จะใช้โอกาสนี้ไปเจอพวกเขาสักครั้งไหม? จริงๆแล้วฉินเย่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกผูกพันกับเด็กสองคนนั้นมากขนาดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่สดใสของพวกเขาเวลามองพวกเขา มันเหมือนมองเห็นแสงอาทิตย์ สดใส น่ารัก มีชีวิตชีวา เบ่งบานต่างจากเขาที่อยู่ในความมืดมิดอย่างสิ้นเชิง เขาเต็มไปด้วยความโกรธ เย็นชา อารมณ์ร้าย เข้ากับคนอื่นยากแต่เรื่องแปลกๆแบบนี้ ถ้าเล่าให้คนอื่นฟัง พวกเขาคงคิดว่าเขาไม่ปกติ ทำไมถึงชอบเด็กสองคนนี้โดยไม่มีเหตุผลคิดได้แบบนั้น ฉินเย่ก็หลับตาลงแล้วพูดเสียงเบา "ไม่จำเป็นหรอก" แค่ดูในมือถือก็พอแล้ว เด็กสองคนนั้นมีชีวิตชีวาขนาดนั้น แสดงว่าพวกเขามีสภาพแวดล้อมที่ดีในการเติบโต เขาเป็นแค่ผู้ชมที่ดูไลฟ์สดเพื่อรับความอบอุ่นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปก้าวก่ายชีวิตของพวกเขา บางทีอาจจะไปรบกวนพวกเขาด้วยซ้ำ หลี่มู่ถิงรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศรอบตัวฉินเย่ แค่พริบตาเดียวเขากลายเป็นคนมืดมนและลึกลับ อุณหภูมิรอบข้างก็เหมือนจะลดลงไปหลายองศาโอเค ห้าปีมานี้ หลี่มู่ถิงชินกับนิสัยที่เปลี่ยนเหมือนเปลี่ยนหน้าหนังสือของฉินเย่แล้ว- เสิ่นหยินอู้รอพวกเขาอยู่ที่
"ไม่ๆๆ"เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธ "ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ผู้ช่วยเฉิน" แต่ผู้ช่วยเฉินยังคงยืนยัน "คุณเสิ่นครับ ผมแรงเยอะ แค่เข็นคุณกับลากกระเป๋าพวกนี้มันไม่ใช่ปัญหาครับ"เสิ่นหยินอู้: "…ถ้าคุณอยากเข็นนักล่ะก็ เหมิงเหมิง ไปนั่งบนกระเป๋าสิลูก ให้อาเฉินเข็นหนู""ได้ค่ะหม่ามี๊"เสิ่นเหมิงเหมิงเป็นเด็กที่ฉลาด หลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นหยินอู้ เธอก็รีบปีนขึ้นไปบนกระเป๋าทันที แม้ว่าตอนปีนจะไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก แต่ก็ยังยื่นมือเล็กๆ ไปหาผู้ช่วยเฉินแล้วพูดเสียงหวานว่า "อาเฉิน ช่วยดึงเหมิงเหมิงหน่อยค่ะ" ผู้ช่วยเฉินรีบยื่นมือไปช่วยให้เธอนั่งบนกระเป๋าได้อย่างเรียบร้อยโดยสัญชาตญาณ เมื่อเธอนั่งเรียบร้อยแล้ว ผู้ช่วยเฉินก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้"ไม่ใช่ครับ คุณเสิ่น ความหมายของผมคือ......""เหมิงเหมิงเดินเหนื่อยแล้ว งั้นรบกวนผู้ช่วยเฉินเข็นเธอทีนะคะ ซือเหนียนครับ ไปเอากระเป๋าเดินทางของหนูมาเร็ว หนูถือเองนะครับ""ครับ" เด็กสองคนนี้เชื่อฟังเสิ่นหยินอู้มาก ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ทำตามทุกอย่าง สุดท้าย ผู้ช่วยเฉินก็ทำได้แค่เข็นเสิ่นเหมิงเหมิงไปข้างหน้า"ขอบคุณค่ะ อาเฉิน" เสิ่นเหมิงเหมิงยังคงกล่าวขอบคุณผู้ช
