1
ข้าคือมู่โม่โฉ่ว
เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวถูกถอดมาคลุมร่างไร้สติ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาวตายก่อนถึงวัด โดยมีเจ้าของรถม้าคอยดูแลอยู่ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าบรรจงเช็ดคราบโคลนที่เปื้อนหน้าเขาออกเบา ๆ คราบนี้ติดนานเกินไปจึงใช้ผ้าสะอาดแห้งเช็ดไม่ออก
“อือ...” เสียงเจ็บครวญดังออกมาจากริมฝีปากซีดคล้ำเพราะความหนาว นางปรายตามองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขาลืมตาจึงขยับยื่นหน้าไปมองคนนอนราบอยู่บนที่นั่ง คนเจ็บพยายามหยัดกายลุกนั่งแม้ตาจะยังปิดอยู่
“คุณชายอย่าขยับเลยเจ้าค่ะ ท่านยังเจ็บอยู่” เขายังนึกว่าตนเองถูกจับตัวมาเสียแล้วแต่พอได้ยินเสียงหวานจึงลืมตามองคนพูด ใบหน้างดงามเบื้องหน้าทำให้คนเจ็บเกือบลืมหายใจ ใบหน้าห่างเพียงช่วงเอื้อมมือเท่านั้น สีหน้าที่เคยซีดเซียวเพราะเพลียจากการเสียเลือดกลับกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
“มะ...แม่นาง” คนเจ็บขยับปากพูดเสียงแผ่วเบา นางรู้ว่าบุรุษตรงหน้าอึดอัดท่าทางตอนนี้ จึงขยับไปนั่งพิงด้านในรถม้าเช่นเดิม เพื่อให้เขาได้ผ่อนคลายมากขึ้น
“คุณชายไม่ต้องเกรงใจ นอนพักก่อนเถิด หากมีสิ่งใดอยากถามรอคุณชายดีขึ้นย่อมมีโอกาสได้ถาม” นางว่าเช่นนั้นเขาจึงไม่มีสิ่งใดอยากพูดอีก นอนราบไปกับที่นั่งเช่นเดิมเขาไม่มีแรงกำลังจะลุกขึ้นอย่างนางว่าจริง ๆ ฝืนสติเพียงไม่กี่นาทีดวงตาสองข้างก็ปิดลง
เรือนไม้กลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่ในเขตวัดบนเขา ทางเข้าวัดค่อนข้างยากลำบากวัดจึงไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามา จะเรียกว่าวัดร้างก็มิผิดอันใด ทุก ๆ เดือนนางจึงนำของในเมืองเข้ามามอบแด่ผู้ที่อยู่ในนี้ แม้จะเป็นวัดแต่กลับไม่มีพระอยู่เลยมีเพียงชายผู้หนึ่งพักอาศัย
“มากันแล้วหรือ” บุรุษรูปร่างปราดเปรียวเอ่ยถามคนขับรถม้า จางหย่งลงจากรถม้าชักบรรไดลงให้สตรีด้านในลงจากรถอย่างสะดวก เสร็จแล้วจึงเดินไปหาชายตรงหน้า
“ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ สบายดีใช่หรือไม่ ลี่อินไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือน ท่านคงยังมิขาดอาหารหรอกกระมัง” เสียงหวานเอ่ยเย้าแหย่ผู้ได้ชื่อว่าอาจารย์ ไม่มีท่าทีคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอสุราอยู่เลย มีเพียงท่าทางของเด็กสาวเย้าผู้อาวุโส แม้ผู้อาวุโสคนนี้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามิถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ นางก้าวลงจากรถม้าแล้วคารวะผู้เป็นอาจารย์ด้วยรอยยิ้มงดงาม
“อย่ามาเย้าข้า ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย ถึงอย่างไรเจ็ดปีก่อนก็เป็นข้าที่หาข้าวปลาอาหารให้เจ้า ถึงเจ้าไม่มาข้าก็หากินเองได้ แต่เหตุใดจึงมาช้ากว่าเดิมเล่า ข้าคิดว่ามีเรื่องเสียอีก หากมาช้ากว่านี้อีกหนึ่งเค่อข้าคงลงเขาไปตามเองแล้ว”
“ลี่อินกับลุงจางบังเอิญเจอคุณชายผู้หนึ่งบาดเจ็บจึงนำขึ้นรถม้ามาด้วย อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยดูอาการหน่อยเจ้าค่ะ” นางกล่าวกับอาจารย์แล้วจึงเบี่ยงตัวมองไปยังรถม้าด้านหลัง ก่อนหันไปมองลุงจาง เขาพยักหน้าให้แล้วขึ้นไปพาคุณชายท่านนั้นลงมาจากรถม้า
