4
ไม่อยากแต่ง
บุรุษหนุ่มอายุเกือบยี่สิบรีบวิ่งตรงไปยังเรือนของฮูหยินใหญ่เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลมู่ ผู้เป็นมารดาเอ่ยปากว่าอยากกินแป้งย่างมีหรือบุตรชายแสนดีเช่นเขาจะไม่ตามใจ มู่โมโฉวรีบออกไปตลาดเพื่อซื้อแป้งย่าง ก่อนหน้านี้มารดาเขายังคงแข็งแรงดีจนกระทั่งได้รับรู้ว่าสหายสนิทเพียงคนเดียวตายในกองเพลิงไปแล้ว หลังจากนั้นมู่หยางซื่อจึงล้มป่วย เจ็บปวดอยู่เสมอ ต้องลมนานก็พาลจะป่วยไข้
หมอทั่วทุกสารทิศได้มาทำการรักษาแต่นางก็ไม่ดีขึ้นเลย ผู้เป็นบุตรจะทนเห็นมารดาทุกข์ทรมานได้อย่างไร เช่นนี้เขาจึงเข้าป่าตามหาหมอเทวดาตั้งใจพามารักษามารดา
“ลูกแม่เจ้าไปไหนมาหรือ เหตุใดจึงนานเพียงนี้”
“ท่านแม่ข้าออกไปซื้อแป้งย่างให้ท่านแม่อย่างไรเล่า ท่านแม่ลองกินเถิดดีหรือไม่” มู่โม่โฉวตอบผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เขานั่งลงข้างเตียงผู้เป็นมารดายื่นแป้งย่างแผ่นสุดท้ายให้ อย่างที่เนี่ยนเจินกล่าวหากเขาไปช้ากว่านี้ทั้งตลาดก็คงไม่เหลือแป้งย่างแล้วสักร้าน
จะกล่าวให้ถูกคือเขาถูกกลิ่นหอมคุ้นจมูกล่อตาลวงใจต่างหาก กลิ่นหอมที่คงไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ใช้อีกแล้ว แต่เขากลับจดจำใบหน้าเจ้าของกลิ่นนี้ได้ชัดเจน จึงได้เผลอเดินตามนางไปจนถึงนอกตรอกการค้า
“เช่นนั้นหรือ งั้นแม่ขอลองชิมเสียหน่อยว่าใช่รสชาติที่คุ้นเคยหรือไม่” มู่หยางซื่อตอบบุตรชายด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียแต่แฝงด้วยความอ่อนโยน ไม่รู้ตนเองจะอยู่กับบุตรชายได้อีกนานเพียงใด ยังไม่ทันได้เห็นงานแต่งก็คงต้องจากไปเสียแล้วกระมัง
นางรับแป้งย่างมาจากมือบุตรชายกัดไปคำหนึ่ง พลันนึกถึงสหายสนิทผู้ที่เคยแบ่งแป้งย่างให้กันยามลำบากในครานั้น ดวงตาสั่นระริก หันไปยิ้มให้บุตรชายมองไปนอกประตูห้อง ผู้เป็นสามีเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเจื่อความเสียใจ มู่ชิงอีเองก็ใช้เส้นสายไม่รู้เท่าไรเพื่อพาหมอมายังตระกูล มีเงินมีอำนาจแต่ภรรยากลับไม่มีความสุข เช่นนี้บุตรชายคนเดียวจึงยังมิได้ออกเรือน
นางอยากเห็นบุตรชายออกเรือนกับคนที่รัก แต่ตระกูลมู่กลับมีสัญญาหมั้นหมายกับตระกลูสวี่จากจักรพรรดิองค์ก่อน ด้วยผู้เป็นภรรยาเจ็บไข้อยู่บ่อยครั้ง มู่ชิงอีจึงมิกล้าบังคับบุตรชายออกเรือนเกรงภรรยาจะตรอมใจจากไป
“ท่านพี่มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ” มู่หยางซื่อเอ่ยถามสามีทั้งยังทำท่าจะลุกยืน เขารีบปรี่เข้ามาหยุดภรรยาเอาไว้มิให้ลุกยืน นั่งลงบนเตียงข้าง ๆ นาง มู่โม่โฉวจึงลุกไปยืนข้างเตียงแทน
“ข้ามาดูเจ้าเท่านั้น มิได้มีสิ่งใด เจ้าเล่ามากวนอันใดแม่เจ้า”
“โธ่ ท่านพ่อข้าเป็นบุตรมาหาแม่ตนเองจะเรียกว่ากวนได้อย่างไร มีแต่ท่านพ่อกระมังที่ชอบเอาเรื่องปวดหัวมากวนท่านแม่ของข้า” มู่โม่โฉวเอ่ยเย้าบิดาทีเล่นทีจริงแม้จะจริงมากกว่า กล่าวจบก็เบนหน้ามองประตูหน้าต่างทำไม่รู้ไม่ชี้ มู่ชิงอีนึกอยากลุกขึ้นไล่ตีบุตรชายสักทีแต่พอเห็นภรรยายิ้มให้ท่าทางกวน ๆ ของลูกชายจึงปล่อยผ่านไป ถึงอย่างไรลูกก็ไม่ค่อยเคารพพูดจาดี ๆ กับเขาอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าเลี้ยงกันดีไปหรือไม่ ลูกชายตัวดีจึงมีนิสัยไม่เอาจริงเอาจังเช่นนี้
“อายุจนป่านนี้แล้ว ไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรืออย่างไร” บุรุษรูปร่างสูงท้วมหันไปถามบุตรชาย ตั้งใจตะล้อมให้มู่โม่โฉวตกลงปลงใจแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลสวี่เสียที ถึงอย่างไรตระกูลก็ต้องมีผู้สืบสกุลต่อไป แม้จะผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน
“ท่านพ่อเลิกกล่อมข้าเสียทีเถิด ข้าไม่อยากแต่งกับนาง”
“นางงดงาม มีชาติตระกูลที่สุดในบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองแล้ว เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก เหตุใดไม่ชอบนาง ไม่ไปหาสู่กับนางรู้ได้อย่างไรว่านางไม่ใช่ผู้ที่เจ้าตามหา”
“เอาเป็นว่าข้าไม่ชอบนาง ไม่อยากแต่ง นางมีสิ่งที่ข้าไม่ชอบ แต่ท่านพ่อไม่ต้องรู้หรอกว่ามันคือสิ่งใด หากท่านพ่อยังบังคับข้า ข้าจะหนีไปบวช”
“ไอ้เด็กคนนี้”
“ท่านพี่ อย่าได้โมโหไปเลย โฉวเอ๋อร์ถูกข้าตามใจมาแต่เล็ก หากอยากจะโทษเช่นนั้นโทษข้าเถิด” นางออกรับแทนถึงเพียงนี้คนรักภรรยาจะกล้าเอาเรื่องได้อย่างไรกัน มู่ชิงอีหันไปทำสีหน้าโมโหใส่บุตรชาย ชี้นิ้วคาดโทษเขา ไว้ลับหลังภรรยาเขาจะมาเอาเรื่องทีหลัง เป็นอันรู้กันสองคน
“ท่านพ่อ ข้าอยากออกไปตามหาหมอเทวดาอีก” มู่โม่โฉวกล่าวกับบิดาหลังพามารดาเข้านอน จึงพากันไปยังห้องหนังสือ อย่างไรเขาก็ต้องหาหมอเทวดาผู้นั้นให้เจอ แม้จะตามหาหมอมารักษาเกือบแปดปีแล้ว
“ไปเจอโจรป่ายังไม่เข็ดหรืออย่างไร เจ้าไม่ต้องออกไปเอง คนงานมีเยอะแยะ” มู่ชิงอีก็คิดเช่นนั้น เขาไม่เคยคิดหมดหวังเรื่องภรรยาตามหาหมอทั่วทุกสารทิศมารักษา แต่อย่างไรเสียมู่โม่โฉวก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว หากออกไปแล้วมีอันตรายเขาจะอยู่สู้หน้าบรรพบุรุษกับภรรยาเช่นไร
“ท่านพ่อส่งไปกี่หน ไม่เคยได้ข่าวใดเลย หลังบาดเจ็บครานี้ข้าได้รู้เรื่องบางอย่างมา ข้ามั่นใจว่าจะหาหมอเทวดาได้”
“เจ้ารู้สิ่งใดมา”
“ข้ายังบอกท่านพ่อไม่ได้ ให้ข้าแน่ใจแล้วจะบอกท่าน”
“เจ้าหรือข้ากันที่เป็นพ่อ”
