เย่เต๋อโหรวยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “อืม ถึงอย่างไรฝีมือของเจ้าก็ดีกว่า เข้ามาช่วยหวีผมให้ข้าเถิด!”หงฮวาไม่ปฏิเสธเช่นกัน ก่อนจะเข้ามายืนข้างหลังนางแล้วลูบผมของเย่เต๋อโหรวอย่างคล่องแคล่ว ชิงซือที่อยู่ทางด้านข้างยื่นหวีมาให้ หงฮวายิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก เส้นผมของฮูหยินลื่นสลวย มวยผมเช่นนี้ก็ดูงดงามอย่างยิ่ง!”เย่เต๋อโหรวยิ้มน้อย ๆ “จริงหรือ?”หงฮวาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ย่อมจริงอยู่แล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าอีกไม่กี่วันไว้ข้ามีเวลาว่างแล้วจะต้องช่วยฮูหยินย้อมผมให้ได้เลย ผมขาวขึ้นเยอะมากแล้วนะเจ้าคะ!” นางกล่าวจบก็จ้องมองเย่เต๋อโหรวในคันฉ่องด้วยแววตาท้าทายเล็กน้อย เย่เต๋อโหรวย่อมไม่พลาดความคิดภายในใจของอีกฝ่าย นางเองก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงอย่างไรก็แก่แล้ว สู้สาว ๆ อย่างพวกเจ้าไม่ได้หรอก!” “ฮูหยินแก่ที่ไหนเจ้าคะ? ฮูหยินอายุเท่ากับมารดาของข้า แต่ดูอ่อนวัยกว่ามารดาของข้าตั้งหลายปี!” หงฮวากล่าวด้วยรอยยิ้มชิงซือที่ฟังอยู่ทางด้านข้างตกใจกลัวจนหน้าซีด ส่งสายตาให้หงฮวาติดต่อกัน แต่หงฮวากลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยังคงกล่าวอย่างไม่สนใจผู้ใดว่า “หางตาของฮูหยินก็มีริ้วรอยนิ
“พวกชั้นต่ำที่มาจากครอบครัวสามัญชนต่ำต้อยจะมีแววอันใด? ข้าว่าหักขาแล้วไล่ออกไปก็พอ!” นางเฉินเอ่ยอย่างอำมหิตเย่เต๋อโหรวคล้ายกลับถูกนางทำให้ตกใจจนสะดุ้ง ก่อนจะตำหนิเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นถึงฮูหยินรองของจวนตระกูลหลงจะโหดเหี้ยมปานนี้ได้อย่างไร? คำพูดนี้เอ่ยกับข้าที่นี่ก็แล้วไป แต่ออกไปแล้วห้ามพูดส่งเดชเป็นอันขาด หากแพร่ออกไป คนเขาจะมองจวนแม่ทัพของเราอย่างไร?”นางเฉินเบะปาก “นี่จะมีอันใด? ท่านคิดว่าบ่าวไพร่เป็นคนจริง ๆ หรือ? คนชั้นต่ำพวกนี้ทำเป็นแค่กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง มักใหญ่ใฝ่สูงเท่านั้น หากท่านไม่กดขี่นางให้อยู่ในโอวาท วันหน้าจะต้องทนต่อความทุกข์ยากลำบาก!”เย่เต๋อโหรวไม่สนใจแล้วกล่าวว่า “โชคชะตาฟ้ากำหนด ชีวิตนางถูกกำหนดให้มีวาสนานี้ เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว”นางเฉินยิ้มร้ายแล้ว “จิตใจทะเยอทะยานกว่าฟ้า ชีวิตกลับบางยิ่งกว่ากระดาษ นางหนูเหยียนของเราก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไร? วันนี้นางบอกว่าจะนำของพระราชทานจากวังไปเป็นสินติดตัวเข้าวังทั้งหมด นางคิดว่านางไปโดนฝังสังเวยชีวิตแล้ว เลยจะเอาสมบัติล้ำค่าพวกนั้นไปฝังเป็นเพื่อนทั้งหมดหรือไร?” เย่เต๋อโหรวนึกถึงทุกสิ่งท
