ในเมื่อไม่รู้ ถ้างั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรมากอย่างไรก็เป็นโชคชะตาที่ตัดขาดไปแล้วและเสิ่นหยินอู้ของเธอคู่ควรกับผู้ชายที่ดีกว่าเมื่อคิดได้แบบนั้น โจวชวงชวงก็สงบลง เธอเผยรอยยิ้มออกมา แล้วพูดหยอกเล่นว่า “อืม เช่น เจอคนจูงหมา หรือว่าขอทานอะไรงี้”เสิ่นหยินอู้ “…เธอไม่เป็นไรใช่ไหม? สนามบินไม่ให้เอาสัตว์เลี้ยงเข้ามา ขอทานก็ไม่มีทางเข้ามาด้วย”“ก็จริงเนอะ โอ๊ย อาจเป็นเพราะพวกเธอจะไปกันแล้ว ฉันเสียใจเกินไปก็เลยลืมตัวน่ะ พวกเธออยู่ต่อเลยได้ไหม”เชอะ เสิ่นหยินอู้ไม่อยากสนใจเธอด้วยซ้ำเธอก้มหน้าจัดเสื้อให้กับเด็กทั้งสอง แล้วได้ยินเสิ่นซือเหนียนพูดขึ้นว่า“หม่ามี๊ เมื่อกี้ผมเจอลุงที่หล่อมากคนหนึ่งในห้องน้ำครับ เขาช่วยผมเปิดประตู”เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใคร เพียงแค่ตอบไปว่า “แล้วเหนียนเหนียนบอกขอบคุณเขาหรือยัง?”“บอกแล้วครับหม่ามี๊”“มีมารยาทจริงๆ” เสิ่นหยินอู้เข้าไปใกล้ แล้วจูบหน้าผากของเขาทีหนึ่งเสิ่นซือเหนียนตัวน้อยเต็มไปด้วยความพึงพอใจเสิ่นเหมิงเหมิงเห็นดังนั้น ก็รีบยืดตัวออกมา“หม่ามี๊ เหมิงเหมิงก็จะเอาด้วย”โจวชวงชวงเห็นสามแม่ลูกนี้แล้ว ในใจอิจฉาสุดขีดถ้าเป็นไปได้ เธออ
ต่อไปหากเจอเรื่องอะไร เธอต้องใจเย็นบ้างแล้ว“ชวงชวง เป็นอะไรไป?”พ่อเสิ่นกับน้าฟู่ที่เดินไปไกลแล้วพอหันกลับมาเห็นว่าโจวชวงชวงยังอยู่ที่เดิมอยู่ ทั้งสองจึงหยุดฝีเท้าแล้วเดินกลับมาหาเธอเสียงของพวกท่านทำให้โจวชวงชวงได้สติ แล้วยิ้มตอบ“ไม่อยากจากหยินอู้ไปใช่ไหม? โธ่เอ้ย คนหนุ่มสาวอย่างพวกหนู แค่นั่งเครื่องบินไปก็เจอกันแล้ว ไม่ต้องเสียใจไปนะ”น้าฟู่ปลอบใจเธอ“ค่ะน้าฟู่ น้าไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าหนูคิดถึงหล่อน หนูจะไปหาทันที”“ไปกันเถอะ”ก่อนที่จะเดินจากไป โจวชวงชวงยังอดหันไปมองที่ด่านตรวจไม่ได้ขอให้หยินอู้ไม่เจอกับฉินเย่ด้วยเถอะทำให้โชคชะตานี้เหมือนกับตอนที่อยู่หน้าห้องน้ำ ที่เพียงแค่ผ่านๆ ไป_หลังจากผ่านด่านตรวจ เสิ่นหยินอู้ก็พาเด็กสองคนเดินไปข้างหน้า กระเป๋าเดินทางและของอื่นๆ เธอไม่ต้องถือเลยด้วยซ้ำเพราะทันทีที่ผ่านจากด่านตรวจมา ผู้ช่วยเฉินก็พูดกับเธอทันทีว่า“ผู้จัดการเสิ่น เอาของมาให้ผม เดี๋ยวผมถือให้ดีกว่าครับ”“ไม่เป็นไรค่ะผู้ช่วยเฉิน ของบ้านฉันเยอะมาก คุณถือคนเดียวไม่ได้ เดี๋ยวฉันถือเองดีกว่า”“ผู้จัดการเสิ่น เอามาให้ผมเถอะ ประธานโม่บอกให้ผมกลับประเทศไปพร้อมกับคุณ ก็