“วิชาข้าก็สอนให้จนหมดแล้ว ไม่ลองทำเองเล่า เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าจำที่สอนไปมากน้อยเพียงใด” อาจารย์เหว่ยถิงกล่าวเสียงเข้ม หันมองลุงจางที่แบกบุรุษผู้นั้นอยู่พยักหน้าบ่งบอกว่าให้เขานำบุรุษผู้นั้นไปพักในเรือน
“หากอาจารย์กล่าวเช่นนี้ ข้าก็ขอแสดงความสามารถหน่อย” หญิงสาวกล่าวขบขัน อาจารย์หนุ่มยื่นมือไปผลักหัวนางเบา ๆ อย่างเอ็นดู นางจึงเดินไปด้านในปล่อยให้อาจารย์ขนของบนรถม้าลงเอง คงไม่นานอีกเดียวลุงจางก็คงมาช่วย
สองมือเรียวผลักประตูไม้เบา ๆ ก้าวย้ำไปบนพื้นห้องที่ไม่ค่อยได้ใช้งานมากนัก อาจารย์ของนางดูแลห้องนี้ไว้เผื่อมีผู้ใดโชคดีเดินทางมารักษากับอาจารย์ถึงที่นี่ แต่เจ็ดปีมานี้นางเจอผู้คนแบบนั้นเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
บุรุษผู้นี้ก็นับว่ามีโชคไม่เช่นนั้นคงหนาวตายอยู่ตรงตีนเขา หากคนพบเขาไม่ใช่นางที่เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของหมอเทวดาหวงเหว่ยถิง
“คุณชายหากเจ็บก็ร้องได้ ข้าจะเบามือให้” นางตักผงเกลือใส่ลงไปในถังไม้ขนาดกลาง เทน้ำเปล่าลงไป จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปบนรอยแผลตามร่างกายของเขา นางปลดเสื้อคลุมกายเขาออกจนเกือบเปลือยเปล่า ดีที่นางยังเหลือผ้าปกปิดร่างกายด้านล่างไว้ให้
อากาศหนาวเย็นพอถูกน้ำเย็น ลมเย็นที่ทะลุผ่านฉากกั้นห้องคนเจ็บหนาวสะท้านรู้สึกตัวในที่สุด พอเช็ดแผลเสร็จนางจึงเทผงสมานแผลออกมาจำนวนหนึ่งบรรจงแตะมันลงรอยแผลขีดข่วนตามร่างกาย
“อา เจ็บ” คนเจ็บร้องครวญออกมาเสียงแผ่วเบา เมื่อถูกทาผงสมานแผล แต่เปลือกตายังคงปิดอยู่ สีหน้าเจ็บปวด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแน่น นางจึงลามือจากแผลใหญ่บริเวณหน้าอกของเขา
คนเจ็บลืมตากระพริบตาไปมาหลายครั้ง ปรับสภาพสายตาได้จึงกรอกตามองหญิงสาวข้างกาย ใบหน้างดงามนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ใบหน้านี้เขาเคยเห็นมาก่อนคงจะเป็นในฝันกระมัง เขาคงหลับไปนานจนฝันเป็นแน่ ในโลกนี้จะมีสตรีงดงามเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เขาหลับตาลงอีกครั้งแต่ก็ลืมตาขึ้นอีก เพราะสัมผัสว่าถูกลมหนาวปะทะร่างกาย คนเจ็บเบิกตาโพลง เมื่อรู้ว่าตนเองถูกจับถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเช่นนี้
“เจ้า เจ้า เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
“คุณชายท่านใจเย็นก่อน ข้ากำลังรักษาบาดแผลให้ท่านมิได้ทำสิ่งใดไม่ดี”
“แต่ แต่ ชายหญิงอยู่กันเช่นนี้ไม่เหมาะสม”
“คุณชายไม่ต้องคิดมาก ที่นี่ไม่มีผู้ใด ไม่ต้องเกรงว่าตนเองจะเสียเกียรติ ข้าจะไม่บอกผู้ใดให้คุณชายเสื่อมเสีย” นางตอบยิ้ม ๆ คนถูกกล่าวถึงกับหน้าแดงขึ้นมา เขาเป็บุรุษแต่ยังละอายมากกว่านางที่เป็นสตรีเสียอีก เหตุใดนางจึงกล่าวได้ไม่อายกัน
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้ากลัวเจ้าจะถูกต่อว่า ข้าเป็นชายอย่างไรก็ไม่เสียเกียรติ แต่เจ้านั้นเป็นสตรี”
“เรื่องนี้ท่านยิ่งไม่ต้องห่วง”
“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางแล้ว”
“ท่านทนอีกสักหน่อยได้หรือไม่ข้ายังต้องใส่ยาที่หน้าอกของท่าน” เขาไม่ตอบพยักหน้า นางจึงหยิบผงยาสมานแผลมาเกลี่ยบนแผลเหนือหน้าอกข้างซ้าย ใส่ยาเสร็จเขาหยัดกายลุกนั่งสวมอาภรณ์เปรอะเปื้อนของตนเอง
“ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ หากไม่ได้เจ้าเกรงว่าข้าคงขาดใจตายที่ตีนเขาเป็นแน่”
“เช่นนั้นถือว่าเป็นบุญของท่านที่ยังมีชีวิตรอด ข้าอยากถามคุณชายสักเรื่องไม่ทราบคุณชายถือหรือไม่”
“หากข้าตอบได้ ข้าจะตอบแม่นาง” เขาตอบพลางจดจ้องใบหน้างดงามของนางไปด้วย ละสายตาจากนางได้เพียงไม่กี่อึดใจก็หันกลับมามองอีกเป็นเช่นนี้หลายต่อหลายหน จนเขาเองยังนึกโมโหตนเอง ใช่ว่าเกิดมาไม่เคยเจอหญิงงาม ทั้งว่าที่คู่หมั้นคู่หมายก็นับว่าเป็นหญิงงาม น้องสาวของพ่อก็เป็นถึงหวงกุ้ยเฟยเรื่องงดงามยิ่งไม่ต้องพูด
เมื่อได้พานพบสตรีตรงหน้า เขาเหมือนถูกดึงดูดไว้ให้สายตาตรึงอยู่กับใบหน้างดงามหมดจดนี่ หากเรียกนางว่างามล่มเมืองคงไม่ผิดนัก แต่หากจะเรียกงามล่มเมืองก็ยังมีสตรีอีกผู้หนึ่งที่ถูกกล่าวขานเช่นนี้ เพียงแต่นางใช้ชีวิตอยู่ในหอสุราของตระกูลเขาเท่านั้น สตรีตรงหน้าจึงมิอาจเป็นนางไปได้
“คุณชายเป็นใคร มาทำสิ่งใดในป่าเช่นนี้เจ้าคะ”
“ข้าคือมู่โม่โฉ่ว บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลมู่ เข้าป่ามาเพื่อตามหาหมอเทวดา”
2ส่งท่านเท่านี้“คุณชายมาทำสิ่งใดในป่าเช่นนี้กัน”“ข้ามาตามหาหมอเทวดาที่ผู้คนล่ำลือแต่ไม่รู้หมอเทวดาท่านนั้นอยู่ที่ใด ระหว่างทางเจอเข้ากับโจรป่าจึงแยกกับผู้ติดตาม หนีตายจนตกเขา เหตุนี้ถึงได้แม่นางช่วยไว้ ข้าขอขอบคุณ หากข้ากลับถึงบ้านแล้วจะต้องมอบสิ่งตอบแทนให้แม่นางเป็นแน่” มู่โม่โฉวลุกขึ้นยืนยกมือทั้งสองข้างมาประสาน ขอบคุณหญิงสาวตรงหน้า หากไม่ได้นางเขาคงตายอยู่กลางป่ากลางเขาไม่มีใครหาเจอแล้วเป็นแน่นางเคยได้ยินแต่ผู้อื่นพูดถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลมู่ว่าเป็นบุรุษรูปงาม เอาแต่ใจ ไม่น่าคบหา อ่อนแอ ชอบสัมมะเรเทเมา ไม่เอางานเอาการ หากไม่ใช่เพราะเป็นหลานชายหวงกุ้ยเฟยในองค์จักรรพรรดิ เกรงว่าคนคงกร่นด่ากันทั่วเมืองวันนี้ได้เจอตัวจริง ไม่เป็นดังที่ผู้อื่นกล่าวเลย บุรุษผู้นี้ทั้งอ่อนโยน เป็นสุภาพบุรุษ ทั้งยังรู้จักตอบแทนบุญคุณ พูดจาก็ดี ข่าวเล่าข่าวลือพวกนั้นเอามาจากที่ใดกัน“คุณชายไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน หลังจากนี้คุณชายจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน”“หากเป็นเช่นนั้นข้าขอพักที่นี่สักวันได้หรือไม่ แล้วพรุ่งนี้เช้าข้าจะรีบไปไม่รบกวนเจ้าอย่างแน่นอน
3ความลับของหญิงงามนางใช้เวลาอยู่บนเขาสามวันจึงนั่งรถม้าลงจากเขา นอกจากเรียนวิชาแพทย์นางยังใช้เวลาฝึกการใช้อาวุธจากลุงจางในทุก ๆ เดือน พอครบวันก็ลงเขากลับหอสุรา หญิงสาวในหอสุราล้วนสงสัยที่นางทำแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถามลี่อินถอดหมวกมีผ้าคลุมออกเมื่อกลับถึงห้องพักตนเองในหอสุรา ผิงผิงรีบเข้ามารินชาอุ่น ๆ ให้ นางนั่งลงหยิบจอกชาขึ้นมาจรดริมฝีปากบางสีเดียวกับผลอิงเถา พักหายเหนื่อยครู่หนึ่งจึงถามเรื่องบุตรชายตระกูลสวี่ผู้นั้น“คุณชายสวี่ได้มาหาข้าหรือไม่ผิงผิง”“มาเจ้าค่ะพี่ลี่อิน ผิงผิงบอกคุณชายสวี่แล้วว่าพี่ลี่อินไม่พบผู้ใดหลังการประมูลเกรงคนจะกล่าวเล่าลื่อ โชคดีคุณชายมิได้ดึงดั้นเช่นผู้อื่นจึงกลับไป คุณชายยังกล่าวว่าเดือนหน้าจะมาพบพี่ลี่อินอีกครา” นางได้ฟังก็ยกยิ้มพอใจกับคำตอบ ทุกอย่างเป็นตามที่นางคาดไว้ อีกไม่นานนางจะต้องได้เข้าไปในตระกูลสวี่อย่างแน่นอน“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะรอ แต่วันนี้เจ้าเตรียมตัวหรือยัง”“ผิงผิง เก็บข้าวของเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ รอพี่ลี่อินหายเหนื่อยเราก็ไปกันได้เลย” ลี่อินพยักหน้าให้ หันไปหยิบของสำคัญพร้อมเงินจำนวนหนึ่งใส่ห่อผ้าที่ผิงผิงเป็นผู้เตรียม หลังกลับจากวัด
4ไม่อยากแต่งบุรุษหนุ่มอายุเกือบยี่สิบรีบวิ่งตรงไปยังเรือนของฮูหยินใหญ่เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลมู่ ผู้เป็นมารดาเอ่ยปากว่าอยากกินแป้งย่างมีหรือบุตรชายแสนดีเช่นเขาจะไม่ตามใจ มู่โมโฉวรีบออกไปตลาดเพื่อซื้อแป้งย่าง ก่อนหน้านี้มารดาเขายังคงแข็งแรงดีจนกระทั่งได้รับรู้ว่าสหายสนิทเพียงคนเดียวตายในกองเพลิงไปแล้ว หลังจากนั้นมู่หยางซื่อจึงล้มป่วย เจ็บปวดอยู่เสมอ ต้องลมนานก็พาลจะป่วยไข้หมอทั่วทุกสารทิศได้มาทำการรักษาแต่นางก็ไม่ดีขึ้นเลย ผู้เป็นบุตรจะทนเห็นมารดาทุกข์ทรมานได้อย่างไร เช่นนี้เขาจึงเข้าป่าตามหาหมอเทวดาตั้งใจพามารักษามารดา“ลูกแม่เจ้าไปไหนมาหรือ เหตุใดจึงนานเพียงนี้”“ท่านแม่ข้าออกไปซื้อแป้งย่างให้ท่านแม่อย่างไรเล่า ท่านแม่ลองกินเถิดดีหรือไม่” มู่โม่โฉวตอบผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เขานั่งลงข้างเตียงผู้เป็นมารดายื่นแป้งย่างแผ่นสุดท้ายให้ อย่างที่เนี่ยนเจินกล่าวหากเขาไปช้ากว่านี้ทั้งตลาดก็คงไม่เหลือแป้งย่างแล้วสักร้านจะกล่าวให้ถูกคือเขาถูกกลิ่นหอมคุ้นจมูกล่อตาลวงใจต่างหาก กลิ่นหอมที่คงไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ใช้อีกแล้ว แต่เขากลับจดจำใบหน้าเจ้าของกลิ่นนี้ได้ชัดเจน จึงได้เผลอเดินตามนางไป
5สตรีน่ารังเกียจ“ถึงเวลาข้าต้องไปให้ผู้อื่นเล่าลือเสียบ้าง” หญิงสาวกล่าวขณะนั่งหวีผมอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลืองบานใหญ่ เตรียมตัวออกไปข้างนอกครั้งแรกในฐานะคณิกาแห่งหอสุราเพื่อให้ผู้คนได้ร่ำลือกันถึงความงดงามของหญิงงามอันดับหนึ่งหากชื่อเสียงยิ่งลือไกล ผู้คนจะยิ่งมาร่วมประมูลเช่นนั้นผู้ที่นางอยากให้รับรู้จึงจะรีบหานางในเร็ววัน“พี่ลี่อินจะไปที่ใดเจ้าคะ”“ไปซื้อผ้าสักพับสองพับ ไปกันเถอะ” นางปักปิ่นดอกท้อที่มวยผม เอื้อมมือไปหยิบผ้าปิดหน้าผืนบางมาคล้องหูสองข้าง ปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งจากนั้นจึงเดินนำผิงผิงออกจากห้องไป“นั่นใช่แม่นางลี่อินหรือไม่”“เห็นเพียงครึ่งหน้ายังงดงามถึงเพียงนี้”“นางออกจากหอครั้งแรกใช่หรือไม่” ผู้คนภายนอกต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยเรื่องนาง นางไม่เคยออกจากหอสุรามาก่อน ซ้ำยังน้อยคนนักจะได้เห็นหน้านางชัด ๆ ข่าวนี้แพร่ไปอย่า
6ผู้ประมูลคนใหม่หญิงสาวปัดผมที่ปรกหน้าอยู่ออก นางยืนรับลมอยู่ริมระเบียงห้องพักวันนี้เป็นวันประมูลประจำเดือน เกรงว่าวันนี้คงจะมีคนมาร่วมประมูลมากกว่าทุกที เรื่องเล่าลือความงดงาม จริตมารยาอ่อนหวาน แต่ผู้ที่นางรอมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น“วันนี้พี่ลี่อินจะสวมอาภรณ์สีใด” ผิงผิงเอ่ยถามในมือก็นำอาภรณ์งดงามตัดใหม่ของลี่อินออกมาวางเรียงดู อาภรณ์ใหม่พี่สาวบุตรธรรมของนางเป็นผู้คิดขึ้นเอง ทั้งแปลกตา ทั้งงดงามร่างบอบบางเดินกลับเข้ามาในห้องหยิบอาภรณ์สีม่วงขึ้นมาคลี่มันออกช้า ๆ วางมันลงบนเตียง อาภรณ์สีม่วงอ่อนท่อนบนเปิดหน้าท้องแผ่นหลัง ช่วงล่างส่วนมากมักเป็นผ้ายาวพริ้ว แต่นางให้ช่างทำเป็นกางเกงตัวใหญ่รัดข้อเท้า ติดกระพรวนเล็กตรงที่รัดข้อเท้า มีผ้าหนึ่งไว้ปิดไหล่เปลือย ผ้าปิดหน้าสีม่วงผืนบาง“ตัวนี้แหละ เจ้าไปเตรียมฉินวันนี้ข้าจะเล่นฉิน”“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะมาช่วยพี่ลี่อินแต่งตัว” ผิงผิง
7บุรุษที่นางแตะต้อง“เช่นนั้นต้องขอบคุณคุณชายมู่แล้ว” นางกล่าวจบยกจอกสุราดื่มรวดเดียวหมด มู่โม่โฉวยื่นมือไปรับจอกสุรามาจากมือสตรีตรงหน้า เทอีกจอกยื่นให้นาง“เชิญแม่นาง วันนี้ข้าจะปรนนิบัติเจ้าเอง”“แต่ข้ามิได้อยากดื่มสุรา”“แล้วเจ้าอยากทำสิ่งใด”“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน หากไม่ต้องปรนนิบัติผู้ใดข้าจะอยู่ในห้องนี้ไปเพื่อสิ่งใด” ทุกวันประมูลนางต้องคอยปรนนิบัตผู้ชนะอยู่เสมอ หากไม่ต้องทำนางเองก็ไม่รู้ต้องทำสิ่งใดต่อเช่นกัน อีกอย่างมิได้รู้จักกันถึงขนาดชวนพูดคุยเรื่องราวในชีวิตได้เลย“หากเจ้าไม่รู้เช่นนั้น ข้าเล่านิทานให้ฟังดีหรือไม่”“รบกวนคุณชายแล้ว” ลี่อินกล่าวพร้อมกับเทสุราใส่จอกให้มู่โม่โฉว เขารับมันมาถือเอาไว้ท่าท่างครุ่นคิดไม่รู้จะเริ่มตรงไหน“คืนหนึ่งในจวนตระกูลแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ คฤหาสน์ทั้งหลังเต็มไปด้วยเ
8ความร่วมมือ“เจ้า เจ้า เหตุใดทำเช่นนี้กัน” มู่โม่โฉวลนลานขยับกายหนีราวกับแตะของร้อน ใบหน้าแดงก่ำคงเพราะเมื่อครู่ถูกเห็นเข้าจึงลนลานเช่นนี้ ท่าทีของเขาทำหวงซิ่วอิงนิ่งเงียบ นางเดาความคิดเขาไม่ออกเลย ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้ต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่ เรือนร่างก็ไม่ใช่ เงินทองยิ่งไม่มีทางใช่คิ้วเล็กเรียวขมวดแน่น รวบรวมสติกลับมาก็ไม่รู้ว่าต้องพูดขอร้อง ข่มขู่ หรือบังคับเขาดี คุณชายมู่ผู้นี้เป็นคนแรกที่ทำให้นางอึกอักได้เช่นนี้ นิสัยก็ไม่ถึงกับเงียบขรึมแต่ก็มิได้เสเพล เป็นผู้ที่เดาได้ยากยิ่ง“หากท่านไม่ต้องการร่างกายข้า ท่านต้องการสิ่งใดจากคนต่ำต้อยเช่นข้า”“เจ้าจะต่ำต้อยได้อย่างไรกัน ผู้อื่นไม่รู้ว่าเจ้าสูงส่งเพียงใดแต่ใช่ว่าข้าเองก็ไม่รู้” ว่าจบก็หยิบเอาผ้าคลุมไหล่บนพื้นมาคลุมไหล่บอบบางเอาไว้ การกระทำของเขาทำให้นางแปลกใจไม่น้อยเลย ไหนจะคำพูดคำจาของเขาเมื่อครู่อีก เขากล่าวราวกับรู้ว่าเรื่องที่ผู้อื่นรู้ล้วน
9คู่หมั้นคู่หมายเรื่องคืนวันประมูลเล่าลือกันทั่วเมือง เมื่อราคาประมูลสูงขึ้นทุกเดือน อีกทั้งผู้ประมูลยังเป็นบุตรชายเจ้าของหอสุราเองอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคนพูดกันว่ามู่โม่โฉวเป็นบุรุษคนแรกที่ได้แตะต้องคณิกาอันดับหนึ่ง ไม่นานว่าที่คู่หมั้นคู่หมายอย่างสวี่ลี่จูได้ยินเรื่องนี้เข้า จึงรีบออกจากจวนโหวตรงมายังหอสุราเสียตั้งแต่เช้า“สตรีชั้นต่ำผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน”“ไม่ทราบว่าคุณหนูมาที่นี่ด้วยเหตุใด” เถ้าแก่ผู้ดูแลรีบเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นหญิงสูงศักดิ์เดินเข้าหอสุราตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ท่าทีของนางไม่ให้เกียรติผู้ใด หากไม่ออกมารับหน้าเกรงจะพังหอสุราแห่งนี้“สตรีชั้นต่ำนั่นอยู่ที่ใด ไปตามนางมาให้ข้า” นอกจากขึ้นชื่อเรื่องความเอาแต่ใจสวี่ลี่จูผู้นี้หากไม่พอใจสิ่งใดยังมักให้คนใช้ไปทำลายข้าวของ ร้านรวงของผู้อื่นอีกด้วย ในเมืองจึงไม่มีผู้ใดอยากขัดใจนาง หากไม่ใช่เพราะบรรดาศักดิ์ของพ่อนางยังจะมีผู้ใดคบค้ากับนางอีก
บทส่งท้ายของขวัญนี้ข้ามอบแด่ท่านเหมันตฤดูปีนี้แม้จะมีหิมะตกอยู่เสมอแต่กลับรู้สึกเย็นสบายไม่หนาวเท่าปีก่อน หิมะเกาะกิ่งไม้ ใบไม้จนกลายเป็นสีขาวทั่วบริเวณ หญิงสาวเปิดหน้าต่างห้องพักตนเองเพื่อรับลม ทั้งที่หิมะตกเช่นนี้บางครานางยังรู้สึกร้อนจนต้องเปิดหน้าต่างรับลมเช่นนี้“ฮูหยิน จะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ผิงผิงบ่าวคนสนิทเอ่ยถาม นางกำลังปักลายดอกท้อลงบนเสื้อแต่เสื้อนั้นกลับเล็กจนนางคิดว่าคงไม่มีผู้ใดในบ้านใส่ได้แน่ นางไม่ตอบเพียงหันมายิ้มอ่อนหวานให้สาวใช้เท่านั้น นางเพียรปักผ้าผืนนี้มาเกือบเจ็ดวันแล้วนางปักผ้าไปยิ้มไปใบหน้าบ่งบอกว่ามีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่มากนัก หากฮูหยินมีความสุขนางจะขัดไปใย นึกดี ๆ แล้วช่วงนี้ฮูหยินของนางอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อน เห็นสิ่งใดก็ดูดีดูงดงามไปเสียหมด“งามหรือไม่ผิงผิง”“งามเจ้าค่ะฮูหยิน แต่ผู้ใดจะใส่ได้หรือเจ้าคะ”“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ท่านพี่อยู่ที่ใดห
31ให้ข้าอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต“ซิ่วอิง เจ้านั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไม่คิดทำสิ่งอื่นบ้างหรือ” มู่โม่โฉวเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงศาลาข้างสวนดอกไม้ นางนั่งอยู่ที่นี่มาเกือบสองชั่วยามแล้ว นานจนเขานึกเป็นห่วงกลัวนางต้องลมนานจะพาลป่วยไข้“ท่านว่าข้ายังมีสิ่งใดให้ทำอีกหรือ ข้าทวงความยุติธรรมให้ครอบครัวได้แล้ว ทุกสิ่งล้วนถูกที่ถูกทาง ก่อนนี้ข้าไม่เคยได้พัก ไม่เคยคิดเรื่องเหน็ดเหนื่อยสักครั้ง ยามนี้ไม่มีสิ่งใดต้องทำอีกแล้วข้าอยากพักสักหน่อย”“เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น เช่นนั้นให้ข้าอยู่ด้วยได้หรือไม่” นางละสายตาจากภาพทิวทิศน์เบื้องหน้ากลับไปมองผู้ที่ยืนพูดอยู่ด้านหลัง นึกสงสัยในคำกล่าวเมื่อครู่ มู่โม่โฉวไม่พูดสิ่งใดต่อทำเพียงยิ้มให้นาง“ท่านไม่มีสิ่งใดให้ทำหรือ มาอยู่กับข้าทั้งวันเช่นนี้ไม่เบื่อหรือ”“ข้าไม่เคยเบื่อคิดว่าเจ้าคงรู้ หากอยู่ด้วยจนตายได้ยิ่งดี” มู่โม่
30รางวัลหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากชานเมืองถูกเปลี่ยนเป็นโรงหมอ คอยรับผู้ป่วยจากในและนอกเมือง รับเพื่อไม่ให้เข้าไปแพร่เชื้อในเมือง ส่วนผู้อยู่ในเมืองที่ติดก็จำต้องออกมารับการรักษานอกเมืองโรงหมอในเมืองพากันปิดหมดเมื่อรู้ว่าผู้ที่มาหาหมอติดโรคประหลาด ด้วยวิชาแพทย์ที่แตกฉานของหวงเหว่ยถิงและลูกศิษย์สาวอย่างหวงซิ่วอิง โรคระบาดจึงมิได้ลุกลามไปไกลยังพอควบคุม รักษาได้ทันท่วงที คนเจ็บปวดได้รับการรักษาจนหายดี เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ บุรุษ สตรี ล้วนได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมมิได้แบ่งแยกนางกักขังตนเองอยู่กับผู้ป่วยสามวันสามคืนจึงหาทางรักษาจนได้ ผู้ทดลองยามิใช่ใครอื่น มู่โม่โฉวกับสวี่เลี่ยงหรงล้วนติดโรคประหลาดจากการช่วยนางดูแลผู้ป่วยยากไร้นางคิดสูตรยาอยู่เกือบสามวัน ใช้อาการของโรคเทียบกับตัวยา ช่วงแรกที่มีอาการหนักนางรักษาไปตามอาการ ผลคือผู้ป่วยไม่ดีขึ้นเลย อาการยังคงเป็นเช่นเดิม จนสุดท้ายได้สูตรยามาแต่ไม่มีสิ่งใดรับรองว่ายานี้จะได้ผล ดังนั้นนา
29โรคระบาดการกลับคำของฮ่องเต้องค์ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่การใส่ร้ายขุนนางซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง องค์จักรพรรดิทรงกล่าวกับนางเช่นนี้ ไม่นานจึงออกพระราชโองการลงโทษคนตระกูลสวี่ สวี่เฟยฮุ่ยและคนสนิทถูกประหาร ส่วนผู้อื่นถูกเนรเทศ สมบัติถูกริบเข้าคลัง ยศตำแหน่งถูกริบคืนทั้งหมด แม้แต่บุตรตระกูลสวี่ก็ถูกสั่งห้ามรับราชการอีกตลอดชีวิต ตำแหน่งจอหงวนของสวี่เลี่ยงหรงที่เพิ่งสอบได้ไม่นานก็ถูกยกเลิก“ข้านั้นอยากสั่งประหารสามชั่วโคตร แต่มีคำขอจากสตรีบอบบางผู้หนึ่ง นางกล่าวกับข้าว่าสวี่เลี่ยงหรงไม่ได้ทำผิดใดเขาเองก็ช่วยหาหลักฐานสำคัญเพื่อหยุดการกระทำของบิดา หากต้องโทษประหารไป ยังจะมีผู้ใดอยากทำสิ่งดีอีก ข้าจึงละเว้น เจ้าว่าข้าทำเช่นนี้เหมาะหรือไม่”“การกระทำของพระองค์ล้วนเหมาะสม หม่อมฉันขอขอบพระทัยที่พระองค์ทรงคืนความเป็นธรรมให้นาง”“เหตุใดเจ้าต้องขอบคุณแทนนาง รู้จักนางหรือ”“หม่อนฉันไม่รู้จัก
28ประทานรางวัลผู้คนล้วนรับรู้ว่าหวงกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากเพียงใด วันนี้จึงพากันมามอบของกำนัล อวยพร มู่โม่โฉวเองก็เช่นกันเขามาอวยพรหวงกุ้ยเฟยในฐานะตัวแทนตระกูลมู่“ข้าขออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืนเป็นร้อยปี วันนี้ขอมอบระบำนี้ เพื่ออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยและองค์จักรพรรดิ”“เช่นนั้นเจ้าเล่นฉินให้ข้าฟังด้วยได้หรือไม่ โฉวเอ๋อร์ข้าไม่ได้ฟังเพลงฉินของเจ้านานนัก”“หากเป็นประสงค์ข้าย่อมทำตาม” ข้าหลวงนำฉินมาวางกลางลานให้มู่โม่โฉวได้บรรเลง หวงซิ่วอิงค้อมตัวคารวะผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าก่อนจะเริ่มระบำไปพร้อมเพลงฉินอันไพเราะ ทำนองเพลงฉินนี้ทั้งอ่อนหวานชวนเคลิบเคลิ้ม ระบำก็งดงามอ่อนช้อย ไม่มีผู้ใดละสายตาจากระบำตรงหน้าได้เลยความงดงามของนางระบำที่แม้จะปิดบังใบหน้าแต่กลับน่าค้นหา ทั้งหมดราวกับต้องมนตร์จนระบำจบลงมนตร์นี้จึงถูกคลาย“ดียิ่ง ดีจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นระบำงดงามเช่นนี้มาก่อน
27ไม่ได้ครอบครองหลังเตรียมอาหารเสร็จหวงซิ่วอิงและหวงเหว่ยถิงช่วยกันยกอาหารไปวางที่โต๊ะกลางลานบ้าน ผ่านไปไม่กี่เฟินสวี่เลี่ยงหรงก็ตามออกมา ท่าเดินโซซัดโซเซดูไม่มีแรงมากนัก“ท่านยังไม่หายดี ออกมาข้างนอกทำไมกัน” หวงซิ่วอิงเดินไปประคองสวี่เลี่ยงหรงไปนั่งที่โต๊ะกลางลานบ้าน หวงเหว่ยถิง และจางหย่งนั่งมองนิ่ง ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป“คารวะท่านทั้งสอง” เป็นสวี่เลี่ยงหรงที่เอ่ยทั้งสองบุรุษที่โต๊ะกลางลานบ้านก่อน จางหย่งที่มักไม่ค่อยพูดยกมือขึ้นมาประสานรับคารวะแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด หวงเหว่ยถิงพยักหน้ารับขยับชามโจ๊กไปให้คุณชายสวี่“กินข้าวเถอะ จะได้พักผ่อนท่านยังไม่หายต้องพักให้มากหน่อย ถ้าจะให้ดีไม่ควรฝืนขยับตัว”“พวกท่านกินกันไปก่อน ข้าจะเอาอาหารไปให้คุณชายมู่” กล่าวจบก็เดินถือถาดอาหารไปยังเรือนพักด้านข้าง ทิ้งให้บุรุษสามคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันเพราะมั่นใจว่าหวงเหว่ยถิงจะไม่ทำอันตรายสวี่เ
26ถึงตายก็จะปกป้อง“คนงาม เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายนัก ข้าเจ็บถึงเพียงนี้ยังตำหนิข้าได้ลง”“ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าท่านเอง”“คุยกับข้าอีกหน่อยไม่ได้หรือ”“ท่านบาดเจ็บอยู่ ทำไมจึงมีแรงพูดมากมายเช่นนี้อีก” หวงซิ่วอิงตำหนิด้วยความเป็นห่วง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองจุ่มน้ำล้างแผลที่อาจารย์เตรียมมา บิดน้ำออกเช็ดคราบเลือดที่เลอะร่างกายของเขาออกเบา ๆ“ข้ามีแรงที่ไหนกัน หากมีแรงคงลุกไปมองหน้าเจ้าแล้ว เช่นนั้นคงช่วยให้หายเจ็บไม่น้อย”“เจ็บหนักเพียงนี้ยังมีเวลามาหยอกเอินข้าอีก”“ข้าไปหยอกเจ้าเมื่อไรกัน ข้าพูดความจริงเห็นหน้าเจ้าสักหน่อยก็หายเจ็บไม่น้อยแล้ว” คำพูดหยอกล้อของคนเจ็บทำนางอมยิ้ม ผ้าเช็ดหน้าถูกวางไว้บนเก้าอี้ จากนั้นเจ้าของร่างบอบบางจึงย่อตัวคุกเข่าลงข้างเตียง ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับคนเจ็บ มู่โม่โฉวยังคงหลับตาพูดคุยกับน
25คนโง่ต้นไม้ใหญ่สองต้นถูกใช้เป็นที่กำบังหญิงสาวกับบุรุษหนุ่มยืนแอบอยู่อีกฝั่งของต้นไม้ รอให้คนชุดดำวิ่งมาถึงจึงลอบโจมตีลดกำลังของฝ่ายศัตรู ระหว่างสู้หวงซิ่วอิงยังเหลียวมองมู่โม่โฉวหลายต่อหลายครั้ง วิชาต่อสู้ของเขาไม่เอาไหนเลย หากไม่ใช่เพราะกิ่งไม้ ก้อนหินในป่าเกรงว่าคงถูกจับได้แล้ว“คุณชายเป็นอย่างไรบ้าง” สู้จนบุรุษชุดดำล้มไปถึงสี่คนหวงซิ่วอิงวิ่งไปฉุดข้อมือมู่โม่โฉววิ่งอีกครั้ง ศัตรูอีกสามคนวิ่งตามไม่ห่างเหน็ดเหนื่อยจนแข้งขาอ่อนแรง อยู่ ๆ ก็ล้มลง หญิงสาววิ่งกลับมานั่งคุกเข่าประคองเขาให้ลุกขึ้น แต่พวกชุดดำข้างหลังคงรู้ว่าตามนางไม่ทันจึงขว้างมีดสั้นมายังร่างบอบบาง“มู่โม่โฉวท่านบ้าไปแล้วหรืออย่างไร” หวงซิ่วอิงตวาดดังลั่นก่อนที่มีดสั้นจะปักร่างกายนาง บุรุษผู้นี้ก็พุ่งเข้าโอบกอดนางทำให้มีดสั้นเล่มนั้นปักกลางหลังเขาแทนดวงตาเบิกกว้าง มือไม้สั่นไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดต่อ นางเอื้อมมือไปคลำมีดกลางหลัง เลือดสีแดงสดไหลเล
24ขุนนางทุจริตในโรงน้ำชา ชานเมือง เรือนที่ผู้อพยพพักอาศัยกำลังพูดคุยเรื่องเดียวกันไปทั่ว ขุนนางใหญ่โตทุจริตเสบียงบรรเทาทุกข์ของผู้อพยพ ชาวบ้านพากันกล่าวเรื่องนี้ไม่หยุดจนขุนนางใหญ่โตบางคนรีบร้อนตัว ให้บ่าวเร่งตามสืบคนแพร่ข่าวนี้ อีกทั้งจดหมายลับที่อยู่ในบ้านยังหายไปไร้ร่องรอยสวี่เฟยฮุ่ยกินไม่ได้นอนไม่ได้เกรงว่าจดหมายฉบับนั้นจะอยู่ในมือองค์จักรพรรดิ หากเป็นเช่นนั้นตระกูลสวี่คงจบสิ้นแล้ว“ท่านพ่อ”“เจ้าออกไปก่อน ยามนี้พ่อยังมีกิจสำคัญต้องหารือ” ท่านโหวบอกกับบุตรชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือที่หวงแหน หลังจากใช้เวลาชั่งใจมาหลายวันว่าตนเองควรทำอย่างไรกับสิ่งที่รู้มา คิดได้แล้วจึงมาหาบิดาสอบถามความจริงในเรื่องนี้“ข่าวลือนี้คือท่านพ่อใช่หรือไม่” สวี่เฟยฮุ่ยวางของในมือมองหน้าบุตรสาวนิ่ง ๆ ไม่คิดว่าบุตรชายจะมาถามเรื่องนี้ แม้ในเรื่องเล่าลือจะกล่าวถึงขุนนางใหญ่แต่ในราชสำนักไม่ได้มีเขาเป็นขุ