เมื่อมีพระบัญชาลงมา หลงจ่านเหยียนกำลังนอนหลับอยู่ก็ถูกกัวกูกูขุดขึ้นมาจากในผ้าห่มด้วยความรีบร้อน ขณะที่กำลังตาพร่าเบลอสะลึมสะลือก็ถูกโยนเข้าไปในถังอาบน้ำเพื่อชำระร่างกายเย่เต๋อโหรวสั่งให้คนแต่งตัวให้นางทันที สวมชุดอภิเษกสมรส ความวุ่นวายนี้ทำให้หลงจ่านเหยียนไม่มีเวลาแม้กระทั่งกินอาหารเย็น หิวจนไส้กิ่วแล้วแต่นางก็ถือว่าให้ความร่วมมือเช่นกัน หลับตาปล่อยให้พวกนางจัดการเมื่อถึงช่วงสามทุ่ม เสนาบดีกรมพิธีการกับฉีอ๋องก็มาถึงขบวนเกียรติยศจากในวังยืนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าประตูแล้วจุดประทัด นับว่าให้ความรู้สึกเหมือนจัดงานมงคลอยู่บ้างเนื่องจากต้องเข้าประตูวังตอนเที่ยงคืนเพื่อรับการคำนับจากสตรีบรรดาศักดิ์ฝ่ายในและฝ่ายนอก ดังนั้นเมื่อขบวนรับเจ้าสาวมาถึง ก็ต้องออกเดินทางทันทีแต่ไม่ว่าอย่างไรหลงจ่านเหยียนก็ไม่ยอมขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว นางบอกว่าบิดามารดาเลี้ยงดูนางมาสิบหกปี บัดนี้นางออกเรือนแล้วย่อมต้องกราบลาคนในครอบครัวก่อน!กษัตริย์กับราษฎรแยกแยะกันอย่างชัดเจน การกราบลาที่ว่าความจริงก็คือให้ทุกคนในจวนสกุลหลงคุกเข่าส่งนางออกเรือนเข้าวัง อีกทั้งหลงจ่านเหยียนจงใจบอกชัดเจนว่าฮูหยินผ
พูดอีกอย่างคือหากมีผลที่ตามมาใด ๆ จวนตระกูลหลงของพวกเขาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลงฉางเทียนทำหน้าเคร่งขรึม เผยความน่าเกรงขามของแม่ทัพออกมาจนหมด ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยเข่นฆ่าสังหารผู้คนในสนามรบมาก่อน กัวกูกูเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็อดรู้สึกหนาวสะท้านไม่ได้ ก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วยืนก้มศีรษะหลงฉางเทียนเอ่ยเสียงเข้มว่า “ข้าจะเข้าไปคุยกับฮองเฮา!”กัวกูกูอึ้งไปก่อนจะรีบยื่นมือไปขวาง “ฮองเฮากำลังจะเข้าวัง ไม่อาจให้บุรุษผู้ใดพบหน้าได้ นี่เป็นกฎเจ้าค่ะ!” หลงฉางเทียนหัวเราะอย่างเย็นชา “กูกูเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่าบางครั้งกฎเกณฑ์เป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดและแก้ไขโดยมนุษย์ อีกทั้งกฎเกณฑ์ก็ต้องให้ตรงกับเป้าหมายด้วย ส่วนฮองเฮาจากจวนตระกูลหลงของเราพระองค์นี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับกฎเกณฑ์มากนัก!” เขากล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปกัวกูกูมองแผ่นหลังของเขาอย่างตะลึงงัน แต่ไม่กล้าเข้าไปขัดขวาง นางรู้ว่าแม้ก่อนหน้านี้หลงฉางเทียนจะปฏิบัติกับนางอย่างมีมารยาท แต่นางก็ล่วงเกินเขาไม่ได้เย่เต๋อโหรวยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยเหน็บแนมว่า “ข้ายังนึกว่ากัวกูกูเป็นคนเฉลียวฉลาดเสียอีก นกที่ดีรู้จักเลือกกิ่งไม้พำน
เขาใจหายวาบ อยากจะชักมือกลับมา แต่แรงส่งรุนแรงเกินไป เมื่อเขาฝืนดึงกลับมาทำให้เขาพุ่งออกไปชนเข้ากับขื่อไม้แกะสลักข้างเตียง ได้ยินเพียงเสียงดัง “วิ้ง” ถาดบนชั้นวางด้านข้างขื่อไม้ร่วงลงพื้นดัง “เพล้ง ๆๆๆ”คนที่อยู่ด้านนอกอย่างอาถงกับอาเถี่ยได้ยินเสียงนี้ก็อยากจะพุ่งเข้ามา แต่ถูกกัวกูกูส่ายหน้าห้ามเอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เข้าใจเหตุผล เพียงแต่ว่าตอนที่ออกจากวัง ไทเฮาสั่งพวกเขาให้เชื่อฟังคำสั่งของกัวกูกูเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สนใจทันทีใบหน้าของหลงฉางเทียนเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าถึงกับกล้าพกมีดสั้นติดตัวเชียวหรือ?”ขณะที่ถาม เขาก็สูดลมหายใจเย็นเยียบในใจเช่นกัน หากนางเกิดไม่พอใจอะไร หลังจากส่งตัวเข้าวังแล้วทำอะไรไม่ดีกับฮ่องเต้ขึ้นมา เช่นนั้นก็แย่แล้วถึงอย่างไรนางก็ต้องตาย แต่ใครจะรู้ว่านางจะไม่ลากคนทั้งจวนมาตายตกร่วมกันกับนาง? นัยน์ตาดำขลับของหลงจ่านเหยียนมีไอน้ำคลุมอยู่หนึ่งชั้น เอ่ยด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า “ท่านพ่อ ลูกไปครั้งนี้ บางทีอาจจะเป็นการแยกจากกันระหว่างคนเป็นกับคนตาย ลูกซาบซึ้งในบุญคุณที่ท่านพ่อท่านแม่และท่านย่าเลี้ยงดูสั่งสอน ขอให้ท่านพ่ออนุญา
กัวกูกูเอ่ยถามอย่างหยั่งเชิงว่า “เมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ?”หลงจ่านเหยียนยื่นมือไปประคองมงกุฎบนศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร เครื่องสำอางข้าเลือนแล้วหรือไม่?” นางเอาสองมือลูบใบหน้าเบา ๆ การแต่งหน้าครั้งนี้ใช้เวลาเกือบสองชั่วยามถึงจะแต่งเสร็จ เมื่อครู่นี้นางพยายามแทบตายเพื่อไม่ให้น้ำตาหยดลงมา กลัวว่าจะทำให้เครื่องสำอางเลือนกัวกูกูร้องอ้อคำหนึ่ง มองนางด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง นางย่อมไม่เชื่อว่าเมื่อครู่นี้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เดิมทีคิดว่าเข้ามาแล้วจะได้เห็นหลงจ่านเหยียนร้องห่มร้องไห้ ใครจะคาดคิดว่านางกลับนั่งอยู่ตรงนี้เหมือนไม่มีเรื่องอะไร ยังคงกังวลว่าเครื่องสำอางของตนเลือนแล้วหรือยังดูท่า ฮองเฮาพระองค์นี้ช่าง...น่าสนใจชวนให้ติดตามยิ่งนัก!“ไม่เลือนเพคะ ฮองเฮายังทรงงดงามมาก!” สายตาของกัวกูกูจับจ้องไปที่ใบหน้าของนาง ราวกับอยากมองหาอะไรบางอย่างจากบนใบหน้าของนาง แต่นางก็ผิดหวัง เนื่องจากเมื่อหลงจ่านเหยียนได้ยินว่าเครื่องสำอางของนางยังไม่เลือน ใบหน้าก็มีเพียงสีหน้าโล่งใจเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเพิ่มอีกสักนิดเดียว“เมื่อครู่นี้ท่านแม่ทัพเหมือนจะโมโหมากเลยนะเพคะ!” กั
หลงจ่านเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวออกมาราวกับมีความคิดอันใดบางอย่าง “มีใจแล้วจริง ๆ!” นางมองกัวกูกูแล้วกล่าวว่า “มิได้บอกว่าห้ามผิดเวลาหรอกหรือ? ไปดูหน่อยเถิดว่ามาถึงหรือยัง?”กัวกูกูรับคำแล้วเดินออกไป เย่เต๋อโหรวนำสาวใช้สองสามนางมายืนรออยู่ที่หน้าประตูหอเฟิ่งอี๋ ครั้นเห็นกัวกูกูเดินมา นางจึงเดินไปต้อนรับ แล้วกระซิบถาม “ใส่ยาลงไปแล้ว เห็นผลแล้วหรือ?”กัวกูกูชะงักไปเล็กน้อย “ชาเมื่อกี้หรือ?”“ใช่น่ะสิ!” เย่เต๋อโหรวยิ้มบาง ๆ “ใส่ยาลงไปเยอะขนาดนั้น อีกประเดี๋ยวก็น่าจะเห็นผลแล้ว หากเป็นเช่นนี้จะได้ไม่เสียเวลา!”กัวกูกูทอดถอนใจอยู่ในภายในใจ คนผู้นี้ช่างทำสิ่งเลวทรามได้ทุกวิถีทางจริง ๆ เพียงแต่ยามนี้พวกนางกำลังลงเรือลำเดียวกัน จะพูดอันใดก็ไม่ได้ จึงได้แต่พูดเพียงว่า “ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย ฮูหยินสั่งให้เตรียมเกี้ยวหงส์เถิด จะได้มิต้องเสียเวลา!”พูดจบ นางจึงหมุนกายเดินเข้าไปครั้นกล่าวถึงฉีอ๋องและเสนาบดีโจวที่รออยู่ที่โถงฝ่ายหน้าอยู่นานแล้ว ทว่ายังไม่เห็นใครออกมา เสนาบดีโจวยังดีอยู่หน่อย แต่ฉีอ๋องนั้นเป็นคนใจร้อน จึงอดเร่งรัดหลงฉางอี้ที่มาต้อนรับไม่ได้ “รีบเข้าไปดูสิ ถ้าพลาดฤกษ์งามยามด
เย่เต๋อโหรวเองก็หวั่นใจ หันหน้าไปสั่งจวีชุน “ไปเชิญท่านแม่ทัพมา!”ขณะที่จวีชุนกำลังจะไป ก็เห็นหลงฉางเทียนเดินนำคนสองสามคนเข้ามา ครั้นเขาเห็นเย่เต๋อโหรวยังยืนอยู่ที่เดิม จึงอดขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อย “ไยยังยืนนิ่งอยู่อีก?”เย่เต๋อโหรวกระซิบบอก “ดื่มยาไปแล้ว แต่คนยังไม่หลับ!”หลงฉางเทียนกล่าวอย่างประหลาดใจ “นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ดื่มเข้าไปนานเท่าไรแล้ว?”“ได้ครู่ใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ตามหลักก็น่าจะสลบไปแล้ว!” เย่เต๋อโหรวกล่าวหลงฉางเทียนกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น “ฉีอ๋องมีนิสัยใจร้อน ตอนนี้ก็เร่งรัดมาแล้ว!”“บอกไปว่ายังแต่งตัวอยู่ หรือไม่เจ้าคะ?”หลงฉางเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง “รออีกหน่อย!”เป็นเช่นนี้อยู่อีกครึ่งชั่วยาม ฉีอ๋องเริ่มมีโทสะอยู่ที่โถงฝั่งหน้าแล้ว หลงฉางอี้พยายามปลอบประโลมแต่ก็ไม่เป็นผล ฉีอ๋องจึงพาเสนาบดีโจวพร้อมกับเหล่ากลุ่มองครักษ์ที่มารับเกี้ยวเจ้าสาวตรงบุกเข้าหอเฟิ่งอี๋หลงฉางเทียนเห็นฉีอ๋องขมวดคิ้วด้วยความโมโห ในใจพลันเกิดความหวาดกลัว รีบเข้าไปรับหน้าพร้อมกล่าว “ทำให้ท่านอ๋องต้องรอนานแล้ว ถือเป็นความผิดของกระหม่อมเอง!”“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ยามนี้มันยามใดแล้ว?
“ต้องใช้เวลานานเท่าใด?” พระอาจารย์เป่ากวงถามจ่านเหยียนคำนวณพักหนึ่ง วันนี้วันที่หก แกะสลักวิญญาณมังกรต้องใช้เวลาสองวัน แล้วค่อยให้วิญญาณมังกรดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินและแสงแห่งสุริยันจันทรา ส่วนแสงแห่งสุริยันจันทราจำเป็นต้องดูดซับในคืนพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้น เร็วที่สุดก็ต้องหลังวันที่สิบห้านางเอ่ย “ให้เวลาข้าสิบวัน”“จริงหรือ?!” ฮุ่ยอวิ่นไม่ค่อยจะเชื่อ “คุณชายรู้ที่อยู่ของวิญญาณมังกรอีกชิ้นหรือ?”จ่านเหยียนผงกศีรษะ “ข้ารู้”“อยู่ที่ใด?” ฮุ่ยอวิ่นถามด้วยความยินดีพระอาจารย์เป่ากวงยื่นมือมากดฮุ่ยอวิ่นเล็กน้อย “คุณชายฮุ่ยอวิ่นมิต้องถามมาก ในเมื่อคุณชายอู่รับปากแล้ว เช่นนั้นเขาจะต้องทำได้อย่างแน่นอน”ฮุ่ยอวิ่นอ้อ ๆ แล้วมองจ่านเหยียนด้วยสายตาร้อนแรงและจริงใจมู่หรงฉิงเทียนเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลำบากคุณชายอู่พักอยู่ที่จวนอ๋องสักระยะ เจ้าแค่บอกที่อยู่ของวิญญาณมังกรกับฮุ่ยอวิ่นก็พอ เขาต้องเอามาให้เจ้าได้แน่”จ่านเหยียนเข้าใจความหมายของเขา ตอนนี้นางรู้สถานการณ์ของเขาแล้ว เขาไม่วางใจให้นางออกไปเขาไม่เคยเชื่อใจนาง ระแวดระวังนางอย่างหนัก“ได้!” จ่านเหยียนรับปากมู่หรงฉิงเทียนฮุ่ย
“หลวงจีน ไม่เจอกันนานเลยนะ!” จ่านเหยียนตอบรับเรียบ ๆ“ก็ไม่นับว่านาน เพียงหนึ่งปีเท่านั้น คุณชายสบายดีหรือ?” พระอาจารย์เป่ากวงกล่าวด้วยความนอบน้อมจ่านเหยียนตอบ “ยังไม่ตายก็นับว่าดีมากแล้ว”“คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว!” พระอาจารย์เป่ากวงยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบมู่หรงฉิงเทียนกับฮุ่ยอวิ่นแปลกใจกับการกระทำของพระอาจารย์เป่ากวงมาก แม้ก่อนหน้านี้พระอาจารย์เป่ากวงจะแนะนำหลงอู่ แต่พวกเขาแค่นึกว่าพระอาจารย์เป่ากวงชื่นชมเขาเล็กน้อย ตอนนี้ดูแล้ว... ไม่เพียงแต่ชื่นชม หากมีความเคารพด้วยท่าทีของพระอาจารย์เป่ากวงทำให้มู่หรงฉิงเทียนใช้อีกมุมหนึ่งในการมองประเมินจ่านเหยียน“พระอาจารย์ ท่านเคยรู้จักกับคุณชายอู่มาก่อนหรือ?” ฮุ่ยอวิ่นถามพระอาจารย์เป่ากวงยิ้มน้อย ๆ “กล่าวได้ว่าอาตมาเคารพคุณชายอู่มานาน กลับมีวาสนาได้พบเพียงหนเดียว”“อ้อ? เพิ่งพบเพียงหนเดียว?” ฮุ่ยอวิ่นประหลาดใจเล็กน้อย พบหนเดียวก็ศรัทธาอีกฝ่ายถึงเพียงนี้แล้ว? ไม่เหมือนลักษณะของหลวงจีนเฒ่าเลยนี่?“หนึ่งหนก็เป็นบุญวาสนาใหญ่หลวงในชาตินี้ของอาตมาแล้ว” พระอาจารย์เป่ากวงเอ่ยอย่างพึงพอใจจ่านเหยียนเหลือบมองเขาชืด ๆ ทีหนึ่ง “หลวงจีน คำนี้จะประจบเก
จ่านเหยียนอยากหมุนตัวกลับมาก ถ้านางเด็กกว่านี้สักสองร้อยปี นางคงจะไปจริง ๆ ทว่านางในตอนนี้ไม่เด็กแล้ว กอปรกับถูกเนรเทศอยู่ที่นี่ จิตใจจึงเปลี่ยนแปลงไปมากอาจเพราะนางไม่อยากให้เขาตายจริง ๆ อย่างไรก็ตาม แคว้นต้าโจวยังต้องการเขาอยู่นางเอ่ยอย่างสงบ “ท่านอ๋อง กระหม่อมกล้าพูดว่านอกจากกระหม่อม โลกนี้ก็ไม่มีใครรักษาท่านได้อีก”ใบหน้าของมู่หรงฉิงเทียนมีสีสันของการเสียดสีและเย้ยหยันเพิ่มขึ้นบางส่วน “อย่างนั้นหรือ?”“ท่านอ๋องจะไม่เชื่อก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” จ่านเหยียนเอ่ย“ข้าไม่เชื่อจริง ๆ นั่นแหละ ฮุ่ยอวิ่น ให้เงินเขาร้อยตำลึง ส่งเขาออกไป!” มู่หรงฉิงเทียนสั่งด้วยน้ำเสียงเฉยชาฮุ่ยอวิ่นเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็รีบหันไปส่งสายตากับอาซิ่น อาซิ่นพลันเข้าใจจึงวิ่งออกไปแล้วอาเสอเห็นมู่หรงฉิงเทียนโอหังเช่นนี้จึงกลั้นโทสะไม่ได้ หน้าแดงเอ่ย “คนเท่าไรเฝ้ารอให้คุณชายบ้านข้ารักษา คุณชายบ้านข้ายังไม่รับปากเลย ตอนนี้มาหาถึงที่ ท่านกลับไม่รู้คุณค่า ท่านได้เสียใจแน่”“อาเสอ!” จ่านเหยียนขมวดคิ้ว “ถอยออกไป!”แม้นางจะอารมณ์เสียเหมือนกัน เพราะมาถึงที่แล้วกลับถูกอีกฝ่ายขับไล่ไสส่ง ใบหน้าชราของนางเสียหายไม่มากก็
“ใครอยู่ข้างนอก?” เสียงสุขุมอ่อนล้าดังออกมาจากห้องหนังสือฮุ่ยอวิ่นผลักประตูเข้าไป “เทียน ข้าเชิญคุณชายหลงอู่มาแล้ว”จ่านเหยียนยืนอยู่ข้างหลังฮุ่ยอวิ่น เห็นมู่หรงฉิงเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือหลังฉาก ดวงหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ทั้งยังคล้ายผ่ายผอมไปประมาณหนึ่ง เบ้าตาลึกมากขึ้น แววตาดุร้ายมากกว่าเดิมไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ ๆ สมองของจ่านเหยียนก็นึกถึงคำพูดของจิ้นหรู ใบหน้าชราแดงซ่าน รีบก้มหน้าประสานมือ “หลงอู่คารวะท่านอ๋อง”มู่หรงฉิงเทียนมิได้เอื้อนเอ่ย บรรยากาศหนักอึ้งและ...อึดอัดเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดจ่านเหยียนรู้ว่าเขากำลังจ้องนางอยู่ เพราะสายตานั้นแหลมคมยิ่งนัก แทบจะมองนางให้ทะลุปรุโปร่งจ่านเหยียนถอนหายใจอยู่ในใจ จิ้นหรูคิดมากไปแล้ว หากนางจะเข้าสู่พุ่มบุปผาในวัยชรา อันดับแรกจะไม่หาหนุ่มน้อย อันดับสองคือจะไม่หาคนที่สร้างความกดดันให้กับนางเช่นนี้เพราะสายตาของเขาทำให้คนประหม่าผ่านไปครู่ใหญ่มู่หรงฉิงเทียนจึงเอ่ยเรียบ “เจ้าก็คือหลงอู่?”จ่านเหยียนขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฉิงเทียนเอ่ย “เงยหน้าขึ้น!”จ่านเหยียนทำใจให้สงบ จากนั้นก็เงยหน้ามองเขาเขาเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย มือหนึ
จ่านเหยียนนิ่งงันไปแล้ว นางไม่เคยคิดถึงจุดนี้ มิเช่นนั้นตอนนั้นก็คงไม่มือบอนทำลายวิญญาณมังกร“ตอนนี้ต้องการให้ข้าทำอย่างไร?” จ่านเหยียนถามฮุ่ยอวิ่นทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “พระอาจารย์เป่ากวงบอกว่าท่านมีวิธี”จ่านเหยียนถอนหายใจทีหนึ่ง “ข้าจะไปจวนอ๋องกับท่าน เจอท่านอ๋องแล้วค่อยว่ากันเถอะ”“ได้!” ฮุ่ยอวิ่นพลันดีใจ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนจ่านเหยียนมองฮุ่ยอวิ่น “แต่ ไม่แน่ว่าข้าจะช่วยท่านอ๋องได้”ฮุ่ยอวิ่นคิดว่านางแค่พูดเผื่อเอาไว้ จึงรีบพูดว่า “คุณชายอู่โปรดวางใจ ไม่ว่าจะรักษาได้หรือไม่ ข้าน้อยจะไม่โทษคุณชายอู่เด็ดขาด”ความจริงจ่านเหยียนมิได้หมายความเช่นนั้น แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ จึงได้แต่เอ่ย “ดี พวกเราไปกันเถอะ”เป็นครั้งแรกที่จ่านเหยียนย่างเท้าเข้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง นางแหงนหน้ามองป้าย ตัวอักษรลี่ซูสีทองเงาเขียนคำว่า ‘จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง’ อร่ามแวววาว ตัวอักษรหวัดเขียนได้ทรงอำนาจมากป้ายนี้เป็นของใหม่ เดิมคือจวนอันหนิงอ๋องกำแพงจวนอ๋องเคยเสริมความแข็งแรงมาก่อน มีร่องรอยของใหม่ บนกำแพงปราศจากพืชไต่ ตัวกำแพงอิฐเขียวทอดตัวยาว กินเนื้อที่ประมาณหลายสิบหมู่หน้าประตูจวนมีทหารเฝ้ายามอยู่ บนปร
“ขอรับ!” องครักษ์เอ่ยอาเสอพาเขาเข้าไปข้างใน จ่านเหยียนรออยู่ตรงหน้าระเบียงทางเดินแล้ว นางเปลี่ยนมาใส่ชุดตัวยาวลายใบไผ่เขียวอันเป็นสิริมงคล รูปร่างสูงโปร่ง ดูสูงเล็กน้อยตรงลำคอมีลูกกระเดือกเช่นเดียวกับบุรุษ ไม่ว่านางจะมีเครื่องหน้าคล้ายสตรีแค่ไหน เมื่อเห็นลูกกระเดือก อย่างไรก็คือบุรุษขนานแท้“คุณชายอู่ คุณชายท่านนี้บอกว่าต้องการพบท่าน” อาเสอกล่าวจ่านเหยียนแย้มยิ้ม “ไม่ทราบท่านคือ?”“ข้าน้อยฮุ่ยอวิ่น มาคารวะคุณชายอู่โดยเฉพาะ!” ฮุ่ยอวิ่นมองประเมินจ่านเหยียน ครั้นสายตามองไปที่ดวงหน้าของจ่านเหยียนก็ชะงักไปเล็กน้อย คนผู้นี้หน้าตามีเมตตาจ่านเหยียนอ้อ “ที่แท้ก็คุณชายฮุ่ยอวิ่น รีบเชิญเถอะ!”ทั้งสองเข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่ อาเสอยกน้ำชามา ก่อนจะยืนอยู่ข้างตัวจ่านเหยียน“คุณชายอู่” ฮุ่ยอวิ่นจิบน้ำชาคำหนึ่ง เข้าประเด็นแบบไม่อ้อมค้อม “ที่ข้าน้อยมาคารวะอย่างกะทันหันในวันนี้ ความจริงเพราะมีเรื่องต้องการร้องขอ”จ่านเหยียนยกน้ำชาขึ้นช้า ๆ เป่าฟองน้ำชา นางแปลกใจกับจุดประสงค์การมาของเขา แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา “คุณชายอย่าได้บอกว่าขอร้องเลย มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถอะ”ฮุ่ยอวิ่นมองอาเสอ จ่านเหยียนสา
อาเสอหัวเราะ ไม่ได้อธิบาย เพียงกดปุ่มบนประตูเหล็ก ประตูอัตโนมัติค่อย ๆ เปิดออก ที่แสดงอยู่ตรงหน้าทั้งสามคือบ้านเดี่ยวสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปในยุคปัจจุบันจ่านเหยียนเดินเข้าห้องรับแขก การตกแต่งในห้องรับแขกล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่ทั้งหมด จ่านเหยียนเดินไปนั่งอยู่บนโซฟาผ้าสีอ่อนนุ่มนิ่มอบอุ่น จากนั้นก็วางท้าวอยู่บนโต๊ะอย่างสบายอารมณ์อาหูเบิกตากว้างยิ่งกว่าเดิม ยืนอยู่ในรับแขกแทบไม่รู้ควรทำอย่างไรดี หมุนศีรษะสามร้อยหกสิบองศา ถอนหายใจด้วยความตะลึงไม่หยุดทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบุรุษจึงสะดุ้ง หันไปมองรอบ ๆ กลับเห็นของสีดำทรงสี่เหลี่ยมอยู่บนผนัง จู่ ๆ ก็มีภาพสีฉายออกมา ยังมีคนเดินไปเดินมา เสียงดังออกมาจากหน้าจอสีดำนั้นนั่นแหละ“นี่คือสิ่งใดกัน?” อาหูตั้งท่าเตรียมต่อสู้รอปะทะด้วยเหตุนี้ อาเสอจึงได้แต่ลากนางเข้าห้อง เล่าเรื่องที่บ้านตั้งอยู่ตรงประตูมิติเวลาให้นางฟังหนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ...แต่เห็นได้ชัดว่าอาหูไม่เข้าใจ นางกะพริบดวงตาเครื่องหมายคำถามกับอาเสอไม่หยุดอาเสอจึงได้แต่บอกง่าย ๆ ว่า “สรุปแล้ว เรือนหลังนี้เชื่อมต่อกับสองมิติเวลา ถ้าเจ้าเดินออกประตูทางขวาก็คือแคว้นต้าโจวที่เจ้า
เขาเอ่ยขึ้นทันใด “ถูกต้อง ข้าเลินเล่อแล้ว”“เช่นนั้นข้าน้อยขอลา!” จ่านเหยียนเขียนตำรับยาแล้วจึงเอ่ยใต้เท้าเหลียงชะงักงัน “นี่คุณชายจะกลับแล้วหรือ?”จ่านเหยียนมองเขา แล้วถามด้วยความฉงน “ยังมีสิ่งใดต้องการจากข้าน้อยหรือ?”ใต้เท้าเหลียงมองประเมินนาง แล้วจึงเอ่ย “คุณชายช่วยลูกสาวของข้า หรือว่าไม่อยากได้สิ่งใด หรือต้องการให้ข้าทำอะไรให้คุณชายหรือ?”หากไม่มีจุดประสงค์ เหตุใดต้องเสี่ยงภัยใหญ่หลวงช่วยคนด้วย? หากตรวจสอบพบ ต้องโทษถึงประหารชีวิตทั้งครอบครัวเชียวนะไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อว่ามีคนดี แต่สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ไม่มีใครหวังดีเสี่ยงถูกประหารชีวิตเพื่อช่วยคนหรอกอย่างน้อยเขาก็ไม่ ดังนั้นเขาไม่เชื่อว่าหลงอู่จะช่วยคนเพียงเพราะมีจิตเมตตาจ่านเหยียนหัวเราะแล้วเอ่ย “อาจจะมี แต่มิใช่เวลานี้ แต่ใต้เท้าโปรดวางใจ สิ่งที่ข้าน้อยต้องการ ใต้เท้าต้องให้ได้แน่ ข้าน้อยจะไม่ทำให้คนลำบากใจ”ใต้เท้าเหลียงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว ขอเพียงไม่ผิดต่อมโนธรรม ไม่ว่าคุณชายต้องการให้ข้าทำสิ่งใด หากอยู่ในขอบเขตความสามารถของข้า สามารถให้ได้ สามารถทำได้ ข้าจะต้องทำให้อย่างแน่นอน”จ่าน
จ่านเหยียนเอื้อมมือกดจุดเหรินจงของเหลียงกุ้ยเหรินทีหนึ่ง เมื่อนั้นเหลียงกุ้ยเหรินจึงค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมานางมองจ่านเหยียนอย่างอ่อนแรง แววตาสับสนเล็กน้อย พยายามจะส่งเสียง แต่กล่องเสียงเจ็บมาก นางพยายามเปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งราวกับผ้าไหมที่ฉีกขาด “ข้าตายแล้วหรือ?”อาเสอจึงเดินไปบอก “ท่านยังมีชีวิตอยู่”นางนิ่งค้างไป มีชีวิตอยู่? จะเป็นไปได้อย่างไร? ฮองเฮาจะปรานีนางหรือ? ไม่ถูก นางดื่มสุราพิษลงไปกาหนึ่งแล้ว น่าจะตายแล้วนี่อาหูเปิดประตู คุณชายเหลียงซานปรี่เข้ามา ใต้เท้าเหลียงก็ประคองเหลียงฮูหยินเข้ามาด้วย ทั้งสามตรงดิ่งไปถึงข้างเตียง เหลียงฮูหยินกอดเหลียงกุ้ยเหรินเอาไว้แล้วร้องไห้ “ลูกแม่ เจ้าฟื้นสักที”เหลียงกุ้ยเหรินพลันแสบจมูก น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ นับจากเข้าวังก็ไม่เคยได้พบครอบครัวอีกเลย นางต้องตายไปแล้วแน่ ๆ วิญญาณกลับมาจึงทำให้นางได้เห็นครอบครัว“ท่านแม่ อย่าร้องไห้ แม้ลูกตายไปแล้วก็จะคุ้มครองพวกเราทั้งครอบครัว” นางเปล่งเสียงออกมาจากลำคอด้วยความลำบาก พูดคำหนึ่งก็เจ็บลำคอราวกับเข็มทิ่มแทงเหลียงฮูหยินซับน้ำตาบนใบหน้าของนาง หัวเราะระคนร้องไห้