"แม่หนู เจ้ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ"
"เจ้าคะ" หลี่หลานซินงุนงง ไม่ใช่นางเคยบอกแล้วหรือว่าตนหลงทางเข้ามา ไฉนคำถามดูทะแม่ง ๆ เยี่ยงนี้เล่า หลี่หลานซินสลัดข้อสงสัยนั้นทิ้งไป พลางเอ่ยต่อ "หลงทางมาเจ้าค่ะ"
ท่านยายแก่แล้ว จึงขี้หลงขี้ลืมอย่างนั้นหรือ
หญิงชราพยักหน้าตอบ นางจึงทำอาหารต่อไปอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ ตามประสาผู้สูงวัย หลี่หลานซินเห็นเช่นนั้นจึงคิดอยากเป็นลูกมืออีกแรง
"ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าช่วยนะเจ้าคะ"
"ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปดูแลสามีเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง หรือว่าหิวแล้วเล่า"
"เอ่อ...เขาไม่ใช่..."
"หืม..." ใบหน้าเหี่ยวย่นเหลียวมองนาง แววตาหม่นแสงดูแปลกพิกล คำพูดแก้ต่างเมื่อครู่ถูกกลืนลงไปเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนแม่เฒ่าผู้นี้ปักใจเชื่อว่าหลี่หลานซิน และโม่จ้าวหยวนเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ หลี่หลานซินไม่อยากทำร้ายน้ำใจอีกฝ่าย นางจำต้องปล่อยเรือให้ไหลตามน้ำอย่างช่วยไม่ได้
"ขะ...ข้าเริ่มหิวแล้ว...แต่ว่า เดี๋ยวข้าไปดูเขาเสียหน่อยดีกว่าเจ้าค่ะ" หลี่หลานซินกล่าวเส
"ไยไม่กินเล่า กินไม่ได้หรือ" หญิงชราเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีลังเลของหลี่หลานซิน"เอ่อ...เปล่าเจ้าค่ะ" หลี่หลานซินยิ้มแหย นิ้วเรียวงามค่อย ๆ หยิบตะเกียบขึ้นเนิบนาบ นางลอบกลืนน้ำลายลงคอใช่ว่าอาหารเบื้องหน้าไม่ชวนมอง เพียงแต่หลี่หลานซินกลับรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างตงิดใจ"ดูเหมือนพ่อหนุ่มมือเจ็บ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว แม่หนูเจ้าป้อนสามีเถิดหนา กินเรียบร้อยก็รีบเข้านอนเล่า ดึกดื่นค่อนคืนอย่าเที่ยวออกนอกจวนเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่"ทั้งสองเหลียวมองหน้ากันพลางขานรับโดยพร้อมเพรียง หญิงชราค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น หลี่หลานซินตั้งท่าช่วยพยุงอีกฝ่าย ทว่านางกลับเอ่ยปรามไว้เสียก่อน"แม่หนู ไม่ต้องลำบาก ข้าไม่เป็นไร เจ้าดูแลกันให้ดี ๆ ก็พอ"หลี่หลานซินจึงไม่ได้ขยับต่อ นางคลี่ยิ้มบาง "เจ้าค่ะ""ข้ามีผ้าห่มไม่มาก หากหนาวก็แบ่งกันเอาคงไม่เป็นไรกระมัง""อ้อ…ซะ…ทราบแล้วเจ้าค่ะ"หลี่หลานซินจำใจพยักหน้าด้วยความกระอักกระอ่วน แม้รู้สึกหิวโหยเพียงใด ทว่านางกลับรู้สึกกลืนไม่ลง ประดุจตนกำลังเคี้ยวย
ท่านยายผู้นี้เป็นใครกันนะ ไม่มีระบุในนิยายของเราสักนิด โผล่มาได้ยังไง เรื่องอัศจรรย์พันลึกใดอีกเล่า ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ หรือนางจะเป็นผีป่าหลี่หลานซินฉุกนึกถึงเรื่องนี้ก็ให้ต้องขนลุกขนพอง นางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เนื้อตัวสั่นเทาโดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะได้ห่มหรือไม่"เจ้าเป็นอะไร" โม่จ้าวหยวนนิ่วหน้าหลี่หลานซินเลิกผ้าออกทันควัน นางเป่าลมจากริมฝีปากจนแก้มโป่งพอง "โม่จ้าวหยวน ท่านมันเป็นพวกไม่คิดอะไรเลยหรือยังไง ไม่เห็นหรือว่ามันแปลก"คิ้วเข้มยกขึ้นหนึ่งฝั่ง "เจ้าคิดมากสินะ อ้อ...นี่เจ้าอยากนอนกับข้ามากกว่ากระมัง""ชิ! ใครอยากนอนกับท่าน ท่านเชื่อหรือไม่หากข้าลงไปนอนด้านล่างท่านยายจะโผล่เข้ามาอีก""เลอะเทอะ"เขาไม่อยากตีฝีปากกับนางอีกแล้ว โม่จ้าวหยวนค่อย ๆ ปรือเปลือกตาลงเชื่องช้า วันนี้เขาอ่อนล้าเหลือเกิน แขนก็ไร้เรี่ยวแรง ซ้ำขายังมาหักแทบเดินไม่ไหว ก่อนดวงตาจะปิดลง เขาลืมไปเสียสนิทว่าตนไม่มีผ้าคลุมกายสักกระผีกริ้นเพราะถูกอีกฝ่ายดึงไปเสียหมด"นี่เจ้า ข้าหนาว ไยเอาผ้าไปผู้เดียวเล่า""ท่านเ
ตำนานเล่าขานต่อกันว่าภูตผูกวาสนาคือหญิงหม้ายที่สูญเสียสามีในช่วงสงคราม นางเฝ้าแขวนโคมไฟทุกวัน วันละดวง ละดวง เพื่อเฝ้าคอยบุรุษอันเป็นที่รักของตน ทว่ารอแล้วรอเล่ากลับไม่พบแม้แต่เงากระนั้นนางไม่เคยหยุดหวัง จวบจนเวลาผันผ่านไปหลายแรมปี ร่างกายอันสวยสดงดงามจึงโรยราตามอายุขัยดั่งไม้ใกล้ฝั่ง ท้ายที่สุดไม่ทันล่วงรู้ว่าสามีเป็นหรือตายนางกลับสิ้นใจจากโลกใบนี้ไปเสียก่อนหลังจากนั้นดวงวิญญาณของนางไม่ยินยอมจากไปไหน ยังคงยึดติดอยู่กับคนรักของตน นางจึงวนเวียนแขวนโคมไฟต่อไปในทุก ๆ วัน หากมีผู้ใดหลงติดอยู่ในวังวนมายาแห่งนั้นอย่าหมายได้หวนสู่โลกภายนอก หากเป็นชายนางจะเก็บเขาไว้เป็นตัวแทนสามี ทว่าหากเป็นหญิง นางจะเก็บเอาไว้เป็นสหายคลายเหงาหากเป็นคู่สามีภรรยาหรือคนรักซึ่งยังไม่ผูกวาสนาแต่ชะตาต้องกัน นางจะพยายามให้ทั้งสองได้ครองคู่จวบจนดวงชะตาวนมาบรรจบ เมื่อใดที่นางพึงพอใจต่อวงล้อโชคชะตาของทั้งคู่ ภูตผูกวาสนาล้วนยินดีปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระโดยไร้ข้อกังขา และเฝ้ามองดูชีวิตครอบครัวของคนผู้นั้นต่อไปอย่างมีความสุขกล่าวโดยง่ายแม้ชีวิตนี้ตนมิอาจสมหวัง ทว่าได้มองดูผู้อื่นสม
หลี่หลานซินหมุนกายขวับ เดิมทีกะว่าจะปล่อยเลยตามเลย คาดไม่ถึงเมื่อตนหันหลังกลับ จวนที่เคยอาศัยอยู่ และบรรดาโคมไฟนับร้อยนับพัน ดันหายไปชั่วพริบตา เหลือเพียงพื้นที่รกร้างราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้มาก่อน นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างตะลึงลาน ท่อนขาเรียวแข็งทื่อไม่อาจขยับ ริมฝีปากบางสั่นระริก หลี่หลานซินพยายามรวบรวมแรงเฮือกหนึ่งเพื่อร้องเรียกบุรุษเบื้องหลังซึ่งเดินห่างตนออกไปโดยไม่สนใจไยดีตั้งนานแล้ว"มะ...โม่จ้าวหยวน""...""คุณชายโม่""..."ทว่ามีเพียงความเงียบสงัดแทนคำตอบรับ ร่างกายอันแข็งทื่อราวตุ๊กตาดินเผาจึงหมุนกลับเชื่องช้า กระนั้นขาของนางยังคงสั่นระริก เสียงเล็กตะเบ็งดังลั่นเมื่อแผ่นหลังของอีกฝ่ายเริ่มห่างออกไปไกลลิบ"จ้าวหยวน!! คนแล้งน้ำใจ ท่านกลับมา พาข้าไปด้วยเดี๋ยวนี้นะ!"คนใจแคบ ไม่คิดรอสักหน่อยเลยหรือเจ้าของร่างสูงหยุดฝีเท้าลงเดี๋ยวนั้น เขาเหลียวกายเนิบนาบ เมื่อเห็นว่าเบื้องหลังของหลี่หลานซินเกิดสิ่งใดขึ้น นัยน์ตาคมกริบจึงเบิกกว้างไม่แพ้กัน ทว่าเขายังคงสงวนท่าทีเยือกนิ่งเอาไว้"นี่...คุณหนูหลานซิน ไยเจ้าไม่
โม่จ้าวหยวนสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตุปัดตุเป๋ เพราะว่ายังมีคนตัวเล็กเกาะบนหลังของเขา ตลอดเส้นทางทั้งสองแทบไม่ปริปากสนทนากันอีกเลย ถึงอย่างไรพวกเขายังต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน เช่นนั้นจำต้องสงบศึกก่อนชั่วคราว เสียงหายใจเหนื่อยหอบของบุรุษเริ่มดังเป็นระยะ หลี่หลานซินสัมผัสได้ว่าเขาเริ่มอ่อนแรงแล้วถึงเรือนร่างสตรีนั้นผอมบางเพียงใด ทว่าการแบกคนผู้หนึ่งเอาไว้เนิ่นนานย่อมเกิดความเหนื่อยล้าเป็นเรื่องธรรมดา หลี่หลานซินพยายามรวบรวมความกล้า"มะ...โม่จ้าวหยวน ท่านปล่อยข้าลงเถิด ข้าคิดว่า... ข้าน่าจะเดินเองได้แล้ว"ถึงไม่แน่ใจก็ตามที กระนั้นหากไม่ลองดูหน่อยจะรู้หรือไม่ว่าเดินได้หรือไม่ได้ เจ้าของร่างสูงชะงักฝีเท้าลงฉับ"เจ้าแน่ใจหรือ ไม่ใช่ว่าข้าปล่อยเจ้าลงไปกลับยิ่งกลายเป็นตัวภาระเล่า"อีกแล้วหนา วาจาค่อนแคะดูแคลนเช่นนี้คุณชายโม่มิเคยลดราวาศอกลงเลย หรือนางควรให้เขาแบกตนกลับจนถึงจวนเสียให้เข็ด อยากเหนื่อยตายก็ตามใจตระหนักไปมาก็พานใบหน้าแดงก่ำ หากผู้อื่นเห็นเข้าคงคิดไปไกลโข วิธีกลั่นแกล้งอีกฝ่ายคงไม่เหมาะสมแล้ว"ท่าน!...
"แต่งงาน!"หลี่หลานซินเบิกดวงตากว้าง นางไม่อยากเชื่อเลยว่าบิดาหมายคลุมถุงชนลูกตัวเอง ซ้ำยังเป็นผู้ที่นางอยากหลบหนีไปให้ไกลที่สุดต้องเกิดเรื่องเข้าใจผิดแน่แล้วหลี่จิ้งตงรีบยกนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีปากตนเพื่อให้บุตรสาวผ่อนเสียงลง "หลานซิน เสียงดังทำไมเล่า พ่อก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้เพียงแต่...""เพียงแต่อะไรเจ้าคะ ข้าไม่แต่งกับเขาเด็ดขาด ท่านพ่อ…ข้ากับเขาแค่หลงป่าด้วยกัน อย่างอื่นไม่เคยเกิดขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ" หลี่หลานซินหน้าบึ้งตึง นางเอื้อมมือเกาะแขนบิดา เขย่าเบา ๆ พร้อมทำหน้ายู่ น้ำตาก็พานจะไหลอยู่รอมร่อหากนางต้องแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ตระกูลโม่จริง มีหวังอกแตกตายเป็นแน่ โม่จ้าวหยวนไม่เคยรักตัวร้ายเช่นหลี่หลานซิน ซ้ำยังรังเกียจนางอย่างกับอะไรดี"หลานซิน เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัย ถ้าไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ พ่อเองก็ไม่รู้จะแก้ต่างกับตระกูลโม่เช่นไร อีกอย่างเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ตระกูลของเรากำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก ฮูหยินและเถ้าแก่โม่ยื่นมือเข้าช่วยบ้านเราระหว่างที่เจ้าหายไป หากไม่แล้วเจ้ากลับมา คิดว่ายังสามารถเสว
"หลานซิน เจ้าไม่อยากแต่งก็ได้ แต่ว่าตระกูลโม่ส่งสินสอดมาแล้วตั้งมากโข อีกอย่างพ่อนำไปใช้หนี้แทบหมดแล้ว ช่างเถิด…เดี๋ยวพ่อเร่งทำงานชดใช้คงไม่เป็นไรกระมัง" หลี่จิ้งตงกล่าวลองเชิง เขาไม่เคยอยากบีบบังคับบุตรสาวตนเลย แต่ด้วยเหตุจำใจ ซึ่งต้องทำพิธีผูกชะตาทั้งสองวันนั้น ซ้ำยังตรงจังหวะประดุจจับวางกับสถานการณ์ซบเซาของตระกูล เมื่อโอกาสมาถึงเขาจึงคว้าเอาไว้อย่างเสียไม่ได้หลี่หลานซินพ่นลมหายใจอย่างนึกปลดปลง นางเหลียวหน้ามองกล่องสินสอดสีชาดผูกด้วยผ้าเป็นปมบุปผาช่อใหญ่เกือบร้อยใบก็พานต้องหนักใจแล้ว มิน่าเล่าตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าจวน นางพบว่ามีกล่องประหลาดวางเรียงกันแทบท่วมหลังคาอยู่แล้วเชียวหลี่หลานซินคอตก กล่าวเสียงอ้อมแอ้ม "เช่นนั้นข้าขอคิดดูก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ"หลี่จิ้งตงลอบยิ้มดีใจ เขาช้อนดวงตามองบุตรสาว แสร้งทำสีหน้าเศร้าสลด "เอาเถิด เจ้าลองไตร่ตรองดูดี ๆ เล่า หากไม่แล้วข้ายอมเหนื่อยอีกสักหน่อยเพื่อแลกกับความสุขเจ้าก็ไม่เป็นไร""เจ้าค่ะ" หลี่หลานซินตอบเนือย ๆ นางเดินคอตกจากไปราวร่างไร้วิญญาณถิงถิงยืนรออยู่หน้าประตูนานแล้ว เห็นสภาพอิดโรยของหลี่หลานซ
เกี้ยวเจ้าสาวถูกวางไว้บริเวณประตูทางเข้าจวนสกุลหลี่ หลี่หลานซินนั่งซึมอยู่หน้าคันช่องสีอำพัน ซึ่งสาดสะท้อนภาพเรือนร่างสมส่วนบอบบางสวมอาภรณ์สีชาด ใบหน้าแต่งแต้มสีสันงดงามทว่าดวงตาแดงก่ำ เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน นางไม่ได้ต้องการแต่งงานกับพระเอกเสียหน่อย ซ้ำร้ายพระรองกับนางเอกดันชิงแต่งงานกันไปก่อนพวกเขา"ท่านพ่อ…" หลี่หลานซินเบะปาก น้ำตาใกล้ร่วงเผาะอยู่รอมร่อ "ข้าไม่อยากแต่งกับเขาเจ้าค่ะ เรายกเลิกตอนนี้ทันหรือไม่เจ้าคะ"หลี่จิ้งตงหน้าสลดด้วยความละเหี่ยใจ "เรารับของเขามาแล้ว หากเจ้าไม่อยากแต่งเช่นนั้นพ่อจะยอมเสียคำพูดดูสักครา"ชายร่างท้วมตั้งท่าเดินจากไป เขาหมายแจ้งข่าวยกเลิกงานวิวาห์เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจบุตรสาวไปมากกว่านี้อะไรจะเกิดก็ให้เกิดเถิด ในเมื่อความรักมิอาจฝืนใจกันได้หลี่หลานซินชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนบิดาก้าวพ้นธรณีประตูเสียงสั่นเครือร้องทัดทานขึ้นทันควัน"ท่านพ่อ!"หลี่จิ้งตงหยุดฝีเท้าลงเดี๋ยวนั้น พลางเอ่ยคำโดยไม่เหลียวหลัง "เจ้าไม่อยากแต่ง พ่อเองก็ไม่อยากบังคับหรือหักหาญ
"หยวนเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทั้งสองไม่ต้องไปช่วยงานหรอกนะ" ฮูหยินโม่กล่าวขณะกำลังคีบอาหารส่งให้บุตรชายและหลี่หลานซินโม่จ้าวหยวนงุนงง "ทำไมเล่าขอรับ"หลี่หลานซินก็อยากรู้เช่นกัน ตะเกียบซึ่งกำลังส่งเข้าปากจึงหยุดชะงักลง เจ้าของใบหน้าสะสวยตามวัยแย้มยิ้ม กวาดสายตามองทั้งสอง "พวกเจ้าแต่งงานกันมากี่เดือนแล้ว"โม่จ้าวหยวน "ท่านแม่ นี่ท่านจำไม่ได้เชียวหรือขอรับ น่าจะหกเดือนแล้วกระมัง""นั่นปะไร ตั้งหกเดือน เรื่องที่แม่และพ่อของเจ้าขอเอาไว้ เมื่อใดกันเล่า"โม่จ้าวหยวนและหลี่หลานซินเหลียวมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างขมวดคิ้วด้วยความงุนงง "เรื่องใดหรือขอรับ""นี่น่ะ เจ้าทั้งสองมัวแต่ยุ่งกับงานที่บ้าน แทบไม่ได้พักผ่อน ร่างกายเลยไม่แข็งแรง เช่นนั้นก็หยุดหลาย ๆ วัน แม่ซื้อบ้านและที่ดินใกล้ธารน้ำตกเอาไว้ เจ้าพาน้องไปเที่ยวด้วยกันเถิด"โม่จ้าวหยวนคลี่ยิ้ม หลี่หลานซินก็เช่นกัน "โธ่ ท่านแม่ ข้าก็คิดว่าเรื่องใด ไปเที่ยวหรอกหรือ แต่ตอนนี้ที่ร้านยุ่งนัก""ยุ่งแล้วอย่างไร ตั้งแต่มีเมียก็กลายเป็นคนขยันขันแข็งเลยหรือ" เสียงทุ้มโพล่งตัดบท&
หลี่หลานซินสังเกตเห็นสีหน้าสตรีฝั่งตรงข้ามเศร้าหมองลง จึงทราบได้ทันทีว่าเปาลี่หม่านรู้สึกเช่นไร"ลี่หม่าน""...""ลี่หมาน""จะ...เจ้าคะ" เปาลี่หม่านสะดุ้งโหยง"เด็กในท้องของเจ้า วางแผนอนาคตเขาไว้เช่นไรหรือ" หลี่หลานซินเอ่ยถามเปาลี่หม่านส่ายศีรษะ "ข้าเองก็ยังไม่รู้เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ""เช่นนั้นเอาอย่างนี้หรือไม่ ข้ายินดีรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม และส่งเสียให้เขาได้เรียนสูง ๆ" หลี่หลานซินเอ่ยจบจึงเหลียวมองโม่จ้าวหยวน "ดีหรือไม่เจ้าคะท่านพี่"โม่จ้าวหยวนมิได้คัดค้าน เขายิ้มตอบ "ดีจ๊ะ"ฮูหยินบอกซ้ายสามีเช่นเขาก็ต้องไปทางซ้าย จะหักหลบเลี้ยวผิดทางได้เช่นไร มีหวังแม่แมวน้อยได้อาละวาดบ้านแตกเป็นแน่แล้วทว่าเปาลี่หม่านกลับลุกพรวดขึ้น นางยอบกายลงคุกเข่าทันควัน อาการบาดเจ็บที่มีมลายหายไปสิ้น "ฮูหยินน้อย คุณชายโม่ ข้ารู้สึกละอายยิ่งนักที่คิดทำลายความรักของท่านทั้งสอง ข้าจะมีหน้าให้บุตรของตนสร้างความลำบากแก่พวกท่านอีกได้อย่างไร"หลี่หลานซินดีดกายยืนขึ้น นางรีบสาวเท้าตรงไปยังสตรีที่โขกศีรษะบนพื้นด้วยความเร่งร้อน พลางโอบประค
ยามเช้าวันรุ่งขึ้นเปาลี่หม่านไปพบโม่จ้าวหยวนที่จวนสกุลโม่จริงดังที่รับปากเจียฮ่าวซึ่งรอนางอยู่ก่อนแล้วจึงพานางตรงไปยังจวนสกุลหลี่ตามที่นายของตนฝากฝังเอาไว้ณ จวนสกุลหลี่"คุณชายโม่ ฮูหยินน้อยโม่ เถ้าแก่หลี่"เปาลี่หม่านค้อมศรีษะลงเพื่อเป็นการทักทายหลี่หลานซินเอ่ย "เจ้านั่งลงเถิด กำลังท้องกำลังไส้ เดินเหินต้องระวังหน่อยเล่า"เปาลี่หม่านได้ยินวาจาเป็นห่วงเป็นใยจากปากของหลี่หลานซิน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพลันย้อนขึ้นเสียจนจุกอก ริมฝีปากพลอยหนักอึ้งราวถูกถ่วงดุล "ขะ...ขอบคุณท่าน ฮูหยินน้อยโม่"ท่อนขาเรียวก้าวย่างกะโผลกกะเผลกไปยังเก้าอี้หลี่หลานซินนิ่วหน้า "ลี่หม่าน ขาเจ้า..."เปาลี่หม่านชะงักฝีเท้าลง นางเหลียวหน้ามองหลี่หลานซิน ใบหน้างดงามระบายรอยยิ้มอ่อน "ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ"เท้าอันบาดเจ็บค่อย ๆ ออกเดินต่อหลี่หลานซินรู้สึกเวทนานางนัก จึงพยักหน้าให้ถิงถิงช่วยพยุงอีกฝ่ายจนถึงที่หมาย ทุกคนล้วนจับจ้องเปาลี่หม่านเป็นตาเดียวทำให้นางรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง"คุณชายโม่ ฮูหยินน
เวลาล่วงเลยจนถึงยามโฉ่ว [1] มีเพียงความเงียบสงบท่ามกลางราตรีกาลอันหนาวเหน็บคอยปลอบประโลม หลี่หลานซินรู้สึกอ่อนเพลียจนม่อยหลับไปเมื่อใดก็สุดจะรู้ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามหลี่หลานซินพลันสะดุ้งตื่น นางดีดกายลุกขึ้นทันควันนัยน์ตาคู่งามลอบมองผ่านช่องบานประตู กวาดสายตาเหลือบซ้ายแลขวาทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่าหลี่หลานซินยิ้มเยาะ "เหอะ! นี่หรือที่บอกจะไม่ยอมจากไป คำพูดของบุรุษเชื่อถือไม่ได้เลยสินะ"หลี่หลานซินตัดสินใจเปิดประตูเพื่อมองดูว่าอีกฝ่ายกลับไปแล้วจริงหรือไม่ ขาเรียวสาวเท้าออกมาด้านนอก สอดส่ายสายตามองผ่านความมืดมิด แววตาของนางเต็มไปด้วยความผิดหวังระคนน้อยใจ พลันรู้สึกว่าตนเองช่างงี่เง่านัก บนโลกใบนี้จะมีผู้ใดโง่งมไปกว่านางอีกกันเล่า วาจาบุรุษดั่งผายลม ยังกล้าเชื่อถือคนลิ้นสองแฉกหลี่หลานซินหมุนกายเตรียมย้อนกลับไปด้านใน จังหวะนั้นเองนางจึงพบอีกฝ่ายยืนตัวสูงโปร่งอยู่ขนาบข้าง ในมือถือดอกไม้ช่อหนึ่ง เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มพราย"ยังไม่นอนอีกหรือ""ทะ...ท่
คิ้วเข้มขมวดมุ่น "ท่านแม่ นี่ท่านใจเย็นได้อีกหรือขอรับ ลูกสะใภ้สุดหวงของท่านหายไป ท่านไม่ร้อนใจ แต่ข้าร้อนใจนะขอรับ"ฮูหยินโม่ระบายรอยยิ้มบาง "เจ้านี่นา เหมือนพ่อไม่มีผิด นางขออนุญาตกลับไปเยี่ยมบ้านเท่านั้นเอง""กลับไปเยี่ยมบ้าน ไปโดยไม่มีข้าได้อย่างไร""แล้วเจ้าก่อเรื่องใดไว้ เป็นลูกผู้ชายเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอาเอง เอาล่ะ แม่ว่าเจ้าปล่อยให้นางสงบใจก่อนเถิด เจ้าเองคงเหนื่อยมาทั้งวัน ดูเอาเถิดไปมีเรื่องกับใครมาเล่า ไฉนเนื้อตัวมอมแมมเพียงนี้" ผู้เป็นมารดาจับใบหน้าบุตรชาย กวาดมองเรือนกายกำยำซึ่งสูงกว่าตนมากโขด้วยสีหน้าเป็นห่วง"ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรขอรับ ข้าจะไปตามหลานซิน""ดึกแล้ว นางคงนอนไปแล้วกระมัง อย่าใจร้อน วันพรุ่งไปก็ยังไม่สาย""แต่สำหรับข้าแค่ไม่กี่ชั่วยามก็สายแล้วขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้" โม่จ้าวหยวนเบนหน้ามองเจียฮ่าว "เจียฮ่าว คืนนี้เจ้าไม่ต้องตามข้าไป พรุ่งนี้สตรีนางนั้นจะมาพบข้า หากมาแล้วให้เจ้าพานางไปที่จวนสกุลหลี่""ขอรับ"กล่าวจบโม่จ้าวหยวนจึงผละกาย กระโดดขึ้นหลังม้าอย่างร้อนรนพลางควบออกไปราวพายุหอบหนึ่ง ผู้เป็นมารด
โม่จ้าวหยวนโยนถุงเงินให้นาง พลันหมุนกายกระโดดขึ้นหลังอาชาด้วยความชำนาญ"บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน""อยู่ไม่ไกลนักเจ้าค่ะ""ดี! เช่นนั้นคงกลับเองได้กระมัง"นางพยักหน้าหงึกหงัก "ขะ...ข้าไม่รบกวนคุณชายแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมาก วันพรุ่งข้าจะรีบไปที่จวนตระกูลโม่เพื่ออธิบายต่อฮูหยินของท่าน""แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ไป ข้าจะตามมาลากคอของเจ้า ไม่ว่าเจ้าหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะพลิกแผ่นดินหาเจ้าให้เจอ หรือหากเจ้ากล้าชิงหนีลงปรโลกข้าก็จะลงไปกระชากวิญญาณของเจ้ากลับมาอธิบายกับนางให้ได้"เปาลี่หม่านพยักหน้าระรัว นางหวาดหวั่นจนต้องหลบดวงตาของเขา ยิ่งเกรงกลัวเท่าใด วาจาที่เปล่งออกมาก็ยิ่งติดขัดมากขึ้นเท่านั้น"ขะ...ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ วันพรุ่งท่านจะเห็นข้าอย่างแน่นอน""หึ!"โม่จ้าวหยวนแค่นยิ้มชายหนุ่มควบม้าจากไปเดี๋ยวนั้น เปาลี่หม่านค่อย ๆ ประคองกายตนลุกขึ้น เท้าของนางได้รับบาดเจ็บ ร่างบางพยายามหอบสังขารกะโผลกกะเผลกเดินไปอีกด้านด้วยใบหน้าเปื้อนคราบฝุ่นปนรอยน้ำตาโชคดียิ่งที่จวนของนางอยู่ไม่ไกลมาก
โม่จ้าวหยวนควบม้าเพื่อออกตามหาเปาลี่หม่าน เขาต้องรู้ความจริงให้ได้ว่านางประสงค์สิ่งใดกันแน่ ไฉนจำต้องใส่ความเขาจนเกิดบ้านแตกสาแหรกขาดความอนธการปกคลุมท้องฟ้าจนมืดสนิทแล้ว เขาเร่งตะบึงม้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ระหว่างทางโม่จ้าวหยวนได้ยินเสียงร่ำไห้เบาหวิว ทว่าเมื่อเขาเงี่ยหูฟังเสียงนั้นกลับเป็นการร้องขอความช่วยเหลืออย่างชัดถนัดหูถึงแม้ร้อนใจเพียงใดก็ตามทว่าคุณธรรมย่อมต้องมีในหมู่เพื่อนมนุษย์ ฝ่ามือแกร่งดึงบังเหียน ควบม้าหันหลังกลับ กีบเท้าทั้งสี่ห้อตะบึงไปยังเส้นทางที่คนเบื้องบนกำลังควบคุมนัยน์ตาคมปลาบหรี่มองระยะไกล เขาเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ราวสามสี่คนกำลังยืนล้อมวงและทุบตีพลางฉีกทึ้งอาภรณ์คนผู้หนึ่งอาชาสีนิลยกกีบเท้าหน้าขึ้นก่อนหยุดลง ฝุ่นผงลอยคละคลุ้งตลบอบอวล“พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด!?”