“นอน!” จ่านเหยียนถอดรองเท้าขึ้นเตียงแล้วคลุมโปงอาเสอก็เปิดประตูกลับห้องเช่นกัน นางเดินเท้าตลอดทาง ใบหน้าจึงแดงแจ๋ หัวใจเต้นตึกตัก ๆในหัวคิดถึงเมื่อครู่ตอนที่ไปหาคุณชายหวัง ดื่มกับเขาสองจอกก็เริ่มเมาแล้ว ทั้งยังลากนางไปสุขาด้วยกันอีกมนุษย์กับงูมีความแตกต่างกันมากนะ อาเสอคิดอย่างมึนเมา ใบหน้าแดงซ่านขึ้นมานางนอนพลิกตัวกระสับกระส่ายไม่หลับ ในหัวมักคิดถึงภาพในคืนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางจึงเข้าห้องของจ่านเหยียนและมุดขึ้นเตียง ก่อนจะเขย่าจ่านเหยียนให้ตื่น “คุณหนูใหญ่ ข้าอยากถามท่านหนึ่งเรื่อง!”จ่านเหยียนเตะขาออกไปแล้วพูดแบบงัวเงีย “ไสหัวไป!”อาเสอกลิ้งตัวลงมาจากเตียงดังตุบ จากนั้นก็ปีนขึ้นเตียงอีกแบบไม่ตายใจ “เฮ้อ ข้าเจอเรื่องใหญ่แล้ว ท่านต้องช่วยข้านะ”“พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!” จ่านเหยียนหงุดหงิดสุดเหวี่ยง เพิ่งจะหลับก็ทำจนนางตื่นอีก คืนนี้ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันแล้ว“ไม่นะ ข้าจะพูดตอนนี้ ไม่อย่างนั้นข้านอนไม่หลับ” อาเสอกล่าวอย่างดื้อดึง“เจ้าไปเจอพระใหญ่อะไร?” จ่านเหยียนลุกพรวดขึ้นมาตะคอกใส่นาง“ไม่ใช่พระใหญ่ เรื่องใหญ่ต่างหาก!” อาเสอแก้ไขให้ถูกต้องอย่างจริงจัง“เรื่องใหญ่?
จ่านเหยียนมาเรียกพระอาจารย์เป่ากวงแต่เช้าตรู่ เพื่อมอบวิญญาณสัมภเวสีที่เก็บมาเมื่อคืนให้เขา แล้วให้เขาสวดมนต์ส่งไปเกิดพระอาจารย์เป่ากวงอมยิ้มแล้วกล่าว “ท่านเซียนใจกว้างมีเมตตา อาตมาขอบคุณท่านเซียนแทนพวกเขาด้วย”จ่านเหยียนโบกมือ กระดากเล็กน้อย “รับคำว่าใจกว้างมีเมตตาไม่ได้จริง ๆ หลวงจีนน้อย เจ้าสวดมนต์ส่งพวกเขาไปเกิดด้วยแล้วกัน บุญนี้เป็นของเจ้า อย่าได้จดอยู่บนตัวข้าผู้ชรา”“อาตมามิกล้ารับความชอบ เป็นหน้าที่อยู่แล้ว” พระอาจารย์เป่ากวงเอ่ยจ่านเหยียนมองเขาแล้วนึกถึงตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน เคยได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรกล่าว ผู้บำเพ็ญเพียรหรือผู้ออกบวชมิควรถามไถ่เรื่องทางโลก บำเพ็ญเพียรอย่างเดียวก็พอ ตอนนั้นนางฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจมาก พระพุทธองค์ทรงมีเมตตา โปรดสรรพชีวิต หรือว่าแค่พูดแต่ปาก?แต่... พระอาจารย์เป่ากวงมอบการอธิบายใหม่หมดกับนาง นางพึงพอใจมาก“หลวงจีนน้อย ได้ยินว่าผู้ออกบวชไม่สนใจเรื่องทางโลก มีเพียงการบำเพ็ญภาวนาจึงจะขายความสามารถในตัวกับครอบครัวจักรพรรดิได้ เหตุใดเจ้าจึงเข้าทางโลกยุ่งเรื่องกิเลสบนโลก?” จ่านเหยียนอดถามไม่ได้พระอาจารย์เป่ากวงยิ้มน้อย ๆ “อาตมาจำได้ว่าท่านเซีย
