10
แผนการบุรุษงาม
มู่โม่โฉวพาคุณหนูตระกูลสวี่นั่งรถม้าของตระกูลมู่ไปยังจวนโหว ทำใจนานนักกว่าจะพูดคุยกับนางได้แต่ละคำ ยิ่งเห็นเหตุการณ์วันนี้เขายิ่งไม่ชอบนางมากกว่าเดิม ต่างกับนางสีหน้าไม่เหมือนตอนอยู่หอสุราเลย สวี่ลี่จูชอบพอคุณชายมู่มาตั้งหลายปีแต่รอนานก็ไม่มีแววว่าตระกูลมู่จะมาแลกวันเดือนปีเกิดเลย
เขาไม่ค่อยพูดคุยกับนาง ไม่ไปมาหาสู่ผู้คนจึงพากันกล่าวว่ามู่โม่โฉวไม่ชอบนาง ไม่คิดจะแต่งนางเข้าตระกูลมู่ แต่ผู้ใดกล่าวเช่นนี้ให้นางรับรู้ คนผู้นั้นถือว่าประสบเคราะห์เพราะนางพาคนตระกูลสวี่ไปรบกวนจนทำมาค้าขายไม่ออกกันเป็นแถว
สตรีสูงศักดิ์ก็มิค่อยชอบนางหากไม่ใช่เพราะพ่อเป็นโหวเกรงว่าคงไม่มีใครไปมาหาสู่ด้วย
“ท่านพี่เข้าไปดื่มชาก่อนดีหรือไม่” หญิงสาวเอ่ยปากชวนเมื่อทั้งสองลงมาจากรถม้า ท่าทางเขินอายเสียงแผ่วเบา นางทำท่าคล้ายไม่กล้าสบตาเขามองไปยังประตูจวน
อย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้วเข้าไปตรวจดูเสียหน่อยดีกว่าว่ามีทางออกทางเข้าใดพอ
11เป็นโจรหรืออย่างไรหน้าต่างห้องพักถูกปิดลงขณะที่นางกำลังเตรียมถอดอาภรณ์สีเหลืองอ่อนออกจากร่างกายบอบบาง ผิวขาวเนียนเปล่งประกายสะท้อนแสงเทียนภายในห้องพัก นางถอดมันออกแล้ววางลงบนโต๊ะข้างตัว ปลดสายคาดเอวชั้นในกับเสื้อคลุมด้านในออกด้านบนเหลือเพียงตู้โตวตัวเดียวติดกาย“ซิ่วอิง” นางหันไปตามเสียงเรียกตรงหน้าต่าง ดวงตากลมเบิกกว้างจนเกือบจะกรีดร้อง หากไม่ใช่เพราะผู้ที่ปีนเข้ามาปิดปากนางไว้เสียก่อนเมื่อตั้งสติได้นางก็มิได้กรีดร้องเขาจึงปล่อยมือจากใบหน้างดงาม แต่ครู่เดียวใบหน้าขาวนั่นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจนนึกว่าผลอิงเถา นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทีเช่นนั้น แต่พอเขาหันหลังให้นางเข้าใจในทันทีว่าตอนนี้ตนเองมีผ้าปกปิดร่างกายเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น“ท่านเป็นโจรหรืออย่างไร เหตุใดจึงแอบเข้าห้องของข้าเช่นนี้” นางถามเขาน้ำเสียงขุ่นเคืองหลังจากสวมเสื้อคลุมเสร็จ หากนางถอดเปลี่ยนหมดเกรงว่าชาตินี้คงมิต้องแต่งงานแล้วกระมัง
12อย่าคิดแตะต้องนางมู่โม่โฉวออกจากคฤหาสน์มาตั้งแต่เช้าเพื่อรอหวงซิ่วอิงก่อนนางเดินทางขึ้นเขา ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็พบหญิงสาวที่เขามารออยู่ แม้ไม่เห็นหน้าแต่เมื่อได้กลิ่นหอมหวานคุ้นเคยที่ลอยมาตามลมเบา ๆ จึงรับรู้ได้ว่าเป็นนาง คงเพราะแม่ของเขาชอบเครื่องหอมเขาจึงแยกกลิ่นหอมดอกไม้ต่าง ๆ ได้ตั้งแต่เด็ก นางเดินนำไปยังรถม้าที่จอดอยู่ห่างออกไป เมื่อไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ลุงจางจึงซ่อนรถม้าไว้หลังป่าทึบ และผู้ที่รู้มีเพียงลี่อินเท่านั้นเดินห่างออกมาไกลจากเมือง เมื่อร้างผู้คนนางจึงหันกลับไปพูดคุยกับบุรุษที่เดินอยู่ด้านหลัง ตอนนี้มีเพียงนางกับมู่โม่โฉวไม่ต้องกลัวจะมีผู้ใดเห็น“เหตุใดท่านจึงไม่ไปก่อน ท่านก็รู้มิใช่หรือว่าวัดอยู่ที่ใด” นางกล่าวกับมู่โม่โฉวพร้อมกับเปิดหมวกที่มีผ้าคลุมขึ้น อยู่กับเขานางไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้าตนเอง อย่างไรเสียก็เห็นกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว มู่โม่โฉวที่เดินอยู่ด้านหลังรีบวิ่งมาเดินเคียงข้างนาง“ข้าร
13เจ้ามิรู้หรือ“วันนี้ท่านพักผ่อนก่อนเถิด ไว้ค่อยคุยกับท่านอาจารย์วันพรุ่งนี้ กว่าจะมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว ท่านถูกทำร้ายมาพักให้หายก่อนค่อยว่ากัน” ทำแผลเสร็จนางก็ให้เขาพักผ่อนอยู่ในห้องคราวก่อน มาถึงนี่ก็บ่ายคล้อย มู่โม่โฉวเองดูอาการไม่ดีเท่าไร พักผ่อนสักวันค่อยปรึกษากันพรุ่งนี้ก็ยังไม่ถือว่าสาย“ข้าไม่เป็นไร เรื่องนี้เรารอไม่ได้”“ท่านต้องพักผ่อน”“ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ คนงาม เจ้าไม่ต้องห่วง”“แต่ข้าเป็นหมอ หากบอกให้พักก็พักเงียบ ๆ เสีย ท่านคงไม่อยากให้ข้าตีท่านจนสลบใช่หรือไม่” คนเจ็บดื้อรั้นจนหมออย่างนางต้องข่มขู่แทน นางเป็นหมอย่อมรู้ดีว่าควรพักหรือไม่ควรพัก พอถูกข่มขู่มู่โม่โฉวหน้าหดเหลือเพียงนิ้วเดียว ไม่ต้องให้ผู้ใดบอกก็รู้ว่าเขากลัวนางนางขบขันท่าทางของเขาแต่ยังแสร้งทำหน้าเข้ม บุรุษตรงหน้าขยับตัวลงนอนนิ่งเช่นเดิม ไม่กล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ความคิด
14ต้อยต่ำแต่งดงามคราวนี้นางอยู่บนเขาเพียงหนึ่งวัน ก่อนหน้านี้นางมีเรื่องสวี่ลี่จูทำให้นางเดินทางขึ้นเขาช้าไปหนึ่งวัน หากนางอยู่บนเขานานเกรงว่าผู้อพยพจะรอนานเกินไปจนอดตายนางจึงรีบกลับเพื่อมารักษาคนเจ็บ นางเป็นหมอความเจ็บป่วยล้วนเป็นสิ่งที่รอไม่ได้สิ่งที่ทำให้นางสงสัยคือบุรุษผู้นั้นต่างหากเล่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร นางไม่ได้บอกผู้ใดแต่เมื่อมาถึงบ้านเก่าชานเมือง เขาก็ยืนอยู่หน้าบ้านไม้นี่แล้ว ตอนนี้สวมหมวกไม้ไผ่สานมีผ้าผืนบางคลุมไว้เขาคงไม่รู้ว่าเป็นนาง“ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า” นางตั้งใจจะเดินผ่านหน้าเขาไปแต่มู่โม่โฉวเดินมาขว้างไว้แล้วทักนางเสียก่อน นางหยุดเดินเปิดผ้าคลุมขึ้นทัดไว้บนปีกหมวก“รู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า”“กลิ่นหอมของเจ้าไม่เหมือนผู้ใด ข้ารู้ว่าทุกเดือนเจ้าจะมาที่นี่วันนี้เพื่อช่วยดูแลผู้อพยพ”“ท่านยังมีกิจอันใดอีกจึงมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้” นางถามพร้อมย่างเท้าก้า
15ถูกพิษ“โอ๊ย...” หมอหญิงรีบวิ่งไปดูหญิงชราที่ล้มกองอยู่บนพื้น มือขวาแตะลงบนข้อมือจับชีพจร จากนั้นเลิกแขนเสื้อนางขึ้นไปถึงศอกพบรอยจุดสีแดงขึ้นทั่วท้องแขน แหวกคอเสื้อก็พบจุดสีแดงเช่นเดียวกับท้องแขน ริมฝีปากสีคล้ำลงจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน บัดนี้นางหมดสติไปแล้วนางใช้มือตีเบา ๆ ที่แก้มนางก็ไม่รู้สึกตัวขึ้นมา“คุณชายช่วยข้าประคองนางเข้าไปข้างในได้หรือไม่”“เจ้านำไปเถิดข้าอุ้มนางเอง” สวี่เลี่ยงหรงก้มลงอุ้มหญิงชราตามเข้าไปในเรือนไม้ จากการตรวจก่อนหน้านี้นางคิดว่าหญิงชราผู้นี้คงถูกพิษเข้าเป็นแน่ แต่ไม่มั่นใจว่านางถูกพิษจากสิ่งใดกันแน่“มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่ คุณชายท่านออกไปแล้วใช้น้ำเกลือของข้าล้างมือแล้วเช็ดตามร่างกายที่ถูกตัวนางก่อน ข้าเกรงว่านางจะถูกพิษ ท่านอาจจะเป็นอันตรายได้ หลังจากนี้ให้เป็นงานของข้าเถิด”“เป็นอย่างไรบ้าง” มู่โม่โฉวรีบเข้ามาถามนางด้วยความเป็นห่วง
16งานชมดอกเหมยหน้าจวนโหวมีรถม้าเทียบประตูหลายต่อหลายคราเพื่อมาส่งบรรดาบุตรสาวผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย เดิมสวี่ลี่จูไม่ได้มีสหายมากมายแต่บรรดาบุตรสาวผู้สูงศักดิ์พวกนั้นต่างมาเพราะที่นี่คือจวนโหว และนางคือบุตรสาวคนเดียวของท่านโหวหากมีโอกาสได้พบท่านโหวน้อยเกิดถูกตาต้องใจกันย่อมเป็นสิ่งดีที่บรรดาสาวงามคาดหวัง แต่ไม่ใช่กับสาวงามผู้นี้ นางสวมอารมณ์ด้านในสีขาววาวราวกับไข่มุก เสื้อคลุมด้านนอกสีฟ้าอ่อน ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดบังด้วยผ้าคลุมผืนบางสีเดียวกับอาภรณ์ด้านในการแต่งกายของนางไม่ได้โดดเด่นกว่าลูกขุนนางทั้งหลายแต่ยามประดับอยู่บนร่างกายนาง ทุกสิ่งกลับโดดเด่นขึ้นมา ไม่ว่านางจะย่างกรายไปทิศทางใดผู้คนล้วนแหวกทางและพากันเหลียวหลังมอง แววตาตื่นตะลึง สงสัยใคร่รู้ว่านางคุณหนูบ้านใดกันถูกเชิญมางานชมดอกเหมยครั้งนี้“ท่านเป็นคุณหนูบ้านใดกัน” บุรุษที่เฝ้าประตูใหญ่จวนโหวเอ่ยถามสตรีตรงหน้า นางส่ายหน้าให้เขา จากนั้นจึงกล่าวเสียงหวานออกไปเบา ๆ
17ข้าปกป้องเจ้าเองหวงซิ่วอิงนำเศษผ้าสีแดงสดมาพันรอบหน้าอก เศษผ้านี้สามารถปกปิดได้เพียงหน้าอกนางเท่านั้น ไหล่บอบบางและหน้าท้องเรียบเนียนถูกเปิดเปลือย ส่วนล่างเป็นกางเกงผ้าบางแต่กลับแหวกด้านหน้าทั้งสองข้าง แค่ก้าวเท้าออกไปก็เปิดให้เห็นถึงเรียวขาขาวแล้วสวี่ลี่จูคงต้องการให้นางอับอายยามต้องระบำต่อหน้าผู้คนกระทำ ลี่อินยกยิ้มมุมปากหันไปดึงผ้าม่านสีแดงเหนือเตียงลงมาคลุมไหล่ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไปยังลานดอกเหมยเมื่อครู่“เหตุใดนางจึงใส่อาภรณ์เช่นนี้”“อาภรณ์นางช่างน่าอับอายยิ่งนัก”ไม่ว่านางจะเดินผ่านคุณหนูสูงศักดิ์คนใดพวกนางล้วนแต่กล่าวตำหนิอาภรณ์สีแดงสดนี้ทั้งนั้น ผู้อื่นยังรู้มีหรือนางจะไม่รู้ว่ามันน่าอับอายเพียงใด สวี่ลี่จูต้องการให้นางอับอายแต่นางไม่ยอมให้คุณหนูสวี่ผู้ใจแคบได้สมปรารถนา“เหตุใดอาภรณ์นางจึงเป็นเช่นนั้น” สวี่เลี่ยงหรงเอ่ยถามน้องสาว มู่โม่โฉวเองก็เงี่ยหูฟังคำตอบข
18จดหมายลับแปดปีก่อน“รายงาน ท่านแม่ทัพ” นายกองเดินเข้ามารายงานเมื่อตรวจสอบเรื่องที่ได้รับมอบหมายมาเรียบร้อย เขาได้รับคำสั่งจากแม่ทัพหวงให้ตรวจสอบการทุจริตเสบียงทหารที่จะไปบรรเทาทุกข์ทางใต้ เขาได้รับรายงานมาว่ามีการทุจริตเสบียงทั้งของทหารและของชาวบ้าน“ว่ามา” หวงฉีหมิงวางแผนที่ในมือนั่งลงบนเก้าอี้ในกระโจมผู้บัญชาการ รอฟังรายงานก่อนจะเขียนจดหมายลับถึงผู้ตรวจการเมืองหลวง เพื่อไต่สวนเรื่องราวนี้ให้ชัดเจนบรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้านและทหารที่ต้องอดยาก เพราะการทุจริตนี้“สวี่เฟยฮุ่ยร่วมมือกับหัวหน้าผู้ตรวจการเมืองลักลอบนำเสบียงออกไปก่อนจะได้รับส่งมอบ ผู้ซื้อคือเจียซื่อผู้นำทหารของศัตรู นี่เป็นบัญชีซื้อขายลงชื่อสวี่เฟยฮุ่ยกับเจียซื่อ” หวงฉีหมิงทุบโต๊ะดังลั่น นึกไม่ถึงว่าสวี่เฟยฮุ่ยซึ่งเป็นถึงรองผู้บัญชาการจะกระทำการทรยศต่อบ้านเมือง เอาเปรียบประชาชนเช่นนี้ เขานึกเสียใจนักที่ช่วยคนโลภผู้นี้จากโคล
บทส่งท้ายของขวัญนี้ข้ามอบแด่ท่านเหมันตฤดูปีนี้แม้จะมีหิมะตกอยู่เสมอแต่กลับรู้สึกเย็นสบายไม่หนาวเท่าปีก่อน หิมะเกาะกิ่งไม้ ใบไม้จนกลายเป็นสีขาวทั่วบริเวณ หญิงสาวเปิดหน้าต่างห้องพักตนเองเพื่อรับลม ทั้งที่หิมะตกเช่นนี้บางครานางยังรู้สึกร้อนจนต้องเปิดหน้าต่างรับลมเช่นนี้“ฮูหยิน จะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ผิงผิงบ่าวคนสนิทเอ่ยถาม นางกำลังปักลายดอกท้อลงบนเสื้อแต่เสื้อนั้นกลับเล็กจนนางคิดว่าคงไม่มีผู้ใดในบ้านใส่ได้แน่ นางไม่ตอบเพียงหันมายิ้มอ่อนหวานให้สาวใช้เท่านั้น นางเพียรปักผ้าผืนนี้มาเกือบเจ็ดวันแล้วนางปักผ้าไปยิ้มไปใบหน้าบ่งบอกว่ามีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่มากนัก หากฮูหยินมีความสุขนางจะขัดไปใย นึกดี ๆ แล้วช่วงนี้ฮูหยินของนางอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อน เห็นสิ่งใดก็ดูดีดูงดงามไปเสียหมด“งามหรือไม่ผิงผิง”“งามเจ้าค่ะฮูหยิน แต่ผู้ใดจะใส่ได้หรือเจ้าคะ”“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ท่านพี่อยู่ที่ใดห
31ให้ข้าอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต“ซิ่วอิง เจ้านั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไม่คิดทำสิ่งอื่นบ้างหรือ” มู่โม่โฉวเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงศาลาข้างสวนดอกไม้ นางนั่งอยู่ที่นี่มาเกือบสองชั่วยามแล้ว นานจนเขานึกเป็นห่วงกลัวนางต้องลมนานจะพาลป่วยไข้“ท่านว่าข้ายังมีสิ่งใดให้ทำอีกหรือ ข้าทวงความยุติธรรมให้ครอบครัวได้แล้ว ทุกสิ่งล้วนถูกที่ถูกทาง ก่อนนี้ข้าไม่เคยได้พัก ไม่เคยคิดเรื่องเหน็ดเหนื่อยสักครั้ง ยามนี้ไม่มีสิ่งใดต้องทำอีกแล้วข้าอยากพักสักหน่อย”“เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น เช่นนั้นให้ข้าอยู่ด้วยได้หรือไม่” นางละสายตาจากภาพทิวทิศน์เบื้องหน้ากลับไปมองผู้ที่ยืนพูดอยู่ด้านหลัง นึกสงสัยในคำกล่าวเมื่อครู่ มู่โม่โฉวไม่พูดสิ่งใดต่อทำเพียงยิ้มให้นาง“ท่านไม่มีสิ่งใดให้ทำหรือ มาอยู่กับข้าทั้งวันเช่นนี้ไม่เบื่อหรือ”“ข้าไม่เคยเบื่อคิดว่าเจ้าคงรู้ หากอยู่ด้วยจนตายได้ยิ่งดี” มู่โม่
30รางวัลหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากชานเมืองถูกเปลี่ยนเป็นโรงหมอ คอยรับผู้ป่วยจากในและนอกเมือง รับเพื่อไม่ให้เข้าไปแพร่เชื้อในเมือง ส่วนผู้อยู่ในเมืองที่ติดก็จำต้องออกมารับการรักษานอกเมืองโรงหมอในเมืองพากันปิดหมดเมื่อรู้ว่าผู้ที่มาหาหมอติดโรคประหลาด ด้วยวิชาแพทย์ที่แตกฉานของหวงเหว่ยถิงและลูกศิษย์สาวอย่างหวงซิ่วอิง โรคระบาดจึงมิได้ลุกลามไปไกลยังพอควบคุม รักษาได้ทันท่วงที คนเจ็บปวดได้รับการรักษาจนหายดี เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ บุรุษ สตรี ล้วนได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมมิได้แบ่งแยกนางกักขังตนเองอยู่กับผู้ป่วยสามวันสามคืนจึงหาทางรักษาจนได้ ผู้ทดลองยามิใช่ใครอื่น มู่โม่โฉวกับสวี่เลี่ยงหรงล้วนติดโรคประหลาดจากการช่วยนางดูแลผู้ป่วยยากไร้นางคิดสูตรยาอยู่เกือบสามวัน ใช้อาการของโรคเทียบกับตัวยา ช่วงแรกที่มีอาการหนักนางรักษาไปตามอาการ ผลคือผู้ป่วยไม่ดีขึ้นเลย อาการยังคงเป็นเช่นเดิม จนสุดท้ายได้สูตรยามาแต่ไม่มีสิ่งใดรับรองว่ายานี้จะได้ผล ดังนั้นนา
29โรคระบาดการกลับคำของฮ่องเต้องค์ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่การใส่ร้ายขุนนางซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง องค์จักรพรรดิทรงกล่าวกับนางเช่นนี้ ไม่นานจึงออกพระราชโองการลงโทษคนตระกูลสวี่ สวี่เฟยฮุ่ยและคนสนิทถูกประหาร ส่วนผู้อื่นถูกเนรเทศ สมบัติถูกริบเข้าคลัง ยศตำแหน่งถูกริบคืนทั้งหมด แม้แต่บุตรตระกูลสวี่ก็ถูกสั่งห้ามรับราชการอีกตลอดชีวิต ตำแหน่งจอหงวนของสวี่เลี่ยงหรงที่เพิ่งสอบได้ไม่นานก็ถูกยกเลิก“ข้านั้นอยากสั่งประหารสามชั่วโคตร แต่มีคำขอจากสตรีบอบบางผู้หนึ่ง นางกล่าวกับข้าว่าสวี่เลี่ยงหรงไม่ได้ทำผิดใดเขาเองก็ช่วยหาหลักฐานสำคัญเพื่อหยุดการกระทำของบิดา หากต้องโทษประหารไป ยังจะมีผู้ใดอยากทำสิ่งดีอีก ข้าจึงละเว้น เจ้าว่าข้าทำเช่นนี้เหมาะหรือไม่”“การกระทำของพระองค์ล้วนเหมาะสม หม่อมฉันขอขอบพระทัยที่พระองค์ทรงคืนความเป็นธรรมให้นาง”“เหตุใดเจ้าต้องขอบคุณแทนนาง รู้จักนางหรือ”“หม่อนฉันไม่รู้จัก
28ประทานรางวัลผู้คนล้วนรับรู้ว่าหวงกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากเพียงใด วันนี้จึงพากันมามอบของกำนัล อวยพร มู่โม่โฉวเองก็เช่นกันเขามาอวยพรหวงกุ้ยเฟยในฐานะตัวแทนตระกูลมู่“ข้าขออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืนเป็นร้อยปี วันนี้ขอมอบระบำนี้ เพื่ออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยและองค์จักรพรรดิ”“เช่นนั้นเจ้าเล่นฉินให้ข้าฟังด้วยได้หรือไม่ โฉวเอ๋อร์ข้าไม่ได้ฟังเพลงฉินของเจ้านานนัก”“หากเป็นประสงค์ข้าย่อมทำตาม” ข้าหลวงนำฉินมาวางกลางลานให้มู่โม่โฉวได้บรรเลง หวงซิ่วอิงค้อมตัวคารวะผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าก่อนจะเริ่มระบำไปพร้อมเพลงฉินอันไพเราะ ทำนองเพลงฉินนี้ทั้งอ่อนหวานชวนเคลิบเคลิ้ม ระบำก็งดงามอ่อนช้อย ไม่มีผู้ใดละสายตาจากระบำตรงหน้าได้เลยความงดงามของนางระบำที่แม้จะปิดบังใบหน้าแต่กลับน่าค้นหา ทั้งหมดราวกับต้องมนตร์จนระบำจบลงมนตร์นี้จึงถูกคลาย“ดียิ่ง ดีจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นระบำงดงามเช่นนี้มาก่อน
27ไม่ได้ครอบครองหลังเตรียมอาหารเสร็จหวงซิ่วอิงและหวงเหว่ยถิงช่วยกันยกอาหารไปวางที่โต๊ะกลางลานบ้าน ผ่านไปไม่กี่เฟินสวี่เลี่ยงหรงก็ตามออกมา ท่าเดินโซซัดโซเซดูไม่มีแรงมากนัก“ท่านยังไม่หายดี ออกมาข้างนอกทำไมกัน” หวงซิ่วอิงเดินไปประคองสวี่เลี่ยงหรงไปนั่งที่โต๊ะกลางลานบ้าน หวงเหว่ยถิง และจางหย่งนั่งมองนิ่ง ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป“คารวะท่านทั้งสอง” เป็นสวี่เลี่ยงหรงที่เอ่ยทั้งสองบุรุษที่โต๊ะกลางลานบ้านก่อน จางหย่งที่มักไม่ค่อยพูดยกมือขึ้นมาประสานรับคารวะแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด หวงเหว่ยถิงพยักหน้ารับขยับชามโจ๊กไปให้คุณชายสวี่“กินข้าวเถอะ จะได้พักผ่อนท่านยังไม่หายต้องพักให้มากหน่อย ถ้าจะให้ดีไม่ควรฝืนขยับตัว”“พวกท่านกินกันไปก่อน ข้าจะเอาอาหารไปให้คุณชายมู่” กล่าวจบก็เดินถือถาดอาหารไปยังเรือนพักด้านข้าง ทิ้งให้บุรุษสามคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันเพราะมั่นใจว่าหวงเหว่ยถิงจะไม่ทำอันตรายสวี่เ
26ถึงตายก็จะปกป้อง“คนงาม เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายนัก ข้าเจ็บถึงเพียงนี้ยังตำหนิข้าได้ลง”“ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าท่านเอง”“คุยกับข้าอีกหน่อยไม่ได้หรือ”“ท่านบาดเจ็บอยู่ ทำไมจึงมีแรงพูดมากมายเช่นนี้อีก” หวงซิ่วอิงตำหนิด้วยความเป็นห่วง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองจุ่มน้ำล้างแผลที่อาจารย์เตรียมมา บิดน้ำออกเช็ดคราบเลือดที่เลอะร่างกายของเขาออกเบา ๆ“ข้ามีแรงที่ไหนกัน หากมีแรงคงลุกไปมองหน้าเจ้าแล้ว เช่นนั้นคงช่วยให้หายเจ็บไม่น้อย”“เจ็บหนักเพียงนี้ยังมีเวลามาหยอกเอินข้าอีก”“ข้าไปหยอกเจ้าเมื่อไรกัน ข้าพูดความจริงเห็นหน้าเจ้าสักหน่อยก็หายเจ็บไม่น้อยแล้ว” คำพูดหยอกล้อของคนเจ็บทำนางอมยิ้ม ผ้าเช็ดหน้าถูกวางไว้บนเก้าอี้ จากนั้นเจ้าของร่างบอบบางจึงย่อตัวคุกเข่าลงข้างเตียง ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับคนเจ็บ มู่โม่โฉวยังคงหลับตาพูดคุยกับน
25คนโง่ต้นไม้ใหญ่สองต้นถูกใช้เป็นที่กำบังหญิงสาวกับบุรุษหนุ่มยืนแอบอยู่อีกฝั่งของต้นไม้ รอให้คนชุดดำวิ่งมาถึงจึงลอบโจมตีลดกำลังของฝ่ายศัตรู ระหว่างสู้หวงซิ่วอิงยังเหลียวมองมู่โม่โฉวหลายต่อหลายครั้ง วิชาต่อสู้ของเขาไม่เอาไหนเลย หากไม่ใช่เพราะกิ่งไม้ ก้อนหินในป่าเกรงว่าคงถูกจับได้แล้ว“คุณชายเป็นอย่างไรบ้าง” สู้จนบุรุษชุดดำล้มไปถึงสี่คนหวงซิ่วอิงวิ่งไปฉุดข้อมือมู่โม่โฉววิ่งอีกครั้ง ศัตรูอีกสามคนวิ่งตามไม่ห่างเหน็ดเหนื่อยจนแข้งขาอ่อนแรง อยู่ ๆ ก็ล้มลง หญิงสาววิ่งกลับมานั่งคุกเข่าประคองเขาให้ลุกขึ้น แต่พวกชุดดำข้างหลังคงรู้ว่าตามนางไม่ทันจึงขว้างมีดสั้นมายังร่างบอบบาง“มู่โม่โฉวท่านบ้าไปแล้วหรืออย่างไร” หวงซิ่วอิงตวาดดังลั่นก่อนที่มีดสั้นจะปักร่างกายนาง บุรุษผู้นี้ก็พุ่งเข้าโอบกอดนางทำให้มีดสั้นเล่มนั้นปักกลางหลังเขาแทนดวงตาเบิกกว้าง มือไม้สั่นไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดต่อ นางเอื้อมมือไปคลำมีดกลางหลัง เลือดสีแดงสดไหลเล
24ขุนนางทุจริตในโรงน้ำชา ชานเมือง เรือนที่ผู้อพยพพักอาศัยกำลังพูดคุยเรื่องเดียวกันไปทั่ว ขุนนางใหญ่โตทุจริตเสบียงบรรเทาทุกข์ของผู้อพยพ ชาวบ้านพากันกล่าวเรื่องนี้ไม่หยุดจนขุนนางใหญ่โตบางคนรีบร้อนตัว ให้บ่าวเร่งตามสืบคนแพร่ข่าวนี้ อีกทั้งจดหมายลับที่อยู่ในบ้านยังหายไปไร้ร่องรอยสวี่เฟยฮุ่ยกินไม่ได้นอนไม่ได้เกรงว่าจดหมายฉบับนั้นจะอยู่ในมือองค์จักรพรรดิ หากเป็นเช่นนั้นตระกูลสวี่คงจบสิ้นแล้ว“ท่านพ่อ”“เจ้าออกไปก่อน ยามนี้พ่อยังมีกิจสำคัญต้องหารือ” ท่านโหวบอกกับบุตรชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือที่หวงแหน หลังจากใช้เวลาชั่งใจมาหลายวันว่าตนเองควรทำอย่างไรกับสิ่งที่รู้มา คิดได้แล้วจึงมาหาบิดาสอบถามความจริงในเรื่องนี้“ข่าวลือนี้คือท่านพ่อใช่หรือไม่” สวี่เฟยฮุ่ยวางของในมือมองหน้าบุตรสาวนิ่ง ๆ ไม่คิดว่าบุตรชายจะมาถามเรื่องนี้ แม้ในเรื่องเล่าลือจะกล่าวถึงขุนนางใหญ่แต่ในราชสำนักไม่ได้มีเขาเป็นขุ