อย่างไรก็ตาม หลินเหม่ยหลานไม่เชื่อเธอเลย"ครั้งที่แล้วหนูก็บอกแม่ว่าไม่ได้ไปหาเขา แล้วผลลัพธ์เป็นยังไงล่ะ? หนูก็ไปหาเขาอีก กลับมายังเศร้าอีก? นั่นไม่ใช่หนูหรือไง?" คำพูดนี้ทำให้จ้าวเป่าเอ๋อเถียงไม่ออกสักพักหนึ่ง เธอก็อดทนและอธิบายต่อว่า "แม่ หนูรู้ว่าครั้งที่แล้วหนูผิด หนูโกหกแม่ แต่ครั้งนี้หนูพูดความจริง ถ้าแม่ไม่เชื่อ หนูจะกลับมาภายในครึ่งชั่วโมงแน่นอน""ภายในครึ่งชั่วโมง?"เวลานี้ทำให้หลินเหม่ยหลานหรี่ตาอย่างสงสัย เพราะถ้าเธอไปหาเขา ภายในครึ่งชั่วโมงเธอคงกลับมาไม่ได้แน่นอนหรือว่าครั้งนี้เธอเข้าใจผิดจริงๆ? "แม่ หนูมีธุระจริงๆ" จ้าวเป่าเอ๋อมองนาฬิกา สีหน้าดูกังวล เธอกลัวว่าถ้าไปสาย เสิ่นหยินอู้จะไม่รอเธอแล้วเห็นหลินเหม่ยหลานยังไม่ยอม จ้าวเป่าเอ๋อจึงโกรธและพูดออกมาตรงๆ "ถ้าแม่เป็นแบบนี้อีก หนูจะออกจากบ้านจ้าวและไม่กลับมาอีกเลย"เมื่อเห็นว่าลูกสาวโกรธ หลินเหม่ยหลานจึงตระหนักว่าถ้าทำแบบนี้ต่อไปก็จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก และบอกว่า "ถ้าหนูไม่โกหกแม่ แม่ก็เชื่อหนู เป่าเอ๋อ หนูไปเถอะ แต่ต้องกลับมาภายในครึ่งชั่วโมงตามที่หนูพูดนะ"พูดจบ หลินเหม่ยหลานหยุดสักพักแล้
"โอเค" หลังจากนั้นทุกคนก็นั่งลง จ้าวเป่าเอ๋อใช้ช้อนตักซุปขึ้นมาหนึ่งคำ"เธอไม่คิดว่ามันแปลกหรอที่ฉันมาหาเธอ? แล้วเธอก็ยังยอมมาอีก"เมื่อได้ยิน จ้าวเป่าเอ๋อก็แอบมองเสิ่นหยินอู้ แล้ววางช้อนลง"มันก็แปลกนิดหน่อย แต่......ฉันรู้ว่าพี่จะไม่ทำร้ายฉัน"เสิ่นหยินอู้ยิ้มให้เธอ "ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น งั้นฉันพูดตรงๆ เลยแล้วกัน? ถ้าเธอกลับไปช้าเกินไป แม่เธอคงไม่ยอมใช่ไหม?" เมื่อพูดถึงแม่ของเธอ จ้าวเป่าเอ๋อทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น"ใช่ค่ะ แม่ยังรอฉันอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันบอกแม่ว่าจะมาไม่เกินครึ่งชั่วโมง"ผลออกมาเป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ไม่แปลกใจเลย"งั้นฉันจะพูดสั้นๆแล้วกัน""ได้ค่ะ""บางทีเธออาจจะรู้สึกประหลาดใจ แต่เชื่อฉันเถอะว่าฉันไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกิน วันนั้นฉันเห็นเธอกับแฟนเธอในห้องน้ำที่ร้านอาหาร" เดิมทีเธอคิดว่าพี่เสิ่นนัดเธอออกมาเพื่อคุยเรื่องที่เธอท้องไม่คิดว่าพี่เสิ่นจะพูดถึงเรื่องในร้านอาหาร"วันนั้นตอนฉันเดินผ่านไป ฉันได้ยินพวกเธอคุยกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะ"จ้าวเป่าเอ๋อแสยะยิ้ม "ไม่เป็นไรค่ะ วันนั้นพวกเราคงคุยเสียงดังเกินไป คนที่เดินผ่านไปมาได้ยินก็เป็นเรื่องปกติ"เสิ
คำถามของจ้าวเป่าเอ๋อทำให้เสิ่นหยินอู้ชะงักไปพักหนึ่ง นั่งอยู่กับที่อย่างเหม่อลอย จ้าวเป่าเอ๋อสูดจมูกเบาๆ คงเป็นเพราะมีคนรู้เรื่องแฟนของเธอ ทำให้เธอรู้สึกอับอาย ขอบตาของเธอเริ่มแดง"พี่เสิ่น ถึงแม้ฉันจะไม่รู้จักพี่มาก่อน และฉันก็ไม่ชอบนินทาคน แต่ฉันก็ได้ยินข่าวลือมาบ้างเหมือนกัน คนของพี่ก็ไม่ได้มีแค่พี่คนเดียว พี่คิดว่าพี่จัดการเรื่องของตัวเองได้ดีแล้วหรอ?" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจความหมายของจ้าวเป่าเอ๋อเธอหมายความว่า เรื่องของตัวเองฉันยังจัดการได้ไม่ดี เลยไม่มีสิทธิมาบอกเรื่องนี้กับเธอ ใช่ไหม?" จ้าวเป่าเอ๋อเองก็หมายความแบบนั้น เพราะเธอคิดว่าเสิ่นหยินอู้จัดการเรื่องความรักของตัวเองได้ไม่ดีจริงๆ ฉินเย่ก็มีคนอื่นอีก แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ทำอะไร แน่นอนว่าเธอรู้ว่าการแต่งงานของตระกูลใหญ่ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการดังนั้น เสิ่นหยินอู้จัดการเรื่องของตัวเองยังไม่ได้ แล้วทำไมต้องมายุ่งกับเรื่องของเธอล่ะ?แต่เมื่อเสิ่นหยินอู้พูดออกมา จ้าวเป่าเอ๋อก็รู้สึกว่าตัวเองพูดแรงเกินไปหน่อย ยังไงก็ตาม เสิ่นหยินอู้แค่กลัวว่าเธอจะไม่รู้ เลยมาเตือนด้วยความหวังดี เมื่อคิด
"ไม่เป็นไร เธอเลือกเลย พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็ได้" เสิ่นหยินอู้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "มะรืนนี้แล้วกัน" ตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก "โอเค" โม่ไป๋ตอบรับเธออย่างรวดเร็ว หลังจากวางสาย เสิ่นหยินอู้ก็กลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะคิดได้แล้ว เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้เข้ามาก็ไม่หลบสายตาอีกต่อไป แต่จ้องตาเธอแล้วพูดว่า "พี่เสิ่น เรื่องที่พี่พูด ฉันอยากจะกลับไปคิดทบทวนอีกที" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปซักพักก่อนถามว่า "เธอไม่อยากปล่อยเขาไปใช่ไหม?" จ้าวเป่าเอ๋อยิ้มอย่างขมขื่น "แล้วพี่เสิ่นล่ะ พี่คิดว่าพี่ปล่อยประธานฉินไปได้ไหม? ฉันคิดว่า คนที่เข้าใจความรู้สึกของฉันได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือพี่เสิ่น เราสองคนต่างก็เจอเรื่องคล้ายๆกัน" เธอหมายถึงเธอทั้งคู่ตั้งท้องและผู้ชายก็มีผู้หญิงคนอื่น เมื่อได้ยินแบบนี้นี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยิ้มแล้วพูดเบาๆ ว่า "เธอคิดว่าเราเจอเรื่องแบบเดียวกันหรอ?" "ไม่ใช่หรอคะ?" “"มันดูเหมือนว่าเราจะเจอเรื่องคล้ายกัน แต่เธอเคยคิดไหมว่า เราอายุไม่เท่ากัน" เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวเป่าเอ๋อก็ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะกัด
หลังจากแยกกับจ้าวเป่าเอ๋อแล้ว เสิ่นหยินอู้ไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมคุณย่า ระหว่างนั้น คุณแม่ฉินถามเธอว่าทำธุระเสร็จหรือยัง เสิ่นหยินอู้ตั้งใจจะบอกว่าเสร็จแล้ว แต่เมื่อนึกถึงการตรวจ เธอเปลี่ยนคำพูดว่าเธอยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ คุณแม่ฉินได้ยินแบบนั้น ก็เข้าใจดีและไม่เร่งให้เธอไปตรวจ ในวันนั้น เสิ่นหยินอู้ใช้เวลาอยู่กับคุณย่าที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน เห็นว่าท่านฟื้นตัวได้ดี สีหน้ามีเลือดฝาดเล็กน้อย ทำให้เธอดีใจแทนคุณย่า แต่ในคืนนั้น เมื่อเสิ่นหยินอู้กลับจากโรงพยาบาลมาที่บ้าน เธอได้ยินข่าวว่าคืนนี้ฉินเย่จะทำงานล่วงเวลาที่บริษัทและจะไม่กลับบ้าน เมื่อคนรับใช้บอกเรื่องนี้กับเสิ่นหยินอู้และคุณแม่ฉิน คุณแม่ฉินก็ขมวดคิ้วทันที"งานที่บริษัทยุ่งขนาดนั้นเลยหรอ? วันนี้อยู่ที่บริษัททั้งวันไม่โผล่หน้ามา กลางคืนยังต้องทำงานล่วงเวลาอีก?"สีหน้าของคนรับใช้ดูอึดอัดเมื่อเจอกับคำถามของนายหญิงแห่งตระกูลฉิน ทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างอึดอัด"อย่าโกรธเลยครับ ช่วงนี้บริษัทค่อนข้างยุ่งจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นแบบนี้" ยังไงก็ตาม คุณแม่ฉินยังคงรู้สึกไม่สบายใจ ส่วนเสิ่นหยินอู้ที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยิน
"ไม่ได้ไปค่ะ" เจียงฉูฉู่หงุดหงิดมาก จะเอาเวลาที่ไหนไปที่บริษัท?"ลูกยังไม่ได้ไปดูเลย ก็รีบตัดสินเขาไปแล้ว? คุณย่าฉินเพิ่งผ่าตัดเสร็จ แน่นอนว่าต้องใช้เวลาพักฟื้น ฉินเย่ต้องอยู่ดูแลคุณย่าช่วงนี้เลยยุ่งจนไม่มีเวลาจัดการงานบริษัท ตอนนี้พอมีเวลาว่างก็ไปจัดการเรื่องที่บริษัท มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?""แต่ว่า...... แต่ก่อนที่เขาต้องไปจัดการธุระ เขาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้""นั่นมันเมื่อก่อน แล้วเขาก็......อยู่กับเสิ่นหยินอู้มาหลายปีแล้วด้วย" พูดถึงตรงนี้ แม่ของเจียงก็รู้สึกถึงความเสี่ยง "ก่อนหน้าที่ลูกจะไปต่างประเทศ แม่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะผู้ชายที่ดีขนาดนี้ลูกไม่ควรปล่อย ถ้าระหว่างนั้นมีคนมาแย่งไปจะทำยังไง?" "ไม่มีทาง" เจียงฉูฉู่พูดด้วยความหงุดหงิด "หนูเคยช่วยชีวิตเขานะ""เด็กโง่ ต่อให้ลูกเคยช่วยชีวิตเขา แล้วไงล่ะ? ผู้ชายแบบนี้ลูกต้องคว้าไว้ ถ้าลูกเสียเขาไป ต่อไปลูกอาจจะหาคนแบบเขาไม่ได้อีกแล้วก็ได้""แม่หมายความว่า ที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ก็ไม่พอเหรอ? แต่ทำไม......""ที่ช่วยชีวิตอาจทำให้เขาซาบซึ้ง แต่ความซาบซึ้งนี้มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน? ถ้าลูกอยากให้เขาไม่มีวันลืมลูกได้ ลูกต้องหาวิธีคว้าเ