เสิ่นเหมิงเหมิงเลียปากของตนเอง ก็ยังรู้สึกว่าตนอยากกินมากแต่ทว่าหม่ามี๊บอกแล้วว่ากินไม่ได้ เธอก็ทำได้แต่กินถึงขนมเครื่องดื่มบนเครื่องบินแล้วเธอกะพริบตาปริบๆ แล้วมองภาพแขวนในร้านค้าผู้ช่วยเฉินมองอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าเธอน่ารักจนใจละลาย เห็นแล้วก็อยากซื้อให้กินเลยเขาจึงพูดขึ้นว่า “ผู้จัดการเสิ่น เด็กๆ น่ะบางครั้งก็ชอบกินของแบบนั้น ผมซื้อให้เด็กทั้งสองคนถ้วยหนึ่งได้ไหม?”เสิ่นหยินอู้ยิ้มเบาๆ“ผู้ช่วยเฉินเป็นเบ๊ไม่ใช่เหรอคะ? ให้พวกเราซื้อให้คุณสักถ้วยดีไหมคะ? ยังไงคุณก็ลำบากมากขนาดนี้แล้ว”ผู้ช่วยเฉิน “…ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เอา”“จริงสิผู้ช่วยเฉิน ต่อไปคุณไม่ต้องเรียกฉันว่าผู้จัดการเสิ่นแล้ว เพราะตอนนี้ฉันไม่ใช่ผู้จัดการของบริษัทอีกแล้ว”ผู้ช่วยหลี่ครุ่นคิดแล้วพยักหน้า“ครับคุณหนูเสิ่น”พวกเขาเดินไปข้างหน้าต่อไปเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้น เสิ่นหยินอู้หยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความจากโม่ไป๋“เป็นยังไงบ้าง? ผ่านด่านตรวจหรือยัง?”เมื่อเห็นข้อความจากเขา เสิ่นหยินอู้ก็ยกมุมปากขึ้น“ผ่านแล้ว”ข้อความถูกส่งไปไม่กี่วินาที โม่ไป๋ก็โทรมาแล้ว“เป็นยังไงบ้าง? ผู้ช่วยเฉินดูแลเธอดีไห
“คุณหนูเสิ่น?” ผู้ช่วยเฉินทำงานให้กับโม่ไป๋นานแล้ว จึงมีทักษะการมองสีหน้า เมื่อเห็นสีหน้าของเสิ่นหยินอู้แล้ว จึงถามไปว่า “เป็นอะไรไปครับ?”อย่างไรผู้ช่วยเฉินก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ต่อหน้าผู้ชายคนหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกเกรงใจเหมือนกันแต่ทว่าในสถานการณ์แบบนี้ เธอต้องไปจัดการในห้องน้ำก่อนเธอเม้มปากแล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ ฉันขอไปห้องน้ำแป๊บหนึ่ง”“พวกหนูไปหาที่นั่งกับผู้ช่วยเฉินก่อน เดี๋ยวหม่ามี้ตามไป”หลังจากที่เสิ่นหยินอู้จากไปแล้ว ผู้ช่วยเฉินก็ดูแลเด็กสองคนต่อ“ถ้างั้น พวกหนูไปกับลุงก่อนไหม?”เสิ่นซือเหนียนเผยสีหน้ากังวลใจออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยถามผู้ช่วยเฉิน“ลุงเฉินครับ วันนี้วันอะไรเหรอครับ?”ผู้ช่วยเฉินกดดูโทรศัพท์ แล้วแจ้งวันที่ออกไป“วันนี้ทำไมเหรอ?”หลังจากได้รู้วันที่แล้ว เสิ่นซือเหนียนก็เข้าใจทันที แล้วนับนิ้วคำนวณพลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันนั้นของเดือนของหม่ามี๊ครับ”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของผู้ช่วยเฉินก็เปลี่ยนไปทันที หลังจากนั้นไม่นานก็เกาศีรษะอย่างทำอะไรไม่ถูกวันนั้นของเดือนนี่เองโทรศัพท์ของเขาสั่นไปทีหนึ่ง มีข้อความส่งเข้ามา
“ได้ค่ะ โกโก้ร้อนสามแก้ว กรุณารอสักครู่นะคะ คุณผู้ชายคะ คุณไปหาที่นั่งก่อนนะคะ” "โอเคครับ" ผู้ช่วยเฉินมองไปรอบๆ เขาเห็นที่นั่งริมหน้าต่าง จึงพาเด็กสองคนไปตรงนั้น “ปะ ไปตรงนั้นกับลุงเฉินนะ” เสิ่นเหมิงเหมิงวิ่งไปข้างหน้าและจับชายเสื้อของผู้ช่วยเฉินในทันที ผู้ช่วยเฉินมองลงไป เห็นมือสีชมพูเล็กๆจับชายเสื้อของเขาไว้ กำปั้นนั้นเล็กมากจนมีขนาดไม่ถึงหนึ่งในสามของมือของเขาด้วยซ้ำ มันเล็กมากเช่นนี้ แต่ก็จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น ผู้ช่วยเฉินเป็นชายร่างสูงท้วม เขารู้สึกได้ทันทีว่าหัวใจของเขาอ่อนโยนขึ้นมาก ไม่แปลกใจเลยที่หลายๆคนชอบเด็กมากขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงชะลอฝีเท้าลงเพื่อเสิ่นเหมิงเหมิงจะได้ตามทันเขา จากนั้นก็มองไปที่เสิ่นซือเหนียน เด็กผู้ชายก็เป็นเด็กผู้ชายอยู่วันยังค่ำจริงๆ เขาพยายามรักษาระยะห่างจากผู้ช่วยเฉิน และเดินตามน้องสาวของเขาไปด้วยใบหน้าที่สงบราวกับผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ นับตั้งแต่เขาได้รับคำเตือนจากฉินเย่ หลี่มู่ถิงก็ไม่กล้าที่จะฟุ้งซ่านอีก แต่เมื่อเขาได้ยินชายคนนั้นเดินมาหาเขาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะฟุ้งซ่านและอยากจะไปดูโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อนึกถึงสาย
"คู่สนทนาชะงักไป ก่อนที่จะเข้าใจ “งั้นคุณต้องระวังตัวด้วยนะ” "ขอบคุณค่ะ" เสิ่นหยินอู้ยิ้มหน้าซีดๆ แล้วพูดขอบคุณ หลังจากออกมา เสิ่นหยินอู้เห็นเกทผู้โดยสารอยู่ข้างหน้า เธอจึงเดินไปหาที่นั่งและหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความให้ผู้ช่วยเฉิน "ผู้ช่วยเฉิน คุณอยู่ที่เกทผู้โดยสารหรือยังคะ?" ตอนที่ผู้ช่วยเฉินได้รับข้อความจากเสิ่นหยินอู้ เขารออยู่ที่ร้านกาแฟมานานแล้ว แต่โกโก้ร้อนสามแก้วก็ยังไม่มา จนเขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ร้านนี้บริการช้าจริงๆ ตอนนั้นเอง เขาได้รับข้อความจากเสิ่นหยินอู้ ผู้ช่วยเฉินตอบโดยอัตโนมัติ "พวกเราอยู่ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ......""คุณผู้ชาย โกโก้ร้อนสามแก้วของคุณได้แล้วค่ะ" เขายังพิมพ์ข้อความไม่เสร็จ พนักงานก็เรียกเขาไปรับออร์เดอร์"โอเคครับ" ผู้ช่วยเฉินเก็บมือถือแล้วลากกระเป๋าเดินทางพร้อมบอกเสิ่นเหมิงเหมิงและเสิ่นซือเหนียน "โกโก้ร้อนของเราเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ" จากนั้นเขาก็ลากกระเป๋าเดินหน้าไปก่อน โดยมีเด็กทั้งสองคนเดินตามหลัง เมื่อเดินผ่านฉินเย่ เสิ่นซือเหนียนที่เดินตามหลังสุดก็หันมองเขาโดยอัตโนมัติ เพียงแค่แวบเดียว เสิ่นซือเหนียนก็จำได้ว่าเขาคือคุณอาสุด
