6
ผู้ประมูลคนใหม่
หญิงสาวปัดผมที่ปรกหน้าอยู่ออก นางยืนรับลมอยู่ริมระเบียงห้องพักวันนี้เป็นวันประมูลประจำเดือน เกรงว่าวันนี้คงจะมีคนมาร่วมประมูลมากกว่าทุกที เรื่องเล่าลือความงดงาม จริตมารยาอ่อนหวาน แต่ผู้ที่นางรอมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“วันนี้พี่ลี่อินจะสวมอาภรณ์สีใด” ผิงผิงเอ่ยถามในมือก็นำอาภรณ์งดงามตัดใหม่ของลี่อินออกมาวางเรียงดู อาภรณ์ใหม่พี่สาวบุตรธรรมของนางเป็นผู้คิดขึ้นเอง ทั้งแปลกตา ทั้งงดงาม
ร่างบอบบางเดินกลับเข้ามาในห้องหยิบอาภรณ์สีม่วงขึ้นมาคลี่มันออกช้า ๆ วางมันลงบนเตียง อาภรณ์สีม่วงอ่อนท่อนบนเปิดหน้าท้องแผ่นหลัง ช่วงล่างส่วนมากมักเป็นผ้ายาวพริ้ว แต่นางให้ช่างทำเป็นกางเกงตัวใหญ่รัดข้อเท้า ติดกระพรวนเล็กตรงที่รัดข้อเท้า มีผ้าหนึ่งไว้ปิดไหล่เปลือย ผ้าปิดหน้าสีม่วงผืนบาง
“ตัวนี้แหละ เจ้าไปเตรียมฉินวันนี้ข้าจะเล่นฉิน”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะมาช่วยพี่ลี่อินแต่งตัว” ผิงผิงว่าจบนางจึงเดินออกจากห้องไป หลายชั่วยามกว่าตะวันจะลับฟ้า เจ้าของห้องพักถือจอกชาเดินไปยังระเบียงอีกครั้ง ชมบึ้งน้ำหลังหอสุราที่มีกลีบดอกอิงฮวาลอยอยู่เหนือผิวน้ำใสสะอาดในบึ้ง เห็นแล้วนึกถึงตอนได้เดินกับบิดามารดานัก
“ท่านพ่อท่านแม่อีกไม่นานซิ่วอิงจะคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลหวง” นางเทชาในจอกลงหลังระเบียงราวกับกำลังไว้ทุกข์ให้พ่อแม่อีกครั้ง ดวงตากลมสวยปริ่มน้ำหยดหนึ่ง ลี่อินเงยหน้ามองฟ้าสัญญากับตนเองหลังจากเสียน้ำตาครั้งใหญ่ตอนโดยฆ่าล้างตระกูลว่าจะไม่ร้องไห้อีก หากไม่ถึงวันที่คืนความยุติธรรมให้ตระกูลหวงทั้งตระกูลได้
หนึ่งชั่วยามก่อนพลบค่ำ
หญิงสาวสวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนที่เลือกไว้ก่อน นั่งแต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องประทินผิวหน้าคันฉ่องทองเหลืองบานใหญ่ นางหยิบผ้าคลุมหน้าขึ้นมาสวม จากนั้นเดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่สีขาวผืนบางพาดไว้บนไหล่เปลือยเปล่าของตนเอง
ร่างบอบบางเดินย่ำไปบนพื้นไม้กลางโถงของหอสุรายามพลบค่ำ เสียงพูดคุยในคราแรกเงียบลง เมื่อนางปรากฎตัวขึ้นราวกับมีแสงคอยส่องให้นางโดดเด่นเหนือผู้อื่นในหอสุรา แขนเรียวเคลื่อนไหวหลังจากผีผาถูกบรรเลงขึ้น งดงาม อ่อนช้อย ยามนางขยับกายร่างกายพริ้วไหวดวงดาราต่างพากันเปล่งประกายระยิบระยับส่งให้ระบำยิ่งงดงาม
ระบำจบลง เสียงบรรเลงจบลง นางจึงเดินตรงไปที่แท่นไม้ยกสูงที่อยู่ไม่ห่างจากลานระบำ ผีผาอันเดียวกับที่ผิงผิงใช้บรรเลงเมื่อครู่ถูกหยิบขึ้นมาบรรเลง ทำนองเชื่องช้าอ่อนหวานชวนให้ผู้คนอ่อนไหวเคลิบเคลิ้ม บรรเลงได้ครู่เดียวนางก็ร้องคลอเสียงหวานใสไปกับทำนองผีผา
“ผู้ใดอยากร่วมการประมูล เชิญ ประมูลเริ่มที่แปดสิบตำลึง” หญิงวัยกลางคนกล่าวขณะยืนอยู่กลางลานระบำ เมื่อนางพูดผู้คนต่างเงียบฟัง ราคาเริ่มต้นของการประมูลเริ่มต้นด้วยราคาแปดสิบตำลึงเพราะการประมูลครั้งแรกมีผู้ร่วมประมูลไม่มาก แต่หลังจากการประมูลคราแรกจบลง ผู้คนเริ่มเล่าลือถึงความงดงามของลี่อิน ในตอนนี้จึงมักจบที่หลายร้อยตำลึง
“หนึ่งร้อยตำลึง”
“สองร้อยตำลึง”
“สามร้อยตำลึง”
“ห้าร้อยตำลึง”
“ห้าร้อยตำลึงทอง” เป็นท่านโหวน้อยตระกูลสวี่เพิ่มราคาสูงที่สุดในบรรดาผู้ร่วมประมูลทั้งหมด ครานี้คงเป็นท่านโหวน้อยอีกกระมังที่ได้นางคอยปรนนิบัติในค่ำคืนนี้ ผู้คนเงียบพากันเงียบรอฟังว่าจะมีผู้ใดสู้กับท่านโหวน้อย ผู้ดูแลการประมูลนับถอยหลังช้า ๆ ยังไม่ทันเคาะไม้หมดเวลาประมูล
“หกร้อยตำลึงทอง” เสียงทุ้มอ่อนโยน ผู้ถูกประมูลขมวดคิ้วเสียงนี้ฟังดูคุ้นหูนัก นางเงยหน้ามองไปบนระเบียงตรงกับทางเข้าหอชั้นล่าง ตรงนั้นมักเป็นห้องเจ้าของหอหรือสหายสนิท แต่ไม่เคยมีผู้ใช้งานมันมาก่อน
มู่โม่โฉวใช้สองมือเท้าระเบียงห้องพักมองลงไปยังลานระบำ จากนั้นมองเลยไปยังเล่นบรรเลงที่มีคณิกาอันดับหนึ่งนั่งอยู่ ผิดแผนการของแล้วอยู่ ๆ คุณชายมู่ก็มาร่วมประมูลด้วยเช่นนี้ นางหวังว่าท่านโหวน้อยผู้นั้จะเพิ่มราคาประมูลสู้ เพราะนางไม่รู้ว่าคุณชายมู่จริงจังกับการประมูลเพียงใด
“เช่นนั้นข้าให้เจ็ด” ท่านโหวน้อยเพิ่มราคาประมูลไม่ยอมแพ้ให้ผู้ประมูลคนใหม่ เขาไม่เคยเห็นหน้าบุรุษผู้นี้มาก่อนจึงมิอาจยอมให้นางได้ไปปรนนิบัติผู้อื่นได้
“คุณชายมู่อยากใส่ราคาเพิ่มหรือไม่” หญิงวัยกลางคนกล่าวกับบุตรชายเพียงคนเดียวของมู่ชิงอีเจ้าของหอสุราอิงฮวาแห่งนี้ เมื่อได้ยินว่าผู้ใส่ราคาประมูลแข่งเป็นทายาทหอสุราแห่งนี้ แม้จะประมูลมากเท่าใด ก็ยังเข้าตระกูลของเขา หากเขายังประมูลแข่งสู้ยอมแพ้ไปเสียยังดีกว่า
“หนึ่งพันตำลึงทอง”
สิ้นเสียงทุ้มลี่อินถอนหายใจเบา ๆ จบสิ้นแล้วแผนนางในวันนี้ คุณชายมู่นึกอย่างไรจึงมาร่วมประมูลในหอบ้านตนเองเช่นนี้ ท่านโหวน้อยเองก็คงไม่ประมูลเพิ่มมากว่านี้เป็นแน่ ตระกูลสวี่เองก็ร่ำรวยแต่หากจะให้ประมูลเจ้าของหอสุราก็ใช่เรื่อง
“หากไม่มีผู้ใดเพิ่มราคา ผู้ชนะวันนี้คือคุณชายมู่โม่โฉว เช่นนั้นเชิญทุกท่านชมการบรรเลงดนตรีของหญิงงามต่อ” การประมูลจบผู้ถูกประมูลเดินกลับไปยังห้องพักของตนเตรียมตัวไปปรนนิบัติคุณชายมู่ผู้มาเหนือความคาดหมาย เกินคาดของนางเสียจริง
“คุณชายมู่ ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่”
“เข้ามา” ได้ยินเสียงอนุญาตเจ้าของห้องหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงอ่อนจึงผลักประตูไม้เข้าไปในห้องพัก เสียงกระพรวนเล็กดังขึ้นเมื่อนางย่างเท้าเปล่าเปลือยไปบนพื้นห้อง
ชายหนุ่มเจ้าของห้องเงยหน้ามองนาง มือหนึ่งก็เทสุราใส่จอกยกดื่ม เขาหันมายิ้มให้พร้อมกับนางทำท่าคารวะเขาเมื่อปิดประตูห้องลง
“ลี่อินคารวะคุณชายมู่”
“แม่นางลี่อิน อย่าได้เกรงใจนั่งลงเถิด ข้าเพียงอยากตอบแทนที่แม่นางช่วยชีวิตไว้เท่านั้น วันนี้เจ้ามิต้องปรนนิบัติผู้ใด ข้าจะปรนนิบัติเจ้าดื่มสุราเป็นการตอบแทนเอง” น้ำเสียงไม่จริงจังกล่าวด้วยความจริงใจ พอกล่าวจบเขาก็ดันแก้วสุราที่เทให้นาง หญิงสาวขบขันไม่น้อยแย้มยิ้มยกจอกสุราขึ้นดื่ม ไม่รู้ว่าเขาซื่อจริง ๆ หรือแค่แกล้งทำ แต่มันทำให้นางนึกขัน การตอบแทนจากบุรุษผู้นี้ช่างแปลกไม่เหมือนผู้ใดเลย
แม้จะรู้สึกผิดแผนไปเสียหน่อย ท่าทีสบายอกสบายใจไม่ระแวดระวัง เป็นกันเองเช่นนี้ของเขารับไว้ก็ไม่เป็นอันใด อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ชนะ ส่วนเรื่องตระกูลสวี่ไว้คิดภายหลังย่อมได้
7บุรุษที่นางแตะต้อง“เช่นนั้นต้องขอบคุณคุณชายมู่แล้ว” นางกล่าวจบยกจอกสุราดื่มรวดเดียวหมด มู่โม่โฉวยื่นมือไปรับจอกสุรามาจากมือสตรีตรงหน้า เทอีกจอกยื่นให้นาง“เชิญแม่นาง วันนี้ข้าจะปรนนิบัติเจ้าเอง”“แต่ข้ามิได้อยากดื่มสุรา”“แล้วเจ้าอยากทำสิ่งใด”“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน หากไม่ต้องปรนนิบัติผู้ใดข้าจะอยู่ในห้องนี้ไปเพื่อสิ่งใด” ทุกวันประมูลนางต้องคอยปรนนิบัตผู้ชนะอยู่เสมอ หากไม่ต้องทำนางเองก็ไม่รู้ต้องทำสิ่งใดต่อเช่นกัน อีกอย่างมิได้รู้จักกันถึงขนาดชวนพูดคุยเรื่องราวในชีวิตได้เลย“หากเจ้าไม่รู้เช่นนั้น ข้าเล่านิทานให้ฟังดีหรือไม่”“รบกวนคุณชายแล้ว” ลี่อินกล่าวพร้อมกับเทสุราใส่จอกให้มู่โม่โฉว เขารับมันมาถือเอาไว้ท่าท่างครุ่นคิดไม่รู้จะเริ่มตรงไหน“คืนหนึ่งในจวนตระกูลแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ คฤหาสน์ทั้งหลังเต็มไปด้วยเ
8ความร่วมมือ“เจ้า เจ้า เหตุใดทำเช่นนี้กัน” มู่โม่โฉวลนลานขยับกายหนีราวกับแตะของร้อน ใบหน้าแดงก่ำคงเพราะเมื่อครู่ถูกเห็นเข้าจึงลนลานเช่นนี้ ท่าทีของเขาทำหวงซิ่วอิงนิ่งเงียบ นางเดาความคิดเขาไม่ออกเลย ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้ต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่ เรือนร่างก็ไม่ใช่ เงินทองยิ่งไม่มีทางใช่คิ้วเล็กเรียวขมวดแน่น รวบรวมสติกลับมาก็ไม่รู้ว่าต้องพูดขอร้อง ข่มขู่ หรือบังคับเขาดี คุณชายมู่ผู้นี้เป็นคนแรกที่ทำให้นางอึกอักได้เช่นนี้ นิสัยก็ไม่ถึงกับเงียบขรึมแต่ก็มิได้เสเพล เป็นผู้ที่เดาได้ยากยิ่ง“หากท่านไม่ต้องการร่างกายข้า ท่านต้องการสิ่งใดจากคนต่ำต้อยเช่นข้า”“เจ้าจะต่ำต้อยได้อย่างไรกัน ผู้อื่นไม่รู้ว่าเจ้าสูงส่งเพียงใดแต่ใช่ว่าข้าเองก็ไม่รู้” ว่าจบก็หยิบเอาผ้าคลุมไหล่บนพื้นมาคลุมไหล่บอบบางเอาไว้ การกระทำของเขาทำให้นางแปลกใจไม่น้อยเลย ไหนจะคำพูดคำจาของเขาเมื่อครู่อีก เขากล่าวราวกับรู้ว่าเรื่องที่ผู้อื่นรู้ล้วน
9คู่หมั้นคู่หมายเรื่องคืนวันประมูลเล่าลือกันทั่วเมือง เมื่อราคาประมูลสูงขึ้นทุกเดือน อีกทั้งผู้ประมูลยังเป็นบุตรชายเจ้าของหอสุราเองอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคนพูดกันว่ามู่โม่โฉวเป็นบุรุษคนแรกที่ได้แตะต้องคณิกาอันดับหนึ่ง ไม่นานว่าที่คู่หมั้นคู่หมายอย่างสวี่ลี่จูได้ยินเรื่องนี้เข้า จึงรีบออกจากจวนโหวตรงมายังหอสุราเสียตั้งแต่เช้า“สตรีชั้นต่ำผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน”“ไม่ทราบว่าคุณหนูมาที่นี่ด้วยเหตุใด” เถ้าแก่ผู้ดูแลรีบเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นหญิงสูงศักดิ์เดินเข้าหอสุราตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ท่าทีของนางไม่ให้เกียรติผู้ใด หากไม่ออกมารับหน้าเกรงจะพังหอสุราแห่งนี้“สตรีชั้นต่ำนั่นอยู่ที่ใด ไปตามนางมาให้ข้า” นอกจากขึ้นชื่อเรื่องความเอาแต่ใจสวี่ลี่จูผู้นี้หากไม่พอใจสิ่งใดยังมักให้คนใช้ไปทำลายข้าวของ ร้านรวงของผู้อื่นอีกด้วย ในเมืองจึงไม่มีผู้ใดอยากขัดใจนาง หากไม่ใช่เพราะบรรดาศักดิ์ของพ่อนางยังจะมีผู้ใดคบค้ากับนางอีก
10แผนการบุรุษงามมู่โม่โฉวพาคุณหนูตระกูลสวี่นั่งรถม้าของตระกูลมู่ไปยังจวนโหว ทำใจนานนักกว่าจะพูดคุยกับนางได้แต่ละคำ ยิ่งเห็นเหตุการณ์วันนี้เขายิ่งไม่ชอบนางมากกว่าเดิม ต่างกับนางสีหน้าไม่เหมือนตอนอยู่หอสุราเลย สวี่ลี่จูชอบพอคุณชายมู่มาตั้งหลายปีแต่รอนานก็ไม่มีแววว่าตระกูลมู่จะมาแลกวันเดือนปีเกิดเลยเขาไม่ค่อยพูดคุยกับนาง ไม่ไปมาหาสู่ผู้คนจึงพากันกล่าวว่ามู่โม่โฉวไม่ชอบนาง ไม่คิดจะแต่งนางเข้าตระกูลมู่ แต่ผู้ใดกล่าวเช่นนี้ให้นางรับรู้ คนผู้นั้นถือว่าประสบเคราะห์เพราะนางพาคนตระกูลสวี่ไปรบกวนจนทำมาค้าขายไม่ออกกันเป็นแถวสตรีสูงศักดิ์ก็มิค่อยชอบนางหากไม่ใช่เพราะพ่อเป็นโหวเกรงว่าคงไม่มีใครไปมาหาสู่ด้วย“ท่านพี่เข้าไปดื่มชาก่อนดีหรือไม่” หญิงสาวเอ่ยปากชวนเมื่อทั้งสองลงมาจากรถม้า ท่าทางเขินอายเสียงแผ่วเบา นางทำท่าคล้ายไม่กล้าสบตาเขามองไปยังประตูจวนอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้วเข้าไปตรวจดูเสียหน่อยดีกว่าว่ามีทางออกทางเข้าใดพอ
11เป็นโจรหรืออย่างไรหน้าต่างห้องพักถูกปิดลงขณะที่นางกำลังเตรียมถอดอาภรณ์สีเหลืองอ่อนออกจากร่างกายบอบบาง ผิวขาวเนียนเปล่งประกายสะท้อนแสงเทียนภายในห้องพัก นางถอดมันออกแล้ววางลงบนโต๊ะข้างตัว ปลดสายคาดเอวชั้นในกับเสื้อคลุมด้านในออกด้านบนเหลือเพียงตู้โตวตัวเดียวติดกาย“ซิ่วอิง” นางหันไปตามเสียงเรียกตรงหน้าต่าง ดวงตากลมเบิกกว้างจนเกือบจะกรีดร้อง หากไม่ใช่เพราะผู้ที่ปีนเข้ามาปิดปากนางไว้เสียก่อนเมื่อตั้งสติได้นางก็มิได้กรีดร้องเขาจึงปล่อยมือจากใบหน้างดงาม แต่ครู่เดียวใบหน้าขาวนั่นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจนนึกว่าผลอิงเถา นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทีเช่นนั้น แต่พอเขาหันหลังให้นางเข้าใจในทันทีว่าตอนนี้ตนเองมีผ้าปกปิดร่างกายเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น“ท่านเป็นโจรหรืออย่างไร เหตุใดจึงแอบเข้าห้องของข้าเช่นนี้” นางถามเขาน้ำเสียงขุ่นเคืองหลังจากสวมเสื้อคลุมเสร็จ หากนางถอดเปลี่ยนหมดเกรงว่าชาตินี้คงมิต้องแต่งงานแล้วกระมัง
12อย่าคิดแตะต้องนางมู่โม่โฉวออกจากคฤหาสน์มาตั้งแต่เช้าเพื่อรอหวงซิ่วอิงก่อนนางเดินทางขึ้นเขา ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็พบหญิงสาวที่เขามารออยู่ แม้ไม่เห็นหน้าแต่เมื่อได้กลิ่นหอมหวานคุ้นเคยที่ลอยมาตามลมเบา ๆ จึงรับรู้ได้ว่าเป็นนาง คงเพราะแม่ของเขาชอบเครื่องหอมเขาจึงแยกกลิ่นหอมดอกไม้ต่าง ๆ ได้ตั้งแต่เด็ก นางเดินนำไปยังรถม้าที่จอดอยู่ห่างออกไป เมื่อไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ลุงจางจึงซ่อนรถม้าไว้หลังป่าทึบ และผู้ที่รู้มีเพียงลี่อินเท่านั้นเดินห่างออกมาไกลจากเมือง เมื่อร้างผู้คนนางจึงหันกลับไปพูดคุยกับบุรุษที่เดินอยู่ด้านหลัง ตอนนี้มีเพียงนางกับมู่โม่โฉวไม่ต้องกลัวจะมีผู้ใดเห็น“เหตุใดท่านจึงไม่ไปก่อน ท่านก็รู้มิใช่หรือว่าวัดอยู่ที่ใด” นางกล่าวกับมู่โม่โฉวพร้อมกับเปิดหมวกที่มีผ้าคลุมขึ้น อยู่กับเขานางไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้าตนเอง อย่างไรเสียก็เห็นกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว มู่โม่โฉวที่เดินอยู่ด้านหลังรีบวิ่งมาเดินเคียงข้างนาง“ข้าร
13เจ้ามิรู้หรือ“วันนี้ท่านพักผ่อนก่อนเถิด ไว้ค่อยคุยกับท่านอาจารย์วันพรุ่งนี้ กว่าจะมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว ท่านถูกทำร้ายมาพักให้หายก่อนค่อยว่ากัน” ทำแผลเสร็จนางก็ให้เขาพักผ่อนอยู่ในห้องคราวก่อน มาถึงนี่ก็บ่ายคล้อย มู่โม่โฉวเองดูอาการไม่ดีเท่าไร พักผ่อนสักวันค่อยปรึกษากันพรุ่งนี้ก็ยังไม่ถือว่าสาย“ข้าไม่เป็นไร เรื่องนี้เรารอไม่ได้”“ท่านต้องพักผ่อน”“ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ คนงาม เจ้าไม่ต้องห่วง”“แต่ข้าเป็นหมอ หากบอกให้พักก็พักเงียบ ๆ เสีย ท่านคงไม่อยากให้ข้าตีท่านจนสลบใช่หรือไม่” คนเจ็บดื้อรั้นจนหมออย่างนางต้องข่มขู่แทน นางเป็นหมอย่อมรู้ดีว่าควรพักหรือไม่ควรพัก พอถูกข่มขู่มู่โม่โฉวหน้าหดเหลือเพียงนิ้วเดียว ไม่ต้องให้ผู้ใดบอกก็รู้ว่าเขากลัวนางนางขบขันท่าทางของเขาแต่ยังแสร้งทำหน้าเข้ม บุรุษตรงหน้าขยับตัวลงนอนนิ่งเช่นเดิม ไม่กล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ความคิด
14ต้อยต่ำแต่งดงามคราวนี้นางอยู่บนเขาเพียงหนึ่งวัน ก่อนหน้านี้นางมีเรื่องสวี่ลี่จูทำให้นางเดินทางขึ้นเขาช้าไปหนึ่งวัน หากนางอยู่บนเขานานเกรงว่าผู้อพยพจะรอนานเกินไปจนอดตายนางจึงรีบกลับเพื่อมารักษาคนเจ็บ นางเป็นหมอความเจ็บป่วยล้วนเป็นสิ่งที่รอไม่ได้สิ่งที่ทำให้นางสงสัยคือบุรุษผู้นั้นต่างหากเล่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร นางไม่ได้บอกผู้ใดแต่เมื่อมาถึงบ้านเก่าชานเมือง เขาก็ยืนอยู่หน้าบ้านไม้นี่แล้ว ตอนนี้สวมหมวกไม้ไผ่สานมีผ้าผืนบางคลุมไว้เขาคงไม่รู้ว่าเป็นนาง“ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า” นางตั้งใจจะเดินผ่านหน้าเขาไปแต่มู่โม่โฉวเดินมาขว้างไว้แล้วทักนางเสียก่อน นางหยุดเดินเปิดผ้าคลุมขึ้นทัดไว้บนปีกหมวก“รู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า”“กลิ่นหอมของเจ้าไม่เหมือนผู้ใด ข้ารู้ว่าทุกเดือนเจ้าจะมาที่นี่วันนี้เพื่อช่วยดูแลผู้อพยพ”“ท่านยังมีกิจอันใดอีกจึงมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้” นางถามพร้อมย่างเท้าก้า
บทส่งท้ายของขวัญนี้ข้ามอบแด่ท่านเหมันตฤดูปีนี้แม้จะมีหิมะตกอยู่เสมอแต่กลับรู้สึกเย็นสบายไม่หนาวเท่าปีก่อน หิมะเกาะกิ่งไม้ ใบไม้จนกลายเป็นสีขาวทั่วบริเวณ หญิงสาวเปิดหน้าต่างห้องพักตนเองเพื่อรับลม ทั้งที่หิมะตกเช่นนี้บางครานางยังรู้สึกร้อนจนต้องเปิดหน้าต่างรับลมเช่นนี้“ฮูหยิน จะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ผิงผิงบ่าวคนสนิทเอ่ยถาม นางกำลังปักลายดอกท้อลงบนเสื้อแต่เสื้อนั้นกลับเล็กจนนางคิดว่าคงไม่มีผู้ใดในบ้านใส่ได้แน่ นางไม่ตอบเพียงหันมายิ้มอ่อนหวานให้สาวใช้เท่านั้น นางเพียรปักผ้าผืนนี้มาเกือบเจ็ดวันแล้วนางปักผ้าไปยิ้มไปใบหน้าบ่งบอกว่ามีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่มากนัก หากฮูหยินมีความสุขนางจะขัดไปใย นึกดี ๆ แล้วช่วงนี้ฮูหยินของนางอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อน เห็นสิ่งใดก็ดูดีดูงดงามไปเสียหมด“งามหรือไม่ผิงผิง”“งามเจ้าค่ะฮูหยิน แต่ผู้ใดจะใส่ได้หรือเจ้าคะ”“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ท่านพี่อยู่ที่ใดห
31ให้ข้าอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต“ซิ่วอิง เจ้านั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไม่คิดทำสิ่งอื่นบ้างหรือ” มู่โม่โฉวเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงศาลาข้างสวนดอกไม้ นางนั่งอยู่ที่นี่มาเกือบสองชั่วยามแล้ว นานจนเขานึกเป็นห่วงกลัวนางต้องลมนานจะพาลป่วยไข้“ท่านว่าข้ายังมีสิ่งใดให้ทำอีกหรือ ข้าทวงความยุติธรรมให้ครอบครัวได้แล้ว ทุกสิ่งล้วนถูกที่ถูกทาง ก่อนนี้ข้าไม่เคยได้พัก ไม่เคยคิดเรื่องเหน็ดเหนื่อยสักครั้ง ยามนี้ไม่มีสิ่งใดต้องทำอีกแล้วข้าอยากพักสักหน่อย”“เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น เช่นนั้นให้ข้าอยู่ด้วยได้หรือไม่” นางละสายตาจากภาพทิวทิศน์เบื้องหน้ากลับไปมองผู้ที่ยืนพูดอยู่ด้านหลัง นึกสงสัยในคำกล่าวเมื่อครู่ มู่โม่โฉวไม่พูดสิ่งใดต่อทำเพียงยิ้มให้นาง“ท่านไม่มีสิ่งใดให้ทำหรือ มาอยู่กับข้าทั้งวันเช่นนี้ไม่เบื่อหรือ”“ข้าไม่เคยเบื่อคิดว่าเจ้าคงรู้ หากอยู่ด้วยจนตายได้ยิ่งดี” มู่โม่
30รางวัลหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากชานเมืองถูกเปลี่ยนเป็นโรงหมอ คอยรับผู้ป่วยจากในและนอกเมือง รับเพื่อไม่ให้เข้าไปแพร่เชื้อในเมือง ส่วนผู้อยู่ในเมืองที่ติดก็จำต้องออกมารับการรักษานอกเมืองโรงหมอในเมืองพากันปิดหมดเมื่อรู้ว่าผู้ที่มาหาหมอติดโรคประหลาด ด้วยวิชาแพทย์ที่แตกฉานของหวงเหว่ยถิงและลูกศิษย์สาวอย่างหวงซิ่วอิง โรคระบาดจึงมิได้ลุกลามไปไกลยังพอควบคุม รักษาได้ทันท่วงที คนเจ็บปวดได้รับการรักษาจนหายดี เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ บุรุษ สตรี ล้วนได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมมิได้แบ่งแยกนางกักขังตนเองอยู่กับผู้ป่วยสามวันสามคืนจึงหาทางรักษาจนได้ ผู้ทดลองยามิใช่ใครอื่น มู่โม่โฉวกับสวี่เลี่ยงหรงล้วนติดโรคประหลาดจากการช่วยนางดูแลผู้ป่วยยากไร้นางคิดสูตรยาอยู่เกือบสามวัน ใช้อาการของโรคเทียบกับตัวยา ช่วงแรกที่มีอาการหนักนางรักษาไปตามอาการ ผลคือผู้ป่วยไม่ดีขึ้นเลย อาการยังคงเป็นเช่นเดิม จนสุดท้ายได้สูตรยามาแต่ไม่มีสิ่งใดรับรองว่ายานี้จะได้ผล ดังนั้นนา
29โรคระบาดการกลับคำของฮ่องเต้องค์ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่การใส่ร้ายขุนนางซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง องค์จักรพรรดิทรงกล่าวกับนางเช่นนี้ ไม่นานจึงออกพระราชโองการลงโทษคนตระกูลสวี่ สวี่เฟยฮุ่ยและคนสนิทถูกประหาร ส่วนผู้อื่นถูกเนรเทศ สมบัติถูกริบเข้าคลัง ยศตำแหน่งถูกริบคืนทั้งหมด แม้แต่บุตรตระกูลสวี่ก็ถูกสั่งห้ามรับราชการอีกตลอดชีวิต ตำแหน่งจอหงวนของสวี่เลี่ยงหรงที่เพิ่งสอบได้ไม่นานก็ถูกยกเลิก“ข้านั้นอยากสั่งประหารสามชั่วโคตร แต่มีคำขอจากสตรีบอบบางผู้หนึ่ง นางกล่าวกับข้าว่าสวี่เลี่ยงหรงไม่ได้ทำผิดใดเขาเองก็ช่วยหาหลักฐานสำคัญเพื่อหยุดการกระทำของบิดา หากต้องโทษประหารไป ยังจะมีผู้ใดอยากทำสิ่งดีอีก ข้าจึงละเว้น เจ้าว่าข้าทำเช่นนี้เหมาะหรือไม่”“การกระทำของพระองค์ล้วนเหมาะสม หม่อมฉันขอขอบพระทัยที่พระองค์ทรงคืนความเป็นธรรมให้นาง”“เหตุใดเจ้าต้องขอบคุณแทนนาง รู้จักนางหรือ”“หม่อนฉันไม่รู้จัก
28ประทานรางวัลผู้คนล้วนรับรู้ว่าหวงกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากเพียงใด วันนี้จึงพากันมามอบของกำนัล อวยพร มู่โม่โฉวเองก็เช่นกันเขามาอวยพรหวงกุ้ยเฟยในฐานะตัวแทนตระกูลมู่“ข้าขออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืนเป็นร้อยปี วันนี้ขอมอบระบำนี้ เพื่ออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยและองค์จักรพรรดิ”“เช่นนั้นเจ้าเล่นฉินให้ข้าฟังด้วยได้หรือไม่ โฉวเอ๋อร์ข้าไม่ได้ฟังเพลงฉินของเจ้านานนัก”“หากเป็นประสงค์ข้าย่อมทำตาม” ข้าหลวงนำฉินมาวางกลางลานให้มู่โม่โฉวได้บรรเลง หวงซิ่วอิงค้อมตัวคารวะผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าก่อนจะเริ่มระบำไปพร้อมเพลงฉินอันไพเราะ ทำนองเพลงฉินนี้ทั้งอ่อนหวานชวนเคลิบเคลิ้ม ระบำก็งดงามอ่อนช้อย ไม่มีผู้ใดละสายตาจากระบำตรงหน้าได้เลยความงดงามของนางระบำที่แม้จะปิดบังใบหน้าแต่กลับน่าค้นหา ทั้งหมดราวกับต้องมนตร์จนระบำจบลงมนตร์นี้จึงถูกคลาย“ดียิ่ง ดีจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นระบำงดงามเช่นนี้มาก่อน
27ไม่ได้ครอบครองหลังเตรียมอาหารเสร็จหวงซิ่วอิงและหวงเหว่ยถิงช่วยกันยกอาหารไปวางที่โต๊ะกลางลานบ้าน ผ่านไปไม่กี่เฟินสวี่เลี่ยงหรงก็ตามออกมา ท่าเดินโซซัดโซเซดูไม่มีแรงมากนัก“ท่านยังไม่หายดี ออกมาข้างนอกทำไมกัน” หวงซิ่วอิงเดินไปประคองสวี่เลี่ยงหรงไปนั่งที่โต๊ะกลางลานบ้าน หวงเหว่ยถิง และจางหย่งนั่งมองนิ่ง ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป“คารวะท่านทั้งสอง” เป็นสวี่เลี่ยงหรงที่เอ่ยทั้งสองบุรุษที่โต๊ะกลางลานบ้านก่อน จางหย่งที่มักไม่ค่อยพูดยกมือขึ้นมาประสานรับคารวะแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด หวงเหว่ยถิงพยักหน้ารับขยับชามโจ๊กไปให้คุณชายสวี่“กินข้าวเถอะ จะได้พักผ่อนท่านยังไม่หายต้องพักให้มากหน่อย ถ้าจะให้ดีไม่ควรฝืนขยับตัว”“พวกท่านกินกันไปก่อน ข้าจะเอาอาหารไปให้คุณชายมู่” กล่าวจบก็เดินถือถาดอาหารไปยังเรือนพักด้านข้าง ทิ้งให้บุรุษสามคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันเพราะมั่นใจว่าหวงเหว่ยถิงจะไม่ทำอันตรายสวี่เ
26ถึงตายก็จะปกป้อง“คนงาม เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายนัก ข้าเจ็บถึงเพียงนี้ยังตำหนิข้าได้ลง”“ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าท่านเอง”“คุยกับข้าอีกหน่อยไม่ได้หรือ”“ท่านบาดเจ็บอยู่ ทำไมจึงมีแรงพูดมากมายเช่นนี้อีก” หวงซิ่วอิงตำหนิด้วยความเป็นห่วง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองจุ่มน้ำล้างแผลที่อาจารย์เตรียมมา บิดน้ำออกเช็ดคราบเลือดที่เลอะร่างกายของเขาออกเบา ๆ“ข้ามีแรงที่ไหนกัน หากมีแรงคงลุกไปมองหน้าเจ้าแล้ว เช่นนั้นคงช่วยให้หายเจ็บไม่น้อย”“เจ็บหนักเพียงนี้ยังมีเวลามาหยอกเอินข้าอีก”“ข้าไปหยอกเจ้าเมื่อไรกัน ข้าพูดความจริงเห็นหน้าเจ้าสักหน่อยก็หายเจ็บไม่น้อยแล้ว” คำพูดหยอกล้อของคนเจ็บทำนางอมยิ้ม ผ้าเช็ดหน้าถูกวางไว้บนเก้าอี้ จากนั้นเจ้าของร่างบอบบางจึงย่อตัวคุกเข่าลงข้างเตียง ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับคนเจ็บ มู่โม่โฉวยังคงหลับตาพูดคุยกับน
25คนโง่ต้นไม้ใหญ่สองต้นถูกใช้เป็นที่กำบังหญิงสาวกับบุรุษหนุ่มยืนแอบอยู่อีกฝั่งของต้นไม้ รอให้คนชุดดำวิ่งมาถึงจึงลอบโจมตีลดกำลังของฝ่ายศัตรู ระหว่างสู้หวงซิ่วอิงยังเหลียวมองมู่โม่โฉวหลายต่อหลายครั้ง วิชาต่อสู้ของเขาไม่เอาไหนเลย หากไม่ใช่เพราะกิ่งไม้ ก้อนหินในป่าเกรงว่าคงถูกจับได้แล้ว“คุณชายเป็นอย่างไรบ้าง” สู้จนบุรุษชุดดำล้มไปถึงสี่คนหวงซิ่วอิงวิ่งไปฉุดข้อมือมู่โม่โฉววิ่งอีกครั้ง ศัตรูอีกสามคนวิ่งตามไม่ห่างเหน็ดเหนื่อยจนแข้งขาอ่อนแรง อยู่ ๆ ก็ล้มลง หญิงสาววิ่งกลับมานั่งคุกเข่าประคองเขาให้ลุกขึ้น แต่พวกชุดดำข้างหลังคงรู้ว่าตามนางไม่ทันจึงขว้างมีดสั้นมายังร่างบอบบาง“มู่โม่โฉวท่านบ้าไปแล้วหรืออย่างไร” หวงซิ่วอิงตวาดดังลั่นก่อนที่มีดสั้นจะปักร่างกายนาง บุรุษผู้นี้ก็พุ่งเข้าโอบกอดนางทำให้มีดสั้นเล่มนั้นปักกลางหลังเขาแทนดวงตาเบิกกว้าง มือไม้สั่นไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดต่อ นางเอื้อมมือไปคลำมีดกลางหลัง เลือดสีแดงสดไหลเล
24ขุนนางทุจริตในโรงน้ำชา ชานเมือง เรือนที่ผู้อพยพพักอาศัยกำลังพูดคุยเรื่องเดียวกันไปทั่ว ขุนนางใหญ่โตทุจริตเสบียงบรรเทาทุกข์ของผู้อพยพ ชาวบ้านพากันกล่าวเรื่องนี้ไม่หยุดจนขุนนางใหญ่โตบางคนรีบร้อนตัว ให้บ่าวเร่งตามสืบคนแพร่ข่าวนี้ อีกทั้งจดหมายลับที่อยู่ในบ้านยังหายไปไร้ร่องรอยสวี่เฟยฮุ่ยกินไม่ได้นอนไม่ได้เกรงว่าจดหมายฉบับนั้นจะอยู่ในมือองค์จักรพรรดิ หากเป็นเช่นนั้นตระกูลสวี่คงจบสิ้นแล้ว“ท่านพ่อ”“เจ้าออกไปก่อน ยามนี้พ่อยังมีกิจสำคัญต้องหารือ” ท่านโหวบอกกับบุตรชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือที่หวงแหน หลังจากใช้เวลาชั่งใจมาหลายวันว่าตนเองควรทำอย่างไรกับสิ่งที่รู้มา คิดได้แล้วจึงมาหาบิดาสอบถามความจริงในเรื่องนี้“ข่าวลือนี้คือท่านพ่อใช่หรือไม่” สวี่เฟยฮุ่ยวางของในมือมองหน้าบุตรสาวนิ่ง ๆ ไม่คิดว่าบุตรชายจะมาถามเรื่องนี้ แม้ในเรื่องเล่าลือจะกล่าวถึงขุนนางใหญ่แต่ในราชสำนักไม่ได้มีเขาเป็นขุ