บทที่ 11 พยศ
หนี่เส้าจวินตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาเหยียดกายขึ้นมองเผิงฟู่หลินที่ยังคงหลับด้วยความอ่อนเพลีย ขอบตาคล้ำของนางแสดงให้เห็นว่าเผิงฟู่หลินคงมิได้นอนแทบทั้งคืน เขาเอื้อมมือขึ้นลูบไล้เส้นผมที่ปรกลงตรงใบหน้าขาวนวล ร่องรอยรักตามลำตัวที่เขาฝากไว้ยังคงเป็นรอยแดงจ้ำไปทั่วเนื้อนวลเป็นจุด ๆ มือใหญ่เผลอลูบไล้ไปตามรอยดังกล่าวอย่างแผ่วเบา
เผิงฟู่หลินที่รู้สึกรำคาญตัว นางปัดมือใหญ่ออกห่างจากตัว พร้อมลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ก่อนที่เผิงฟู่หลินจะต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาวาววับของหนี่เส้าจวินที่จ้องมองเธออยู่ นางสะบัดมือของเขาออกจากตัวอย่างอัตโนมัติทันที เผิงฟู่หลินรีบกระถดหัวไปที่ขอบเตียงอย่างหวาดหวั่น ใบหน้ายังมีคราบน้ำตาที่รินไหลเกือบทั้งคืน เผิงฟู่หลินจ้องมองหน้าหนี่เส้าจวินด้วยแววตาอาฆาตดั่งจะกินเลือดกินเนื้อ
“ท่านคิดจะทำอะไรข้า” เผิงฟู่หลินโวยวายใส่หนี่เส้าจวินทันที แม้ว่าเมื่อคืนหนี่เส้าจวินจะหยุดการกระทำอันน่ารังเกียจนั้นกับตน แต่สายตากรุ้มกริ่มที่มองนางเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เผิงฟู่หลินอดหวาดระแวงไม่ได้
“หลินเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าต้องการทำสิ่งใดเล่า” หนี่เส้าจวินโน้มกายเข้ามากระซิบข้างหูของนางด้วยน้ำเสียงยียวน ก่อนจะโน้มตัวเข้าหาเผิงฟู่หลินอีกครั้ง ริมฝีปากประกบให้กับริมฝีปากบางอย่างถือวิสาหะ เผิงฟู่หลินได้แต่ดิ้นอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หนี่เส้าจวินจะยอมผละจากปากหวานนุ่มตรงหน้า เขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “หลินเอ๋อร์ เจ้าหลับต่อเถิด ดูท่าทางเจ้าคงไม่ได้นอนมาทั้งคืนสินะ” หนี่เส้าจวินพูดพร้อมส่งสายตาล้อเลียนให้กับเผิงฟู่หลินอย่างนึกสนุกก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นลงจากเตียง
เผิงฟู่หลินได้แต่มองหนี่เส้าจวินด้วยสายตาเคืองแค้น เป็นเพราะใครกันเล่าที่ทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นหนี่เส้าจวินมิได้คิดวุ่นวายกับตนเองอีก นางก็ค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งอย่างมิอาจทนความอ่อนล้าที่มีได้อีก
หนี่เส้าจวินเดินออกจากห้องไปในช่วงบ่ายด้วยความรู้สึกสดชื่น รอยยิ้มกว้างที่ฉายบนใบหน้าเด่นชัดจนบ่าวไพร่ได้แต่ก้มหน้ากระซิบกระซาบกันไปมา
หลังจากที่หนี่เส้าจวินจากไปแล้ว เจ้าจูก็รีบเข้ามาภายในห้องทันที นางรีบเข้ามาประคองเผิงฟู่หลินที่พยุงตัวลุกขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย ดวงตาเศร้าหมองอย่างรู้สึกสังเวชตนเอง เจ้าจูมองนายหญิงของตนด้วยความรู้สึกเห็นใจ ก่อนจะประคองเผิงฟู่หลินไปยังห้องอาบน้ำในเวลาต่อมา
เจ้าจูใช้ผ้าบางลูบไล้ไปตามผิวบางของเผิงฟู่หลินอย่างทะนุถนอม รอยแดงเป็นจุด ๆ ตามตัว ทำเอาเจ้าจูอดจินตนาการและรู้สึกปวดใจแทนเผิงฟู่หลินไม่ได้
“ท่านอ๋องทำเช่นนี้ เกินไปแล้วจริง ๆ” เจ้าจูบ่นอุบออกมา ก่อนจะรีบปิดปากสนิทเพราะไม่ต้องการกระทบกระเทือนใจ
เผิงฟู่หลินได้ฟังก็แค่นยิ้มออกมาโดยไม่ปริปากอันใด นางคร้านจะแก้ต่างสิ่งใดออกไป แม้ว่าหนี่เส้าจวินจะมิได้ข่มเหงนางในที่สุด แต่รอยช้ำตามเนื้อตัวก็เป็นหลักฐานของความหยาบคายที่หนี่เส้าจวินกระทำต่อตน
หลังจากที่เผิงฟู่หลินแต่งตัวเสร็จ นางจ้องมองตัวเองในเงาอย่างคนที่รู้สึกสิ้นหวัง
“คุณหนูท่านเป็นอะไรหรือไม่” เจ้าจูพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
เผิงฟู่หลินยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตัวเอง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างคนขาดสติ ความรู้สึกขัดเคืองใจทำให้เผิงฟู่หลินไม่อาจระงับอารมณ์ตัวเองได้อยู่อีกต่อไป
“เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่ยอมรับโชคชะตานี้เป็นอันขาด” เผิงฟู่หลินกัดฟันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แค้นเคืองยิ่งนัก นางหยัดกายขึ้นยืนก่อนจะยกมือทั้งสองกวาดข้าวของลงบนพื้นด้วยความสะใจ ข้าวของมีค่าของหนี่เส้าจวินที่แตกกระจายไปทั่วทำให้นางค่อยรู้สึกผ่อนคลายความคับข้องใจลงไปได้บ้าง มือบางหยิบแจกันเคลือบราคาแพงโยนลงพื้นจนแตกละเอียดกระจัดกระจายไปทั่วห้อง การอาละวาดของนางทำให้เจ้าจูถึงกับตกใจกันเป็นอย่างยิ่ง
“คุณหนู หยุดเถอะ” เจ้าจูพยายามเข้าไปห้ามเผิงฟู่หลินเอาไว้ แต่นางก็สะบัดตัวออกจากการเกาะกุม พร้อมเขวี้ยงปาข้าวของในห้องอย่างไม่สนใจมูลค่าอันแสนแพงเหล่านั้น
“พระชายาได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกร้องออกมาด้วยความกังวล
“ใครกล้าขวางข้า ข้าจะลงโทษมันเสีย” เผิงฟู่หลินกวาดสายตามองสาวใช้เหล่านั้นด้วยสีหน้าดุดัน คำขู่ของนางทำให้สาวใช้ทั้งหลายได้แต่ยืนชะงักงั้นอยู่เพียงหน้าประตูห้อง
“ท่านอ๋องแย่แล้วเจ้าค่ะ พระชายาอาละวาด เขวี้ยงปาข้าวของเสียหายหมดแล้ว พวกบ่าวพยายามห้ามปรามแต่ก็ไม่ได้ผล ขอท่านอ๋องโปรดช่วยด้วย” สาวใช้ตาลีตาเหลือกวิ่งเข้ามารายงานหนี่เส้าจวินด้วยท่าทางร้อนรน
หนี่เส้าจวินเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร พร้อมเพ่งมองสาวใช้ที่คุกเข่าด้วยท่าทีงกงัน เขาถอนหายใจออกมาอย่างแรง พร้อมปัดมือไล่สาวใช้ออกจากห้องไป
“หลินเอ๋อร์ เจ้าช่างพยศนัก” หนี่เส้าจวินคำรามออกมา ก่อนที่เขาจะเดินตรงกลับไปยังห้องของนาง สภาพภายในห้องที่เต็มไปด้วยข้าวของที่แตกกระจาย ระเกะระกะไปทั่วห้องไม่ต่างจากเพิ่งผ่านศึกสงครามมากระนั้น ทำให้เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ หนี่เส้าจวินย่างเท้าเข้ามาหาเผิงฟู่หลินอย่างไม่พอใจ
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” หนี่เส้าจวินตะคอกเสียงดังสนั่น ทำเอาสาวใช้ต่างพากันถอยหนี เจ้าจูทำท่าทีลังเลอยู่ด้านข้างเผิงฟู่หลิน แต่เมื่อได้สบตาคมกริบของเขา นางก็ได้แต่เดินคอตกออกจากห้องไปทันที
เมื่อได้อยู่ตามลำพังหนี่เส้าจวินก็ตะคอกใส่เผิงฟู่หลินทันที “เจ้ากำลังทำบ้าอะไรกัน
เผิงฟู่หลินมองหน้าเขาด้วยความสะใจที่ได้เห็นหนี่เส้าจวินหัวเสียเช่นนี้ “ข้าก็กำลังทำให้ท่านนึกเสียใจอยู่อย่างไรเล่า” นางเชิดหน้าขึ้นพร้อมพูดประชดประชันออกมาด้วยความรู้สึกสะใจ
หนี่เส้าจวินเห็นท่าทางมากพยศของเผิงฟู่หลิน เขากลับทำเพียงยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “เช่นนั้นหรือ หากเจ้าต้องการทำลายข้าวของเหล่านี้ เจ้าก็จงทำเสียเถิด ในจวนของข้ายังมีของอีกหลายสิ่งให้เจ้าทำลาย” เขาไม่เพียงพูดเปล่ากลับเดินตรงเข้ามาหานาง พร้อมดึงเผิงฟู่หลินเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง หนี่เส้าจวินโน้มตัวกระซิบข้างหูของนางอย่างแผ่วเบาและเนิบนาบ “แต่ว่า...ของที่เจ้าทำเสียหาย เจ้าต้องชดใช้ให้ข้าด้วยเช่นกัน”
“ท่าน...ท่านจะทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เผิงฟู่หลินร้องเสียงหลง พลางก้าวถอยหลัง ในจังหวะนั้นเองที่เท้าของเธอเกือบเศษเหยียบกระเบื้องที่แตก หนี่เส้าจวินจึงรีบก้าวเข้ามาคว้าร่างบางลอยขึ้นแนบไว้กับตัว เผิงฟู่หลินร้องออกมาด้วยความตกใจ ด้วยกลัวตนเองจะตกลงไปกองกับพื้น ทำให้นางเผลอยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาไว้แน่น
“เจ้าดื้อเช่นนี้ ต่อไปคงได้เจ็บตัวอีกหลายหนเป็นแน่” หนี่เส้าจวินกระซิบเผิงฟู่หลินเข้าที่ข้างใบหู ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารถใบหน้านวล ทำเอานางถึงกับหน้าแดงก่ำ
“ปล่อยข้านะ ปล่อยข้าได้แล้ว” เผิงฟู่หลินเริ่มดิ้นรนออกจากวงแขนแกร่งอีกครั้ง สัญญาณอันตรายเตือนให้นางรีบถอยห่างออกจากตัวเขาให้เร็วที่สุด
“หากข้าปล่อยเจ้า เจ้าจะยังดื้ออีกหรือไม่” หนี่เส้าจวินยังคงพูดจายียวน พร้อมกระชับร่างบางบดเบียดลำตัวเขาเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“ไม่...ไม่...ข้าไม่ทำแล้ว” เผิงฟู่หลินร่ำร้องออกมาอย่างขวัญเสีย ทำเอาหนี่เส้าจวินหัวเราะชอบใจออกมา
“เด็ก ๆ เข้ามาเก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย” หนี่เส้าจวินตะโกนสั่งสาวใช้ ก่อนที่จะเดินอุ้มเผิงฟู่หลินลงมานั่งที่เตียง เขายังคงไม่ผละออกจากนาง แต่กลับโน้มตัวเข้าหาใกล้ขึ้น จนแทบได้ยินเสียงหัวใจของนางที่เต้นแรงรัวไม่หยุด “ข้ายังมีงานที่ต้องสะสาง หากเจ้าไม่ดื้อ คืนนี้ข้าจะมีรางวัลให้” เขากระซิบพร้อมถือโอกาสหอมแก้มนางอีกหนึ่งที ก่อนจะลุกขึ้นหัวเราะชอบใจแล้วเดินจากไปทันที
“กรี๊ดดดด....” เสียงกรีดร้องดังไล่ตามหลังหนี่เส้าจวินออกมา เขาได้แต่ยกยิ้มบนใบหน้าก่อนจะเดินกลับห้องทำงานด้วยความอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
บทที่ 12 ปราบพยศภายในห้องอักษรของหนี่เส้าจวิน เขานั่งทำหน้าขรึมอยู่บนตั่งขนาดใหญ่ เหวินปู้องครักษ์คนสนิทของเขานำสารเข้ามารายงาน หนี่เส้าจวินคลี่ม้วนกระดาษขึ้นเปิดอ่าน เขาได้แต่นิ่วหน้าลง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” หนี่เส้าจวินเงยหน้าพร้อมถามเหวินปู้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ข้าน้อยได้ส่งคนของเราเข้าไปเป็นสายภายใน แต่บัดนี้ยังไม่พบร่องรอยที่จะเป็นหลักฐานได้แน่ชัดขอรับ” เหวินปู้กล่าวตอบตามตรง“เจ้ารีบส่งคนเข้าไปเพิ่มอีก ตามหาหลักฐานเอาผิดมาให้ได้ และก็...อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดโดยเฉพาะพระชายา” หนี่เส้าจวินรีบสั่งการพร้อมกำชับหนักแน่นกับเหวินปู้ สายตาของเขาหม่นแสงลงทันทีเมื่อนึกถึงเผิงฟู่หลิน เหวินปู้โค้งตัวรับคำสั่ง ก่อนจะถอยตัวออกจากห้องไปหนี่เส้าจวินจ้องมองออกไปภายนอก ด้วยดวงตาที่เหม่อลอย เขาถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างต้องการสงบใจค่ำคืนเงียบสงัดมาเยือน หนี่เส้าจวินเดินกลับมายังเรือนของเผิงฟู่หลิน นางกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงหนานุ่ม เขาเดินมานั่งด้านข้างเตียงอย่างแผ่วเบา ดวงตาจับจ้องมองหญิงสาวด้วยแววต
บทที่ 13 กล้ำกลืนเผิงฟู่หลินอยู่ภายในจวนอ๋องหนี่เส้าจวินอยู่เป็นเวลาร่วมเดือน ที่ผ่านมานางเอาแต่อาละวาดและคอยหาเรื่องให้หนี่เส้าจวินได้แต่ปวดหัวอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ทุกครั้งหนี่เส้าจวินก็ตอบกลับนางอย่างเท่าทัน และเป็นนางเสมอที่ได้แต่เสียเปรียบเขาอยู่ร่ำไป เผิงฟู่หลินได้แต่ก่นด่าและเจ็บใจเขาอยู่ไม่หายเจ้าจูที่ได้แต่มองนายหญิงของตนด้วยความอ่อนใจ “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องก็ใช่ว่าจะเป็นคนโหดร้าย หากท่านยอมอ่อนลงบ้างจะมิเป็นการดีต่อท่านหรือเจ้าคะ” เจ้าจูพยายามโน้มน้าวใจนายหญิงของตน หากนางมองโดยปราศจากอคติใดๆ ท่านอ๋องหนี่เส้าจวินก็เป็นสามีที่ดีคนหนึ่ง เขาไม่เคยต้องให้คุณหนูของนางลำบากแม้สักนิด หรือแม้แต่คุณหนูของนางจะอาละวาดเพียงใด นอกจากเขาจะไม่ถือสากลับหยอกเย้านางเล่นอยู่เสมอ อีกทั้งเจ้าจูเพิ่งมาทราบในภายหลังว่าตั้งแต่เข้าหอทั้งสองแม้ทั้งคู่จะนอนห้องเดียวกันแต่ก็ยังมิเคยร่วมหลับนอนด้วยกันเสียด้วยซ้ำ เหตุผลคงไม่ต้องกล่าวก็คงเป็นคุณหนูของนางนั่นแหละที่มิยอมจนกระทั่งถึงวันที่เผิงฟู่หลินจะได้กลับไปเยี่ยมบ้าน นางรู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก เผิงฟู่หลินคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ของตนเป็นอย่างมาก ชีวิตใน
บทที่ 14 หนีหน้าเมื่อถึงมื้ออาหาร ราชครูเผิงได้ให้สาวใช้มาตามหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินไปยังห้องโถง สำรับอาหารมากมายถูกจัดเอาไว้เรียงรายอย่างสวยงามและประณีต“หลินเอ๋อร์ นี่เป็นของโปรดของเจ้า เจ้าลองชิมดูสิ” ฮูหยินเซียงคีบอาหารไปวางตรงหน้าบุตรสาว นางคีบอาหารชิ้นแล้วชิ้นเล่าให้กับนางไม่ยอมหยุด“หลินเอ๋อร์ เจ้านี่ก็ช่างกระไร ตักอาหารให้ท่านอ๋องเสียบ้างสิ” ราชครูเผิงสำทับหลินเอ๋อร์ เมื่อเห็นนางเอาแต่คีบอาหารเข้าปากโดยไม่สนใจหนี่เส้าจวินเผิงฟู่หลินเงยหน้ามองบิดาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะยื่นมือคีบอาหารให้หนี่เส้าจวินอย่างเสียไม่ได้“หลินเอ๋อร์ อาหารที่เจ้าคีบให้ ช่างอร่อยยิ่งนัก” หนี่เส้าจวินยื่นหน้าไปพร้อมพูดจาหยอกเย้าใส่เผิงฟู่หลิน ทำเอาเผิงฟู่หลินถึงกับทำหน้าไม่ถูก นางปรายตามองค้อนเขาด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ยิ่งนักหลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ราชครูเผิงจึงหนี่เส้าจวินร่ำสุราต่อตามประสาลูกผู้ชายด้วยกันเผิงฟู่หลินได้โอกาสจึงรีบหันไปกล่าวกับหนี่เส้าจวินทันที “ท่านอ๋อง คืนนี้ท่านร่ำสุรากับท่านพ่อเถิด ข้าจะขออนุญาตไปนอนกับท่านแม่สักคืน ข้ามิได้เจอท่านแม่มานานแล้ว” เผิงฟู่หลินไม่รอให้หนี่เส้
บทที่ 15 เค้าลางเผิงฟู่หลินตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวันด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางเรียกให้เจ้าจูเข้ามาเตรียมน้ำอุ่น ก่อนจะเดินเข้าไปแช่น้ำอย่างรู้สึกสบายใจ“คุณหนูดูอารมณ์ดีเชียวนะเจ้าคะ” เจ้าจูเย้านายหญิงด้วยความรู้สึกยินดียิ่ง นานเท่าไหร่แล้วที่นางไม่ได้เห็นเผิงฟู่หลินดูสดใสเช่นนี้“เจ้าจู เมื่อคืนข้านอนหลับสบายมากทีเดียว ข้าอยากให้วันเวลาเป็นเช่นนี้ตลอดไปเหลือเกิน” เผิงฟู่หลินเอ่ยออกมาพร้อมดวงตาที่สลดลงเมื่อคิดถึงวันข้างหน้า“คุณหนู ท่านอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ” เจ้าจูปลอบใจพร้อมหยิบผ้าขาวลูบไล้ไปตามลำตัวขาวเนียนของนายหญิงหลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เผิงฟู่หลินก็ออกไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้าน สถานที่ที่คุ้นเคยทำให้นางรู้สึกปลอดโปร่งยิ่งนัก เมื่อนางเดินไปได้เพียงสักครู่หนึ่ง สายตาก็บรรจบกับหนี่เส้าจวินเข้า เผิงฟู่หลินหันหลังกลับโดยอัตโนมัติ นางพยายามเดินเลี่ยงออกไปอีกทางหนึ่งอย่างไม่อยากเห็นหน้าเขาให้เสียอารมณ์หนี่เส้าจวินที่ได้เห็นเผิงฟู่หลิน เขารีบเดินเข้าไปขวางตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว “ชายาของข้าเป็นเช่นไรบ้าง เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่” หนี่เส้าจวินเอ่ยทักทายด้วยท่
บทที่ 16 เผชิญหน้าเมื่อหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินก้าวเข้ามาด้านในห้องโถง พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อพบเจอแขกที่ไม่คาดคิดตรงหน้าหนี่เส้าจวินมีสีหน้าเข้มขึงลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เผิงฟู่หลินกลับมีสีหน้าซีดเผือด นางยังมิทันได้เตรียมใจในการเผชิญหน้ากับอดีตคนที่นางรักและพี่สาวจอมฉวยโอกาสเช่นนี้ เผิงฟู่หลินเบือนหน้าหนีทั้งสองอย่างไม่สบอารมณ์หนี่เส้าจวินปรายตามองไปยังเผิงฟู่หลินที่มีปฏิกิริยาดังกล่าว พลางทำให้เขาอดนึกถึงความรักที่นางเคยมีให้หนี่ซูเว่ยอย่างไม่อาจตัดใจได้ ก็ยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจนัก ความหึงหวงแล่นเข้ามาภายในจนเขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้“คารวะเสด็จพี่ ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านจะมาเป็นแขกในวันนี้” หนี่เส้าจวินกล่าวทักทายด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์“ว่านเอ๋อร์คิดถึงบ้านยิ่งนัก ข้ามิอาจใจร้ายลงได้หรอก วันนี้ได้ยินว่าหลินเอ๋อร์ก็กลับมาเยี่ยมบ้านเช่นกัน ข้าจึงคิดว่าหากพี่น้องได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตา นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง ใช่หรือไม่ว่านเอ๋อร์” หนี่ซูเว่ยตอบกลับอย่างไม่สนใจกับท่าทีดังกล่าวของหนี่เส้าจวิน เขาหันไปพะเน้าพะนอเผิงเสี่ยวว่านอย่างเอาใจเผิงเสี่ยวว่านปรายตามองเผิงฟู
บทที่ 17 ฟ้าครึ้มเมฆดำหลังจากหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินเดินออกจากห้องไป ราชครูเผิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ฮูหยินเซียงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดลงด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว นางได้แต่นึกก่นด่าเผิงเสี่ยวว่านในใจที่กลับมาเอาในเวลานี้ผิดกับเผิงเสี่ยวว่านที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางรู้สึกยินดียิ่งนัก การได้เห็นสีหน้าซีดเผือดและดวงตาหม่นหมองของคนในจวนแห่งนี้เป็นสิ่งที่นางรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง นางแอบมองด้วยสายตาเย้ยหยันพร้อมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พอใจที่เห็นความทุกข์ของเผิงฟู่หลินและครอบครัวหนี่ซูเว่ยมองตามเผิงฟู่หลินออกไปด้วยสายตาหม่นแสง ความร่าเริงที่นางเคยมีบัดนี้กลับมลายสายไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เขาอดนึกสงสารนางไม่ได้ เพราะต้นเหตุของเรื่องดังกล่าวก็ล้วนแล้วเกิดแต่ตนเองเสียสิ้น เขาถอนหายใจเบา ๆ และก้มหน้าลงทานข้าวอย่างเงียบ ๆ อีกครั้งหลังจากทานข้าวเรียบร้อย ราชครูเผิงก็ให้สาวใช้พาหนี่ซูเว่ยและเผิงเสี่ยวว่านไปยังเรือนเดิมของเผิงเสี่ยวว่าน เมื่อทั้งสองอยู่ภายในห้องตามลำพัง หนี่ซูเว่ยก็เอ่ยออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น"ว่านเอ๋อร์ เจ้าว่าหลินเอ๋อร์...เอ่อ...นางดูไม่สดใสเช่นเดิมหรือไม่" หนี่ซูเว่ยถามด้ว
บทที่ 18 เพราะเหตุใดในค่ำวันนั้นหนี่เส้าจวินกลับมาที่ห้องของเผิงฟู่หลินด้วยสภาพเมามาย หลังจากมีปากเสียงกับเผิงฟู่หลินเขาก็ออกไปนั่งดื่มสุราที่หอชมจันทร์ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งภายในเมือง ความอึดอัดและกลัดกลุ้มทำให้เขาดื่มไปค่อนข้างมากแม้ว่าเขาจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเผิงฟู่หลินรักใคร่ในตัวหนี่ซูเว่ยมากเพียงใด แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าและท่าทีที่นางมีต่อหนี่ซูเว่ยในวันนี้ เขากลับรู้สึกเจ็บจุกไปทั่วร่าง ความหึงหวงแล่นเข้ามาในจิตใจจนเขายากจะทำใจยอมรับได้ เผิงฟู่หลินที่กำลังนอนหลับอยู่ที่เตียง นางสะดุ้งขึ้นสุดตัวด้วยความตกใจ ก่อนจะลุกขึ้นเข้าประคองหนี่เส้าจวินที่มีท่าทางซวนเซ กลิ่นสุราฉุนขึ้นมาจนนางรู้สึกแสบร้อนในจมูก “ท่านอ๋อง เหตุใดจึงเมามายเช่นนี้” เผิงฟู่หลินพยุงหนี่เส้าจวินมาที่เตียง หนี่เส้าจวินหรี่ตามองหน้าเผิงฟู่หลินด้วยสายตาตัดพ้อ โดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของเผิงฟู่หลิน เขาอารมณ์พลุ่งพล่านเต็มไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวดในใจ นางเป็นคนรักเก่าของหนี่ซูเว่ย แต่เขาไม่อาจทนเห็นนางมองหนี่ซูเว่ยด้วยสายตาเว้าวอนเช่นนั้นได้หนี่เส้าจวินผลักเผิงฟู่หลินออกห่างจากตัวก่อนจะเดิ
บทที่ 19 ตัดเยื่อใยเผิงฟู่หลินเดินกลับเข้ามายังเรือนนอนอีกครั้ง พร้อมกับล้มตัวลงนอนที่เตียงด้านข้างหนี่เส้าจวิน เปลวเทียนสลัวสาดรดลงบนใบหน้าของเขา นางเผลอตัวยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าคมเข้มอย่างลืมตัว“เจ้าจูเคยบอกข้าว่าท่านมิใช่คนเลวร้ายอันใด เช่นนั้นข้าควรฝากชีวิตไว้กับท่านใช่หรือไม่” เผิงฟู่หลินเพ้อออกมา นางรู้สึกอดแปลกใจมิได้ที่เมื่อครู่ขณะที่นางเผชิญหน้ากับหนี่ซูเว่ย นางกลับมิได้รู้สึกเจ็บปวดเช่นทุกครั้งไป แต่กลับปรากฏภาพเงาของคนคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ ภาพเงาที่ทำให้นางอดนึกหวั่นไหวภายในใจอย่างยากจะควบคุมเผิงฟู่หลินกำลังจะล้มตัวลงนอน ฉับพลันมือหนาก็โอบร่างบางเข้าหาลำตัวพร้อมโอบกอดนางเอาไว้แน่น เผิงฟู่หลินถึงกับชะงักตัวแข็งเกร็งพร้อมเบิกตากว้างด้วยความตกใจแต่เมื่อสัมผัสกับลมหายใจอุ่นที่เป่ารดนางอย่างสม่ำเสมอเช่นเดิม ทำให้นางค่อยรู้สึกผ่อนคลายลง หนี่เส้าจวินยังคงหลับสนิทเช่นเคยแตกต่างเพียงความอุ่นร้อนของร่างกายที่แผ่ซ่านมายังตัวนางไม่หยุด หัวใจของเผิงฟู่หลินเต้นแรงเป็นจังหวะหากแต่นางก็มิได้ขัดขืนตัวออกห่างเช่นทุกครั้งไปเผิงฟู่หลินกะพริบตามองหนี่เส้าจวินอย่างตั้งใจอีกครั้ง แต่เมื่อมิพบควา
บทที่ 64 งานมงคลพิธีสมรสพระราชทานระหว่างหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ เหล่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายต่างเดินทางมาเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ โต๊ะจัดเลี้ยงถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ พรมแดงยาวทอดจากประตูหน้าจวนเข้าสู่ห้องโถงใหญ่เผิงฟู่หลินสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มผืนยาวพลิ้วไหวจากผ้าไหมชั้นดี นางแต่งกายงดงามสมกับชื่อเสียงเรื่องความโฉมสะคราญ เผิงฟู่หลินก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่างามยิ่งนักหนี่ซูเว่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับพระชายาของเขา หนี่ซูเว่ยเฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกที่ปนเประหว่างความเศร้าและความยินดี หัวใจของเขาหนักหน่วงขึ้นมาจากความรู้สึกที่ฝังลึกลงไปในใจ เผิงซูเว่ยทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะปรับสีหน้าและยิ้มกว้างออกมาให้นางด้วยความยินดี “หลินเอ๋อร์...เจ้าคู่ควรกับความสุขนี้” เขากระซิบกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความจริงใจในขณะที่บรรยากาศภายในงานดำเนินไปอย่างราบรื่น ทางด้านนอกห้องโถงอันเงียบสงัด เสี่ยวเหวินโหลยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน เขามองภาพของเผิงฟู่หลินที่เดินเข้ามาในงานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
บทที่ 63 ท่านเป็นท่านพ่อข้าหรอกหรือยามสายของวันใหม่อากาศปลอดโปร่งยิ่งนัก หนี่เส้าจวินพิงกายขึ้นนั่ง ดวงตาคู่คมเข้มของเขาจับจ้องใบหน้าของเผิงฟู่หลินที่กำลังหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียจากการถูกเขารังแกไม่หยุดในค่ำคืนที่ผ่านมา แววตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง ทั้งหวงแหน ทั้งรักใคร่ เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่ยอมลุกขึ้นหรือปลุกหญิงสาวจากการหลับใหล รอยยิ้มกรุ้มกริ่มฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา หนี่เส้าจวินยังคงจ้องมองหน้านางอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้หนี่เส้าจวินหันหน้าไปมองด้วยสายตาขัดใจที่ถูกรบกวน เผิงฟู่หลินปรือตาขึ้นมาเมื่อเห็นเจ้าจูยืนอยู่ข้างหน้าประตู เจ้าจูได้แต่ก้มหน้านิ่งพร้อมใบหน้าแดงก่ำด้วยความกระดากอาย“ท่านอ๋องและคุณหนู ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ” เจ้าจูพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่แม้แต่จะมองสภาพภายในห้องที่ราวกับผ่านศึกสงครามครั้งใหญ่“เจ้ามาช่วยข้าที” เผิงฟู่หลินบอกกล่าวออกไป“พวกเรามิต้องเร่งรีบนักหรอก ทุกคนคงเข้าใจได้ดี” หนี่เส้าจวินพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยท่าทางราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใด เผิงฟู่หลินได้แต่นึกหมั่นไส้คนตรงหน้าพร้อมค้อนขวับใส่เขาไปหนึ่งที“ท่านอ๋องลืมแ
บทที่ 62 บุตรของข้าท้องฟ้าภายนอกยังคงมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ ทำให้ผ้าม่านสีขาวบางบนหน้าต่างสะบัดเล็กน้อย เผิงฟู่หลินขยับกายช้าๆ ไล่ความเมื่อยขบที่ได้รับจากการเคี่ยวกรำของหนี่เส้าจวินอย่างต่อเนื่อง แม้นางจะยังคงอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่ทว่าร่างหนาของหนี่เส้าจวินที่เกยก่ายนางเอาไว้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาหนี่เส้าจวินนอนอยู่ข้างกาย เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ยามหลับตาใบหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ไม่ดุดันและเคร่งขรึมเฉกเช่นยามปกติเผิงฟู่หลินพลิกตัวขึ้นจ้องมองดูใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างเต็มสองตา บุรุษที่มักมารบกวนนางในยามหลับฝัน บัดนี้อยู่ใกล้เพียงลมหายใจเข้าออก เผิงฟู่หลินเหม่อมองอย่างใจลอย ความลืมตัวทำให้นางขยับมือขึ้นมาลูบไล้ไปตามใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวสัมผัสไปตามหน้าผากไล้ไปตามแผงคิ้วสีดำเข้มไล่ลงมาที่สันจมูกที่คมเข้ม ริมฝีปากที่หนาเชิดรับกับใบหน้า ทำให้เขาดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อเผิงฟู่หลินอดที่จะยกยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้ แต่ทันใดนั้นร่างของเธอก็ปลิวขึ้นมาทาบอยู่บนตัวของหนี่เส้าจวิน เขาปรือตาขึ้นพร้อมดึงตัวนางขึ้นมาก่ายเกยแนบชิดที่หน้าอก ร
บทที่ 61 สะสางหนี่เส้าจวินสาวเท้าก้าวเข้ามาภายในเรือนนอนของเผิงฟู่หลิน ทุกย่างก้าวของเขาหนักแน่นและดุดัน แววตาของเขาเย็นยะเยือกจนน่าหวาดหวั่นใจเผิงฟู่หลินพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่หนี่เส้าจวินกลับใช้พละกำลังที่มีรัดนางจนแทบขยับไม่ได้ สองมือปัดป่ายทุบตีไปตามแผ่นหลัง แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มิได้ส่งผลอันใดกลับมาหนี่เส้าจวินเดินตรงไปยังที่เตียงนอน ก่อนจะโยนร่างของเผิงฟู่หลินลงบนเตียงในทันที จากนั้นเขาจึงหันหลังเดินกลับไปแล้วปิดประตูลงอย่างเต็มแรงเสียงประตูที่ปิดกระแทกลงเสียงดังสนั่นทำเอาเผิงฟู่หลินถึงกับสะดุ้งสุดตัว นางถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้สะโพกของนางกระแทกลงบนฟูกอย่างแรงเผิงฟู่หลินรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความขุ่นเคืองใจ ลมหายใจหอบเหนื่อยจากการดิ้นรนเมื่อครู่ นางยืนประจันหน้ากับหนี่เส้าจวินอีกครั้งหนี่เส้าจวินหันมาเผชิญหน้ากับเผิงฟู่หลินด้วยสายตาที่ดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความโกรธเคืองที่มีร้อนระอุไปทั่วร่างกายของเขา นางหายตัวไปเกือบหกปีทั้งยังกลับมาพร้อมเด็กชายอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกนางว่า “แม่” เสียอีก แค่เพียงคิดว่านางคลอเคลียกับบุรุษคนอื่นก็ทำเอาหนี้เส้าจวินแทบค
บทที่ 60 พบกันอีกคราเผิงฟู่หลินเดินทางกลับมายังจวนสกุลเผิง นางเงยหน้าขึ้นมองประตูที่หน้าจวนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก หกปีแล้วที่นางจากไปแต่ทว่าจวนสกุลเผิงยังคงสงบไม่แตกต่างจากในวันวานเผิงฟู่หลินก้าวเท้าเข้าไปภายในจวน พ่อบ้านรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมรายงานว่านายท่านทั้งสามอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เผิงฟู่หลินจึงเดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อพบกับครอบครัวในทันทีราชครูเผิง ฮูหยินเซียงและเผิงอันอวี้กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ทันทีที่ทั้งสามเห็นเผิงฟู่หลินก็แสดงสีหน้าดีใจอย่างยิ่ง ฮูหยินเซียงรีบก้าวเท้าเข้ามากอดเผิงฟู่หลินเอาไว้แน่น “หลินเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว”“หลินเอ๋อร์...เจ้ากลับมาครั้งนี้คงมิคิดจะออกเดินทางอีกใช่หรือไม่” เผิงอันอวี้ที่ก้าวเท้ามาตรงหน้าเผิงฟู่หลิน พร้อมกล่าวดักคอน้องสาวของตนในทันที“พี่ใหญ่ ข้าได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว สถานที่ใดที่ข้าเคยใฝ่ฝันข้าล้วนได้เห็นกับตาตนเองทั้งสิ้น บัดนี้ข้าจะกลับมาอยู่บ้าน ข้าจะกลับมาอยู่กับครอบครัวของข้า” เผิงฟู่หลินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส หกปีที่ผ่านมานางได้เดินทางไปทั่ว ทั้งดินแดนตอนเหนือจนถึงดินแดนตอนใต้ สถานที่ที่นางเคยได้แต่จินตนาการจากการ
บทที่ 59 เจ้าหนีข้าไปแล้วหนี่เส้าจวินแทบคลุ้มคลั่งเมื่อได้รับข่าวว่าเผิงฟู่หลินได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะกล้าทำเช่นนี้กับเขา เผิงฟู่หลิน...นางหนีจากเขาไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ“พวกเจ้าออกตามหาพระชายาทุกเส้นทาง ต้องตามหานางให้เจอ” คำสั่งที่ดุดันแฝงความโกรธเคือง ทำให้เหล่าองครักษ์รีบรับคำสั่งพร้อมกระจายตัวออกตามหาในทันที“ว่าไงนะ” เสียงตะคอกดังลั่นไปทั่วจวน เมื่อองครักษ์กลับมารายงานว่าไม่พบร่องรอยของเผิงฟู่หลินเลยแม้แต่น้อยหนี้เส้าจวินที่หัวเสียอย่างมาก เขาทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นไปทั่วห้องอักษร ทำเอาเหล่าองครักษ์ได้แต่ยืนแข็งเกร็ง เหงื่อไหลซึมออกมาด้วยกลัวโทสะของหนี่เส้าจวิน“ตามหาต่อไป แม่ทัพเผิงแจ้งข่าวว่านางเดินทางไปดินแดนใต้ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะหานางไม่พบ”ทั้งที่หนี่เส้าจวินคิดว่าเผิงฟู่หลินไม่มีทางหนีไปไหนได้ไกล ทว่าเวลาผ่านไปเกือบเดือนก็ยังคงไม่มีวี่แววใดๆ ของนาง เขาสั่งการให้ทหารออกตามหาเผิงฟู่หลินในทุกเส้นทางและทุกทิศที่นางอาจจะเดินทางได้ แต่หนี้เส้าจวินกลับไม่รู้ว่าเผิงฟู่หลินได้เปลี่ยนเส้นทางขึ้นไปยังดินแดนทางเหนือแล้ว ดังนั้นการตามหาของเขาก็ไม่ต่างจากการง