คนที่โทรมาเป็นคู่ค้าทางธุรกิจพอดีเมื่อการสนทนาใกล้จะจบลง ฉินเย่ก็วางสายอย่างไม่ลังเล แล้วมอบหมายงานที่เหลือให้หลี่มู่ถิงจัดการหลี่มู่ถิงได้แต่ทำงานตามหน้าที่ไป แต่ใจยังคงคิดถึงเด็กสองคนนั้นที่เขาเห็นเมื่อซักครู่พอคิดทบทวนอยู่พักหนึ่ง หลี่มู่ถิงถึงตัดสินใจกล้าเสี่ยงบอกฉินเย่ไป"เอ่อ...ประธานฉิน เมื่อกี้นี้ผมเห็นเด็กสองคน"ยังไม่ทันพูดจบ ฉินเย่ก็ส่งสายตาเตือนมาพอเห็นสายตานั้น หลี่มู่ถิงก็ได้แต่พูดต่ออย่างกล้าๆกลัวๆ "เด็กสองคนนั้นดูเหมือนจะเป็นเด็กที่คุณดูในไลฟ์สดบ่อยๆนะครับ"ปลายนิ้วของฉินเย่หยุดนิ่ง การเก็บกระเป๋าเอกสารของเขาก็หยุดตามไปด้วยจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว"นายว่าอะไรนะ?"หลี่มู่ถิงเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน "ผมไม่แน่ใจครับ ผมเห็นแค่ด้านข้างของพวกเขา เด็กสองคนนั้นหน้าตาคล้ายกันมาก เป็นฝาแฝดชายหญิง ผมเดาว่า......""อยู่ที่ไหน?"ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ฉินเย่ก็ลุกขึ้นยืน"ครับ?...พวกเขาไปแล้ว" หลี่มู่ถิงชี้ไปข้างนอกไม่ทันไร ร่างสูงของฉินเย่ก็หายไปจากสายตาของหลี่มู่ถิงหลี่มู่ถิงยืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะตั้งสติได้เขาเก็บของอย่างรวดเร็วแล้วตามไปในสนามบิ
จะใช้โอกาสนี้ไปเจอพวกเขาสักครั้งไหม? จริงๆแล้วฉินเย่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกผูกพันกับเด็กสองคนนั้นมากขนาดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่สดใสของพวกเขาเวลามองพวกเขา มันเหมือนมองเห็นแสงอาทิตย์ สดใส น่ารัก มีชีวิตชีวา เบ่งบานต่างจากเขาที่อยู่ในความมืดมิดอย่างสิ้นเชิง เขาเต็มไปด้วยความโกรธ เย็นชา อารมณ์ร้าย เข้ากับคนอื่นยากแต่เรื่องแปลกๆแบบนี้ ถ้าเล่าให้คนอื่นฟัง พวกเขาคงคิดว่าเขาไม่ปกติ ทำไมถึงชอบเด็กสองคนนี้โดยไม่มีเหตุผลคิดได้แบบนั้น ฉินเย่ก็หลับตาลงแล้วพูดเสียงเบา "ไม่จำเป็นหรอก" แค่ดูในมือถือก็พอแล้ว เด็กสองคนนั้นมีชีวิตชีวาขนาดนั้น แสดงว่าพวกเขามีสภาพแวดล้อมที่ดีในการเติบโต เขาเป็นแค่ผู้ชมที่ดูไลฟ์สดเพื่อรับความอบอุ่นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปก้าวก่ายชีวิตของพวกเขา บางทีอาจจะไปรบกวนพวกเขาด้วยซ้ำ หลี่มู่ถิงรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศรอบตัวฉินเย่ แค่พริบตาเดียวเขากลายเป็นคนมืดมนและลึกลับ อุณหภูมิรอบข้างก็เหมือนจะลดลงไปหลายองศาโอเค ห้าปีมานี้ หลี่มู่ถิงชินกับนิสัยที่เปลี่ยนเหมือนเปลี่ยนหน้าหนังสือของฉินเย่แล้ว- เสิ่นหยินอู้รอพวกเขาอยู่ที่
