จักกาลเทศะต่อหน้าคนอื่น แต่ในช่วงไม่กี่วันก่อนที่เธอกลับมา เธอพูดแบบนี้ถึงสองครั้ง ครั้งก่อนคือฉินเย่ คราวนี้เป็นคนรับใช้ที่บ้าน ทั้งสองครั้งเธอทำเหมือนว่าเธอรู้สึกขอบคุณหยินอู้ แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นการประกาศว่าฉูฉู่นั้นเหนือกว่าเธอ ความเหนือกว่าเช่นนี้ ที่จริงแล้วเจียงฉูฉู่ไม่ได้มีมันเลยด้วยซ้ำ ถ้าบอกว่าเธอกับฉินเย่เคยเป็นแฟนกันมาก่อน มันก็สมเหตุสมผลที่เธอจะพูดอะไรแบบนี้ในตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ใช่แฟนกัน ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจว่าเจียงฉูฉู่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดกับเธอแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาเป็นแฟนกันในตอนนั้น ต่อให้เสิ่นหยินอู้จะชอบฉินเย่ เธอก็จะไม่ตกลงที่จะแต่งงานปลอมๆเด็ดขาด อย่างไรเสีย เจียงฉูฉู่ก็เคยช่วยเหลือเธอ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากของเธอไว้และอดทน สุดท้ายเธอก็ระงับความรู้สึกไม่สบายใจภายในอกของเธอไว้ จากนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ที่ไม่ได้แสดงอาการไม่สบายใจหรือแสด
จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ก่อนที่จะมา เจียงฉูฉู่คิดว่า เสิ่นหยินอู้เป็นคนที่รับมือได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้เธอไม่คิดเช่นนั้นแล้ว หากเสิ่นหยินอู้เป็นคนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เธอจะท้องได้อย่างไร? เมื่อเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็ก้าวไปข้างหน้าและเปิดซองจดหมายให้เธอ เช็คจำนวนยี่สิบห้าล้านบาทปรากฎอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน เจียงฉูฉู่พูดเบาๆว่า "เธอทำงานหนักมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา ช่วยเหลือทั้งเรื่องในและนอกบริษัท เขายังเคยชมเธอให้ฉันฟัง โดยบอกว่าเธอมีความสามารถและอดทนต่อความลำบาก ฉันคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะเปลี่ยนจากลูกสาวของตระกูลเสิ่นมาเป็นเธอในตอนนี้ แม้ว่าเงินจำนวนนี้อาจจะน้อยไปหน่อย แต่ก็เป็นความหวังดีจากฉัน เธอสามารถเอาเงินนี้ไปซื้อของที่เธออยากได้ เอาไปเติมเต็มในสิ่งที่เธอปรารถนา ดูแลร่างกายเยอะๆ" เมื่อเธอพูดถึงคำว่า "ดูแลร่างกาย" เจียงฉูฉู่จงใจจับข้อมือของเสิ่นหยินอู้แน่นและค่อยๆเอาปลายนิ้วของเธอแตะลงไปที่ฝ่ามือของหยินอู้ เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นและสบตากับเจียงฉูฉู่ ฉูฉู่พยักหน้าและถอนหายใจเบาๆ ราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกเสียใจกับอะไรบางอย่าง และยังเอื้อ
เห็นได้ชัดว่าเจียงฉูฉู่รู้สึกตื่นตระหนกมากเมื่อได้ยินว่าเธอไม่ต้องการเงิน หลังจากที่เธอกลับมา เธอพบว่าท่าทางของฉินเย่ที่มีต่อเสิ่นหยินอู้นั้นอ่อนโยนมาก ตอนนี้ ฉินเย่ยังไม่รู้เรื่องที่เสิ่นหยินอู้ท้อง หากเขารู้เข้า.... เจียงฉูฉู่ไม่มั่นใจว่าฉินเย่จะทำอย่างไร แต่สัมผัสที่หกของเธอกำลังบอกเธอว่า ถ้าฉินเย่รู้ว่าเสิ่นหยินอู้กำลังตั้งท้อง เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปเด็ดขาด ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ากับเสิ่นหยินอู้ เจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงฝืนยิ้มต่อไปเท่านั้น “หยินอู้ เธอคงกังวลว่าคนอื่นจะพูดถึงเธอว่ายังไงใช่ไหม? ไม่ต้องห่วงหรอก เงินนี้เป็นเงินส่วนตัวของฉัน ไม่มีใครอื่นรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น และฉันก็เป็นห่วงเธอด้วย ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ของเธอในตอนนี้…” "คุณหนูเจียง" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจเบาๆ "ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของเธอ ครอบครัวของฉันล้มละลายก็จริง แต่ฉันก็ทำงานหนักมาโดยตลอดในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถเลี้ยงตัวเองกับ …” เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว และมุมปากของเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อย "มันไม่ใช่ปัญหา และเมื่อก่อ
ความรู้สึกโล่งอกนี้เริ่มมีขึ้นหลังจากที่เธอตัดสินใจที่จะเก็บลูกของเธอไว้ เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะที่หน้าท้องของเธอ และมุมปากของเธอก็ยกขึ้น หลังจากนี้ เธอจะมีครอบครัวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ที่รัก ต่อให้จะเป็นครอบครัวที่มีแค่แม่เลี้ยงเดี่ยว แต่แม่ก็จะดูแลหนูอย่างดีนะ - ในตอนกลางคืน ในขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังจัดข้าวของอยู่และกำลังคิดว่าฉินเย่จะกลับมาหรือไม่ เธอก็ได้ยินเสียงประตูของคฤหาสน์ตระกูลฉินเปิดออก เธอเดินไปดูที่หน้าต่าง ไฟรถยนต์กำลังส่องไปที่ประตู และมือของเสิ่นหยินอู้ที่วางอยู่ตรงที่กั้นก็ขดงอ นี่คือรถของฉินเย่ พอดีเลย คืนนี้จะได้คุยกับเขาให้ชัดเจน หลังจากตัดสินใจแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปในห้องและเก็บข้าวของต่อ เธอไม่ได้มีของอะไรเยอะ เสิ่นหยินอู้ไม่ใช่คนที่ชอบซื้อของ แต่เดิมเธอคิดว่าการเก็บของเป็นอะไรที่ไม่ยากเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อถึงเวลาต้องเก็บของจริงๆ เธอก็ตระหนักได้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา ชีวิตและนิสัยความเคยชินของเธอได้หลอมรวมเข้ากับทุกมุมทุกซอกของห้องทีละน้อย ตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะเครื่องแป้ง อ่างล้างหน้า หรือแม้
คำพูดของเธอราวกับค้อนที่ทุบลงไปบนหัว คำพูดนั้นทำให้ฉินเย่เรียกสติกลับมาไม่ได้เป็นเวลานาน เมื่อเขาตั้งสติได้ เขาก็เห็นสายตาที่กำลังเยาะเย้ยและเจ็บปวดของเสิ่นหยินอู้ ก่อนที่เขาจะได้มองดูดีๆ เสิ่นหยินอู้ก็ก้มศีรษะลงและเก็บของต่อ เธอเก็บอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เธอไม่ได้พับแม้แต่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แค่พับแบบลวกๆเพียงสองครั้งแล้วก็ใส่ลงไปในกระเป๋าเดินทาง เมื่อหันกลับไป จู่ๆข้อมือเรียวเล็กของเสิ่นหยินอู้ก็ถูกฉินเย่จับไว้ และเสียงที่เย็นชาของเขาก็ดังมาจากเหนือศีรษะของเธอ "ทำไมต้องย้ายวันนี้หละ? คุณรีบขนาดนั้นเลยเหรอ?" น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยอยู่ภายใน “ให้ผมเดาสาเหตุของความรีบร้อนนี้ ก็คงเป็นเพราะพี่หนิงฉวนที่คุณไปกินข้าวเที่ยงมาด้วยกันในวันนี้หรือเปล่า?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นในทันที และมองเขาด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อ “คุณไม่จำเป็นต้องมาเยาะเย้ยฉันแบบนี้! คนที่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่หนิงฉวนดีที่สุดมันก็เป็นคุณไม่ใช่รึไง?” หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็พยายามอย่างหนักที่จะสลัดมือของฉินเย่ออก อย่างไ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