"ฉูฉู่ แบบนี้ไม่ได้นะ" แม่ของเจียงฉูฉู่คิดว่าลูกสาวของเธอและฉินเย่เป็นคู่ที่มั่นคงแล้ว เมื่อไหร่ที่ฉินเย่หย่ากับผู้หญิงที่ชื่อว่าเสิ่นหยินอู้ ลูกสาวของเธอก็แค่รอเป็นคุณผู้หญิงฉินอย่างถูกต้องแค่นั้น ใครจะรู้ว่า ทั้งสองคนนี้ไม่เคยทำอะไรกันเลยถ้าฉินเย่ชอบเธอจริงๆ อยู่ด้วยกันมาตั้งนานขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เคยแตะต้องเธอเลย?"แม่ หนูก็รู้ว่ามันไม่ได้ แต่หนูจะเริ่มเองไม่ได้ ไม่งั้นฉินเย่จะมองหนูยังไง?" แม่ได้ยินแบบนั้น ก็รีบให้คำแนะนำแก่ลูกสาวทันที "ใครให้ลูกเริ่มก่อนล่ะ? ลูกแค่ยั่วยวนแล้วให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มก็ได้ ฉูฉู่ แม่ไม่ได้จะว่าลูกนะ ทำไมลูกไม่บอกแม่ก่อนหน้านี้ เขาไม่มีความรู้สึกกับลูกบ้างเหรอ?" ความรู้สึก? เจียงฉูฉู่หวนคิดถึงรายละเอียดตอนที่อยู่ด้วยกันเธอก็ไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแบบนั้นจากเขาเลย สิ่งที่เธอรู้สึกได้มีแค่ความเคารพและความซาบซึ้งของฉินเย่ที่มีต่อเธอ ยิ่งคิด เจียงฉูฉู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยง "ฉูฉู่ เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ ลูกต้องลงมือทำอะไรบ้าง" แม่ของเธอเสนอความคิดเห็น เจียงฉูฉู่ไม่ตอบอะไรกลับ แต่ในใจเธอเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ เธอก็รู้ว่
โทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาสั่น ฉินเย่ได้สติ รีบยืนขึ้นและถอยหลังไปเสิ่นหยินอู้ที่กำลังอยู่ในห้วงความฝันขมวดคิ้วเบาๆ ทำท่าเหมือนจะตื่น ฉินเย่รีบออกจากห้องนอนก่อนที่เธอจะตื่น เขามองโทรศัพท์ มันเป็นข้อความขยะ เขาล็อคหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความรำคาญและวางลงบนโต๊ะข้างๆ ยังมีกลิ่นอายของเสิ่นหยินอู้หลงเหลือบนริมฝีปากของเขา ฉินเย่พิงโซฟาและหลับตาลง เขาแตะริมฝีปากของตัวเองเบาๆ เขารู้สึกเหมือน ถูกสะกดสิ่งที่เขาต้องการ...... บางที จี้ชิงเป่ยอาจจะพูดถูก คิดถึงเรื่องนี้ แววตาฉินเย่ก็หม่นลงเล็กน้อย-เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เสิ่นหยินอู้ตื่น เธอได้ยินว่าฉินเย่กลับมาตอนกลางคืน แต่เมื่อถาม ก็ได้ยินว่าเขาออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เธอหัวเราะในใจทันทีต้องหลบเธอขนาดนี้เลยเหรอ? จำเป็นไหมเนี่ย??? กลับมาดึกก็แล้ว แล้วยังออกไปแต่เช้า? เขาอยากหย่าหรือไม่อยากหย่ากันแน่?หลังจากทานอาหารเช้า เสิ่นหยินอู้บอกคุณแม่ฉินว่า "แม่คะ วันนี้แม่ไปโรงพยาบาลคนเดียวนะ หนูอยากเข้าไปที่บริษัทซักหน่อย" คุณแม่ฉินพยักหน้าทันทีที่ได้ยิน"หนูไปเลย รีบไปเร็วๆ ถ้าหนูไม่ไป ฉินเย่จะยิ่งต่อต้าน เขาอยู่ที่บริษัททั้งวัน
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