ต่อไปหากเจอเรื่องอะไร เธอต้องใจเย็นบ้างแล้ว“ชวงชวง เป็นอะไรไป?”พ่อเสิ่นกับน้าฟู่ที่เดินไปไกลแล้วพอหันกลับมาเห็นว่าโจวชวงชวงยังอยู่ที่เดิมอยู่ ทั้งสองจึงหยุดฝีเท้าแล้วเดินกลับมาหาเธอเสียงของพวกท่านทำให้โจวชวงชวงได้สติ แล้วยิ้มตอบ“ไม่อยากจากหยินอู้ไปใช่ไหม? โธ่เอ้ย คนหนุ่มสาวอย่างพวกหนู แค่นั่งเครื่องบินไปก็เจอกันแล้ว ไม่ต้องเสียใจไปนะ”น้าฟู่ปลอบใจเธอ“ค่ะน้าฟู่ น้าไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าหนูคิดถึงหล่อน หนูจะไปหาทันที”“ไปกันเถอะ”ก่อนที่จะเดินจากไป โจวชวงชวงยังอดหันไปมองที่ด่านตรวจไม่ได้ขอให้หยินอู้ไม่เจอกับฉินเย่ด้วยเถอะทำให้โชคชะตานี้เหมือนกับตอนที่อยู่หน้าห้องน้ำ ที่เพียงแค่ผ่านๆ ไป_หลังจากผ่านด่านตรวจ เสิ่นหยินอู้ก็พาเด็กสองคนเดินไปข้างหน้า กระเป๋าเดินทางและของอื่นๆ เธอไม่ต้องถือเลยด้วยซ้ำเพราะทันทีที่ผ่านจากด่านตรวจมา ผู้ช่วยเฉินก็พูดกับเธอทันทีว่า“ผู้จัดการเสิ่น เอาของมาให้ผม เดี๋ยวผมถือให้ดีกว่าครับ”“ไม่เป็นไรค่ะผู้ช่วยเฉิน ของบ้านฉันเยอะมาก คุณถือคนเดียวไม่ได้ เดี๋ยวฉันถือเองดีกว่า”“ผู้จัดการเสิ่น เอามาให้ผมเถอะ ประธานโม่บอกให้ผมกลับประเทศไปพร้อมกับคุณ ก็
เสิ่นเหมิงเหมิงเลียปากของตนเอง ก็ยังรู้สึกว่าตนอยากกินมากแต่ทว่าหม่ามี๊บอกแล้วว่ากินไม่ได้ เธอก็ทำได้แต่กินถึงขนมเครื่องดื่มบนเครื่องบินแล้วเธอกะพริบตาปริบๆ แล้วมองภาพแขวนในร้านค้าผู้ช่วยเฉินมองอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าเธอน่ารักจนใจละลาย เห็นแล้วก็อยากซื้อให้กินเลยเขาจึงพูดขึ้นว่า “ผู้จัดการเสิ่น เด็กๆ น่ะบางครั้งก็ชอบกินของแบบนั้น ผมซื้อให้เด็กทั้งสองคนถ้วยหนึ่งได้ไหม?”เสิ่นหยินอู้ยิ้มเบาๆ“ผู้ช่วยเฉินเป็นเบ๊ไม่ใช่เหรอคะ? ให้พวกเราซื้อให้คุณสักถ้วยดีไหมคะ? ยังไงคุณก็ลำบากมากขนาดนี้แล้ว”ผู้ช่วยเฉิน “…ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เอา”“จริงสิผู้ช่วยเฉิน ต่อไปคุณไม่ต้องเรียกฉันว่าผู้จัดการเสิ่นแล้ว เพราะตอนนี้ฉันไม่ใช่ผู้จัดการของบริษัทอีกแล้ว”ผู้ช่วยหลี่ครุ่นคิดแล้วพยักหน้า“ครับคุณหนูเสิ่น”พวกเขาเดินไปข้างหน้าต่อไปเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้น เสิ่นหยินอู้หยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความจากโม่ไป๋“เป็นยังไงบ้าง? ผ่านด่านตรวจหรือยัง?”เมื่อเห็นข้อความจากเขา เสิ่นหยินอู้ก็ยกมุมปากขึ้น“ผ่านแล้ว”ข้อความถูกส่งไปไม่กี่วินาที โม่ไป๋ก็โทรมาแล้ว“เป็นยังไงบ้าง? ผู้ช่วยเฉินดูแลเธอดีไห
