ความรู้สึกโล่งอกนี้เริ่มมีขึ้นหลังจากที่เธอตัดสินใจที่จะเก็บลูกของเธอไว้ เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะที่หน้าท้องของเธอ และมุมปากของเธอก็ยกขึ้น หลังจากนี้ เธอจะมีครอบครัวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ที่รัก ต่อให้จะเป็นครอบครัวที่มีแค่แม่เลี้ยงเดี่ยว แต่แม่ก็จะดูแลหนูอย่างดีนะ - ในตอนกลางคืน ในขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังจัดข้าวของอยู่และกำลังคิดว่าฉินเย่จะกลับมาหรือไม่ เธอก็ได้ยินเสียงประตูของคฤหาสน์ตระกูลฉินเปิดออก เธอเดินไปดูที่หน้าต่าง ไฟรถยนต์กำลังส่องไปที่ประตู และมือของเสิ่นหยินอู้ที่วางอยู่ตรงที่กั้นก็ขดงอ นี่คือรถของฉินเย่ พอดีเลย คืนนี้จะได้คุยกับเขาให้ชัดเจน หลังจากตัดสินใจแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปในห้องและเก็บข้าวของต่อ เธอไม่ได้มีของอะไรเยอะ เสิ่นหยินอู้ไม่ใช่คนที่ชอบซื้อของ แต่เดิมเธอคิดว่าการเก็บของเป็นอะไรที่ไม่ยากเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อถึงเวลาต้องเก็บของจริงๆ เธอก็ตระหนักได้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา ชีวิตและนิสัยความเคยชินของเธอได้หลอมรวมเข้ากับทุกมุมทุกซอกของห้องทีละน้อย ตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะเครื่องแป้ง อ่างล้างหน้า หรือแม้
คำพูดของเธอราวกับค้อนที่ทุบลงไปบนหัว คำพูดนั้นทำให้ฉินเย่เรียกสติกลับมาไม่ได้เป็นเวลานาน เมื่อเขาตั้งสติได้ เขาก็เห็นสายตาที่กำลังเยาะเย้ยและเจ็บปวดของเสิ่นหยินอู้ ก่อนที่เขาจะได้มองดูดีๆ เสิ่นหยินอู้ก็ก้มศีรษะลงและเก็บของต่อ เธอเก็บอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เธอไม่ได้พับแม้แต่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แค่พับแบบลวกๆเพียงสองครั้งแล้วก็ใส่ลงไปในกระเป๋าเดินทาง เมื่อหันกลับไป จู่ๆข้อมือเรียวเล็กของเสิ่นหยินอู้ก็ถูกฉินเย่จับไว้ และเสียงที่เย็นชาของเขาก็ดังมาจากเหนือศีรษะของเธอ "ทำไมต้องย้ายวันนี้หละ? คุณรีบขนาดนั้นเลยเหรอ?" น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยอยู่ภายใน “ให้ผมเดาสาเหตุของความรีบร้อนนี้ ก็คงเป็นเพราะพี่หนิงฉวนที่คุณไปกินข้าวเที่ยงมาด้วยกันในวันนี้หรือเปล่า?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นในทันที และมองเขาด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อ “คุณไม่จำเป็นต้องมาเยาะเย้ยฉันแบบนี้! คนที่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่หนิงฉวนดีที่สุดมันก็เป็นคุณไม่ใช่รึไง?” หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็พยายามอย่างหนักที่จะสลัดมือของฉินเย่ออก อย่างไ
เธอไม่ได้รู้สึกฝืนใจใดๆ เหมือนกับที่เธอกำลังจะย้ายหนีออกไปจากห้องของเขาในตอนนี้ เมื่อคิดเช่นนั้น มือของฉินเย่ก็ค่อยๆคลายออกทีละนิด ในที่สุดมือของเสิ่นหยินอู้เป็นอิสระ และเธอก็หันกลับไปเพื่อเก็บข้าวของต่อ อารมณ์ของฉินเย่เริ่มหงุดหงิดมากขึ้น เขาเอื้อมมือออกไปดึงเน็คไทของตัวเองแล้วพูดอย่างเหลือทน "ถ้าคุณย้ายไปที่ห้องรับแขกชั้นบนตอนนี้ คนรับใช้ที่บ้านจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในทันที" สำหรับเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้ได้คิดเอาไว้ก่อนแล้ว เธอจึงพูดขึ้นมาทันทีว่า "ฉันไม่กลัวว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรทั้งนั้น ยังไงซะ อีกไม่นานเราก็จะหย่ากันอยู่แล้ว" “แล้วคุณย่าหละ?” “คุณย่าไม่รู้หรอก” “คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณย่าจะไม่รู้? คนรับใช้ในบ้านนี้ คุณคิดว่าจะไม่มีสักคนที่รับใช้คุณย่าอยู่เลยเหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไป เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พูดว่า "ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเราก็รอจนกว่าคุณย่าจะผ่าตัดเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน" ตอนนี้ยังไม่สามารถรีบร้อนได้ ยังไงเสีย สุขภาพของคนชราก็สำคัญกว่า ฉินเย่หัว
ฉินเย่ลากเพื่อนสนิทสองคนออกไปดื่มเหล้า เขาดื่มหนักมาก มากจนเหมือนกับว่าเหล้าเป็นแค่น้ำเปล่า จี้ชิงเป่ยและกู้เหยียนซีมองเขาจากข้างๆ ทั้งคู่รู้สึกตกใจ “ลองหยุดมันดูไหม?” จี้ชิงเป่ยส่งสายตาให้กับกู้เหยียนซี หลังจากได้ยินเช่นนั้น กู้ซีเหยียนก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “มึงคิดว่ากูเก่งพอที่จะหยุดมันได้ไหม?” จี้ชิงเป่ยเม้มริมฝีปากด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม "มันดื่มหนักเกินไปแล้ว ถ้ายังดื่มแบบนี้ต่อไป สุขภาพเสียหมดแน่" กู้เหยียนซีก็พยักหน้าเห็นด้วย "ก็ใช่ไง" วินาทีต่อมา ทั้งสองก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเขาพร้อมๆกัน “พอได้แล้วไอเย่ ไม่ต้องดื่มแล้ว” “ถึงจะเมา แต่ก็คงใกล้แล้ว รอให้แอลกอฮอล์ระเหยสักหน่อย เดี๋ยวมึงก็หมดสติไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว” ทั้งสองพยายามหยุดเขา แต่ก็ทำได้เพียงพูดเท่านั้น พวกเขายังไม่กล้าที่จะก้าวเข้าไปแตะต้องเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเยาะออกมาและไม่พูดอะไรอีกเลย คืนนี้เขาเมามากแล้ว หางตาของเขาแดงก่ำ และความกลิ่นอายความดุร้ายบนตัวเขาก็รุนแรงมากเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ?” กู้เหยียนซีหรี่ตาลง “ฉูฉู่ของมันไม่ได้กล
“เชี่ย!” กู้เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะตกใจ “เมาแล้วเหรอ? ใช่เหรอวะ? จริงปะเนี่ย? ” ฉินเย่อที่ล้มลงบนโต๊ะไม่ตอบสนองอีกต่อไป ดูเหมือนว่าเขาจะผล็อยหลับไป“อาจจะใช่” จี้ชิงเป่ยกล่าว“ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ตอนมันถามกู กูคิดว่ามันสร่างแล้วซะอีก กูก็สงสัยว่าทำไมคอมันแข็งขึ้น ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”พูดจบ กู้เหยียนซี ก็อาศัยจังหวะที่ฉินเย่เมาในการทำอะไรแย่ๆกับเขา เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ทำให้เขาตกใจกลัวเมื่อสักครู่นี้ แต่จี้ชิงเป่ยก็ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป แล้วพูดขึ้นว่า "ถ้ามึงไม่อยากให้มันตื่นมาฆ่ามึงก็รีบหยุดซะ” ดังนั้น กู้เหยียนซีจึงรีบชักมือกลับ “แล้วตอนนี้ทำไง? พามันกลับบ้าน?” หลังจากพูดจบ กู้เหยียนซีก็นึกอะไรบางอย่างได้ ดวงตาของเขาสดใสขึ้นเล็กน้อย และเขาก็คว้ามือถือที่เสียบอยู่ที่อกของฉินออกมา “เฮ้ เมื่อก่อนตอนที่มันเมา เราไม่เคยมีโอกาสได้แตะมือถือมันเลย ให้กูดูหน่อยแล้วกันว่ามือถือของมันมีความลับอะไรอยู่ แล้วมันได้คุยกับเทพธิดาฉูฉู่ของกูบ้างรึเปล่า” เจียงฉูฉู่เป็นเทพธิดาของกู้เหยียนซี ผู้ที่สนใจแค่รูปลักษณ์และนิสัยของเธอเท่านั้น แต่ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเย่กับฉ
เสิ่นหยินอู้ในตอนนี้ได้เปลี่ยนชุดนอนและกำลังจะล้มตัวลงนอน แม้ว่าเธอจะอารมณ์ไม่ดีแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถทำอะไรที่กระทบต่อการทำงานและการพักผ่อนของเธอได้ หากเธอตัดสินใจเก็บลูกของเธอไว้จริงๆ เธออาจต้องเผชิญกับความยากลำบากรออยู่ในภายหลัง ดังนั้น เธอจึงต้องรักษาสุขภาพและเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา แม้จะนอนไม่หลับ แต่ก็ต้องนอนลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน ใครจะไปรู้ว่าในเวลานี้โทรศัพท์ของเธอจะดังขึ้น เธอมองดูแล้วจึงเห็นว่าเป็นสายจากฉินเย่ เมื่อดูชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอ อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งสองทะเลาะกันอย่างหนักในตอนหัวค่ำ และเมื่อเห็นเขาเดินออกไป เสิ่นหยินอู้ก็คิดกับตัวเองว่าเขาจะต้องไปหาเจียงฉูฉู่อย่างแน่นอน เธอไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะโทรมาหาเธอ เมื่อเธอจะกดรับสาย เธอก็นึกถึงตอนที่เขาให้เจียงฉูฉู่โทรหาเธอก่อนหน้านี้ บางทีฉูฉู่อาจจะโทรมาเพื่อบอกเธอในวันนี้อีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ไม่อยากรับสายเลยแม้แต่น้อย แต่โทรศัพท์ก็ดังอยู่แบบนั้น และในที่สุดเธอก็กดปุ่มรับสาย แต่สิ่งที่เธอได้ยินกลับเป็นเสียงของผู้ชายที่ไม่รู้จัก หลังจากนอนกลิ้งมานานกว่าสิบวิน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมจู่ๆคุณถึงดื่มหนักขนาดนี้ เหยียนซี ดื่มเหล้าตอนกลางคืนแบบนี้ ทำไมนายถึงไม่ช่วยห้ามเขาหน่อยหละ?” เจียงฉูฉู่และกู้เหยียนซีช่วยพยุงฉินเย่ออกจากร้าน ตามมาด้วยจี้ชิงเป่ยที่มีสีหน้าที่ดูสงบ กู้เหยียนซีเศร้าเล็กน้อยเมื่อถูกเทพธิดาของเขาตำหนิ เขาอธิบายว่า "ผมห้ามแล้ว แต่คุณก็รู้ดีนี่ว่าไอเย่มันฟังพวกผมซะที่ไหน ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่แล้วก็ลองพูดกับเขาดู เขาอาจจะฟังอยู่คุณก็ได้" เจียงฉูฉู่ถอนหายใจ “จริงๆเลย เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ทำไมยังทำตัวแบบนี้กันอยู่อีก” พวกเขาช่วยกันพาฉินเย่ขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ในเงามืดและเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ทันใดนั้น ฉินเย่ที่กำลังเมาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง และทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือไปคว้าข้อมือเล็กๆของเจียงฉูฉู่ "อย่า อย่าไป" เขาพูดพึมพำ เจียงฉูฉู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็เรียกสติคืนมาได้และตบไหล่ของเขาเบาๆ "โอเคโอเค ฉันจะไม่ไปไหน เย่ ทำตัวดีๆหน่อยนะ" เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว เสิ่นหยินอู้จะทนดูต่อไปได้อย่างไร? เธอกัดฟันแน่น จู่ๆก็รู้สึกเสียใจมากที่มาที่นี่ในตอนดึก เธอไม่ควรรับสายนั้น เธอควรจะอยู่บนเ
กู้เหยียนซีพยักหน้าในทันที “เธอพูดถูก มันเมาหัวราน้ำแบบนี้ ถ้าไม่มีใครดูแลคงไม่ไหวจริงๆแหละ งั้นเรา...” “มึงไปส่งมันที่บ้านกูดีกว่านะ” จู่ๆจี้ชิงเป่ยก็ขัดจังหวะขึ้นมา เสียงของเขาสุขุม “เมื่อกี้มึงก็ได้ยินแล้วหนิ คนที่มันเรียกคือกู ถ้ากูไม่รักษาสัญญา มันอาจจะมาหาเรื่องกูหลังจากที่มันสร่างก็ได้” จี้ชิงเป่ยกับฉินเย่เป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้ว เขารู้จักฉินเย่ก่อนกู้เหยียนซีและเจียงฉูฉู่นานมาก นอกจากนี้ เขามีนิสัยรักสงบและไม่ชอบพูดเรื่องไร้สาระ ส่วนใหญ่เขาจะชอบเงียบ แต่เมื่อเขาพูดขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องยากที่คนอื่นจะปฏิเสธ เฉกเช่นในตอนนี้ เจียงฉูฉู่มองที่ไปจี้ชิงเป่ยที่อยู่ตรงหน้าเธอ แม้ว่าอารมณ์ของเขาจะดูสงบ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม เธอกลับรู้สึกอยู่ว่าจี้ชิงเป่ยผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบเธอนัก อย่างไรก็ตาม เขาและเย่เป็นเพื่อนสนิทกัน อาจเป็นเธอที่คิดมากไปเอง กู้เหยียนซีพูดไม่ออกเล็กน้อย เขาจึงพูดแทนเจียงฉูฉู่ “เย่เมามากแล้ว พรุ่งนี้คงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกมา ชิงเป่ย มึงจะจริงจังไปทำไมวะ?” พูดจบ เขาก็มองไปที่เจียงฉูฉู่ด้วยรอยยิ้ม "ยิ่งไปก
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี