17
ข้าปกป้องเจ้าเอง
หวงซิ่วอิงนำเศษผ้าสีแดงสดมาพันรอบหน้าอก เศษผ้านี้สามารถปกปิดได้เพียงหน้าอกนางเท่านั้น ไหล่บอบบางและหน้าท้องเรียบเนียนถูกเปิดเปลือย ส่วนล่างเป็นกางเกงผ้าบางแต่กลับแหวกด้านหน้าทั้งสองข้าง แค่ก้าวเท้าออกไปก็เปิดให้เห็นถึงเรียวขาขาวแล้ว
สวี่ลี่จูคงต้องการให้นางอับอายยามต้องระบำต่อหน้าผู้คนกระทำ ลี่อินยกยิ้มมุมปากหันไปดึงผ้าม่านสีแดงเหนือเตียงลงมาคลุมไหล่ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไปยังลานดอกเหมยเมื่อครู่
“เหตุใดนางจึงใส่อาภรณ์เช่นนี้”
“อาภรณ์นางช่างน่าอับอายยิ่งนัก”
ไม่ว่านางจะเดินผ่านคุณหนูสูงศักดิ์คนใดพวกนางล้วนแต่กล่าวตำหนิอาภรณ์สีแดงสดนี้ทั้งนั้น ผู้อื่นยังรู้มีหรือนางจะไม่รู้ว่ามันน่าอับอายเพียงใด สวี่ลี่จูต้องการให้นางอับอายแต่นางไม่ยอมให้คุณหนูสวี่ผู้ใจแคบได้สมปรารถนา
“เหตุใดอาภรณ์นางจึงเป็นเช่นนั้น” สวี่เลี่ยงหรงเอ่ยถามน้องสาว มู่โม่โฉวเองก็เงี่ยหูฟังคำตอบข
18จดหมายลับแปดปีก่อน“รายงาน ท่านแม่ทัพ” นายกองเดินเข้ามารายงานเมื่อตรวจสอบเรื่องที่ได้รับมอบหมายมาเรียบร้อย เขาได้รับคำสั่งจากแม่ทัพหวงให้ตรวจสอบการทุจริตเสบียงทหารที่จะไปบรรเทาทุกข์ทางใต้ เขาได้รับรายงานมาว่ามีการทุจริตเสบียงทั้งของทหารและของชาวบ้าน“ว่ามา” หวงฉีหมิงวางแผนที่ในมือนั่งลงบนเก้าอี้ในกระโจมผู้บัญชาการ รอฟังรายงานก่อนจะเขียนจดหมายลับถึงผู้ตรวจการเมืองหลวง เพื่อไต่สวนเรื่องราวนี้ให้ชัดเจนบรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้านและทหารที่ต้องอดยาก เพราะการทุจริตนี้“สวี่เฟยฮุ่ยร่วมมือกับหัวหน้าผู้ตรวจการเมืองลักลอบนำเสบียงออกไปก่อนจะได้รับส่งมอบ ผู้ซื้อคือเจียซื่อผู้นำทหารของศัตรู นี่เป็นบัญชีซื้อขายลงชื่อสวี่เฟยฮุ่ยกับเจียซื่อ” หวงฉีหมิงทุบโต๊ะดังลั่น นึกไม่ถึงว่าสวี่เฟยฮุ่ยซึ่งเป็นถึงรองผู้บัญชาการจะกระทำการทรยศต่อบ้านเมือง เอาเปรียบประชาชนเช่นนี้ เขานึกเสียใจนักที่ช่วยคนโลภผู้นี้จากโคล