“คุณหนูเสิ่น?” ผู้ช่วยเฉินทำงานให้กับโม่ไป๋นานแล้ว จึงมีทักษะการมองสีหน้า เมื่อเห็นสีหน้าของเสิ่นหยินอู้แล้ว จึงถามไปว่า “เป็นอะไรไปครับ?”อย่างไรผู้ช่วยเฉินก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ต่อหน้าผู้ชายคนหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกเกรงใจเหมือนกันแต่ทว่าในสถานการณ์แบบนี้ เธอต้องไปจัดการในห้องน้ำก่อนเธอเม้มปากแล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ ฉันขอไปห้องน้ำแป๊บหนึ่ง”“พวกหนูไปหาที่นั่งกับผู้ช่วยเฉินก่อน เดี๋ยวหม่ามี้ตามไป”หลังจากที่เสิ่นหยินอู้จากไปแล้ว ผู้ช่วยเฉินก็ดูแลเด็กสองคนต่อ“ถ้างั้น พวกหนูไปกับลุงก่อนไหม?”เสิ่นซือเหนียนเผยสีหน้ากังวลใจออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยถามผู้ช่วยเฉิน“ลุงเฉินครับ วันนี้วันอะไรเหรอครับ?”ผู้ช่วยเฉินกดดูโทรศัพท์ แล้วแจ้งวันที่ออกไป“วันนี้ทำไมเหรอ?”หลังจากได้รู้วันที่แล้ว เสิ่นซือเหนียนก็เข้าใจทันที แล้วนับนิ้วคำนวณพลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันนั้นของเดือนของหม่ามี๊ครับ”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของผู้ช่วยเฉินก็เปลี่ยนไปทันที หลังจากนั้นไม่นานก็เกาศีรษะอย่างทำอะไรไม่ถูกวันนั้นของเดือนนี่เองโทรศัพท์ของเขาสั่นไปทีหนึ่ง มีข้อความส่งเข้ามา
“ได้ค่ะ โกโก้ร้อนสามแก้ว กรุณารอสักครู่นะคะ คุณผู้ชายคะ คุณไปหาที่นั่งก่อนนะคะ” "โอเคครับ" ผู้ช่วยเฉินมองไปรอบๆ เขาเห็นที่นั่งริมหน้าต่าง จึงพาเด็กสองคนไปตรงนั้น “ปะ ไปตรงนั้นกับลุงเฉินนะ” เสิ่นเหมิงเหมิงวิ่งไปข้างหน้าและจับชายเสื้อของผู้ช่วยเฉินในทันที ผู้ช่วยเฉินมองลงไป เห็นมือสีชมพูเล็กๆจับชายเสื้อของเขาไว้ กำปั้นนั้นเล็กมากจนมีขนาดไม่ถึงหนึ่งในสามของมือของเขาด้วยซ้ำ มันเล็กมากเช่นนี้ แต่ก็จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น ผู้ช่วยเฉินเป็นชายร่างสูงท้วม เขารู้สึกได้ทันทีว่าหัวใจของเขาอ่อนโยนขึ้นมาก ไม่แปลกใจเลยที่หลายๆคนชอบเด็กมากขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงชะลอฝีเท้าลงเพื่อเสิ่นเหมิงเหมิงจะได้ตามทันเขา จากนั้นก็มองไปที่เสิ่นซือเหนียน เด็กผู้ชายก็เป็นเด็กผู้ชายอยู่วันยังค่ำจริงๆ เขาพยายามรักษาระยะห่างจากผู้ช่วยเฉิน และเดินตามน้องสาวของเขาไปด้วยใบหน้าที่สงบราวกับผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ นับตั้งแต่เขาได้รับคำเตือนจากฉินเย่ หลี่มู่ถิงก็ไม่กล้าที่จะฟุ้งซ่านอีก แต่เมื่อเขาได้ยินชายคนนั้นเดินมาหาเขาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะฟุ้งซ่านและอยากจะไปดูโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อนึกถึงสาย