“ข้าจะกล้าเป็นพ่อท่านได้อย่างไร พักผ่อนเถอะ ข้าเพียงมาบอกเท่านั้นไม่ได้ตั้งใจขออนุญาต ท่านไม่ต้องคิดมาก ข้าไปล่ะ” พูดจนจบก็ลุกออกไปท่ามกลางความมึนงงของบิดา นี่เขาเลี้ยงบุตรชายให้กลายเป็นเทวดาใช่หรือไม่ มู่ชิงอีส่ายหน้าจนใจหันไปเทชาดื่มดับความโกรธเมื่อครู่
“เนี่ยนเจิน พรุ่งนี้ไปดื่มสุรากันดีหรือไม่”
“หากคุณชายอยากดื่มสุรา ข้าจะไปนำมาให้” เนี่ยนเจินบ่าวแสนซื่อถามด้วยความงุนงง คุณชายของเขานานทีจะอยากดื่มสุราขึ้นมา นอกจากอยากดื่มสุรายังอยากออกไปหอสุราที่ไม่ชอบไป
ตั้งแต่รับใช้คุณชายมู่มาเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นเจ้านายย่างกรายเข้าหอสุรา หอนางโลมเลยสักครั้งเดียว แต่กลับถูกผู้คนภายนอกเล่าลือกันว่าเป็นคนไม่เอาไหน เกเรไม่สนผู้ใด ทั้งยังชอบดื่มเหล้าเมาสุรา ชื่อเสียงย่ำแย่ที่สุดในบรรดาคุณชาย
“เจ้านี่มันโง่จริง ๆ” มู่โม่โฉวพึมพำบ่าวรับใช้คนสนิท ซื่อจนบางคราเขาก็หงุดหงิดเช่นกัน แต่เจ้าเด็กเนี่ยนเจินนี่ทั้งซื่อสัตย์และต่อสู้เก่ง เขาใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เพื่อฝึกกระบี่จากเจ้าเด็กคนนี้ ตนเองไม่เคยสนใจดาบกระบี่มาก่อน แต่หลังจากมารดาล้มป่วยก็ขอร้องให้เขาฝึกกระบี่ไว้ มารดาขอร้องเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร
ว่าจบก็เอามือไพล่หลังเดินหนีไป ทิ้งให้บ่าวคนสนิทยืนงงอยู่คนเดียว เนี่ยนเจินวิ่งตามสีหน้าตื่น
“คุณชายรอข้าด้วยขอรับ”
บทนำล้างตระกูลกลางเหมันต์ฤดู คืนหิมะโปรยปราย คฤหาสน์ใหญ่โตตระกูลหวงกลับมีเสียงกรีดร้องโหยหวนมิขาดช่วง ไม่เว้นแม้ริมกำแพง ใต้ต้นไม้ ซอกมุมเรือน เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นบนหิมะขาวยิ่งเห็นยิ่งให้สลดใจ เด็กเล็กเด็กน้อย บ่าว ไพร่ อายุไม่เท่าไรก็ถูกคมดาบคมกระบี่ปลิดชีพจนสิ้นทั้งคฤหาสน์เมืองทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้ความเงียบกลางลมหิมะ น่าสลดใจนักตระกูลหวงเคยมีความดีความชอบมากมายเป็นที่นับหน้าถือตา เพียงคืนเดียวเท่านั้นกลับกลายเป็นตระกูลผู้คิดก่อการกบฏ มีผู้คนมากมายไม่คิดเช่นนั้นแต่จะทำอย่างไรได้นี่คือพระบัญชาของกษัตริย์ กวาดล้างตระกูลหวงให้สิ้นมิเว้นผู้ใดไม่รู้โชคดีหรือร้ายบุตรสาวเพียงคนเดียวกลับไม่อยู่ในคฤหาสน์นางป่วยไข้อยู่หลายวัน มารดาจึงส่งไปรักษายังวัดบนเขา นางจึงรอดพ้นจากการฆ่าล้างตระกูลคืนนี้ คฤหาสน์หลังใหญ่ตกอยู่ภายใต้เปลวไฟ เช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าบุตรสาวอย่างหวงซิ่วอิงยังมีชีวิตอยู่7 ปีผ่านไปหอสุราอิงฮวาในตอนนี้มีชื่ออย่างมากเรื่องหญิงงามล่มเมือง ผู้คนมากมายจึงพากันมายลโฉม วันนี้ของทุกเดือนตั้งแต่สี่ปีก่อนทำให้หอสุรานี้มีชื่อเสียงมากขึ้น ผู้คนแวะเวียนมามิขาดเพื่อให้ได้ชมการประมู
1ข้าคือมู่โม่โฉ่วเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวถูกถอดมาคลุมร่างไร้สติ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาวตายก่อนถึงวัด โดยมีเจ้าของรถม้าคอยดูแลอยู่ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าบรรจงเช็ดคราบโคลนที่เปื้อนหน้าเขาออกเบา ๆ คราบนี้ติดนานเกินไปจึงใช้ผ้าสะอาดแห้งเช็ดไม่ออก“อือ...” เสียงเจ็บครวญดังออกมาจากริมฝีปากซีดคล้ำเพราะความหนาว นางปรายตามองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขาลืมตาจึงขยับยื่นหน้าไปมองคนนอนราบอยู่บนที่นั่ง คนเจ็บพยายามหยัดกายลุกนั่งแม้ตาจะยังปิดอยู่“คุณชายอย่าขยับเลยเจ้าค่ะ ท่านยังเจ็บอยู่” เขายังนึกว่าตนเองถูกจับตัวมาเสียแล้วแต่พอได้ยินเสียงหวานจึงลืมตามองคนพูด ใบหน้างดงามเบื้องหน้าทำให้คนเจ็บเกือบลืมหายใจ ใบหน้าห่างเพียงช่วงเอื้อมมือเท่านั้น สีหน้าที่เคยซีดเซียวเพราะเพลียจากการเสียเลือดกลับกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ“มะ...แม่นาง” คนเจ็บขยับปากพูดเสียงแผ่วเบา นางรู้ว่าบุรุษตรงหน้าอึดอัดท่าทางตอนนี้ จึงขยับไปนั่งพิงด้านในรถม้าเช่นเดิม เพื่อให้เขาได้ผ่อนคลายมากขึ้น“คุณชายไม่ต้องเกรงใจ นอนพักก่อนเถิด หากมีสิ่งใดอยากถามรอคุณชายดีขึ้นย่อมมีโอกาสได้ถาม” นางว่าเช่นนั้นเขาจึงไม่มีสิ่งใดอยากพูดอีก นอนราบไปกับที่นั่งเช่นเดิ
2ส่งท่านเท่านี้“คุณชายมาทำสิ่งใดในป่าเช่นนี้กัน”“ข้ามาตามหาหมอเทวดาที่ผู้คนล่ำลือแต่ไม่รู้หมอเทวดาท่านนั้นอยู่ที่ใด ระหว่างทางเจอเข้ากับโจรป่าจึงแยกกับผู้ติดตาม หนีตายจนตกเขา เหตุนี้ถึงได้แม่นางช่วยไว้ ข้าขอขอบคุณ หากข้ากลับถึงบ้านแล้วจะต้องมอบสิ่งตอบแทนให้แม่นางเป็นแน่” มู่โม่โฉวลุกขึ้นยืนยกมือทั้งสองข้างมาประสาน ขอบคุณหญิงสาวตรงหน้า หากไม่ได้นางเขาคงตายอยู่กลางป่ากลางเขาไม่มีใครหาเจอแล้วเป็นแน่นางเคยได้ยินแต่ผู้อื่นพูดถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลมู่ว่าเป็นบุรุษรูปงาม เอาแต่ใจ ไม่น่าคบหา อ่อนแอ ชอบสัมมะเรเทเมา ไม่เอางานเอาการ หากไม่ใช่เพราะเป็นหลานชายหวงกุ้ยเฟยในองค์จักรรพรรดิ เกรงว่าคนคงกร่นด่ากันทั่วเมืองวันนี้ได้เจอตัวจริง ไม่เป็นดังที่ผู้อื่นกล่าวเลย บุรุษผู้นี้ทั้งอ่อนโยน เป็นสุภาพบุรุษ ทั้งยังรู้จักตอบแทนบุญคุณ พูดจาก็ดี ข่าวเล่าข่าวลือพวกนั้นเอามาจากที่ใดกัน“คุณชายไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน หลังจากนี้คุณชายจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน”“หากเป็นเช่นนั้นข้าขอพักที่นี่สักวันได้หรือไม่ แล้วพรุ่งนี้เช้าข้าจะรีบไปไม่รบกวนเจ้าอย่างแน่นอน
3ความลับของหญิงงามนางใช้เวลาอยู่บนเขาสามวันจึงนั่งรถม้าลงจากเขา นอกจากเรียนวิชาแพทย์นางยังใช้เวลาฝึกการใช้อาวุธจากลุงจางในทุก ๆ เดือน พอครบวันก็ลงเขากลับหอสุรา หญิงสาวในหอสุราล้วนสงสัยที่นางทำแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถามลี่อินถอดหมวกมีผ้าคลุมออกเมื่อกลับถึงห้องพักตนเองในหอสุรา ผิงผิงรีบเข้ามารินชาอุ่น ๆ ให้ นางนั่งลงหยิบจอกชาขึ้นมาจรดริมฝีปากบางสีเดียวกับผลอิงเถา พักหายเหนื่อยครู่หนึ่งจึงถามเรื่องบุตรชายตระกูลสวี่ผู้นั้น“คุณชายสวี่ได้มาหาข้าหรือไม่ผิงผิง”“มาเจ้าค่ะพี่ลี่อิน ผิงผิงบอกคุณชายสวี่แล้วว่าพี่ลี่อินไม่พบผู้ใดหลังการประมูลเกรงคนจะกล่าวเล่าลื่อ โชคดีคุณชายมิได้ดึงดั้นเช่นผู้อื่นจึงกลับไป คุณชายยังกล่าวว่าเดือนหน้าจะมาพบพี่ลี่อินอีกครา” นางได้ฟังก็ยกยิ้มพอใจกับคำตอบ ทุกอย่างเป็นตามที่นางคาดไว้ อีกไม่นานนางจะต้องได้เข้าไปในตระกูลสวี่อย่างแน่นอน“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะรอ แต่วันนี้เจ้าเตรียมตัวหรือยัง”“ผิงผิง เก็บข้าวของเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ รอพี่ลี่อินหายเหนื่อยเราก็ไปกันได้เลย” ลี่อินพยักหน้าให้ หันไปหยิบของสำคัญพร้อมเงินจำนวนหนึ่งใส่ห่อผ้าที่ผิงผิงเป็นผู้เตรียม หลังกลับจากวัด
4ไม่อยากแต่งบุรุษหนุ่มอายุเกือบยี่สิบรีบวิ่งตรงไปยังเรือนของฮูหยินใหญ่เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลมู่ ผู้เป็นมารดาเอ่ยปากว่าอยากกินแป้งย่างมีหรือบุตรชายแสนดีเช่นเขาจะไม่ตามใจ มู่โมโฉวรีบออกไปตลาดเพื่อซื้อแป้งย่าง ก่อนหน้านี้มารดาเขายังคงแข็งแรงดีจนกระทั่งได้รับรู้ว่าสหายสนิทเพียงคนเดียวตายในกองเพลิงไปแล้ว หลังจากนั้นมู่หยางซื่อจึงล้มป่วย เจ็บปวดอยู่เสมอ ต้องลมนานก็พาลจะป่วยไข้หมอทั่วทุกสารทิศได้มาทำการรักษาแต่นางก็ไม่ดีขึ้นเลย ผู้เป็นบุตรจะทนเห็นมารดาทุกข์ทรมานได้อย่างไร เช่นนี้เขาจึงเข้าป่าตามหาหมอเทวดาตั้งใจพามารักษามารดา“ลูกแม่เจ้าไปไหนมาหรือ เหตุใดจึงนานเพียงนี้”“ท่านแม่ข้าออกไปซื้อแป้งย่างให้ท่านแม่อย่างไรเล่า ท่านแม่ลองกินเถิดดีหรือไม่” มู่โม่โฉวตอบผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เขานั่งลงข้างเตียงผู้เป็นมารดายื่นแป้งย่างแผ่นสุดท้ายให้ อย่างที่เนี่ยนเจินกล่าวหากเขาไปช้ากว่านี้ทั้งตลาดก็คงไม่เหลือแป้งย่างแล้วสักร้านจะกล่าวให้ถูกคือเขาถูกกลิ่นหอมคุ้นจมูกล่อตาลวงใจต่างหาก กลิ่นหอมที่คงไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ใช้อีกแล้ว แต่เขากลับจดจำใบหน้าเจ้าของกลิ่นนี้ได้ชัดเจน จึงได้เผลอเดินตามนางไป
3ความลับของหญิงงามนางใช้เวลาอยู่บนเขาสามวันจึงนั่งรถม้าลงจากเขา นอกจากเรียนวิชาแพทย์นางยังใช้เวลาฝึกการใช้อาวุธจากลุงจางในทุก ๆ เดือน พอครบวันก็ลงเขากลับหอสุรา หญิงสาวในหอสุราล้วนสงสัยที่นางทำแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถามลี่อินถอดหมวกมีผ้าคลุมออกเมื่อกลับถึงห้องพักตนเองในหอสุรา ผิงผิงรีบเข้ามารินชาอุ่น ๆ ให้ นางนั่งลงหยิบจอกชาขึ้นมาจรดริมฝีปากบางสีเดียวกับผลอิงเถา พักหายเหนื่อยครู่หนึ่งจึงถามเรื่องบุตรชายตระกูลสวี่ผู้นั้น“คุณชายสวี่ได้มาหาข้าหรือไม่ผิงผิง”“มาเจ้าค่ะพี่ลี่อิน ผิงผิงบอกคุณชายสวี่แล้วว่าพี่ลี่อินไม่พบผู้ใดหลังการประมูลเกรงคนจะกล่าวเล่าลื่อ โชคดีคุณชายมิได้ดึงดั้นเช่นผู้อื่นจึงกลับไป คุณชายยังกล่าวว่าเดือนหน้าจะมาพบพี่ลี่อินอีกครา” นางได้ฟังก็ยกยิ้มพอใจกับคำตอบ ทุกอย่างเป็นตามที่นางคาดไว้ อีกไม่นานนางจะต้องได้เข้าไปในตระกูลสวี่อย่างแน่นอน“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะรอ แต่วันนี้เจ้าเตรียมตัวหรือยัง”“ผิงผิง เก็บข้าวของเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ รอพี่ลี่อินหายเหนื่อยเราก็ไปกันได้เลย” ลี่อินพยักหน้าให้ หันไปหยิบของสำคัญพร้อมเงินจำนวนหนึ่งใส่ห่อผ้าที่ผิงผิงเป็นผู้เตรียม หลังกลับจากวัด
2ส่งท่านเท่านี้“คุณชายมาทำสิ่งใดในป่าเช่นนี้กัน”“ข้ามาตามหาหมอเทวดาที่ผู้คนล่ำลือแต่ไม่รู้หมอเทวดาท่านนั้นอยู่ที่ใด ระหว่างทางเจอเข้ากับโจรป่าจึงแยกกับผู้ติดตาม หนีตายจนตกเขา เหตุนี้ถึงได้แม่นางช่วยไว้ ข้าขอขอบคุณ หากข้ากลับถึงบ้านแล้วจะต้องมอบสิ่งตอบแทนให้แม่นางเป็นแน่” มู่โม่โฉวลุกขึ้นยืนยกมือทั้งสองข้างมาประสาน ขอบคุณหญิงสาวตรงหน้า หากไม่ได้นางเขาคงตายอยู่กลางป่ากลางเขาไม่มีใครหาเจอแล้วเป็นแน่นางเคยได้ยินแต่ผู้อื่นพูดถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลมู่ว่าเป็นบุรุษรูปงาม เอาแต่ใจ ไม่น่าคบหา อ่อนแอ ชอบสัมมะเรเทเมา ไม่เอางานเอาการ หากไม่ใช่เพราะเป็นหลานชายหวงกุ้ยเฟยในองค์จักรรพรรดิ เกรงว่าคนคงกร่นด่ากันทั่วเมืองวันนี้ได้เจอตัวจริง ไม่เป็นดังที่ผู้อื่นกล่าวเลย บุรุษผู้นี้ทั้งอ่อนโยน เป็นสุภาพบุรุษ ทั้งยังรู้จักตอบแทนบุญคุณ พูดจาก็ดี ข่าวเล่าข่าวลือพวกนั้นเอามาจากที่ใดกัน“คุณชายไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน หลังจากนี้คุณชายจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน”“หากเป็นเช่นนั้นข้าขอพักที่นี่สักวันได้หรือไม่ แล้วพรุ่งนี้เช้าข้าจะรีบไปไม่รบกวนเจ้าอย่างแน่นอน
1ข้าคือมู่โม่โฉ่วเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวถูกถอดมาคลุมร่างไร้สติ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาวตายก่อนถึงวัด โดยมีเจ้าของรถม้าคอยดูแลอยู่ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าบรรจงเช็ดคราบโคลนที่เปื้อนหน้าเขาออกเบา ๆ คราบนี้ติดนานเกินไปจึงใช้ผ้าสะอาดแห้งเช็ดไม่ออก“อือ...” เสียงเจ็บครวญดังออกมาจากริมฝีปากซีดคล้ำเพราะความหนาว นางปรายตามองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขาลืมตาจึงขยับยื่นหน้าไปมองคนนอนราบอยู่บนที่นั่ง คนเจ็บพยายามหยัดกายลุกนั่งแม้ตาจะยังปิดอยู่“คุณชายอย่าขยับเลยเจ้าค่ะ ท่านยังเจ็บอยู่” เขายังนึกว่าตนเองถูกจับตัวมาเสียแล้วแต่พอได้ยินเสียงหวานจึงลืมตามองคนพูด ใบหน้างดงามเบื้องหน้าทำให้คนเจ็บเกือบลืมหายใจ ใบหน้าห่างเพียงช่วงเอื้อมมือเท่านั้น สีหน้าที่เคยซีดเซียวเพราะเพลียจากการเสียเลือดกลับกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ“มะ...แม่นาง” คนเจ็บขยับปากพูดเสียงแผ่วเบา นางรู้ว่าบุรุษตรงหน้าอึดอัดท่าทางตอนนี้ จึงขยับไปนั่งพิงด้านในรถม้าเช่นเดิม เพื่อให้เขาได้ผ่อนคลายมากขึ้น“คุณชายไม่ต้องเกรงใจ นอนพักก่อนเถิด หากมีสิ่งใดอยากถามรอคุณชายดีขึ้นย่อมมีโอกาสได้ถาม” นางว่าเช่นนั้นเขาจึงไม่มีสิ่งใดอยากพูดอีก นอนราบไปกับที่นั่งเช่นเดิ
บทนำล้างตระกูลกลางเหมันต์ฤดู คืนหิมะโปรยปราย คฤหาสน์ใหญ่โตตระกูลหวงกลับมีเสียงกรีดร้องโหยหวนมิขาดช่วง ไม่เว้นแม้ริมกำแพง ใต้ต้นไม้ ซอกมุมเรือน เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นบนหิมะขาวยิ่งเห็นยิ่งให้สลดใจ เด็กเล็กเด็กน้อย บ่าว ไพร่ อายุไม่เท่าไรก็ถูกคมดาบคมกระบี่ปลิดชีพจนสิ้นทั้งคฤหาสน์เมืองทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้ความเงียบกลางลมหิมะ น่าสลดใจนักตระกูลหวงเคยมีความดีความชอบมากมายเป็นที่นับหน้าถือตา เพียงคืนเดียวเท่านั้นกลับกลายเป็นตระกูลผู้คิดก่อการกบฏ มีผู้คนมากมายไม่คิดเช่นนั้นแต่จะทำอย่างไรได้นี่คือพระบัญชาของกษัตริย์ กวาดล้างตระกูลหวงให้สิ้นมิเว้นผู้ใดไม่รู้โชคดีหรือร้ายบุตรสาวเพียงคนเดียวกลับไม่อยู่ในคฤหาสน์นางป่วยไข้อยู่หลายวัน มารดาจึงส่งไปรักษายังวัดบนเขา นางจึงรอดพ้นจากการฆ่าล้างตระกูลคืนนี้ คฤหาสน์หลังใหญ่ตกอยู่ภายใต้เปลวไฟ เช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าบุตรสาวอย่างหวงซิ่วอิงยังมีชีวิตอยู่7 ปีผ่านไปหอสุราอิงฮวาในตอนนี้มีชื่ออย่างมากเรื่องหญิงงามล่มเมือง ผู้คนมากมายจึงพากันมายลโฉม วันนี้ของทุกเดือนตั้งแต่สี่ปีก่อนทำให้หอสุรานี้มีชื่อเสียงมากขึ้น ผู้คนแวะเวียนมามิขาดเพื่อให้ได้ชมการประมู