บทที่ 58 การเดินทางไกลในช่วงสายของวัน เผิงฟู่หลินและเจ้าจูก็ได้เดินทางออกจากจวนโดยมิได้ร่ำลาผู้ใด พวกนางออกจากประตูเมืองและตามไปสมทบกับเสี่ยวเหวินโหลที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองเสี่ยวเหวินโหลเห็นเผิงฟู่หลินก็รู้สึกยินดียิ่ง เขายิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว“คำนับคุณหนูเผิง” เสี่ยวเหวินโหลทักทายอย่างเกรงใจ“ท่านอย่าเกรงใจเช่นนี้อีกเลย ต่อไปพวกเราทั้งสามถือเสียว่าเป็นสหายร่วมเดินทางกัน ต่อไปข้าเรียกเจ้าว่าฟู่หลิน ส่วนข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่เหวินโหลแล้วกัน” เผิงฟู่หลินเสนอออกไปเสี่ยวเหวินโหลถึงกับก้มหน้าข่มความเคอะเขินที่มี “ฟู่หลิน...”รถม้าถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย ทำให้การเดินทางของเผิงฟู่หลิน เจ้าจู และเสี่ยวเหวินโหลค่อนข้างเป็นไปด้วยความราบรื่นลมหนาวยามเช้าพัดผ่านป่าเขาอันเงียบสงบ เสียงใบไม้ปลิวไสวกระทบกันดั่งเสียงดนตรีแห่งธรรมชาติ บนทางเดินที่เต็มไปด้วยหินกรวด รถม้ายังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพักเผิงฟู่หลินที่นั่งอยู่ในด้านเปิดม่านขึ้นพร้อมยื่นหน้าออกไปชมทิวทัศน์ด้านนอก ความสวยงามและความเขียวขจีทำให้ใจของนางรู้สึกสงบลงไปอย่างมาก แสงอาทิตย์อ่อน ๆ แผ่วเบาส่องทะลุทิวไม้ ทำให้เงาใบไม้ส่อง
บทที่ 57 ค่ำคืนสุดท้ายในค่ำคืนนี้แสงจันทร์สลัวสาดส่องเข้ามาภายในห้อง เผิงฟู่หลินนั่งนิ่งอยู่ที่เตียงนอน ดวงตาของนางจับจ้องไปยังประตูดั่งคนที่กำลังรอคอยบางอย่างอยู่ สีหน้าของนางค่อนข้างแสดงถึงความกังวลใจที่มี สองมือบิดเกร็งไปมาด้วยความกระสับกระส่ายคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เผิงฟู่หลินจะอยู่ที่เมืองหลวงเนื่องจากนางได้นัดแนะกับเจ้าจูและเสี่ยวเหวินโหลในการออกเดินทางไกลในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเผิงฟู่หลินจึงอยากที่จะพบกับหนี่เส้าจวินอีกสักครั้งเพราะอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกันอีกทันใดนั้น ร่างใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างเตียง หนี่เส้าจวินก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเงียบขรึม ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องไปที่ร่างบางของเผิงฟู่หลินเผิงฟู่หลินเงยหน้าขึ้นมองหนี่เส้าจวินด้วยสายตาที่เศร้าสลดลง ก่อนจะปรับสีหน้ายกยิ้มให้เขาอีกครั้ง เผิงฟู่หลินลุกขึ้นเดินไปยืนตรงหน้าของหนี่เส้าจวิน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าคมเข้มนั้นอย่างเบามือหนี่เส้าจวินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจกับท่าทีที่เผิงฟู่หลินมีให้ แม้ทั้งคู่จะเข้ากันได้ดียามอยู่บนเตียง แต่ทุกครั้งที่เขามาหานาง เผิงฟู่หลินมักแสดงท่าทีผลักไสและ
บทที่ 56 ทำตามความใฝ่ฝันแสงตะวันยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในเรือน เผิงฟู่หลินปรือตาขึ้นด้วยความเมื่อยขบไปทั้งตัว ใบหน้างดงามขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกขัดเคืองใจ เมื่อคืนหนี่เส้าจวินเคี่ยวกรำนางไม่หยุดราวกับคนที่อดอยากหิวโหยก็ไม่ปาน ทว่าบัดนี้หนี่เส้าจวินได้ออกจากห้องไปตั้งแต่ยามรุ่งสาง แต่สัมผัสของเขายังคงติดตรึงอบอวลอยู่ไปทั่วบริเวณเจ้าจูเข้ามาภายในห้องพร้อมทำหน้าประหลาดใจ สภาพของเผิงฟู่หลินราวกับผ่านสมรภูมิอันดุเดือด จนเสื้อผ้าและผมเผ้านั้นยุ่งเหยิงไปหมด“คุณหนู...ท่าน...” เจ้าจูรีบปิดปากเมื่อคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน“เจ้าอย่าพูดมาก รีบพาข้าไปอาบน้ำที” เผิงฟู่หลินขยับกายลุกขึ้นอย่างอ่อนแรงเจ้าจูรีบเข้ามาประคองพร้อมพานายหญิงของตนไปที่อ่างน้ำทันทีหลังจากแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อย เผิงฟู่หลินกำชับเจ้าจูมิให้บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด เจ้าจูรับคำโดยเร็วแต่ยังคงอดสงสัยมิได้ว่าผู้ใดกันที่กล้าบุกรุกจวนสกุลเผิงเช่นนี้นับแต่นั้นหนี่เส้าจวินก็มักจะลักลอบเข้าหาเผิงฟู่หลินไม่ต่างจากชายชู้ในบทนิยาย เผิงฟู่หลินแม้จะยอมรับว่าร่างกายของนางเองก็ต้องการเขาไม่ต่างกัน แต่ภายในใจกลับหวาดหวั่นและยังคงสร้างก