"ไม่ได้ไปค่ะ" เจียงฉูฉู่หงุดหงิดมาก จะเอาเวลาที่ไหนไปที่บริษัท?"ลูกยังไม่ได้ไปดูเลย ก็รีบตัดสินเขาไปแล้ว? คุณย่าฉินเพิ่งผ่าตัดเสร็จ แน่นอนว่าต้องใช้เวลาพักฟื้น ฉินเย่ต้องอยู่ดูแลคุณย่าช่วงนี้เลยยุ่งจนไม่มีเวลาจัดการงานบริษัท ตอนนี้พอมีเวลาว่างก็ไปจัดการเรื่องที่บริษัท มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?""แต่ว่า...... แต่ก่อนที่เขาต้องไปจัดการธุระ เขาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้""นั่นมันเมื่อก่อน แล้วเขาก็......อยู่กับเสิ่นหยินอู้มาหลายปีแล้วด้วย" พูดถึงตรงนี้ แม่ของเจียงก็รู้สึกถึงความเสี่ยง "ก่อนหน้าที่ลูกจะไปต่างประเทศ แม่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะผู้ชายที่ดีขนาดนี้ลูกไม่ควรปล่อย ถ้าระหว่างนั้นมีคนมาแย่งไปจะทำยังไง?" "ไม่มีทาง" เจียงฉูฉู่พูดด้วยความหงุดหงิด "หนูเคยช่วยชีวิตเขานะ""เด็กโง่ ต่อให้ลูกเคยช่วยชีวิตเขา แล้วไงล่ะ? ผู้ชายแบบนี้ลูกต้องคว้าไว้ ถ้าลูกเสียเขาไป ต่อไปลูกอาจจะหาคนแบบเขาไม่ได้อีกแล้วก็ได้""แม่หมายความว่า ที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ก็ไม่พอเหรอ? แต่ทำไม......""ที่ช่วยชีวิตอาจทำให้เขาซาบซึ้ง แต่ความซาบซึ้งนี้มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน? ถ้าลูกอยากให้เขาไม่มีวันลืมลูกได้ ลูกต้องหาวิธีคว้าเ
"ฉูฉู่ แบบนี้ไม่ได้นะ" แม่ของเจียงฉูฉู่คิดว่าลูกสาวของเธอและฉินเย่เป็นคู่ที่มั่นคงแล้ว เมื่อไหร่ที่ฉินเย่หย่ากับผู้หญิงที่ชื่อว่าเสิ่นหยินอู้ ลูกสาวของเธอก็แค่รอเป็นคุณผู้หญิงฉินอย่างถูกต้องแค่นั้น ใครจะรู้ว่า ทั้งสองคนนี้ไม่เคยทำอะไรกันเลยถ้าฉินเย่ชอบเธอจริงๆ อยู่ด้วยกันมาตั้งนานขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เคยแตะต้องเธอเลย?"แม่ หนูก็รู้ว่ามันไม่ได้ แต่หนูจะเริ่มเองไม่ได้ ไม่งั้นฉินเย่จะมองหนูยังไง?" แม่ได้ยินแบบนั้น ก็รีบให้คำแนะนำแก่ลูกสาวทันที "ใครให้ลูกเริ่มก่อนล่ะ? ลูกแค่ยั่วยวนแล้วให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มก็ได้ ฉูฉู่ แม่ไม่ได้จะว่าลูกนะ ทำไมลูกไม่บอกแม่ก่อนหน้านี้ เขาไม่มีความรู้สึกกับลูกบ้างเหรอ?" ความรู้สึก? เจียงฉูฉู่หวนคิดถึงรายละเอียดตอนที่อยู่ด้วยกันเธอก็ไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแบบนั้นจากเขาเลย สิ่งที่เธอรู้สึกได้มีแค่ความเคารพและความซาบซึ้งของฉินเย่ที่มีต่อเธอ ยิ่งคิด เจียงฉูฉู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยง "ฉูฉู่ เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ ลูกต้องลงมือทำอะไรบ้าง" แม่ของเธอเสนอความคิดเห็น เจียงฉูฉู่ไม่ตอบอะไรกลับ แต่ในใจเธอเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ เธอก็รู้ว่
โทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาสั่น ฉินเย่ได้สติ รีบยืนขึ้นและถอยหลังไปเสิ่นหยินอู้ที่กำลังอยู่ในห้วงความฝันขมวดคิ้วเบาๆ ทำท่าเหมือนจะตื่น ฉินเย่รีบออกจากห้องนอนก่อนที่เธอจะตื่น เขามองโทรศัพท์ มันเป็นข้อความขยะ เขาล็อคหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความรำคาญและวางลงบนโต๊ะข้างๆ ยังมีกลิ่นอายของเสิ่นหยินอู้หลงเหลือบนริมฝีปากของเขา ฉินเย่พิงโซฟาและหลับตาลง เขาแตะริมฝีปากของตัวเองเบาๆ เขารู้สึกเหมือน ถูกสะกดสิ่งที่เขาต้องการ...... บางที จี้ชิงเป่ยอาจจะพูดถูก คิดถึงเรื่องนี้ แววตาฉินเย่ก็หม่นลงเล็กน้อย-เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เสิ่นหยินอู้ตื่น เธอได้ยินว่าฉินเย่กลับมาตอนกลางคืน แต่เมื่อถาม ก็ได้ยินว่าเขาออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เธอหัวเราะในใจทันทีต้องหลบเธอขนาดนี้เลยเหรอ? จำเป็นไหมเนี่ย??? กลับมาดึกก็แล้ว แล้วยังออกไปแต่เช้า? เขาอยากหย่าหรือไม่อยากหย่ากันแน่?หลังจากทานอาหารเช้า เสิ่นหยินอู้บอกคุณแม่ฉินว่า "แม่คะ วันนี้แม่ไปโรงพยาบาลคนเดียวนะ หนูอยากเข้าไปที่บริษัทซักหน่อย" คุณแม่ฉินพยักหน้าทันทีที่ได้ยิน"หนูไปเลย รีบไปเร็วๆ ถ้าหนูไม่ไป ฉินเย่จะยิ่งต่อต้าน เขาอยู่ที่บริษัททั้งวัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไรอีกถึงจะหลบหน้าเธอจริงๆ แล้วมันยังไง?“คุณต้องการอะไรกันแน่? ก่อนหน้านี้เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่ารอคุณย่าผ่าตัดเสร็จแล้วเราจะหย่ากัน พอคุณย่าผ่าตัดเสร็จแล้ว คุณก็บอกว่ารอให้คุณย่าพักฟื้นให้หายดีก่อน จนตอนนี้คุณย่าเกือบจะหายดีแล้ว คุณก็ยังไม่ยอมหย่ากับฉัน” เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ถ้าจะพูดถึงก่อนหน้านี้ ที่เขาคิดว่าระหว่างเธอกับเจียงหนิงชวนและโม่ไป๋มีอะไรบางอย่าง ทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขาถูกทิ่มแทงแล้วรู้สึกโกรธ ก็พอเข้าใจได้แล้วตอนนี้ล่ะ มันคืออะไร? คำถามของเธอเข้าไปในโสตประสาทของฉินเย่ ราวกับใบมีดนับไม่ถ้วน ตกลงบนตัวเขา ใบมีดคมกริบ กรีดผิวหนังของเขาจนเลือดออก ความโกรธพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา เสียงก็เย็นชาลงอีก และเริ่มพูดโดยไม่คิด"คุณย่าเพิ่งผ่าตัดได้ไม่นานเอง? คุณจะรีบอะไรขนาดนั้น คุณเคยบอกผมเองว่าคุณย่าเหมือนย่าแท้ๆของคุณ นี่เหรอคือวิธีที่คุณดูแลท่าน? คุณไม่สนใจเลยหรอว่าข่าวการหย่าของเราจะทำให้ท่านรู้แล้วอาการกำเริบขึ้นมาอีก? เสิ่นหยินอู้ คุณมีหัวใจบ้างไหม?" ถ้าเป็นเมื่อก่อน คำพูดของเขาอาจจะข่มขู่เธอได้แต่ตอนนี้ เป
ฉินเย่พูดออกมาจริงๆ ว่าไม่อยากหย่ากับเธอเขารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่?ถ้าเขาไม่หย่ากับเธอ แล้วเขาจะแต่งงานกับเจียงฉูฉู่ได้ยังไง? ก่อนหน้านี้เขาพูดมาตลอด ว่าตำแหน่งข้างกายเขา ต้องเก็บไว้ให้เจียงฉูฉู่ไม่ใช่หรอ? เสิ่นหยินอู้ถือโทรศัพท์นั่งเหม่ออยู่ในออฟฟิศของเขา จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงห้ามจากหน้าประตู"คุณเจียง ผมบอกแล้วว่าประธานฉินไม่อยู่ที่บริษัท ถึงคุณจะไปหาเขาที่ออฟฟิศก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ในออฟฟิศไม่มีใครอยู่เลย""ผู้ช่วยหลี่ ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบฉัน แต่ยังไงฉันกับเย่ก็เป็นเพื่อนกัน คุณโกหกว่าฉันเขาไม่อยู่ แบบนี้ไม่ดีเลยนะ?""ผมจะโกหกคุณทำไม? มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหกคุณ ประธานฉินออกไปข้างนอกจริงๆ""เขาออกไปหรือไม่ได้ออกไป คุณให้ฉันไปดูสักแปปก็ไม่ได้เหรอ? ถ้าไปแล้วไม่เจอ ฉันจะไปทันที"ระหว่างการโต้เถียงกัน ทั้งคู่ก็เดินมาถึงหน้าประตูออฟฟิศแล้ว ผู้ช่วยหลี่ไม่อยากให้เจียงฉูฉู่ขึ้นมา แต่ถ้าเจียงฉูฉู่จะขึ้นมา เขาก็ไม่กล้าใช้กำลังห้ามเธอ เขารู้ว่ายังไงเจียงฉูฉู่ยังสำคัญในสายตาของฉินเย่ดังนั้น เขาทำได้แค่ห้ามเธอไว้ตลอดทาง แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายเธอก็ยังขึ
“ถ้าฉันจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้เราเคยตกลงกันไว้แล้วว่าถ้าคุณนายฉินผ่าตัดเสร็จ พวกเธอจะจะหย่ากันใช่ไหม?” ฉูฉู่มองไปที่เสิ่นหยินอู้ด้วยสายตาที่ดูถูก ราวกับว่ากำลังมองดูบุคคลที่น่าสะอิดสะเอียน น้ำเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “แต่คุณนายฉินผ่าตัดเสร็จไปนานแล้ว ทำไมเธอยังไม่หย่าล่ะ? เสิ่นหยินอู้ คงไม่ใช่ว่าเธอโลภกับตำแหน่งของคุณผู้หญิงฉิน ก็เลยคิดที่จะละเมิดข้อตกลงของเราและไม่คิดที่จะหย่าสินะ?" ลงกับฉินเย่ไม่ได้ ก็มาพูดจาประชดประชันเธอ ถ้าเจียงฉูฉู่ไม่เคยช่วยเธอไว้ เสิ่นหยินอู้คงจะด่าทอเธอไปแล้ว เธอกลอกตาอยู่ในใจ และพูดอย่างไม่สนใจใยดีว่า "จะว่าไป ปัญหานี้ฉันก็อยากจะถามคุณหนูเจียงด้วยว่าจะให้ฉินเย่หย่ากับฉันเมื่อไร?" เมื่อได้ยิน สีหน้าของเจียงฉูฉู่ก็เปลี่ยนไป “พูดอะไรของเธอ? ให้ฉินเย่หย่ากับเธอ?” "ไม่งั้นล่ะ?" เสิ่นหยินอู้เลิกคิ้ว "ฉันมาหาเขาก็เพื่อเรื่องนี้ แต่เขากลับหลบหน้าฉัน คุณหนูเจียง ความสัมพันธ์ของคุณกับฉินเย่นั้นดีมากไม่ใช่หรอ ช่วยฉันโน้มน้าวเขาหน่อยแล้วกัน" เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็เข้าใจว่าตัวเองถูกเธอเย้ยหยันอยู่สีหน้าของเธอจึงบึ้งตึงในทันที เดิมทีเธอ
ได้ยินดังนั้น เจียงฉูฉู่ก็โกรธจัด กัดฟันกล่าว “อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างหน่อยเลย เธอรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่เหมือนกัน”“ชีวิตคนเหมือนกัน ไม่เหมือนกันตรงไหน?”“ชีวิตคนอะไร นี่เพิ่งนานแค่ไหนเอง? ก็แค่ตัวอ่อนเท่านั้นแหละ!”“อ้อ คุณหนูเจียงไม่เคยเป็นตัวอ่อนมาก่อนเลยเหรอ?”“…”ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถต่อบทสนทนานี้ไปได้อีกเจียงฉูฉู่ตระหนักบางอย่างขึ้นได้ แล้วหรี่ตามองเสิ่นหยินอู้“ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะไม่ชอบฉันเอามากนะ? เกิดอะไรขึ้น เราไม่ใช่ศัตรูกันไม่ใช่เหรอ?”“คุณหนูเจียงเข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ได้มองว่าคุณเป็นศัตรูเลย”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักเล็กน้อย แล้วถามว่า “แต่เราก็ไม่ใช่เพื่อนกัน ไม่ใช่เหรอคะ?”เรื่องนี้เจียงฉูฉู่ไม่ปฏิเสธเธอไม่เคยมองเสิ่นหยินอู้เป็นเพื่อนมาก่อน แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่เคยถึงแม้จะรู้ว่าเสิ่นหยินอู้เป็นเพื่อนของฉินเย่ แต่เธอก้ไม่สามารถมองเสิ่นหยินอู้เป็นเพื่อนได้ เพื่อนวัยเด็กของฉินเย่คนนี้รับมือยากมาก และเป็นการมีอยู่ที่เธอคิดมากๆ ที่สุดเมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ เสิ่นหยินอู้จึงหัวเราะออกมา “ดูท่าแล้วคุณหนูเจียงเองก็คิดเหมือนกันสินะ”เจียงฉูฉู่ไม่ป
ออกจากบริษัทฉิน เสิ่นหยินอู้เพิ่งมาถึงข้างล่างตึก ก็ได้รับสายจากโม่ไป๋“ทำไมวันนี้ถึงแวะมาที่บริษัทล่ะ?”คำพูดนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ชะงัก “นายรู้ได้ยังไง…”พูดไปครึ่งประโยค เสิ่นหยินอู้ก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วมองไปทางที่จอดรถก่อนหน้านี้เป็นไปตามคาด เธอเห็นรถคันคุ้นตาหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น“นายมาที่นี่ได้ยังไง?”“บังเอิญน่ะ” โม่ไป๋ที่อยู่ปลายสายหัวเราะออกมา “สัญญาที่คุยกันคราวก่อนน่ะ แวะมาจัดการให้เสร็จ”เมื่อพูดถึงคราวก่อน เสิ่นหยินอู้ไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกอย่างแม้ว่าโม่ไป๋จะไม่พูดถึงคราวก่อน เธอก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยเช่นกัน เพราะช่วงนี้เธอไม่ได้เข้าบริษัทเลย โม่ไป๋ไม่มีทางมารอเธอที่นี่แน่คงไม่ได้มาทุกวันหรอกมั้ง?ไหนๆ ก็พบกันแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงก้าวเท้าเตรียมจะเดินไปหาแต่ใครจะคิดว่าเธอเพิ่งก้าวเท้าออกไป ก้ได้ยินโม่ไป๋พูดขึ้นว่า “เธออย่าขยับ เดี๋ยวฉันให้คนขับรถขับไปตรงนั้น”“ไม่ต้อง แค่ไม่กี่ก้าวเอง เดินไปก็ได้”ไม่คิดว่าโม่ไป๋จะตอบว่า “เธออยากหย่าไม่ใช่เหรอ?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันหยุดฝีเท้า “เกี่ยวอะไรกันด้วย?”“เกี่ยวสิ”เสิ่นหยินอู้ “…”คิดไม่ตกจริงๆ ว่าโม
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา