เสิ่นหยินอู้ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น แต่ด้วยการคะยั้นคะยอของโจวชวงชวง เธอจึงต้องจำใจดื่มนมจนหมดและกินแซนด์วิชไปสองสามคำ โจวชวงชวงเห็นว่าเธอกินไม่ลงแล้วจริงๆ เธอจึงไม่บังคับหยินอู้อีก หลังจากที่เธอเอาขยะไปทิ้งแล้วเธอก็กลับมานั่งลง “เป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นมากแล้วสินะ?” "อืม" โจวชวงชวงกระแอมออกมาเบาๆ แล้วถามว่า “ถ้างั้น วันนี้เรากลับก่อนดีไหม?” เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไร โจวชวงชวงกุมมือของเธอแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า "ไปกันเถอะ" "ก็ได้……" ตอนนี้เสิ่นหยินอู้ดูราวกับว่ากำลังหลงอยู่ในหมอก และต้องการใครสักคนที่จะมาช่วยและสนับสนุนเธอ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม เธอลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับโจวชวงชวง เมื่อผ่านมุมมุมหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ได้ยินเสียงคนกำลังเถียงกัน “แต่แม่ หนูชอบเขา” น้ำเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งฟังดูเศร้ามาก “หุบปาก!” หญิงสาวคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวและใจร้าย “แกพูดไร้สาระอะไร? แเม่บอกแกไปแล้วไม่ใช่หรอ? แกกำลังถูกมันหลอก เข้าจำไหม?” "แม่……" “หลังจากเรื่องวันนี้ แกไม่ได้รับอนุญาตให้ไปมาหาสู่กับมันอีก คนจนๆอย่างมันไม่คู่ควร
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวชวงชวงที่ต่อว่าฉินเย่ เสิ่นหยินอู้ก็ต้องการแก้ตัวแทนฉินเย่โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อคำพูดนั้นมาจ่ออยู่ที่ปากของเธอ เธอกลับพูดไม่ออกสักคำ ริมฝีปากของเธอเปิดออก แต่เธอก็พบว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงเลย แก้ตัวเหรอ? สิ่งที่เป็นความจริงอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอยังต้องแก้ตัวอะไรอีก? เมื่อคิดแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ลดสายตาลงและไม่พูดอะไรอีก โจวชวงชวงได้ตัดสินใจแทนเธอแล้ว “ไม่ต้องไป พวกเขาอยากเจอเธอก็ปล่อยให้พวกเขามาหาเธอเอง ทำไมเธอต้องไปที่นั่นเพียงเพราะพวกเขาโทรหาเธอและส่งที่อยู่มาให้เธอ?” เมื่อเห็นว่าโจวชวงชวงโกรธจัด เสิ่นหยินอู้ก็ปลอบเธอแทน “เอ่อ ฉันไม่ได้คิดจะไป หายโกรธได้แล้ว” “ฉันโกรธที่ไหนกัน ฉันแค่รู้สึกเสียใจแทนเธอเฉยๆ” โจวชวงชวงพูดอย่างขมขื่น เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอจึงหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “เจียงฉูฉู่อาจจะขอให้เพื่อนมาหาเธอจริงๆ ดูเหมือนว่าเธอกำลังร้อนรน ฉูฉู่คงกลัวว่าถ้าเธอไม่ทำแท้ง เธอจะขโมยฉินเย่ไปจากฉูฉู่สินะ? โถ่ ฉูฉู่คงรู้ว่าตัวเธอเองคงมั่นใจไม่ได้ร้อยเปอเซ็นต์แหละ” เสิ่นหยินอู้วางมือถือของเธอลงและไม่ได้สนใจข้อความนั้น ต่อให้โจว
นับตั้งแต่วันนั้นที่เธอลบข้อความนั้นออกจากโทรศัพท์ของฉินเย่ เจียงฉูฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจมาจนถึงตอนนี้ ที่จริงแล้ว เธอเดาได้ว่าตั้งแต่เสิ่นหยินอู้บอกฉินเย่ทางข้อความ เธอคงไม่กล้าพอที่จะบอกเรื่องนั้นกับฉินเย่ด้วยตนเอง แต่เธอยังคงกังวล วันนั้นจึงคิดที่จะชวนฉินเย่ออกไป ผลก็คือ ในคืนนั้นเขาก็ทำงานล่วงเวลา จึงออกไปข้างนอกไม่ได้ แต่เจียงฉูฉู่ก็ยังคงกังวลใจ เธอจึงไปทำงานล่วงเวลาที่บริษัทเป็นเพื่อนเขา และเมื่อเขาเลิกงาน เธอก็ลากเขาไปงานเลี้ยงกับเพื่อนๆของเธอด้วย เขาดื่มเหล้ามากจนเมาหมดสติไป ในช่วงเวลานั้น เธอได้โทรหาเสิ่นหยินอู้ แต่อีกฝ่ายวางสายไปด้วยความอารมณ์เสีย สิ่งนี้ทำให้เจียงฉูฉู่รู้สึกเบิกบานอย่างเงียบๆ ปฏิกิริยาของเสิ่นหยินอู้แสดงให้เห็นว่าเธอเริ่มรู้สึกผิดหวัง แต่เธอเพียงแค่ต้องทำให้เหมือนกับว่าฉินเย่ต้องการให้เธอทำแท้ง และเธอ เจียงฉูฉู่จะชดเชยเธอให้ เช่นนั้น เธอก็จะไม่มีต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้หยินอู้พูดออกมาได้ หากฉินเย่รู้เข้าในอนาคต เขาจะต้องโทษเธอสำหรับอาชญากรรมเช่นนี้ ดังนั้น เธอจึงบอกเรื่องนี้ให้เพื่อนๆของเธอฟังโดยไม่ได
ไม่ต้องคิดเลย จะต้องเป็นเพื่อนของฉูฉู่อีกแน่ๆ เธอกำลังจะตัดสาย แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เธอจึงกดรับสาย เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา และอีกฝ่ายก็เงียบอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงของเจียงฉูฉู่ “หยินอู้ ฉันฉูฉู่เอง...” อย่างที่คิด เพื่อนโทรไม่ติด ก็เลยโทรมาเองเลยงั้นเหรอ? เสิ่นหยินอู้ยกมุมปากขึ้น "อืม" “สะดวกไหมที่จะมาเจอกันสักหน่อยไหม?” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ดูเหมือนว่าจะกลัวเธอปฏิเสธ จึงพูดต่อว่า "บอกที่อยู่ของเธอมา ฉันจะไปหาเธอเอง" เสิ่นหยินอู้คิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "ฉันอยู่ที่บ้าน" อีกฝ่ายเงียบไปเป็นเวลานาน และในที่สุดเธอก็ถามว่า "หมาย หมายความว่าไง?" "เธอก็มาที่บ้านฉันสิ" เจียงฉูฉู่ "..." อีกฝ่ายตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน จากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก "วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น" หลังจากนั้นไม่นาน เจียงฉูฉู่ก็พูดว่า "ได้ ฉันจะไปหาเธอ" หลังจากวางสายแล้ว จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็ตัดสินใจได้ในทันที เธออยากเก็บเด็กคนนี้ไว้! ทำไมเจียงฉูฉู่ถึงมาหาเธอในเวลานี้? หลังจากที่เธ
เอาอีกแล้ว มาทรงนี้อีกแล้ว ในอดีต เสิ่นหยินอู้คิดว่าเจียงฉูฉู่เป็นคนที่อ่อนโยนและอบอุ่น เพราะเธอทำตัวมีน้ำใจและรู้จักกาลเทศะต่อหน้าคนอื่น แต่ในช่วงไม่กี่วันก่อนที่เธอกลับมา เธอพูดแบบนี้ถึงสองครั้ง ครั้งก่อนคือฉินเย่ คราวนี้เป็นคนรับใช้ที่บ้าน ทั้งสองครั้งเธอทำเหมือนว่าเธอรู้สึกขอบคุณหยินอู้ แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นการประกาศว่าฉูฉู่นั้นเหนือกว่าเธอ ความเหนือกว่าเช่นนี้ ที่จริงแล้วเจียงฉูฉู่ไม่ได้มีมันเลยด้วยซ้ำ ถ้าบอกว่าเธอกับฉินเย่เคยเป็นแฟนกันมาก่อน มันก็สมเหตุสมผลที่เธอจะพูดอะไรแบบนี้ในตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ใช่แฟนกัน ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจว่าเจียงฉูฉู่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดกับเธอแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาเป็นแฟนกันในตอนนั้น ต่อให้เสิ่นหยินอู้จะชอบฉินเย่ เธอก็จะไม่ตกลงที่จะแต่งงานปลอมๆเด็ดขาด อย่างไรเสีย เจียงฉูฉู่ก็เคยช่วยเหลือเธอ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากของเธอไว้และอดทน สุดท้ายเธอก็ระงับความรู้สึกไม่สบายใจภายในอกของเธอไว้ จากนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ที่ไม่ได้แสดงอาการไม่สบายใจหรือแสด
จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ก่อนที่จะมา เจียงฉูฉู่คิดว่า เสิ่นหยินอู้เป็นคนที่รับมือได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้เธอไม่คิดเช่นนั้นแล้ว หากเสิ่นหยินอู้เป็นคนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เธอจะท้องได้อย่างไร? เมื่อเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็ก้าวไปข้างหน้าและเปิดซองจดหมายให้เธอ เช็คจำนวนยี่สิบห้าล้านบาทปรากฎอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน เจียงฉูฉู่พูดเบาๆว่า "เธอทำงานหนักมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา ช่วยเหลือทั้งเรื่องในและนอกบริษัท เขายังเคยชมเธอให้ฉันฟัง โดยบอกว่าเธอมีความสามารถและอดทนต่อความลำบาก ฉันคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะเปลี่ยนจากลูกสาวของตระกูลเสิ่นมาเป็นเธอในตอนนี้ แม้ว่าเงินจำนวนนี้อาจจะน้อยไปหน่อย แต่ก็เป็นความหวังดีจากฉัน เธอสามารถเอาเงินนี้ไปซื้อของที่เธออยากได้ เอาไปเติมเต็มในสิ่งที่เธอปรารถนา ดูแลร่างกายเยอะๆ" เมื่อเธอพูดถึงคำว่า "ดูแลร่างกาย" เจียงฉูฉู่จงใจจับข้อมือของเสิ่นหยินอู้แน่นและค่อยๆเอาปลายนิ้วของเธอแตะลงไปที่ฝ่ามือของหยินอู้ เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นและสบตากับเจียงฉูฉู่ ฉูฉู่พยักหน้าและถอนหายใจเบาๆ ราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกเสียใจกับอะไรบางอย่าง และยังเอื้อ
เห็นได้ชัดว่าเจียงฉูฉู่รู้สึกตื่นตระหนกมากเมื่อได้ยินว่าเธอไม่ต้องการเงิน หลังจากที่เธอกลับมา เธอพบว่าท่าทางของฉินเย่ที่มีต่อเสิ่นหยินอู้นั้นอ่อนโยนมาก ตอนนี้ ฉินเย่ยังไม่รู้เรื่องที่เสิ่นหยินอู้ท้อง หากเขารู้เข้า.... เจียงฉูฉู่ไม่มั่นใจว่าฉินเย่จะทำอย่างไร แต่สัมผัสที่หกของเธอกำลังบอกเธอว่า ถ้าฉินเย่รู้ว่าเสิ่นหยินอู้กำลังตั้งท้อง เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปเด็ดขาด ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ากับเสิ่นหยินอู้ เจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงฝืนยิ้มต่อไปเท่านั้น “หยินอู้ เธอคงกังวลว่าคนอื่นจะพูดถึงเธอว่ายังไงใช่ไหม? ไม่ต้องห่วงหรอก เงินนี้เป็นเงินส่วนตัวของฉัน ไม่มีใครอื่นรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น และฉันก็เป็นห่วงเธอด้วย ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ของเธอในตอนนี้…” "คุณหนูเจียง" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจเบาๆ "ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของเธอ ครอบครัวของฉันล้มละลายก็จริง แต่ฉันก็ทำงานหนักมาโดยตลอดในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถเลี้ยงตัวเองกับ …” เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว และมุมปากของเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อย "มันไม่ใช่ปัญหา และเมื่อก่อ
ความรู้สึกโล่งอกนี้เริ่มมีขึ้นหลังจากที่เธอตัดสินใจที่จะเก็บลูกของเธอไว้ เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะที่หน้าท้องของเธอ และมุมปากของเธอก็ยกขึ้น หลังจากนี้ เธอจะมีครอบครัวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ที่รัก ต่อให้จะเป็นครอบครัวที่มีแค่แม่เลี้ยงเดี่ยว แต่แม่ก็จะดูแลหนูอย่างดีนะ - ในตอนกลางคืน ในขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังจัดข้าวของอยู่และกำลังคิดว่าฉินเย่จะกลับมาหรือไม่ เธอก็ได้ยินเสียงประตูของคฤหาสน์ตระกูลฉินเปิดออก เธอเดินไปดูที่หน้าต่าง ไฟรถยนต์กำลังส่องไปที่ประตู และมือของเสิ่นหยินอู้ที่วางอยู่ตรงที่กั้นก็ขดงอ นี่คือรถของฉินเย่ พอดีเลย คืนนี้จะได้คุยกับเขาให้ชัดเจน หลังจากตัดสินใจแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปในห้องและเก็บข้าวของต่อ เธอไม่ได้มีของอะไรเยอะ เสิ่นหยินอู้ไม่ใช่คนที่ชอบซื้อของ แต่เดิมเธอคิดว่าการเก็บของเป็นอะไรที่ไม่ยากเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อถึงเวลาต้องเก็บของจริงๆ เธอก็ตระหนักได้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา ชีวิตและนิสัยความเคยชินของเธอได้หลอมรวมเข้ากับทุกมุมทุกซอกของห้องทีละน้อย ตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะเครื่องแป้ง อ่างล้างหน้า หรือแม้
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี