จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ก่อนที่จะมา เจียงฉูฉู่คิดว่า เสิ่นหยินอู้เป็นคนที่รับมือได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้เธอไม่คิดเช่นนั้นแล้ว หากเสิ่นหยินอู้เป็นคนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เธอจะท้องได้อย่างไร? เมื่อเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็ก้าวไปข้างหน้าและเปิดซองจดหมายให้เธอ เช็คจำนวนยี่สิบห้าล้านบาทปรากฎอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน เจียงฉูฉู่พูดเบาๆว่า "เธอทำงานหนักมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา ช่วยเหลือทั้งเรื่องในและนอกบริษัท เขายังเคยชมเธอให้ฉันฟัง โดยบอกว่าเธอมีความสามารถและอดทนต่อความลำบาก ฉันคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะเปลี่ยนจากลูกสาวของตระกูลเสิ่นมาเป็นเธอในตอนนี้ แม้ว่าเงินจำนวนนี้อาจจะน้อยไปหน่อย แต่ก็เป็นความหวังดีจากฉัน เธอสามารถเอาเงินนี้ไปซื้อของที่เธออยากได้ เอาไปเติมเต็มในสิ่งที่เธอปรารถนา ดูแลร่างกายเยอะๆ" เมื่อเธอพูดถึงคำว่า "ดูแลร่างกาย" เจียงฉูฉู่จงใจจับข้อมือของเสิ่นหยินอู้แน่นและค่อยๆเอาปลายนิ้วของเธอแตะลงไปที่ฝ่ามือของหยินอู้ เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นและสบตากับเจียงฉูฉู่ ฉูฉู่พยักหน้าและถอนหายใจเบาๆ ราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกเสียใจกับอะไรบางอย่าง และยังเอื้อ
เห็นได้ชัดว่าเจียงฉูฉู่รู้สึกตื่นตระหนกมากเมื่อได้ยินว่าเธอไม่ต้องการเงิน หลังจากที่เธอกลับมา เธอพบว่าท่าทางของฉินเย่ที่มีต่อเสิ่นหยินอู้นั้นอ่อนโยนมาก ตอนนี้ ฉินเย่ยังไม่รู้เรื่องที่เสิ่นหยินอู้ท้อง หากเขารู้เข้า.... เจียงฉูฉู่ไม่มั่นใจว่าฉินเย่จะทำอย่างไร แต่สัมผัสที่หกของเธอกำลังบอกเธอว่า ถ้าฉินเย่รู้ว่าเสิ่นหยินอู้กำลังตั้งท้อง เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปเด็ดขาด ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ากับเสิ่นหยินอู้ เจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงฝืนยิ้มต่อไปเท่านั้น “หยินอู้ เธอคงกังวลว่าคนอื่นจะพูดถึงเธอว่ายังไงใช่ไหม? ไม่ต้องห่วงหรอก เงินนี้เป็นเงินส่วนตัวของฉัน ไม่มีใครอื่นรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น และฉันก็เป็นห่วงเธอด้วย ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ของเธอในตอนนี้…” "คุณหนูเจียง" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจเบาๆ "ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของเธอ ครอบครัวของฉันล้มละลายก็จริง แต่ฉันก็ทำงานหนักมาโดยตลอดในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถเลี้ยงตัวเองกับ …” เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว และมุมปากของเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อย "มันไม่ใช่ปัญหา และเมื่อก่อ
ความรู้สึกโล่งอกนี้เริ่มมีขึ้นหลังจากที่เธอตัดสินใจที่จะเก็บลูกของเธอไว้ เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะที่หน้าท้องของเธอ และมุมปากของเธอก็ยกขึ้น หลังจากนี้ เธอจะมีครอบครัวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ที่รัก ต่อให้จะเป็นครอบครัวที่มีแค่แม่เลี้ยงเดี่ยว แต่แม่ก็จะดูแลหนูอย่างดีนะ - ในตอนกลางคืน ในขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังจัดข้าวของอยู่และกำลังคิดว่าฉินเย่จะกลับมาหรือไม่ เธอก็ได้ยินเสียงประตูของคฤหาสน์ตระกูลฉินเปิดออก เธอเดินไปดูที่หน้าต่าง ไฟรถยนต์กำลังส่องไปที่ประตู และมือของเสิ่นหยินอู้ที่วางอยู่ตรงที่กั้นก็ขดงอ นี่คือรถของฉินเย่ พอดีเลย คืนนี้จะได้คุยกับเขาให้ชัดเจน หลังจากตัดสินใจแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปในห้องและเก็บข้าวของต่อ เธอไม่ได้มีของอะไรเยอะ เสิ่นหยินอู้ไม่ใช่คนที่ชอบซื้อของ แต่เดิมเธอคิดว่าการเก็บของเป็นอะไรที่ไม่ยากเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อถึงเวลาต้องเก็บของจริงๆ เธอก็ตระหนักได้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา ชีวิตและนิสัยความเคยชินของเธอได้หลอมรวมเข้ากับทุกมุมทุกซอกของห้องทีละน้อย ตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะเครื่องแป้ง อ่างล้างหน้า หรือแม้
คำพูดของเธอราวกับค้อนที่ทุบลงไปบนหัว คำพูดนั้นทำให้ฉินเย่เรียกสติกลับมาไม่ได้เป็นเวลานาน เมื่อเขาตั้งสติได้ เขาก็เห็นสายตาที่กำลังเยาะเย้ยและเจ็บปวดของเสิ่นหยินอู้ ก่อนที่เขาจะได้มองดูดีๆ เสิ่นหยินอู้ก็ก้มศีรษะลงและเก็บของต่อ เธอเก็บอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เธอไม่ได้พับแม้แต่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แค่พับแบบลวกๆเพียงสองครั้งแล้วก็ใส่ลงไปในกระเป๋าเดินทาง เมื่อหันกลับไป จู่ๆข้อมือเรียวเล็กของเสิ่นหยินอู้ก็ถูกฉินเย่จับไว้ และเสียงที่เย็นชาของเขาก็ดังมาจากเหนือศีรษะของเธอ "ทำไมต้องย้ายวันนี้หละ? คุณรีบขนาดนั้นเลยเหรอ?" น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยอยู่ภายใน “ให้ผมเดาสาเหตุของความรีบร้อนนี้ ก็คงเป็นเพราะพี่หนิงฉวนที่คุณไปกินข้าวเที่ยงมาด้วยกันในวันนี้หรือเปล่า?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นในทันที และมองเขาด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อ “คุณไม่จำเป็นต้องมาเยาะเย้ยฉันแบบนี้! คนที่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่หนิงฉวนดีที่สุดมันก็เป็นคุณไม่ใช่รึไง?” หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็พยายามอย่างหนักที่จะสลัดมือของฉินเย่ออก อย่างไ
เธอไม่ได้รู้สึกฝืนใจใดๆ เหมือนกับที่เธอกำลังจะย้ายหนีออกไปจากห้องของเขาในตอนนี้ เมื่อคิดเช่นนั้น มือของฉินเย่ก็ค่อยๆคลายออกทีละนิด ในที่สุดมือของเสิ่นหยินอู้เป็นอิสระ และเธอก็หันกลับไปเพื่อเก็บข้าวของต่อ อารมณ์ของฉินเย่เริ่มหงุดหงิดมากขึ้น เขาเอื้อมมือออกไปดึงเน็คไทของตัวเองแล้วพูดอย่างเหลือทน "ถ้าคุณย้ายไปที่ห้องรับแขกชั้นบนตอนนี้ คนรับใช้ที่บ้านจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในทันที" สำหรับเรื่องนี้ เสิ่นหยินอู้ได้คิดเอาไว้ก่อนแล้ว เธอจึงพูดขึ้นมาทันทีว่า "ฉันไม่กลัวว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรทั้งนั้น ยังไงซะ อีกไม่นานเราก็จะหย่ากันอยู่แล้ว" “แล้วคุณย่าหละ?” “คุณย่าไม่รู้หรอก” “คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณย่าจะไม่รู้? คนรับใช้ในบ้านนี้ คุณคิดว่าจะไม่มีสักคนที่รับใช้คุณย่าอยู่เลยเหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไป เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พูดว่า "ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเราก็รอจนกว่าคุณย่าจะผ่าตัดเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน" ตอนนี้ยังไม่สามารถรีบร้อนได้ ยังไงเสีย สุขภาพของคนชราก็สำคัญกว่า ฉินเย่หัว
ฉินเย่ลากเพื่อนสนิทสองคนออกไปดื่มเหล้า เขาดื่มหนักมาก มากจนเหมือนกับว่าเหล้าเป็นแค่น้ำเปล่า จี้ชิงเป่ยและกู้เหยียนซีมองเขาจากข้างๆ ทั้งคู่รู้สึกตกใจ “ลองหยุดมันดูไหม?” จี้ชิงเป่ยส่งสายตาให้กับกู้เหยียนซี หลังจากได้ยินเช่นนั้น กู้ซีเหยียนก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “มึงคิดว่ากูเก่งพอที่จะหยุดมันได้ไหม?” จี้ชิงเป่ยเม้มริมฝีปากด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม "มันดื่มหนักเกินไปแล้ว ถ้ายังดื่มแบบนี้ต่อไป สุขภาพเสียหมดแน่" กู้เหยียนซีก็พยักหน้าเห็นด้วย "ก็ใช่ไง" วินาทีต่อมา ทั้งสองก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเขาพร้อมๆกัน “พอได้แล้วไอเย่ ไม่ต้องดื่มแล้ว” “ถึงจะเมา แต่ก็คงใกล้แล้ว รอให้แอลกอฮอล์ระเหยสักหน่อย เดี๋ยวมึงก็หมดสติไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว” ทั้งสองพยายามหยุดเขา แต่ก็ทำได้เพียงพูดเท่านั้น พวกเขายังไม่กล้าที่จะก้าวเข้าไปแตะต้องเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็หัวเราะเยาะออกมาและไม่พูดอะไรอีกเลย คืนนี้เขาเมามากแล้ว หางตาของเขาแดงก่ำ และความกลิ่นอายความดุร้ายบนตัวเขาก็รุนแรงมากเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ?” กู้เหยียนซีหรี่ตาลง “ฉูฉู่ของมันไม่ได้กล
“เชี่ย!” กู้เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะตกใจ “เมาแล้วเหรอ? ใช่เหรอวะ? จริงปะเนี่ย? ” ฉินเย่อที่ล้มลงบนโต๊ะไม่ตอบสนองอีกต่อไป ดูเหมือนว่าเขาจะผล็อยหลับไป“อาจจะใช่” จี้ชิงเป่ยกล่าว“ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ตอนมันถามกู กูคิดว่ามันสร่างแล้วซะอีก กูก็สงสัยว่าทำไมคอมันแข็งขึ้น ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”พูดจบ กู้เหยียนซี ก็อาศัยจังหวะที่ฉินเย่เมาในการทำอะไรแย่ๆกับเขา เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ทำให้เขาตกใจกลัวเมื่อสักครู่นี้ แต่จี้ชิงเป่ยก็ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป แล้วพูดขึ้นว่า "ถ้ามึงไม่อยากให้มันตื่นมาฆ่ามึงก็รีบหยุดซะ” ดังนั้น กู้เหยียนซีจึงรีบชักมือกลับ “แล้วตอนนี้ทำไง? พามันกลับบ้าน?” หลังจากพูดจบ กู้เหยียนซีก็นึกอะไรบางอย่างได้ ดวงตาของเขาสดใสขึ้นเล็กน้อย และเขาก็คว้ามือถือที่เสียบอยู่ที่อกของฉินออกมา “เฮ้ เมื่อก่อนตอนที่มันเมา เราไม่เคยมีโอกาสได้แตะมือถือมันเลย ให้กูดูหน่อยแล้วกันว่ามือถือของมันมีความลับอะไรอยู่ แล้วมันได้คุยกับเทพธิดาฉูฉู่ของกูบ้างรึเปล่า” เจียงฉูฉู่เป็นเทพธิดาของกู้เหยียนซี ผู้ที่สนใจแค่รูปลักษณ์และนิสัยของเธอเท่านั้น แต่ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเย่กับฉ
เสิ่นหยินอู้ในตอนนี้ได้เปลี่ยนชุดนอนและกำลังจะล้มตัวลงนอน แม้ว่าเธอจะอารมณ์ไม่ดีแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถทำอะไรที่กระทบต่อการทำงานและการพักผ่อนของเธอได้ หากเธอตัดสินใจเก็บลูกของเธอไว้จริงๆ เธออาจต้องเผชิญกับความยากลำบากรออยู่ในภายหลัง ดังนั้น เธอจึงต้องรักษาสุขภาพและเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา แม้จะนอนไม่หลับ แต่ก็ต้องนอนลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน ใครจะไปรู้ว่าในเวลานี้โทรศัพท์ของเธอจะดังขึ้น เธอมองดูแล้วจึงเห็นว่าเป็นสายจากฉินเย่ เมื่อดูชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอ อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งสองทะเลาะกันอย่างหนักในตอนหัวค่ำ และเมื่อเห็นเขาเดินออกไป เสิ่นหยินอู้ก็คิดกับตัวเองว่าเขาจะต้องไปหาเจียงฉูฉู่อย่างแน่นอน เธอไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะโทรมาหาเธอ เมื่อเธอจะกดรับสาย เธอก็นึกถึงตอนที่เขาให้เจียงฉูฉู่โทรหาเธอก่อนหน้านี้ บางทีฉูฉู่อาจจะโทรมาเพื่อบอกเธอในวันนี้อีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ไม่อยากรับสายเลยแม้แต่น้อย แต่โทรศัพท์ก็ดังอยู่แบบนั้น และในที่สุดเธอก็กดปุ่มรับสาย แต่สิ่งที่เธอได้ยินกลับเป็นเสียงของผู้ชายที่ไม่รู้จัก หลังจากนอนกลิ้งมานานกว่าสิบวิน