“ประธานฉิน ครั้งนี้ขอโทษจริงๆครับ เป็นความผิดพลาดของผมเอง ผมไม่คิดเลยว่าเที่ยวบินนี้จะไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว”ได้ยินแบบนั้น ฉินเย่หยุดก้าวทันที พร้อมกับจ้องมองเขาด้วยสายตาที่คมดั่งมีด"หลี่มู่ถิง ถ้าครั้งหน้าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ก็เตรียมตัวออกไปไปได้เลย""ได้ครับ ได้ครับ จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วครับท่านประธาน ผมรับประกัน ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจริงๆครับ"เมื่อขึ้นเครื่อง ฉินเย่ก็เดินไปยังที่นั่งเฟิร์สคลาสตามความเคยชิน“ยินดีต้อนรับขึ้นเครื่องค่ะ”พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกล่าวทักทายหลากหลายรูปแบบ เมื่อเธอมองไปเห็นฉินเย่ สายตาเธอก็เปล่งประกายขึ้นทันที“คุณผู้ชายคะ ตั๋วของคุณ......”ก่อนที่จะพูดจบ หลี่มู่ถิงก็รีบยื่นตั๋วของทั้งสองคนให้ทันทีพนักงานต้อนรับรับตั๋วมาแล้วดูแวบหนึ่ง ก่อนจะขวางฉินเย่ที่ตั้งใจจะไปยังที่นั่งเฟิร์สคลาส “ขอโทษนะคะ คุณผู้ชาย ที่นั่งของคุณอยู่ทางนี้ค่ะ”ฉินเย่หยุดเดินทันทีพนักงานต้อนรับยิ้มอย่างสุภาพ และชี้ไปทางที่นั่งชั้นประหยัด “ทางนี้ค่ะ คุณผู้ชาย”ผู้โดยสารบางคนที่กำลังขึ้นเครื่องหันมามองทางนี้สายตาที่มองฉินเย่นั้น เต็มไปด้วยคว
เมื่อหลี่มู่ถิงเข้ามาในชั้นเฟิร์สคลาส สายตาของเขาก็เริ่มกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาคนที่อาจจะยินดีที่จะแลกที่นั่งสุดท้าย เขาก็ล็อคเป้าหมายไปที่ชายวัยกลางคนชาวเอเชียคนหนึ่ง"สวัสดีครับ คุณผู้ชาย"หลี่มู่ถิงเดินเข้าไปหาและยื่นนามบัตรของตัวเองให้ทันทีชายคนนั้นชะงักไปซักพัก แต่เมื่อเห็นหลี่มู่ถิงก็ยิ้มอย่างดีใจ"ผู้ช่วยหลี่?"หลี่มู่ถิง "?""คุณรู้จักผมหรอครับ?""รู้จักสิครับ ผู้ช่วยหลี่ ผมผู้จัดการสวี่จากกลุ่มบริษัทจ้าว พวกเราเคยเจอกันแล้วครั้งหนึ่ง"หลี่มู่ถิงมองใบหน้าเหลี่ยมๆ ตาเล็กๆ และจมูกแบนๆของชายคนนี้ที่อยุ่ตรงหน้า และพยายามค้นหาในความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอเขามาก่อนเห็นหลี่มู่ถิงทำหน้าตาเหมือนไม่เคยเจอเขามาก่อน ผู้จัดการสวี่ก็ไม่รู้สึกโกรธ เพียงแค่ยกมือขึ้นเกาจมูกแล้วพูดว่า "ไม่เป็นไรครับ ผู้ช่วยหลี่ คุณงานยุ่งมาก คงจำผมไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ"ผู้ช่วยหลี่ทำได้เพียงพยักหน้า"ว่าแต่ ผู้ช่วยหลี่ คุณมานี่แสดงว่าประธานฉินก็มาด้วยใช่ไหมครับ?" พูดจบ ผู้จัดการสวี่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ พร้อมกับถามว่า "ทำไมไม่เห็นเขาล่ะครับ?"หลี่มู่ถิงรู้สึกว่าท่าทางของเขาดู
"เหอะ ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนบอกว่าคุณฉินน่ะมีบารมีที่แข็งแกร่งจริง ๆ"หลี่มู่ถิงรีบรายงานเรื่องที่เปลี่ยนที่นั่งให้กับฉินเย่ฟังทันที ประธานฉินจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชาแล้วก็เดินออกไปทันทีผู้จัดการสวี่รีบเปิดทางให้เขาเดินออกไปพอฉินเย่เดินออกไปแล้ว ผู้จัดการสวี่ก็หันมาหาหลี่มู่ถิงทันที"ผู้ช่วยหลี่ เราแลกช่องทางติดต่อกันดีไหมครับ?"หลี่มู่ถิง: "......"ในเมื่อเขาติดหนี้บุญคุณคนอื่นแล้ว ก็จำต้องหยิบโทรศัพท์ออกมารับชะตากรรม-ฉินเย่เดินไปยังที่นั่งที่สลับกับผู้จัดการสวี่อย่างไร้อารมณ์พอนั่งลงแล้ว เขาก็ยังคงทำหน้าบึ้งเหมือนเดิม บรรยากาศเย็นชาที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ทำให้คนรอบข้างหันมามองด้วยความสนใจการเปลี่ยนที่นั่งบนเครื่องบินเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ผู้โดยสารเต็มใจ พนักงานต้อนรับก็จะไม่ว่าอะไรและด้วยท่าทางของฉินเย่ที่ดูเหมือนเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง พนักงานต้อนรับจึงรีบเดินเข้าไปถามอย่างรวดเร็ว"คุณผู้ชายคะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?"ฉินเย่ยังคงอารมณ์ไม่ดี เมื่อได้ยินแบบนั้นก็พูดเสียงเย็นชา: "เหล้า"พนักงานต้อนรับสาวชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า"ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ"หล
เพราะถ้าเขาต้องการได้ตัวเสิ่นหยินอู้จริง ๆ เขาก็สามารถใช้วิธีอื่นเพื่อไม่ให้เด็กทั้งสองคนนี้ลืมตาดูโลกได้ถ้าตั้งใจจะทำ ยังไงก็ต้องหาทางได้ ไม่ใช่เหรอ?แต่เขาไม่ทำ เด็กทั้งสองคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย และโม่ไป๋ยังดูแลพวกเขาราวกับเป็นลูกของตัวเอง ความรู้สึกที่มีต่อเสิ่นหยินอู้ก็ยังคงเหมือนเดิมในฐานะที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผู้ช่วยเฉินรู้สึกว่าแม้จะต้องตาย เขาก็ไม่มีทางที่จะใจกว้างได้ขนาดนี้แน่นอนแต่ตอนนี้เมื่อได้ใช้เวลากับเด็กทั้งสองคนผู้ช่วยเฉินก็รู้สึกว่า เขาอาจจะไม่ต้องตายแล้ว เพราะว่าเขาเองก็......ใจกว้างพอสมควรเหมือนกันท้ายที่สุดแล้ว ใครจะไม่ชอบเด็กที่น่ารัก มีมารยาท และหน้าตาดีขนาดนี้ได้ล่ะ!!ก่อนหน้านี้ผู้ช่วยเฉินรู้สึกสงสารโม่ไป๋แค่ไหน ตอนนี้เขาก็รู้สึกอิจฉาโม่ไป๋เท่านั้นขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ เสิ่นเหมิงเหมิงก็เงยหน้ามองผู้ช่วยเฉินแล้วพูดว่า "อาเฉินคะ หนูอยากไปเข้าห้องน้ำค่ะ"ผู้ช่วยเฉิน"?"อ่าาา นี่ก่อนขึ้นเครื่องเพิ่งไปเข้าห้องน้ำมาไม่ใช่เหรอ?แต่ไม่นานผู้ช่วยเฉินก็นึกออกว่า แม้ว่าเธอจะไปห้องน้ำก่อนขึ้นเครื่องแล้ว แต่เธอก็เพิ่งดื่มเครื่องดื่มไปเยอะผู้ช่วยเฉินกำ