19ท่านอยากรู้จริง ๆ หรือ“ไปเถอะ รีบออกไปก่อนค่อยว่ากัน” มู่โม่โฉวลากหวงซิ่วอิงออกมาจากซอกตู้ ปีนออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วเกรงว่าหากช้ากว่านี้สวี่เฟยฮุ่ยกลับมาจากเป็นเรื่องใหญ่ ภายในจวนเงียบเช่นนี้เห็นทีลุงจางคงยังไม่ถูกผู้ใดจับได้“เจ้ากลับไปที่ห้องสวี่ลี่จูต้องไปหาเจ้าก่อนแน่ ระวังตัวด้วย ข้าจะกลับก่อน ยามห้ายเจอกัน” มู่โม่โฉวกล่าวจบก็รีบยัดจดหมายลับใส่แขนเสื้อตนวิ่งไปอีกฝั่ง ปล่อยให้นางยืนอยู่ลำพังจดหมายก็ไม่ยอมส่งให้นาง นางกลับไปที่ห้องพักก่อนหน้านี้ นั่งรออยู่สักครู่จึงมีเสียงฝีเท้าเบาแต่กลับก้าวย่างเป็นจังหวะ สวี่ลี่จูกำลังมาหานางอย่างที่มู่โม่โฉวบอกไว้“นี่เงินของเจ้า เสร็จแล้วก็กลับไปเสีย หากไม่ใช่เพราะคุณชายมู่บอกว่าเจ้าเล่นฉินได้ไพเราะที่สุดในเมืองข้าไม่ให้สตรีชั้นต่ำเช่นเจ้ามาเหยียบตระกูลสวี่หรอก”“ข้าต้องขอโทษคุณหนูแล้วที่ไม่ว่าข้าจะไปที่ใดบุรุษล้วนพากันเหลียวมองจนคุณหนูไม่พอใจเช่นน
20เฉียวหรานฮวาไม่รู้เพราะเหตุใดนางนั่งเลือกอาภรณ์นานเช่นนี้ ทั้งที่วันนี้ก็ไม่ต่างจากวันอื่นที่นางต้องไปรักษาคนเจ็บไข้ แต่นางกลับเปลี่ยนอาภรณ์หลายครั้งหลายคราจนจำไม่ได้ว่าตนเองเปลี่ยนไปกี่หน สุดท้ายจึงกลับไปสวมชุดแรก นั่งส่องคันฉ่องอยู่เกือบหนึ่งเค่อเปลี่ยนปิ่นอันแล้วอันเล่า กว่านางจะเดินออกจากห้องพักได้ต้องให้ผิงผิงไปตามหวงซิ่วอิงสวมผ้าคลุมหน้าเสร็จจึงเดินลงไปชั้นล่าง เดินตามทางเดินชั้นล่างไปถึงประตูข้าง เลยตรอกประตูข้างของหอสุรามีรถม้าตระกูลมู่รออยู่“คนงามเข้าบ้านข้าเจ้าไม่ต้องสวมผ้าคลุม ไม่มีผู้ใดกล้านำความออกไปนอกบ้านหรอก”“ข้าเกรงว่าจะมีข่าวเล่าลือว่าท่านจะรับข้าเป็นอนุเสียมากกว่า” นางตอบขบขันสองเท้าก้าวประตูต้าเหมินที่เป็นประตูหลักของคฤหาสน์ นางกลัวมีผู้เล่าลือนั้นมิแปลกเลยเพราะมู่โม่โฉวพานางเข้าประตูหลักเช่นนี้ผู้พบเห็นคงไม่น้อย เพียงแต่ผู้อื่นคงไม่รู้ว่าสตรีนางนี้เป็นผู้ใดคฤหาสน์ตระกูลมู่
21เรื่องที่ยังไม่รู้“เจ้าค่ะท่านป้า ซิ่วอิงมีสิ่งที่อยากถามท่านป้าเสียหน่อย” นางเอ่ยถามฮูหยินใหญ่มู่ นางสืบข่าวมานานแสนนานกลับไม่รู้เลยว่าผู้รู้เรื่องราวอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ นางยังจำได้ว่ามารดาตนเองเขียนจดหมายสองฉบับก่อนจะส่งนางไปยังวัดร้างบนเขา เวลาผ่านไปนางได้รับรู้เนื้อหาในจดหมายเพียงฉบับเดียวที่อยู่กับอาจารย์ของตน“เจ้าว่ามาเถอะ หากป้าตอบได้ป้าจะตอบเจ้าไม่คิดปิดบัง”“ท่านป้าเคยได้รับจดหมายจากท่านแม่ก่อนท่านแม่ตายได้หรือไม่เจ้าคะ”“นี่เป็นสิ่งที่ข้าเสียใจที่สุดในชีวิต เสียใจที่มิอาจช่วยสหายเพียงคนเดียวได้ ยามที่ข้าได้อ่านจดหมายทั่วทั้งคฤหาสน์เหลือเพียงเถ้าถ่านเท่านั้น” กล่าวจบหยางจินเยวลุกยืนเดินไปมาช้า ๆ นางเล่าความเสียใจที่สุดในชีวิตตนเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หวงซิ่วอิงยังมิได้เชื่อนางทั้งหมดจึงนั่งฟังเงียบ ๆ“ในจดหมายท่านแม่บอกว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
22ปิดหอ“เหตุใดหอสุราที่มิเคยหลับใหลจึงปิดเล่า ซ้ำยังปิดวันประมูลอีก” บรรดาบุรุษทั้งหลายที่มาเพื่อร่วมประมูลดอกไม้หนึ่งเดียวของหออิงฮวา กำลังร่วมพูดคุยกันด้วยความสนอกสนใจ เมื่อถึงวันประมูลหอสุราก็ปิดป้ายหน้าหอว่าหอสุราปิดชั่วคราว ไม่มีผู้ใดรู้เหตุผลแท้จริงผู้คนที่มาจากเมืองอื่นจึงพากันนั่งอยู่ในโรงน้ำชา อยากรู้ว่าเหตุใดหอสุราแห่งนี้จึงปิดทั้งที่ไม่เคยปิดมาก่อน“พี่ลี่อินเหตุใดหอสุราจึงปิดหรือเจ้าคะ” หากปิดหอสุราวันประมูลคงขาดรายได้ไปมากนักนางสงสัยจึงเอ่ยถามผู้เป็นนาย ผู้ถูกถามยังมิได้ตอบสิ่งใดเพราะนางเองก็สงสัยว่าเหตุใดหอสุราจึงปิดเช่นเดียวกันกับผู้อื่น“เจ้าคงต้องไปถามนายท่านมู่กระมังผิงผิง เพราะพี่เองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหอจึงปิด”“ข้าเห็นคุณชายมู่มาหาพี่ลี่อินบ่อย ๆ ไม่รู้หรือเจ้าคะ” หวงซิ่วอิงรีบพุ่งไปใช้มือปิดหน้าเด็กสาวตรงหน้า หันมองรอบ ๆ เกรงว่าจะมีผู้ใดได้ยินสิ่งที่เด็กสา
23ข่าวลือเพียงครึ่งวันเท่านั้นข่าวการปิดหอสุราและเรื่องที่คุณชายตระกูลมู่เข้าไปหาคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอสุราอิงฮวา เล่าลือกันไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านต่างบอกว่ามู่โม่โฉวจะรับคณิกาเป็นอนุวันนี้จึงปิดหอสุราเพื่อไม่ให้มีผู้ใดประมูลมู่โม่โฉวไม่สนใจคำกล่าวของชาวบ้านเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าหากไปหานางเช่นนี้ต้องมีคำนินทา เพียงแต่ไม่คิดว่าคำพูดนี้จะกลายเป็นรับอนุแทนแต่งภรรยา เขายังไม่มีฮูหยินเหตุใดต้องแต่งอนุ“คุณชาย ทำอย่างไรดีขอรับ” เนี่ยนเจินถามผู้เป็นเจ้านายที่นั่งอยู่บนรถม้า หลังกลับจากหอสุราเขาก็ไปตรวจร้านค้าตนเองเพื่อเตรียมตัวขึ้นเขากับหวงซิ่วอิงในอีกสองวัน เพียงไม่กี่ชั่วยามผู้คนก็ร่ำลือกันไปไกลแล้ว มู่โม่โฉวนั่งโบกพัดไปอมยิ้มไปยามนึกถึงเรื่องที่ผู้คนพูดถึงแต่หากเขาจะแต่งไม่มีทางรับนางเป็นอนุอย่างแน่นอน“ข้าต้องทำสิ่งใดเล่า”“มีข่าวเช่นนี้ คุณชายไม่กลัวคุณหนูสวี่เอาความแม่นางลี่
24ขุนนางทุจริตในโรงน้ำชา ชานเมือง เรือนที่ผู้อพยพพักอาศัยกำลังพูดคุยเรื่องเดียวกันไปทั่ว ขุนนางใหญ่โตทุจริตเสบียงบรรเทาทุกข์ของผู้อพยพ ชาวบ้านพากันกล่าวเรื่องนี้ไม่หยุดจนขุนนางใหญ่โตบางคนรีบร้อนตัว ให้บ่าวเร่งตามสืบคนแพร่ข่าวนี้ อีกทั้งจดหมายลับที่อยู่ในบ้านยังหายไปไร้ร่องรอยสวี่เฟยฮุ่ยกินไม่ได้นอนไม่ได้เกรงว่าจดหมายฉบับนั้นจะอยู่ในมือองค์จักรพรรดิ หากเป็นเช่นนั้นตระกูลสวี่คงจบสิ้นแล้ว“ท่านพ่อ”“เจ้าออกไปก่อน ยามนี้พ่อยังมีกิจสำคัญต้องหารือ” ท่านโหวบอกกับบุตรชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือที่หวงแหน หลังจากใช้เวลาชั่งใจมาหลายวันว่าตนเองควรทำอย่างไรกับสิ่งที่รู้มา คิดได้แล้วจึงมาหาบิดาสอบถามความจริงในเรื่องนี้“ข่าวลือนี้คือท่านพ่อใช่หรือไม่” สวี่เฟยฮุ่ยวางของในมือมองหน้าบุตรสาวนิ่ง ๆ ไม่คิดว่าบุตรชายจะมาถามเรื่องนี้ แม้ในเรื่องเล่าลือจะกล่าวถึงขุนนางใหญ่แต่ในราชสำนักไม่ได้มีเขาเป็นขุ
25คนโง่ต้นไม้ใหญ่สองต้นถูกใช้เป็นที่กำบังหญิงสาวกับบุรุษหนุ่มยืนแอบอยู่อีกฝั่งของต้นไม้ รอให้คนชุดดำวิ่งมาถึงจึงลอบโจมตีลดกำลังของฝ่ายศัตรู ระหว่างสู้หวงซิ่วอิงยังเหลียวมองมู่โม่โฉวหลายต่อหลายครั้ง วิชาต่อสู้ของเขาไม่เอาไหนเลย หากไม่ใช่เพราะกิ่งไม้ ก้อนหินในป่าเกรงว่าคงถูกจับได้แล้ว“คุณชายเป็นอย่างไรบ้าง” สู้จนบุรุษชุดดำล้มไปถึงสี่คนหวงซิ่วอิงวิ่งไปฉุดข้อมือมู่โม่โฉววิ่งอีกครั้ง ศัตรูอีกสามคนวิ่งตามไม่ห่างเหน็ดเหนื่อยจนแข้งขาอ่อนแรง อยู่ ๆ ก็ล้มลง หญิงสาววิ่งกลับมานั่งคุกเข่าประคองเขาให้ลุกขึ้น แต่พวกชุดดำข้างหลังคงรู้ว่าตามนางไม่ทันจึงขว้างมีดสั้นมายังร่างบอบบาง“มู่โม่โฉวท่านบ้าไปแล้วหรืออย่างไร” หวงซิ่วอิงตวาดดังลั่นก่อนที่มีดสั้นจะปักร่างกายนาง บุรุษผู้นี้ก็พุ่งเข้าโอบกอดนางทำให้มีดสั้นเล่มนั้นปักกลางหลังเขาแทนดวงตาเบิกกว้าง มือไม้สั่นไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดต่อ นางเอื้อมมือไปคลำมีดกลางหลัง เลือดสีแดงสดไหลเล
บทส่งท้ายของขวัญนี้ข้ามอบแด่ท่านเหมันตฤดูปีนี้แม้จะมีหิมะตกอยู่เสมอแต่กลับรู้สึกเย็นสบายไม่หนาวเท่าปีก่อน หิมะเกาะกิ่งไม้ ใบไม้จนกลายเป็นสีขาวทั่วบริเวณ หญิงสาวเปิดหน้าต่างห้องพักตนเองเพื่อรับลม ทั้งที่หิมะตกเช่นนี้บางครานางยังรู้สึกร้อนจนต้องเปิดหน้าต่างรับลมเช่นนี้“ฮูหยิน จะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ผิงผิงบ่าวคนสนิทเอ่ยถาม นางกำลังปักลายดอกท้อลงบนเสื้อแต่เสื้อนั้นกลับเล็กจนนางคิดว่าคงไม่มีผู้ใดในบ้านใส่ได้แน่ นางไม่ตอบเพียงหันมายิ้มอ่อนหวานให้สาวใช้เท่านั้น นางเพียรปักผ้าผืนนี้มาเกือบเจ็ดวันแล้วนางปักผ้าไปยิ้มไปใบหน้าบ่งบอกว่ามีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่มากนัก หากฮูหยินมีความสุขนางจะขัดไปใย นึกดี ๆ แล้วช่วงนี้ฮูหยินของนางอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อน เห็นสิ่งใดก็ดูดีดูงดงามไปเสียหมด“งามหรือไม่ผิงผิง”“งามเจ้าค่ะฮูหยิน แต่ผู้ใดจะใส่ได้หรือเจ้าคะ”“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ท่านพี่อยู่ที่ใดห
31ให้ข้าอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต“ซิ่วอิง เจ้านั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไม่คิดทำสิ่งอื่นบ้างหรือ” มู่โม่โฉวเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงศาลาข้างสวนดอกไม้ นางนั่งอยู่ที่นี่มาเกือบสองชั่วยามแล้ว นานจนเขานึกเป็นห่วงกลัวนางต้องลมนานจะพาลป่วยไข้“ท่านว่าข้ายังมีสิ่งใดให้ทำอีกหรือ ข้าทวงความยุติธรรมให้ครอบครัวได้แล้ว ทุกสิ่งล้วนถูกที่ถูกทาง ก่อนนี้ข้าไม่เคยได้พัก ไม่เคยคิดเรื่องเหน็ดเหนื่อยสักครั้ง ยามนี้ไม่มีสิ่งใดต้องทำอีกแล้วข้าอยากพักสักหน่อย”“เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น เช่นนั้นให้ข้าอยู่ด้วยได้หรือไม่” นางละสายตาจากภาพทิวทิศน์เบื้องหน้ากลับไปมองผู้ที่ยืนพูดอยู่ด้านหลัง นึกสงสัยในคำกล่าวเมื่อครู่ มู่โม่โฉวไม่พูดสิ่งใดต่อทำเพียงยิ้มให้นาง“ท่านไม่มีสิ่งใดให้ทำหรือ มาอยู่กับข้าทั้งวันเช่นนี้ไม่เบื่อหรือ”“ข้าไม่เคยเบื่อคิดว่าเจ้าคงรู้ หากอยู่ด้วยจนตายได้ยิ่งดี” มู่โม่
30รางวัลหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากชานเมืองถูกเปลี่ยนเป็นโรงหมอ คอยรับผู้ป่วยจากในและนอกเมือง รับเพื่อไม่ให้เข้าไปแพร่เชื้อในเมือง ส่วนผู้อยู่ในเมืองที่ติดก็จำต้องออกมารับการรักษานอกเมืองโรงหมอในเมืองพากันปิดหมดเมื่อรู้ว่าผู้ที่มาหาหมอติดโรคประหลาด ด้วยวิชาแพทย์ที่แตกฉานของหวงเหว่ยถิงและลูกศิษย์สาวอย่างหวงซิ่วอิง โรคระบาดจึงมิได้ลุกลามไปไกลยังพอควบคุม รักษาได้ทันท่วงที คนเจ็บปวดได้รับการรักษาจนหายดี เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ บุรุษ สตรี ล้วนได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมมิได้แบ่งแยกนางกักขังตนเองอยู่กับผู้ป่วยสามวันสามคืนจึงหาทางรักษาจนได้ ผู้ทดลองยามิใช่ใครอื่น มู่โม่โฉวกับสวี่เลี่ยงหรงล้วนติดโรคประหลาดจากการช่วยนางดูแลผู้ป่วยยากไร้นางคิดสูตรยาอยู่เกือบสามวัน ใช้อาการของโรคเทียบกับตัวยา ช่วงแรกที่มีอาการหนักนางรักษาไปตามอาการ ผลคือผู้ป่วยไม่ดีขึ้นเลย อาการยังคงเป็นเช่นเดิม จนสุดท้ายได้สูตรยามาแต่ไม่มีสิ่งใดรับรองว่ายานี้จะได้ผล ดังนั้นนา
29โรคระบาดการกลับคำของฮ่องเต้องค์ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่การใส่ร้ายขุนนางซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง องค์จักรพรรดิทรงกล่าวกับนางเช่นนี้ ไม่นานจึงออกพระราชโองการลงโทษคนตระกูลสวี่ สวี่เฟยฮุ่ยและคนสนิทถูกประหาร ส่วนผู้อื่นถูกเนรเทศ สมบัติถูกริบเข้าคลัง ยศตำแหน่งถูกริบคืนทั้งหมด แม้แต่บุตรตระกูลสวี่ก็ถูกสั่งห้ามรับราชการอีกตลอดชีวิต ตำแหน่งจอหงวนของสวี่เลี่ยงหรงที่เพิ่งสอบได้ไม่นานก็ถูกยกเลิก“ข้านั้นอยากสั่งประหารสามชั่วโคตร แต่มีคำขอจากสตรีบอบบางผู้หนึ่ง นางกล่าวกับข้าว่าสวี่เลี่ยงหรงไม่ได้ทำผิดใดเขาเองก็ช่วยหาหลักฐานสำคัญเพื่อหยุดการกระทำของบิดา หากต้องโทษประหารไป ยังจะมีผู้ใดอยากทำสิ่งดีอีก ข้าจึงละเว้น เจ้าว่าข้าทำเช่นนี้เหมาะหรือไม่”“การกระทำของพระองค์ล้วนเหมาะสม หม่อมฉันขอขอบพระทัยที่พระองค์ทรงคืนความเป็นธรรมให้นาง”“เหตุใดเจ้าต้องขอบคุณแทนนาง รู้จักนางหรือ”“หม่อนฉันไม่รู้จัก
28ประทานรางวัลผู้คนล้วนรับรู้ว่าหวงกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากเพียงใด วันนี้จึงพากันมามอบของกำนัล อวยพร มู่โม่โฉวเองก็เช่นกันเขามาอวยพรหวงกุ้ยเฟยในฐานะตัวแทนตระกูลมู่“ข้าขออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืนเป็นร้อยปี วันนี้ขอมอบระบำนี้ เพื่ออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยและองค์จักรพรรดิ”“เช่นนั้นเจ้าเล่นฉินให้ข้าฟังด้วยได้หรือไม่ โฉวเอ๋อร์ข้าไม่ได้ฟังเพลงฉินของเจ้านานนัก”“หากเป็นประสงค์ข้าย่อมทำตาม” ข้าหลวงนำฉินมาวางกลางลานให้มู่โม่โฉวได้บรรเลง หวงซิ่วอิงค้อมตัวคารวะผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าก่อนจะเริ่มระบำไปพร้อมเพลงฉินอันไพเราะ ทำนองเพลงฉินนี้ทั้งอ่อนหวานชวนเคลิบเคลิ้ม ระบำก็งดงามอ่อนช้อย ไม่มีผู้ใดละสายตาจากระบำตรงหน้าได้เลยความงดงามของนางระบำที่แม้จะปิดบังใบหน้าแต่กลับน่าค้นหา ทั้งหมดราวกับต้องมนตร์จนระบำจบลงมนตร์นี้จึงถูกคลาย“ดียิ่ง ดีจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นระบำงดงามเช่นนี้มาก่อน
27ไม่ได้ครอบครองหลังเตรียมอาหารเสร็จหวงซิ่วอิงและหวงเหว่ยถิงช่วยกันยกอาหารไปวางที่โต๊ะกลางลานบ้าน ผ่านไปไม่กี่เฟินสวี่เลี่ยงหรงก็ตามออกมา ท่าเดินโซซัดโซเซดูไม่มีแรงมากนัก“ท่านยังไม่หายดี ออกมาข้างนอกทำไมกัน” หวงซิ่วอิงเดินไปประคองสวี่เลี่ยงหรงไปนั่งที่โต๊ะกลางลานบ้าน หวงเหว่ยถิง และจางหย่งนั่งมองนิ่ง ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป“คารวะท่านทั้งสอง” เป็นสวี่เลี่ยงหรงที่เอ่ยทั้งสองบุรุษที่โต๊ะกลางลานบ้านก่อน จางหย่งที่มักไม่ค่อยพูดยกมือขึ้นมาประสานรับคารวะแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด หวงเหว่ยถิงพยักหน้ารับขยับชามโจ๊กไปให้คุณชายสวี่“กินข้าวเถอะ จะได้พักผ่อนท่านยังไม่หายต้องพักให้มากหน่อย ถ้าจะให้ดีไม่ควรฝืนขยับตัว”“พวกท่านกินกันไปก่อน ข้าจะเอาอาหารไปให้คุณชายมู่” กล่าวจบก็เดินถือถาดอาหารไปยังเรือนพักด้านข้าง ทิ้งให้บุรุษสามคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันเพราะมั่นใจว่าหวงเหว่ยถิงจะไม่ทำอันตรายสวี่เ
26ถึงตายก็จะปกป้อง“คนงาม เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายนัก ข้าเจ็บถึงเพียงนี้ยังตำหนิข้าได้ลง”“ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าท่านเอง”“คุยกับข้าอีกหน่อยไม่ได้หรือ”“ท่านบาดเจ็บอยู่ ทำไมจึงมีแรงพูดมากมายเช่นนี้อีก” หวงซิ่วอิงตำหนิด้วยความเป็นห่วง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองจุ่มน้ำล้างแผลที่อาจารย์เตรียมมา บิดน้ำออกเช็ดคราบเลือดที่เลอะร่างกายของเขาออกเบา ๆ“ข้ามีแรงที่ไหนกัน หากมีแรงคงลุกไปมองหน้าเจ้าแล้ว เช่นนั้นคงช่วยให้หายเจ็บไม่น้อย”“เจ็บหนักเพียงนี้ยังมีเวลามาหยอกเอินข้าอีก”“ข้าไปหยอกเจ้าเมื่อไรกัน ข้าพูดความจริงเห็นหน้าเจ้าสักหน่อยก็หายเจ็บไม่น้อยแล้ว” คำพูดหยอกล้อของคนเจ็บทำนางอมยิ้ม ผ้าเช็ดหน้าถูกวางไว้บนเก้าอี้ จากนั้นเจ้าของร่างบอบบางจึงย่อตัวคุกเข่าลงข้างเตียง ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับคนเจ็บ มู่โม่โฉวยังคงหลับตาพูดคุยกับน
25คนโง่ต้นไม้ใหญ่สองต้นถูกใช้เป็นที่กำบังหญิงสาวกับบุรุษหนุ่มยืนแอบอยู่อีกฝั่งของต้นไม้ รอให้คนชุดดำวิ่งมาถึงจึงลอบโจมตีลดกำลังของฝ่ายศัตรู ระหว่างสู้หวงซิ่วอิงยังเหลียวมองมู่โม่โฉวหลายต่อหลายครั้ง วิชาต่อสู้ของเขาไม่เอาไหนเลย หากไม่ใช่เพราะกิ่งไม้ ก้อนหินในป่าเกรงว่าคงถูกจับได้แล้ว“คุณชายเป็นอย่างไรบ้าง” สู้จนบุรุษชุดดำล้มไปถึงสี่คนหวงซิ่วอิงวิ่งไปฉุดข้อมือมู่โม่โฉววิ่งอีกครั้ง ศัตรูอีกสามคนวิ่งตามไม่ห่างเหน็ดเหนื่อยจนแข้งขาอ่อนแรง อยู่ ๆ ก็ล้มลง หญิงสาววิ่งกลับมานั่งคุกเข่าประคองเขาให้ลุกขึ้น แต่พวกชุดดำข้างหลังคงรู้ว่าตามนางไม่ทันจึงขว้างมีดสั้นมายังร่างบอบบาง“มู่โม่โฉวท่านบ้าไปแล้วหรืออย่างไร” หวงซิ่วอิงตวาดดังลั่นก่อนที่มีดสั้นจะปักร่างกายนาง บุรุษผู้นี้ก็พุ่งเข้าโอบกอดนางทำให้มีดสั้นเล่มนั้นปักกลางหลังเขาแทนดวงตาเบิกกว้าง มือไม้สั่นไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดต่อ นางเอื้อมมือไปคลำมีดกลางหลัง เลือดสีแดงสดไหลเล
24ขุนนางทุจริตในโรงน้ำชา ชานเมือง เรือนที่ผู้อพยพพักอาศัยกำลังพูดคุยเรื่องเดียวกันไปทั่ว ขุนนางใหญ่โตทุจริตเสบียงบรรเทาทุกข์ของผู้อพยพ ชาวบ้านพากันกล่าวเรื่องนี้ไม่หยุดจนขุนนางใหญ่โตบางคนรีบร้อนตัว ให้บ่าวเร่งตามสืบคนแพร่ข่าวนี้ อีกทั้งจดหมายลับที่อยู่ในบ้านยังหายไปไร้ร่องรอยสวี่เฟยฮุ่ยกินไม่ได้นอนไม่ได้เกรงว่าจดหมายฉบับนั้นจะอยู่ในมือองค์จักรพรรดิ หากเป็นเช่นนั้นตระกูลสวี่คงจบสิ้นแล้ว“ท่านพ่อ”“เจ้าออกไปก่อน ยามนี้พ่อยังมีกิจสำคัญต้องหารือ” ท่านโหวบอกกับบุตรชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือที่หวงแหน หลังจากใช้เวลาชั่งใจมาหลายวันว่าตนเองควรทำอย่างไรกับสิ่งที่รู้มา คิดได้แล้วจึงมาหาบิดาสอบถามความจริงในเรื่องนี้“ข่าวลือนี้คือท่านพ่อใช่หรือไม่” สวี่เฟยฮุ่ยวางของในมือมองหน้าบุตรสาวนิ่ง ๆ ไม่คิดว่าบุตรชายจะมาถามเรื่องนี้ แม้ในเรื่องเล่าลือจะกล่าวถึงขุนนางใหญ่แต่ในราชสำนักไม่ได้มีเขาเป็นขุ