เรื่องสำคัญที่ต้องทำเหรอ? ทำไมเขาถึงไม่บอกเธอล่ะ? แต่ในไม่ช้า เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกโล่งใจ ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ตอบข้อความของเธอ ที่แท้เขาก็ยุ่งอยู่จริงๆนี่เองถ้างั้นข้อความที่เธอส่งไปก็คงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เขาใช่ไหม? “คุณหนูเสิ่น ไม่ต้องกังวลนะครับ ประธานฉินไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ก็ดึกแล้ว คุณรีบพักผ่อนจะดีกว่านะครับ” แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะพูดเช่นนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว มันไม่ใช่เวลาที่จะรบกวนเขา “โอเค งั้นคุณพักผ่อนตามสบายค่ะ” “ถ้ามีเรื่องอะไร คุณหนูเสิ่นโทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับประธานฉิน ผมจะรีบแจ้งให้คุณหนูเสิ่นทราบในทันทีที่ผมได้ข่าว” "ขอบคุณค่ะ" หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กำโทรศัพท์ไว้และพลิกตัวไป เธอยังคงไม่ได้นอน เธอกัดริมฝีปากล่าง อาจพูดได้ว่าหัวใจของเธอนั้นยุ่งเหยิงเหมือนด้ายที่พันกัน แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็หลับไปกับความคิดเช่นนี้พร้อมกับกำโทรศัพท์ไว้ในมือ จากนั้นเธอก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการที่โทรศัพท์สั่น หลังจากตื่นขึ้น เธอก็พบว่ามันคื
ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเธอ เสิ่นหยินอู้ก็เปิดสมุดรายชื่อขึ้นมาทันทีเพื่อจะโทรหาฉินเย่ แต่หลังจากกดโทรออกไปแล้ว เธอก็ลังเลอีกครั้ง จากนั้นสองวินาทีเธอก็กดตัดสายที่ยังโทรไม่ติดไป เขาไม่ได้ตอบกลับข้อความของเธอ นั่นหมายความว่าเขาคงจะยุ่งอยู่ในขณะนี้ หรือไม่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถตอบกลับข้อความได้ หากเธอโทรหาเขาในเวลานี้และถ้ามันส่งผลกระทบกับเขา...ช่างมันเถอะ เพื่อความปลอดภัยของเขา เธอยังไม่ควรโทรหาเขาในตอนนี้ เมื่อเขาจัดการธุระเสร็จแล้ว เขาคงจะตอบกลับข้อความของเธอเอง ด้วยความคิดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้จึงพกโทรศัพท์ไว้ที่ตัวและนำมันติดตัวไปทุกที่ ต่อให้จะเป็นตอนอาบน้ำ เธอก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างๆ อีกทั้งยังให้ความสนใจกับทุกๆเสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นมา แต่เห็นได้ชัดว่าการที่ฉินเย่ไม่ตอบกลับข้อความทำให้เสิ่นหยินอู้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย ขณะที่เธออาบน้ำ เธอสนใจตลอดว่ามีข้อความใดส่งมาให้เธอหรือไม่ เมื่อโทรศัพท์ของเธอสั่น เธอก็รีบไปหยิบมันขึ้นมาดู ในทุกๆครั้ง เธอพบว่าไม่ใช่ฉินเย่ที่เป็นคนส่งข้อความมา เธอก็วางโทรศัพท์ลงด้วยความท้อแท้ สิ่งนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้ว
ดังนั้น เธอจึงลบชื่อเรียกที่เธอพิมพ์ออกไปทั้งหมดและพิมพ์ใหม่อีกครั้ง “ตอนนี้เราทุกคนกำลังเดินทางไปเจียงเฉิง” ถ้าเป็นแบบนี้ มันก็ดูปกติดี เธอเช็คดูสองครั้ง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว เธอจึงกดส่งข้อความ หลังจากส่งข้อความไปนาน เขาก็ยังไม่ตอบเธอกลับ เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นว่าผ่านไปนานแล้วและอีกฝ่ายยังไม่ตอบกลับ เธอก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันและเก็บโทรศัพท์กลับลงไป เนื่องจากความแตกต่างของเวลาระหว่างจีนและที่ต่างประเทศ ข้อความและวิดีโออาจไม่สามารถตอบกลับกันได้ตลอดเวลาเสมอไป ดังนั้นเมื่อฉินเย่ไม่ได้ตอบกลับเธอ เสิ่นหยินอู้จึงคิดว่าเขาอาจจะกำลังหลับอยู่หรือยุ่งอยู่ อย่างไรเสีย เมื่อเขาว่าง เขาก็คงจะตอบเธอเอง เมื่อมาถึงเจียงเฉิง มันก็เป็นเวลาเย็นแล้ว มีแสงไฟนีออนกระพริบตามท้องถนนและมีตึกระฟ้าอยู่ทั่วทุกแห่งหน แม้ว่าคุณแม่ฉินจะเห็นตึกแบบนี้จนชินตามาตั้งนานแล้ว แต่อาจเป็นเพราะครั้งนี้มาที่เจียงเฉิงและต้องการให้เกียรติเสิ่นหยินอู้ หรือไม่ก็หวังว่าเธอจะไม่ต้องมีความกดดันทางจิตใจมากจนเกินไป “อาคารในเจียงเฉิงก็ไม่ได้แย่ไปกว่าอาคารในหนานเฉิงเลยนี่ ฉันเพิ่งตรวจดูข้อมูลสภาพอากาศ มันเป็นที่ที
หลังจากอาบน้ำแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็นอนลงไปบนเตียง ผ้าห่มนั้นตากไว้จนนุ่มมาก เรียกได้ว่าเธอจมลงไปในผ้าห่มได้ทั้งตัวเลย เดิมทีเธอคิดว่าเธอลืมไปแทบจะหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อห้าปีก่อน เพราะเมื่อเธอจากไปในตอนแรก ในช่วงเวลาพักผ่อนตอนกลางคืน เธอจะคิดถึงหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเสมอ โดยเฉพาะทุกสิ่งระหว่างเธอกับฉินเย่แต่ยิ่งผ่านไปนานเท่าไร เธอก็ยิ่งฝันถึงมันน้อยลงเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้และใช้ชีวิตของตัวเองอย่างสงบสุข เธอคิดว่าเธออาจจะลืมมันไปตั้งนานแล้ว แต่เธอไม่คาดคิดว่าเมื่อนอนอยู่บนเตียงนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เธออยู่กับฉินเย่กลับหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเธอราวกับกระแสน้ำ เหมือนกับภาพผ่านตาที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วที่นำเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนเคยใช้ร่วมกันขึ้นมาฉายซ้ำ เธอเคยอยู่ด้วยกันกับฉินเย่บนเตียงนี้ และกระทำสิ่งที่ใกล้ชิดแนบแน่นกันที่สุด ไม่รู้ว่าคิดเรื่องนี้มานานแค่ไหน แต่ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น มันก็เป็นตอนที่เหนียนเหนียนมาเรียกปลุกเธอที่ห้องของเธอ เสิ่นหยินอู้ดูโทรศัพท์ของเธอและพบ
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต