"เจ้ากำลังทำอะไร" โม่จ้าวหยวนนิ่วหน้าด้วยความฉงน เมื่อเห็นหลี่หลานซินลากท่อนไม้ถือเถาวัลย์พะรุงพะรังเต็มไปหมด
"ท่านอยากนอนเป็นผักอยู่ตรงนั้นหรืออย่างไร" ท่อนขาเรียวเดินโผเผเข้าไปใกล้เขา
นางยอบกายวางสัมภาระเกรงว่าคงต้องเรียกสัมภารกเสียมากกว่าลงบนพื้น หลี่หลานซินโน้มตัวโอบประคองโม่จ้าวหยวนเพื่อช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งและเอนหลังแนบต้นไม้ใหญ่ ผู้บาดเจ็บไม่ได้ปริปากเอ่ยคำใดเขาเพียงทำตามอีกฝ่ายอย่างเชื่องเชื่อเท่านั้น
"หิวน้ำหรือไม่" หลี่หลานซินกล่าวถาม
โม่จ้าวหยวนพยักหน้าตอบ แม้ทั้งสองไม่ลงรอยกันเท่าใด ทว่าเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ซ้ำยังเหลือกันเพียงสองคน จึงจำใจต้องอยู่กันอย่างน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าไปโดยปริยาย
หลี่หลานซินปลดกระบอกน้ำซึ่งทำจากไม้ไผ่บริเวณข้างเอวออก พลันยื่นส่งให้เขา
"อ๊ะ..."
โม่จ้าวหยวนลดสายตามองกระบอกไม้ไผ่ตาปริบ ๆ เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตา คาดไม่ถึงว่าคุณหนูขี้วีน นั่งกินนอนกิน ผลัดหน้าขาวไปวัน ๆ นั้นสามารถเอาตัวรอดขณะติดกลางป่ากลางเขาได้อย่างคล่องแคล่วนัก
โม
หลี่หลานซินตัวแข็งทื่อราวดินปั้นไม้แกะสลัก ต่อให้โม่จ้าวหยวนเป็นพระเอกในอุดมคติของนางแล้วอย่างไร เวลาเช่นนี้นิสัยเสเพลของเขายังแก้ไม่หาย ก็นับว่าเป็นเพียงคุณชายไม่เอาไหน ถึงจะบอกว่าสามารถเปลี่ยนนิสัยพระเอกได้ในภายหลัง ทว่านั่นเป็นหน้าที่ของนางเอก หากให้นางร้ายเช่นนางเป็นผู้แก้ไข เรื่องราวมิกลายเป็นตาลปัตร และเกิดหายนะหนักยิ่งกว่าเดิมหรอกหรือขาที่หยุดนิ่งออกเดินตุปัดตุเป๋กันต่อไป หลี่หลานซินยิ้มแหย "เอ่อ...คุณชายโม่ ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่""เรื่องใด?" โม่จ้าวหยวนเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง"ท่านและคุณหนูจูจื่ออี๋ เอ่อ...คือ..."หลี่หลานซินทราบดีว่าไม่ควรถามเรื่องนี้ออกไป กระนั้นนางกลับอยากรู้จริง ๆ ว่าเนื้อเรื่องมันเดินทางมาถึงบทไหนแล้ว เผื่อว่านางอาจสามารถพลิกสถานการณ์ได้ทันท่วงที"ท่านทั้งสองหมั้นหมายกันแล้วหรือไม่"โม่จ้าวหยวนหยุดเดินเดี๋ยวนั้น "พูดอะไรของเจ้า ข้าจะหมั้นหมายกับนางด้วยเรื่องใด""หา...นี่ท่านไม่ได้ชอบนางหรือ ละ...แล้วจะหมั้นกันเมื่อใด"ยิ่งพูดก็ยิ่งงุนงง วันที่ไฟไหม้จวนตระกูลโม่ นั่นใกล้ถึงตอนจบแล้วไม่ใช่หรือ
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าจวนหลังเล็กด้านในเงียบเชียบประดุจไร้ผู้คน พวกเขาเหลียวมองหน้ากันหลุกหลิก หลี่หลานซินจึงตัดสินใจตะโกนสอบถาม"มีใครอยู่ไหมเจ้าคะ""..."