"คู่สนทนาชะงักไป ก่อนที่จะเข้าใจ “งั้นคุณต้องระวังตัวด้วยนะ” "ขอบคุณค่ะ" เสิ่นหยินอู้ยิ้มหน้าซีดๆ แล้วพูดขอบคุณ หลังจากออกมา เสิ่นหยินอู้เห็นเกทผู้โดยสารอยู่ข้างหน้า เธอจึงเดินไปหาที่นั่งและหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความให้ผู้ช่วยเฉิน "ผู้ช่วยเฉิน คุณอยู่ที่เกทผู้โดยสารหรือยังคะ?" ตอนที่ผู้ช่วยเฉินได้รับข้อความจากเสิ่นหยินอู้ เขารออยู่ที่ร้านกาแฟมานานแล้ว แต่โกโก้ร้อนสามแก้วก็ยังไม่มา จนเขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ร้านนี้บริการช้าจริงๆ ตอนนั้นเอง เขาได้รับข้อความจากเสิ่นหยินอู้ ผู้ช่วยเฉินตอบโดยอัตโนมัติ "พวกเราอยู่ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ......""คุณผู้ชาย โกโก้ร้อนสามแก้วของคุณได้แล้วค่ะ" เขายังพิมพ์ข้อความไม่เสร็จ พนักงานก็เรียกเขาไปรับออร์เดอร์"โอเคครับ" ผู้ช่วยเฉินเก็บมือถือแล้วลากกระเป๋าเดินทางพร้อมบอกเสิ่นเหมิงเหมิงและเสิ่นซือเหนียน "โกโก้ร้อนของเราเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ" จากนั้นเขาก็ลากกระเป๋าเดินหน้าไปก่อน โดยมีเด็กทั้งสองคนเดินตามหลัง เมื่อเดินผ่านฉินเย่ เสิ่นซือเหนียนที่เดินตามหลังสุดก็หันมองเขาโดยอัตโนมัติ เพียงแค่แวบเดียว เสิ่นซือเหนียนก็จำได้ว่าเขาคือคุณอาสุด
คนที่โทรมาเป็นคู่ค้าทางธุรกิจพอดีเมื่อการสนทนาใกล้จะจบลง ฉินเย่ก็วางสายอย่างไม่ลังเล แล้วมอบหมายงานที่เหลือให้หลี่มู่ถิงจัดการหลี่มู่ถิงได้แต่ทำงานตามหน้าที่ไป แต่ใจยังคงคิดถึงเด็กสองคนนั้นที่เขาเห็นเมื่อซักครู่พอคิดทบทวนอยู่พักหนึ่ง หลี่มู่ถิงถึงตัดสินใจกล้าเสี่ยงบอกฉินเย่ไป"เอ่อ...ประธานฉิน เมื่อกี้นี้ผมเห็นเด็กสองคน"ยังไม่ทันพูดจบ ฉินเย่ก็ส่งสายตาเตือนมาพอเห็นสายตานั้น หลี่มู่ถิงก็ได้แต่พูดต่ออย่างกล้าๆกลัวๆ "เด็กสองคนนั้นดูเหมือนจะเป็นเด็กที่คุณดูในไลฟ์สดบ่อยๆนะครับ"ปลายนิ้วของฉินเย่หยุดนิ่ง การเก็บกระเป๋าเอกสารของเขาก็หยุดตามไปด้วยจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว"นายว่าอะไรนะ?"หลี่มู่ถิงเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน "ผมไม่แน่ใจครับ ผมเห็นแค่ด้านข้างของพวกเขา เด็กสองคนนั้นหน้าตาคล้ายกันมาก เป็นฝาแฝดชายหญิง ผมเดาว่า......""อยู่ที่ไหน?"ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ฉินเย่ก็ลุกขึ้นยืน"ครับ?...พวกเขาไปแล้ว" หลี่มู่ถิงชี้ไปข้างนอกไม่ทันไร ร่างสูงของฉินเย่ก็หายไปจากสายตาของหลี่มู่ถิงหลี่มู่ถิงยืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะตั้งสติได้เขาเก็บของอย่างรวดเร็วแล้วตามไปในสนามบิ