ดวงตาของเธอใสบริสุทธิ์และชัดเจนฉินเย่กลับรู้สึกหายใจติดขัดเขากำลังเห็นภาพหลอนไปหรือเปล่า?ไม่อย่างนั้น หนูน้อยเหมิงเหมิงที่เขาเห็นได้แค่ในไลฟ์สดจากโทรศัพท์มือถือ จะมาอยู่ตรงหน้าเขาได้ยังไงในเวลานี้??ขณะที่เขากำลังคิดว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นจริงหรือไม่ หนูน้อยก็เอียงศีรษะและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า "คุณอา หนูว่าคุณอาหล่อมากเลยค่ะ!"ฉินเย่ชะงักไปเสียงอ่อนหวานนี้...เหมือนกับเสียงที่เขาเคยได้ยินจากไลฟ์สดไม่มีผิดเพียงแต่ว่า ตอนนี้มันยิ่งจริงและอ่อนโยนกว่าเดิม"เหมิงเหมิงเหรอ?"เขาเม้มปาก ฉินเย่เรียกชื่อหนูน้อยออกมาแทบจะโดยสัญชาตญาณดวงตาของหนูน้อยเปล่งประกาย"คุณอารู้จักเหมิงเหมิงเหรอคะ?"ทันทีที่เธอได้ยินเขาเรียกชื่อเธอ หนูน้อยก็เหมือนจะลดการระวังตัวลงจากเดิมที่ยืนอยู่ที่เดิม กลายเป็นเดินก้าวเล็กๆ มาหาเขา"คุณอารู้จักเหมิงเหมิง แต่ทำไมเหมิงเหมิงไม่รู้จักคุณอาล่ะคะ?"ขณะที่พูดนั้น เธอก็มาถึงข้าง ๆ เขาแล้วเพราะความใกล้ชิดของเธอ ทำให้ฉินเย่เผลอหายใจเบาลงเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นเพราะหนูน้อยคนนี้ระวังตัวน้อยเกินไปแล้วก่อนหน้านี้ยังยืนอยู่ที่เดิม
“คุณผู้ชายคะ นี่ไวน์แดงของคุณค่ะ”หลังจากพูดจบ พนักงานต้อนรับเห็นเสิ่นเหมิงเหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉินเย่ ท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไปทันทีเธอวางแก้วไวน์แดงไว้ที่หน้าฉินเย่ แล้วก็รีบขอโทษเขา“ขอโทษค่ะ คุณผู้ชาย เด็กน้อยคนนี้รบกวนคุณไหมคะ? ฉันจะพาเธอไปจากที่นี่ทันทีค่ะ”หลังจากนั้น พนักงานต้อนรับก็ยิ้มหวานให้กับเด็กน้อย“ที่รัก ขอโทษนะที่เมื่อกี้พี่ลืมหนู ตอนนี้พี่พาหนูกลับไปที่ที่นั่งดีมั้ยคะ?”เสิ่นเหมิงเหมิงมองเธอแล้วก็หันไปมองฉินเย่ฉินเย่กัดริมฝีปาก ในใจรู้สึกไม่อยากให้เธอจากไปแต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก ไม่มีความรู้สึกเสียใจเลย หลังจากได้ฟังคำพูดของพนักงานต้อนรับ เธอก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แล้วหันไปโบกมือให้ฉินเย่“คุณอา หนูดีใจที่ได้รู้จักคุณอาวันนี้ เหมิงเหมิงไปก่อนนะคะ”คุณเย่พยักหน้าและพูดเสียงต่ำ“อื้ม อาก็ยินดีที่ได้รู้จักหนูเหมือนกัน”แม้จะรู้สึกไม่อยากจากไป แต่เด็กคนนั้นก็เป็นลูกของคนอื่น ฉินเย่จึงได้แต่ส่งให้เธอตามพนักงานต้อนรับไป หลังจากเด็กหญิงเดินจากไป ฉินเย่รู้สึกว่าหัวใจที่เคยกระวนกระวายของเขาสงบลงมากไม่รู้สึกหงุดหงิดเหมือนตอนขึ้นเครื่องแม้แต่ไวน์แดงที่อยู่ตรงหน
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