หลี่หลานซินร้องเรียกประมาณสองสามครา ทว่าสรรพสิ่งรอบด้านกลับตกอยู่ในความเงียบสงัดดังเดิมทั้งสองเหลียวมองหน้ากันอีกหนเพราะไม่รู้ควรทำเช่นไร หากคนด้านในไม่ตอบรับ อาจต้องถือวิสาสะเข้าไปให้สิ้นเรื่อง เจ้าของจวนคงมิได้ใจไม้ไส้ระกำกระมัง หากพบว่ามีคนกำลังตกระกรรมลำบากอยู่เบื้องหน้า"พวกท่านมาหาใครหรือ" อยู่ ๆ น้ำเสียงสั่นเครือพลันดังสะท้อนทำลายความเงียบงันส่งผลให้หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษสะดุ้งตัวโยน หลี่หลานซินค่อย ๆ ประคองกายคนด้านข้างหมุนกลับไปด้วยกันเบื้องหลังพวกเขาคือหญิงชราผู้หนึ่ง ในมือเหี่ยวย่นถือโคมไฟส่องทางสว่างไสว ทว่าเมื่อสะท้อนใบหน้าอีกฝ่ายจนเห็นชัดกระจะตา หลี่หลานซินและโม่จ้าวหยวนถึงกับพร้อมใจกันผงะอีกหน"เอ่อ...ท่านยายเจ้าคะ พอดีว่าพวกข้าหลงทางมา เลยต้องการขอพึ่งพิงที่นี่ชั่วคราว ไม่ทราบว่าท่านพอช่วยเหลือพวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ หากพว
"แม่หนู เจ้ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ""เจ้าคะ" หลี่หลานซินงุนงงไม่ใช่นางเคยบอกแล้วหรือว่าตนหลงทางเข้ามา ไฉนคำถามดูทะแม่ง ๆ เยี่ยงนี้เล่า หลี่หลานซินสลัดข้อสงสัยนั้นทิ้งไป พลางเอ่ยต่อ"หลงทางมาเจ้าค่ะ"ท่านยายแก่แล้ว จึงขี้หลงขี้ลืมอย่างนั้นหรือหญิงชราพยักหน้าตอบ นางจึงทำอาหารต่อไปอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ ตามประสาผู้สูงวัยหลี่หลานซินเห็นเช่นนั้นจึงคิดอยากเป็นลูกมืออีกแรง"ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าช่วยนะเจ้าคะ""ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปดูแลสามีเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง หรือว่าหิวแล้วเล่า""เอ่อ...เขาไม่ใช่...""หืม..." ใบหน้าเหี่ยวย่นเหลียวมองนาง แววตาหม่นแสงดูแปลกพิกล คำพูดแก้ต่างเมื่อครู่ถูกกลืนลงไปเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนแม่เฒ่าผู้นี้ปักใจเชื่อว่าหลี่หลานซิน และโม่จ้าวหยวนเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ หลี่หลานซินไม่อยากทำร้ายน้ำใจอีกฝ่าย นางจำต้องปล่อยเรือให้ไหลตามน้ำอย่างช่วยไม่ได้"ขะ...ข้าเริ่มหิวแล้ว...แต่ว่า เดี๋ยวข้าไปดูเขาเสียหน่อยดีกว่าเจ้าค่ะ" หลี่หลานซินกล่าวเส
"หยางหง ทำยังไงดีเนี่ย ทำไมคิดไม่ออกว่าควรจบแบบไหน เฮ้อ..." หลี่หยางหงกุมขมับฟุบหน้าลงบนโต๊ะราวหมดอาลัยตายอยากนิยายดำเนินเรื่องใกล้ถึงตอนสุดท้ายแล้ว ทว่าหลี่หยางหงกลับไม่อาจแก้ปมที่ตนผูกเอาไว้ตั้งแต่ต้นได้ นักเขียนผู้ซึ่งสมองมีคลังความรู้เพียงหางอึ่งต้องการเขียนนิยายให้จบสักเรื่องเหตุใดจึงยากเย็นแสนเข็ญนักเล่า ครั้นจะตัดจบโดยการให้นางร้ายต้องตายอย่างสาสม หลี่หยางหงดันใจไม่แข็งพอ ต่อให้ร้ายกาจเพียงใดก็ไม่ควรมีจุดจบเช่นนี้มิใช่หรือ คนเราย่อมมีความจำเป็นที่หลงผิดไปชั่วขณะ ทว่าหากตัดสินใจเดินอยู่บนเส้นทางอันมืดมน คิดอยากหันหัวเรือกลับก็หาใช่เรื่องง่ายดายแล้ว เช่นนั้นการพลิกผันของตอนจบควรเป็นเช่นไรดีเล่า หลี่หยางหงตระหนักนึกอยู่นานสองนาน เพราะร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนมาเป็นเวลาสองสามวันแล้วจึงเริ่มทำพิษ ความรู้สึกอ่อนเพลียหน้ามืดเกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว"เวียนหัวจัง เฮ้อ...หรือนางร้ายต้องตายจริง ๆ นะ" หลี่หยางหงเอ่ยพึมพำ เปลือกตาบางเริ่มปริ่มปรือลงช้า ๆ สติสัมปชัญญะพลันดับวูบลงในที่สุด .."คุณหนู คุณหนู ตื่นเร็วเจ้าค่ะ"เสียงสตรีร้องตื่นตูม พลางเขย่าร่างผู้เป็นนายซึ่งนอนหลับใหลไร้สติอยู
"นายท่าน นายท่านเจ้าคะ" ถิงถิงวิ่งหน้าตั้ง กล่าวละล่ำละลัก ทั่วใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าดินดำและรอยน้ำตาเขรอะเสียจนดูไม่ได้ ผู้คนที่คลาคล่ำภายในห้องโถงใหญ่ต่างฝ่ายต่างอยู่ในอาการตื่นตระหนก จวนของเศรษฐีโม่เกิดเพลิงไหม้กะทันหันได้อย่างไร หรือว่ามีคนจงใจสร้างเรื่องก่อความวุ่นวายเพื่อดักปล้นผ้าทอล้ำค่าเหล่านี้กันเล่า "ถิงถิง ใจเย็นก่อน แล้วนี่ไฉนจึงมอมแมมเช่นนี้รึ คุณหนูเจ้าไปอยู่ที่ใด" หลี่จิ้งตงตระหนกไม่แพ้กัน เขากวาดสายตามองหาบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนให้ทั่วทว่ากลับไม่พบกระทั่งเงาของนาง"คะ...คุณหนู คุณหนูหลานซินติดอยู่ในกองเพลิงเจ้าค่ะ!" "หา!..." หลี่จิ้งตงโพล่งเสียงดัง เจียงห่ายกวงซึ่งยืนอยู่ใกล้บริเวณนั้นหูผึ่ง เขารีบถลันกายเข้าหาเพื่อสอบถามทันที "ถิงถิง เจ้าว่าอย่างไนนะ!?"ถิงถิงหน้าซีดเผือด กล่าวเสียงอ้อมแอ้ม "คุณหนูหลานซินติดอยู่ในกองเพลิงเจ้าค่ะ"หลี่จิ้งตงได้ยินอีกคราแทบเกิดลมจับ โชคดียังมีบรรดาผู้คนบริเวณนั้นช่วยกันประคองไว้ได้ ไม่เช่นนั้นร่างอ้วนท้วนนี้คงได้ล้มหงายท้องตึงหมดสติแล้วเป็นแน่ เจียงห่ายกวงขมวดคิ้ว "เมื่อสักครู่ข้าเห็นหลานซินอยู่ตรงนี้ คลาดสายตาเพียงป
โม่จ้าวหยวนมาถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว หลี่หลานซินอยู่ด้านในจริง ๆ ดูเหมือนคุณชายเจียงห่ายกวงนั้นช่วยเหลือนางสำเร็จ หลี่หลานซินขดกายอยู่ในอ้อมแขนของเจียงห่ายกวงพลางกระแอมไอเสียยกใหญ่ จากใบหน้าเกลี้ยงเกลางดงามกลับเปื้อนเขรอะไปด้วยคราบเขม่าจนดูไม่จืด โม่จ้าวหยวนหรี่นัยน์ตา ลอบสังเกตความผิดปกติอยู่ชั่วครู่อาภรณ์สีมรกตตัวนี้คล้ายกับสตรีต้องสงสัยไม่ผิดเพี้ยน นางแอบย้อนกลับมาสร้างเรื่องให้ตนเองต้องเจ็บตัวอย่างนั้นหรือ บ้าระห่ำเกินไปหน่อยหรือไม่ โม่จ้าวหยวนสาวเท้าเข้าใกล้พวกเขา พลางลดดวงตาจ้องหลี่หลานซินเขม็งเกร็งหลี่หยางหงในร่างของหลี่หลานซินช้อนดวงตาขึ้นทันได้ประสานเข้ากับนัยน์ตาคมปลาบพอดิบพอดี นางรีบหลุบเปลือกตาลงเดี๋ยวนั้น หัวใจกระเพื่อมไหว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก แล้วจึงแสร้งไอเพื่อกลบเกลื่อนแค่ก แค่กชะ...ใช่หมอนี่หรือเปล่า โม่จ้าวหยวน หน้าตาและท่าทางดูเหมือนจะใช่นะหลี่หยางหงตบตีกับความคิดตนอยู่ในใจ ต่อไปนี้นางจะใช้นามของหลี่หยางหงไม่ได้อีกต่อไป คงต้องเปลี่ยนมาใช้หลี่หลานซินเต็มตัวหลี่หยางหงเป็นนักเขียนถ่ายทอดอารมณ์และลักษณะของตัวละครผ่านตัวอักษรเท่านั้น ใช่นางสามารถมองออกในปราดเดียวว่าผู้
เรื่องเพลิงไหม้ในวันนั้นไม่สามารถจับมือผู้ใดดมได้ บรรดาบ่าวรับใช้ในห้องครัวต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเกิดจากอุบัติเหตุ ดูเหมือนคุณหนูหลานซินและคุณหนูจื่ออี๋ประสงค์ดีอยากช่วยแบ่งเบา จึงขันอาสาจัดแจงของว่างอยู่ในครัว คาดไม่ถึงว่าคุณหนูทั้งสองไม่มีผู้ใดชำนาญการทำอาหารสักนาง เพียงหยิบโน่นจับนี่ทุกอย่างก็แทบวอดวาย โดยเฉพาะคุณหนูหลานซิน นางไม่สันทัดเรื่องละเอียดอ่อนทำนองนี้เอาเสียเลย ทว่าอุตริอยากออกหน้าเพียงเพราะเห็นคุณหนูจื่ออี๋เข้ามาก็เพียงเท่านั้น อุบัติเหตุจึงบังเกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว เมื่อคุณหนูหลานซินและคุณหนูจื่ออี๋แย่งน้ำมันกัน ทำให้ของเหลวหกเลอะพื้น บ่าวรับใช้ที่อยู่ในนั้นไม่กี่คนต่างตกใจจนหน้าถอดสี บางคนปลีกตัวออกมาเพื่อไปรายงานผู้เป็นนายยังห้องโถงใหญ่ ทว่าบางคนออกหาอุปกรณ์เพื่อทำความสะอาด ผู้ใดจะทันคาดคิด เมื่อหวนมายังห้องครัว เปลวเพลิงกลับลุกลามไปทั่วทั้งห้องจนเกินเยียวยาเสียแล้ว ซ้ำร้ายคุณหนูทั้งสองยังติดอยู่ด้านในอีกด้วยคำให้การของบ่าวรับใช้ทั้งจวนล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้โม่จ้าวหยวนไม่อาจปรักปรำผู้อื่นส่งเดช ทุกอย่างกระจ่างชัด คำตัดสินถูกปัดให้กลายเป็นอุบัติเหตุอย
ถิงถิงจำใจหย่อนกายลงนั่งอย่างเชื่อฟัง หลี่หลานซินเริ่มเล่าเรื่องราวของคุณชายโม่ไปต่าง ๆ นานา นางรู้จักชาติตระกูล อุปนิสัยใจคอ รวมถึงรากเหง้าของโม่จ้าวหยวนดีเลยทีเดียว ในเมื่อนางเป็นคนเขียนขึ้นมาเองกับมือ เดิมทีคุณชายโม่เป็นบุรุษเสเพลไม่เอาไหน เห็นว่าบ้านตัวเองรวยเข้าหน่อยเลยไม่เคยสนใจช่วยกิจการพ่อแม่ เที่ยวเตร่ไปวัน ๆ เขาเป็นผู้เป็นคนได้ก็ช่วงที่ได้รู้จักกับคุณหนูจูจื่ออี๋ ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องอย่างไรเล่า"ถิงถิง แท้จริงข้าไม่ได้ชอบเขาเลย แต่จะบอกอย่างไรดี เรื่องนั้นช่างเถอะ ๆ"สิ่งที่นางจะบอกก็คือหลี่หลานซินคนเดิมต่างหากที่ชอบคุณชายโม่จนโงหัวไม่ขึ้น ส่วนนางเป็นเพียงผู้สร้างตัวละครเท่านั้น อธิบายไปถิงถิงคงไม่เข้าใจ"หมอนั่น...เอ่อ...แฮ่ม คุณชายโม่เป็นพวกประเภทเสาะบุปผาหาต้นหลิว [1] เพลบอยจะตาย""พะ..เพน บ่อย คืออะไรเจ้าคะ" ถิงถิงกะพริบดวงตาถี่ มองหลี่หลานซินตาใสแป๋วหลี่หลานซินขำพรืด "เอาล่ะ ข้าขอโทษ เอาใหม่นะ" นางกระแอมหนหนึ่งแล้วจึงเล่าต่อ "เพลบอยก็คือ ผู้ชายเสเพล เกี้ยวผู้หญิงไปเรื่อยซ้ำยังชอบเล่นสนุกไปวัน ๆ ไม่เอาการเอางานอย่างไรเล่า มีแต่เพียงรูปลักษณ์ อย่างอื่นล้วนไม่ได้เรื่อง
"แม่หนู เจ้ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ""เจ้าคะ" หลี่หลานซินงุนงงไม่ใช่นางเคยบอกแล้วหรือว่าตนหลงทางเข้ามา ไฉนคำถามดูทะแม่ง ๆ เยี่ยงนี้เล่า หลี่หลานซินสลัดข้อสงสัยนั้นทิ้งไป พลางเอ่ยต่อ"หลงทางมาเจ้าค่ะ"ท่านยายแก่แล้ว จึงขี้หลงขี้ลืมอย่างนั้นหรือหญิงชราพยักหน้าตอบ นางจึงทำอาหารต่อไปอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ ตามประสาผู้สูงวัยหลี่หลานซินเห็นเช่นนั้นจึงคิดอยากเป็นลูกมืออีกแรง"ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าช่วยนะเจ้าคะ""ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปดูแลสามีเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง หรือว่าหิวแล้วเล่า""เอ่อ...เขาไม่ใช่...""หืม..." ใบหน้าเหี่ยวย่นเหลียวมองนาง แววตาหม่นแสงดูแปลกพิกล คำพูดแก้ต่างเมื่อครู่ถูกกลืนลงไปเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนแม่เฒ่าผู้นี้ปักใจเชื่อว่าหลี่หลานซิน และโม่จ้าวหยวนเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ หลี่หลานซินไม่อยากทำร้ายน้ำใจอีกฝ่าย นางจำต้องปล่อยเรือให้ไหลตามน้ำอย่างช่วยไม่ได้"ขะ...ข้าเริ่มหิวแล้ว...แต่ว่า เดี๋ยวข้าไปดูเขาเสียหน่อยดีกว่าเจ้าค่ะ" หลี่หลานซินกล่าวเส
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าจวนหลังเล็กด้านในเงียบเชียบประดุจไร้ผู้คน พวกเขาเหลียวมองหน้ากันหลุกหลิก หลี่หลานซินจึงตัดสินใจตะโกนสอบถาม"มีใครอยู่ไหมเจ้าคะ""..."หลี่หลานซินร้องเรียกประมาณสองสามครา ทว่าสรรพสิ่งรอบด้านกลับตกอยู่ในความเงียบสงัดดังเดิมทั้งสองเหลียวมองหน้ากันอีกหนเพราะไม่รู้ควรทำเช่นไร หากคนด้านในไม่ตอบรับ อาจต้องถือวิสาสะเข้าไปให้สิ้นเรื่อง เจ้าของจวนคงมิได้ใจไม้ไส้ระกำกระมัง หากพบว่ามีคนกำลังตกระกรรมลำบากอยู่เบื้องหน้า"พวกท่านมาหาใครหรือ" อยู่ ๆ น้ำเสียงสั่นเครือพลันดังสะท้อนทำลายความเงียบงันส่งผลให้หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษสะดุ้งตัวโยน หลี่หลานซินค่อย ๆ ประคองกายคนด้านข้างหมุนกลับไปด้วยกันเบื้องหลังพวกเขาคือหญิงชราผู้หนึ่ง ในมือเหี่ยวย่นถือโคมไฟส่องทางสว่างไสว ทว่าเมื่อสะท้อนใบหน้าอีกฝ่ายจนเห็นชัดกระจะตา หลี่หลานซินและโม่จ้าวหยวนถึงกับพร้อมใจกันผงะอีกหน"เอ่อ...ท่านยายเจ้าคะ พอดีว่าพวกข้าหลงทางมา เลยต้องการขอพึ่งพิงที่นี่ชั่วคราว ไม่ทราบว่าท่านพอช่วยเหลือพวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ หากพว
หลี่หลานซินตัวแข็งทื่อราวดินปั้นไม้แกะสลัก ต่อให้โม่จ้าวหยวนเป็นพระเอกในอุดมคติของนางแล้วอย่างไร เวลาเช่นนี้นิสัยเสเพลของเขายังแก้ไม่หาย ก็นับว่าเป็นเพียงคุณชายไม่เอาไหน ถึงจะบอกว่าสามารถเปลี่ยนนิสัยพระเอกได้ในภายหลัง ทว่านั่นเป็นหน้าที่ของนางเอก หากให้นางร้ายเช่นนางเป็นผู้แก้ไข เรื่องราวมิกลายเป็นตาลปัตร และเกิดหายนะหนักยิ่งกว่าเดิมหรอกหรือขาที่หยุดนิ่งออกเดินตุปัดตุเป๋กันต่อไป หลี่หลานซินยิ้มแหย "เอ่อ...คุณชายโม่ ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่""เรื่องใด?" โม่จ้าวหยวนเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง"ท่านและคุณหนูจูจื่ออี๋ เอ่อ...คือ..."หลี่หลานซินทราบดีว่าไม่ควรถามเรื่องนี้ออกไป กระนั้นนางกลับอยากรู้จริง ๆ ว่าเนื้อเรื่องมันเดินทางมาถึงบทไหนแล้ว เผื่อว่านางอาจสามารถพลิกสถานการณ์ได้ทันท่วงที"ท่านทั้งสองหมั้นหมายกันแล้วหรือไม่"โม่จ้าวหยวนหยุดเดินเดี๋ยวนั้น "พูดอะไรของเจ้า ข้าจะหมั้นหมายกับนางด้วยเรื่องใด""หา...นี่ท่านไม่ได้ชอบนางหรือ ละ...แล้วจะหมั้นกันเมื่อใด"ยิ่งพูดก็ยิ่งงุนงง วันที่ไฟไหม้จวนตระกูลโม่ นั่นใกล้ถึงตอนจบแล้วไม่ใช่หรือ
"เจ้ากำลังทำอะไร" โม่จ้าวหยวนนิ่วหน้าด้วยความฉงนเมื่อเห็นหลี่หลานซินลากท่อนไม้ถือเถาวัลย์พะรุงพะรังเต็มไปหมด"ท่านอยากนอนเป็นผักอยู่ตรงนั้นหรืออย่างไร"ท่อนขาเรียวเดินโผเผเข้าไปใกล้เขานางยอบกายวางสัมภาระเกรงว่าคงต้องเรียกสัมภารกเสียมากกว่าลงบนพื้น หลี่หลานซินโน้มตัวโอบประคองโม่จ้าวหยวนเพื่อช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งและเอนหลังแนบต้นไม้ใหญ่ ผู้บาดเจ็บไม่ได้ปริปากเอ่ยคำใดเขาเพียงทำตามอีกฝ่ายอย่างเชื่องเชื่อเท่านั้น"หิวน้ำหรือไม่" หลี่หลานซินกล่าวถามโม่จ้าวหยวนพยักหน้าตอบแม้ทั้งสองไม่ลงรอยกันเท่าใด ทว่าเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ซ้ำยังเหลือกันเพียงสองคน จึงจำใจต้องอยู่กันอย่างน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าไปโดยปริยายหลี่หลานซินปลดกระบอกน้ำซึ่งทำจากไม้ไผ่บริเวณข้างเอวออก พลันยื่นส่งให้เขา"อ๊ะ..."โม่จ้าวหยวนลดสายตามองกระบอกไม้ไผ่ตาปริบ ๆ เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตา คาดไม่ถึงว่าคุณหนูขี้วีน นั่งกินนอนกิน ผลัดหน้าขาวไปวัน ๆ นั้นสามารถเอาตัวรอดขณะติดกลางป่ากลางเขาได้อย่างคล่องแคล่วนักโม
เมื่อสักครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุไม่อาจควบคุม ทว่านางกลับตีโพยตีพายเสียยกใหญ่ ถึงอย่างไรโม่จ้าวหยวนก็เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตนเอาไว้ เขาฟื้นขึ้นไม่ทันไร นางกลับต่อว่าไม่ลืมหูลืมตาทำให้รู้สึกละอายแล้ว"ท่านไหวหรือไม่" หลี่หลานซินผ่อนเสียงเบาโม่จ้าวหยวนผินหน้ามองนางเชื่องช้า เขาส่ายศีรษะเป็นเชิงตอบคำถาม เพลานี้โม่จ้าวหยวนเสียเลือดมาก คราที่ตกลงมานั้นร่างกายของเขาถูกครูดเสียจนเกิดแผลฉกรรจ์ ซ้ำยังเอาตัวเป็นโล่กำบังให้กับหลี่หลานซิน รอดชีวิตมาได้นับว่าปาฏิหาริย์แล้วดวงตาของเขาค่อย ๆ ปิดปรือลงอีกหน หลี่หลานซินตื่นตระหนก นางขยับกายเข้าใกล้เขาแล้วเอื้อมมือตบใบหน้าหล่อเหลาเปาะแปะ"มะ...โม่จ้าวหยวน ท่านอย่าหลับนะ หากท่านหลับข้าก็ต้องอยู่คนเดียว ทะ...ท่านห้ามตายด้วย ข้ากลัวผี"โม่จ้าวหยวนแค่นยิ้ม เสียงทุ้มเปล่งวาจากะพร่องกะแพร่ง "หยุดโวยวายเสียที หากข้าตายไปคงเป็นเพราะเจ้า ตบหน้าข้าจนชาหมดแล้ว"หลี่หลานซินชะงักมือลงเดี๋ยวนั้น นางคลี่ยิ้มแหย "ขออภัย ขออภัย"โม่จ้าวหยวนถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง "ขาของข้าดูเหมือนจะหักเสียแล้ว""ขาหัก!!"
บรรดาบ่าวรับใช้ของจวนตระกูลโม่และจวนตระกูลหลี่ต่างเร่งออกค้นหาคุณหนูคุณชายอย่างมืดฟ้ามัวดินเจียงห่ายกวงขันอาสานำบ่าวรับใช้ช่วยอีกแรง ทว่าร่างกายของเขาดูแล้วคงได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย หลี่จิ้งตงจึงให้เขากลับไปรักษาตัวที่จวนตนเองก่อน และแจ้งใต้เท้าจูให้พาบุตรสาวกลับจวนตระกูลจูเช่นเดียวกัน เรื่องของเด็ก ๆ หลังจากพ้นความวุ่นวายไปแล้วอาจต้องมีการหารืออีกคราในภายหลังการออกตามหาเป็นไปอย่างลำบากยิ่ง พยายามแทบพลิกผืนป่าตั้งแต่เช้าจรดค่ำกลับไม่พบแม้แต่ร่องรอย บ่าวไพร่จึงพากันคาดการณ์ไปต่าง ๆ นานาว่าคุณหนูหลี่หลานซินและคุณชายโม่จ้าวหยวนนั้นถูกโจรภูเขาจับตัวไว้ หรือไม่อาจตกลงไปในเหว มิรู้เบื้องล่างมีสัตว์ร้ายใดบ้าง เกรงว่าหากทั้งสองไร้ลมหายใจ แล้วกายหยาบจะยังเหลือให้พบหรือคงมิถูกสัตว์เหล่านั้นฉีกทึ้งแยกส่วนบดกระดูกลงท้องหมดแล้วกระมัง"ตรงนี้ ตรงนี้ขอรับ" หลี่จิ้งตงรีบวิ่งกระหืดกระหอบตามเสียงร้องตะโกนขอบหน้าผาซึ่งเต็มไปด้วยรอยเท้านับสิบและคราบโลหิตแห้งกรังไปแล้ว ทั้งเถ้าแก่โม่และหลี่จิ้งตงได้เห็นอย่างนั้นก็ลมแทบจับเถ้าแก่โม
เอ๋...ยังไม่ตายหรอกหรือโม่จ้าวหยวนหลุบดวงตามองคนในอ้อมแขน ตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรงจะทานทนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวไร้เลือดฝาด ศีรษะชาหนึบแทบสิ้นสติ"จะ...เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เสียงทุ้มกล่าวกระท่อนกระแท่นหลี่หลานซินส่ายหน้าเป็นพัลวัน "ข้าไม่เป็นไร""ดี ไม่เป็นไรก็ดี"เอ่ยเพียงเท่านั้น อยู่ ๆ สติสัมปชัญญะของโม่จ้าวหยวนพลันดับวูบ พร้อมกับร่างของทั้งสองร่วงดิ่งลงสู่พื้นในที่สุด"เหวอ..."หลี่หลานซินประคองความรู้สึกอยู่ได้ไม่นาน กายอันหนักอึ้งของบุรุษดันหล่นทับลงมาบนตัวของนางจนปวดจุก โชคดียิ่งที่ต้นไม้มิได้สูงมากนัก ไม่เช่นนั้นซี่โครงอาจต้องหักไปหลายท่อนแน่อึ้ก!"มะ...โม่จ้าวหยวน คะ...คนบ้า หล่นลงมาดะ..."ดวงตากลมโตปริ่มปรือเชื่องช้า คำพูดไม่ทันจบสิ้น นางก็พลันหมดสติไปอีกราย.."ไอหยา ท่านว่าอย่างไรนะ หลานซินหายตัวไปพร้อมกับคุณชายโม่ทั้งคืนอย่างนั้นหรือ" หลี่จิ้งตงตื่นตระหนก ร่างท้วมเดินกระวนกระวาย มืออีกด้านกอดอก ส่วนอีกด้านกุมขมับเคร่งเครียดเจียงห่ายกวงก้มหน้างุดรู
หลี่หลานซินจูงมือโม่จ้าวหยวนออกวิ่งไม่คิดชีวิต ด้านหน้ามีเพียงความมืดมนอนธการประดุจคนตามืดบอดคลำทางสะเปะสะปะเมื่อสักครู่นางซัดฝุ่นผงออกไปใช่ว่าตนไม่โดน ทำให้นัยน์ตาของหลี่หลานซินแอบระคายเคืองเช่นเดียวกันขณะกำลังโผทะยานสับฝีเท้าอยู่ดี ๆ เจ้าของร่างบอบบางเกือบล้มหน้าคะมำ มือที่ดึงคนเบื้องหลังเอาไว้พลอยลื่นพรืด ทว่าโม่จ้าวหยวนนั้นพลิกฝ่ามือของตนกลับ เปลี่ยนเป็นฝ่ายรั้งหลี่หลานซินบ้าง นางจึงหมุนถลาสู่อ้อมแขนของเขา แต่เนื่องจากความอ่อนล้าในการวิ่งติดกันเป็นระยะเวลานานทำให้การทรงตัวมิได้มั่นคงนัก กระทั่งหลี่หลานซินโถมกายเข้าหาร่างสูงทั้งตัวพวกเขาจึงอยู่ในท่วงท่ากอดกันกลม ทิ้งกายม้วนตลบลงพื้นแสนสกปรกไปเดี๋ยวนั้น"โอ๊ย!" โม่จ้าวหยวนร้องเสียงหลงเมื่อต้นแขนของเขากระแทกเข้ากับบางอย่างซึ่งมีลักษณะแข็งกระด้างทั้งคู่กลิ้งหลุน ๆ เข้าใกล้ริมหน้าผา นับว่าโชคยังเข้าข้าง เพราะโม่จ้าวหยวนสามารถคว้าเอาขอบเหวไว้ได้ทันการณ์ ทว่าอ้อมแขนอีกด้านของเขากลับยังต้องประคองเอวของสตรีเอาไว้ จึงทำให้เรี่ยวแรงซึ่งหลงเหลือกะพร่องกะแพร่งลดลงอีกหลายส่วนหากเขาหมดกำลังเมื่อใดนา
เจียงห่ายกวงรีบปล่อยมือทันควัน จูจื่ออี๋ตื่นตกใจไม่ต่างกัน ร่างบางเซถลาเล็กน้อย ทว่าพวกเขาไม่มีเวลาให้อึ้งงันนานนัก เนื่องจากโจรภูเขาราวห้าหกคนกำลังดาหน้าจวนประชิดตัวอยู่รอมร่อเจียงห่ายกวงจึงรีบดึงมืออีกฝ่ายให้ออกวิ่งตามมาติด ๆ ถึงไม่ใช่ผู้ที่ตนต้องการพามาด้วยอย่างไรทั้งคู่ล้วนลงเรือลำเดียวกันแล้ว หลังจากหลุดพ้นไว้ค่อยคิดหนทางตามหาหลี่หลานซินคงนับว่ายังไม่สาย ทว่าอยู่ ๆ จูจื่ออี๋กลับหยุดวิ่งอีกครา"คุณหนูจื่ออี๋ เราไม่มีเวลามากแล้ว เจ้ามัวยืนบื้ออยู่ตรงนี้ให้ถูกจับไปหรืออย่างไร!?"จูจื่ออี๋ช้อนดวงตามองตอบเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใด "คุณชายทิ้งข้าไว้เถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว""วิ่งไม่ไหว ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า จะให้ข้าทิ้งสตรีได้อย่างไร" เจียงห่ายกวงรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก เขาพ่นลมหายใจอ่อนเขาไม่ได้ต้องการลากคุณหนูอ่อนแอผู้นี้ให้ตามมาเสียหน่อย เพียงแต่ดันคว้าผิดคน ทั้งที่คิดว่ามองดีแล้วแท้ ๆ ยิ่งหงุดหงิดเส้นเลือดบนขมับก็ยิ่งปวดตื้อขึ้นมา"คือว่า... คุณชาย ข้าข้อเท้าแพลงเจ้าค่ะ" จูจื่ออี๋เอ่ยด้วยความประหม่า นางเองมิได้อยากเป็นภาระผู้อื่นเช่นกัน"หา...ขะ...ข้อเท้าแพลง!?" เจียงห