จะใช้โอกาสนี้ไปเจอพวกเขาสักครั้งไหม? จริงๆแล้วฉินเย่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกผูกพันกับเด็กสองคนนั้นมากขนาดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่สดใสของพวกเขาเวลามองพวกเขา มันเหมือนมองเห็นแสงอาทิตย์ สดใส น่ารัก มีชีวิตชีวา เบ่งบานต่างจากเขาที่อยู่ในความมืดมิดอย่างสิ้นเชิง เขาเต็มไปด้วยความโกรธ เย็นชา อารมณ์ร้าย เข้ากับคนอื่นยากแต่เรื่องแปลกๆแบบนี้ ถ้าเล่าให้คนอื่นฟัง พวกเขาคงคิดว่าเขาไม่ปกติ ทำไมถึงชอบเด็กสองคนนี้โดยไม่มีเหตุผลคิดได้แบบนั้น ฉินเย่ก็หลับตาลงแล้วพูดเสียงเบา "ไม่จำเป็นหรอก" แค่ดูในมือถือก็พอแล้ว เด็กสองคนนั้นมีชีวิตชีวาขนาดนั้น แสดงว่าพวกเขามีสภาพแวดล้อมที่ดีในการเติบโต เขาเป็นแค่ผู้ชมที่ดูไลฟ์สดเพื่อรับความอบอุ่นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปก้าวก่ายชีวิตของพวกเขา บางทีอาจจะไปรบกวนพวกเขาด้วยซ้ำ หลี่มู่ถิงรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศรอบตัวฉินเย่ แค่พริบตาเดียวเขากลายเป็นคนมืดมนและลึกลับ อุณหภูมิรอบข้างก็เหมือนจะลดลงไปหลายองศาโอเค ห้าปีมานี้ หลี่มู่ถิงชินกับนิสัยที่เปลี่ยนเหมือนเปลี่ยนหน้าหนังสือของฉินเย่แล้ว- เสิ่นหยินอู้รอพวกเขาอยู่ที่
"ไม่ๆๆ"เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธ "ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ผู้ช่วยเฉิน" แต่ผู้ช่วยเฉินยังคงยืนยัน "คุณเสิ่นครับ ผมแรงเยอะ แค่เข็นคุณกับลากกระเป๋าพวกนี้มันไม่ใช่ปัญหาครับ"เสิ่นหยินอู้: "…ถ้าคุณอยากเข็นนักล่ะก็ เหมิงเหมิง ไปนั่งบนกระเป๋าสิลูก ให้อาเฉินเข็นหนู""ได้ค่ะหม่ามี๊"เสิ่นเหมิงเหมิงเป็นเด็กที่ฉลาด หลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นหยินอู้ เธอก็รีบปีนขึ้นไปบนกระเป๋าทันที แม้ว่าตอนปีนจะไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก แต่ก็ยังยื่นมือเล็กๆ ไปหาผู้ช่วยเฉินแล้วพูดเสียงหวานว่า "อาเฉิน ช่วยดึงเหมิงเหมิงหน่อยค่ะ" ผู้ช่วยเฉินรีบยื่นมือไปช่วยให้เธอนั่งบนกระเป๋าได้อย่างเรียบร้อยโดยสัญชาตญาณ เมื่อเธอนั่งเรียบร้อยแล้ว ผู้ช่วยเฉินก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้"ไม่ใช่ครับ คุณเสิ่น ความหมายของผมคือ......""เหมิงเหมิงเดินเหนื่อยแล้ว งั้นรบกวนผู้ช่วยเฉินเข็นเธอทีนะคะ ซือเหนียนครับ ไปเอากระเป๋าเดินทางของหนูมาเร็ว หนูถือเองนะครับ""ครับ" เด็กสองคนนี้เชื่อฟังเสิ่นหยินอู้มาก ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ทำตามทุกอย่าง สุดท้าย ผู้ช่วยเฉินก็ทำได้แค่เข็นเสิ่นเหมิงเหมิงไปข้างหน้า"ขอบคุณค่ะ อาเฉิน" เสิ่นเหมิงเหมิงยังคงกล่าวขอบคุณผู้ช
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