ชายฉกรรจ์ทั้งสามแหงนมองผู้มาเยือนพลางถ่มถุยน้ำลายด้วยความถ่อย“ไอ้หน้าอ่อนนี่เป็นใคร เรื่องของเจ้าหนี้ลูกหนี้ คนนอกไม่ต้องมายุ่ง”โม่จ้าวหยวนกดยิ้มมุมปาก เขาปรายสายตามองผู้ถูกกระทำเป็นสตรีเช่นนั้นหรือ
หลังจากหอบทองได้หนึ่งกำมือ เมื่อเห็นว่าหลี่หลานซินเดินลับตาไปแล้ว ส่วนโม่จ้าวหยวนก็มัวแต่ยืนนิ่งจังงัง สตรีนางนั้นจึงรีบพุ่งตัวออกทางบานประตูด้วยความรวดเร็วปานพายุหอบหนึ่ง"หยุดนะ!" เจียฮ่าวตะโกนเสียงดังเขาตั้งท่าออกวิ่งตามนางทว่าโม่จ้าวหยวนกลับร้องปรามขึ้น"เจียฮ่าว ปล่อยนางไป""แต่ว่า... หากปล่อยนางไปแล้วหาตัวนางไม่พบ ฮูหยินน้อยคงไม่มีทางให้อภัยท่าน""ข้ารู้แล้วว่าควรไปพบผู้ใด เตรียมม้าให้ข้า" เจ้าของใบหน้าคมสันเคร่งขรึม เขาพยายามระงับอารามร้อนรนซึ่งปะทุอยู่ภายในใจกลับลงไป เรื่องอลหม่านกระจ่างเมื่อใดเขาจะรีบกลับมาปรับความเข้าใจกับนางทันที"ขอรับ"เจียฮ่าวค้อมศีรษะ พลันสับเท้าไว ๆ ออกไปเดี๋ยวนั้นค่ำคืนนี้เขาไม่อาจข่มตานอนหรือคิดพักผ่อนได้จริง ๆ เรื่องเข้าใจผิดไม่ควรประวิงเวลาจำต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว ขณะเดียวกันโม่จ้าวหยวนกลับไม่รู้เลยว่า ห้องนอนล้วนว่างเปล่าประดุจสถานที่เปลี่ยวร้างไปเสียแล้ว ภรรยาของเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น นางกำลังหอบจิตใจอันบอบช้ำกลับตระกูลของตน
โม่จ้าวหยวนวางหน้าแทบไม่ถูก เขามองผ่านหลี่หลานซินไปเบื้องหลัง ขึงสายตามองถิงถิง เมื่ออีกฝ่ายประจันเข้ากับแววตาดุจพญามัจจุราชนางจึงรีบหลุบเปลือกตาลง ร่างกายสั่นระริกโม่จ้าวหยวนระบายลมหายใจด้วยความรู้สึกปลดปลง "หลานซินเจ้ามาได้อย่างไร"ดวงตากระจ่างใสของนางเต็มไปด้วยไฟโทสะ ยิ่งคิดก็ยิ่งฝืนความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว"ข้ามาได้อย่างไรหรือ ท่านคิดว่าห้องของเราห่างจากโถงนี้มากหรืออย่างไร!""หลานซิน เจ้าสงบใจก่อน ข้าอธิบายได้" โม่จ้าวหยวนสาวเท้าไปเบื้องหน้า ทว่าหลี่หลานซินกลับถอยร่นไปเบื้องหลัง เจ้าของร่างสูงจึงหยุดฝีเท้าไว้เพียงเท่านั้น"นี่คือฮูหยินท่านหรือ" เสียงสตรีกล่าวตัดบท ท่าทีของนางกลับไม่อนาทรร้อนใจ ซ้ำยังแสดงสีหน้าชวนโมโห"หุบปาก!" โม่จ้าวหยวนตวาดลั่น เขาปรายตามองสตรีที่แอบอ้างว่าตั้งท้องกับตนอย่างเคืองขุ่นโม่จ้าวหยวนรู้สึกคุ้นหน้านางอยู่บ้าง นางใช่คนที่มู่ซือเฉิงเรียกมาปรนนิบัติตนในคืนนั้นหรือไม่ หากเป็นวันดังกล่าวจริง เช่นนั้นเขาคงเมามากจนไร้สติ แล้วกระทำเรื่องน่าอายลงไปน่ะหรือหลี่