“บางทีคุณชายอาจไม่เชื่อ แต่ต้องเป็นตามลักษณ์ทำนายแน่นอน จากลักษณ์ทำนายนี้ ความจริงคุณชายมิได้ให้ความสำคัญว่าจะลงเอยกับนางได้หรือไม่ ฮุ่ยมีความหมายว่ามอบให้ ใช้ตัวฮุ่ยเป็นชื่อ ประกอบกับวันเดือนปีเกิดของคุณชาย สามารถเห็นได้ว่าคุณชายมีนิสัยถือดี ชื่นชมบุปผาเพียงหนึ่งเดียวของตัวเองว่าดี ความรักของคนประเภทนี้มักไม่เป็นดังหวัง เขาจะมอบให้อย่างลับ ๆ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นจึงไม่ได้ลงเอย”ฮุ่ยอวิ่นไม่เชื่อท่าเดียว เขายิ้มเย็นชืด “อื่ม ขอบคุณคุณชายที่ทำนายตัวอักษรให้ จริงสิ ไม่ทราบว่าคุณชายจะบอกที่อยู่ของวิญญาณมังกรกับข้าน้อยได้หรือไม่?”นี่ต่างหากคือจุดประสงค์ที่เขาวิ่งโร่มาแต่เช้าจ่านเหยียนเอ่ย “เมื่อวิญญาณมังกรมาถึงเมืองหลวง ข้าจะบอกท่านเอง”“ประมาณเมื่อไรจึงจะมาถึงหรือ? ผู้ใดส่งมา?” ฮุ่ยอวิ่นถามต่อจ่านเหยียนยิ้มน้อย ๆ “มีบางเรื่อง คุณชายมิจำเป็นต้องรู้”ฮุ่ยอวิ่นอ้อ แล้วมองจ่านเหยียน “ข้าน้อยคิดว่า มิมีเรื่องใดที่บอกกับคนไม่ได้”จ่านเหยียนขำพรืด “คำพูดนี้ ข้าคิดว่าไม่สมควรออกมาจากคุณชายฮุ่ยอวิ่นแห่งจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง”เรื่องของเซ่อเจิ้งอ๋องที่บอกคนไม่ได้มีน้อยหรือ?ฮุ่ยอวิ่นเร
ฮุ่ยอวิ่นให้จ่านเหยียนรอเขาสักเดี๋ยว เขาจะไปดูมู่หรงฉิงเทียนก่อนมู่หรงฉิงเทียนตื่นและไปตรวจฎีกาของเมื่อวานที่ห้องหนังสือนานแล้ว“เหตุใดจึงไม่พักผ่อนให้มาก?” ฮุ่ยอวิ่นเพิ่งเข้าประตูมาก็ขมวดคิ้วมู่หรงฉิงเทียนเงยหน้า สีหน้าของเขาดีมาก ท่าทางจะอารมณ์ดี “เจ้าก็ตื่นแต่เช้าเหมือนกันมิใช่หรือ?”“ข้าจะออกไปกับหลงอู่หน่อย คาดว่าคงไม่กลับมากินข้าวเที่ยงแล้ว” ฮุ่ยอวิ่นเอ่ย“ไปไหน?” มู่หรงฉิงเทียนวางฎีกาในมือลงแล้วมองเขา“ไปบ้านหวังติ่งทัง หลงอู่เป็นสหายสนิทกับหวังติ่งทัง”“หือ?” มู่หรงฉิงเทียนพิจารณาเชิงลึกครู่หนึ่ง “ไปเถอะ แล้วหยั่งเชิงความคิดของหวังติ่งทังด้วย”“เมื่อวานท่านพูดกับเขาว่าอย่างไร ข้าลืมถามท่านไปเลย!” เมื่อวานพาหลงอู่มา จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทมู่หรงฉิงเทียนเอ่ยเรียบ “ยังจะพูดอย่างไรได้อีก? ก็พูดตรง ๆ นะสิ! เขาเป็นคนฉลาด รู้ว่าคนหนึ่งยิ่งมีมาก ก็ยิ่งทำให้คนอิจฉามาก”“สกุลหวังก็ต่อกรยากเหมือนกัน!” ฮุ่ยอวิ่นขมวดคิ้วเอ่ย“วางใจเถอะ ข้ารู้กาลเทศะ เขาต่อกรยากก็จริง แต่... ข้ามีวิธีเกลี้ยกล่อมเขา” มู่หรงฉิงเทียนเอ่ยฮุ่ยอวิ่นไม่เคยสงสัยในจุดนี้ แต่เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ยังม
รถม้าจอดอยู่หน้าจวนของหวังติ่งทัง จ่านเหยียนให้อาเสอไปบอก แต่อาเสอกลับไม่ยอมลงจากรถม้าสักที บอกปัดว่า “ตอนที่อยู่หน้าห้องก็คุยกันแล้วนี่ พวกเรามิใช่คนนอกอะไรสักหน่อย ยังต้องบอกอีกหรือ?”จ่านเหยียนเขกศีรษะของนางทีหนึ่ง “เจ้าจะปกติหน่อยได้หรือไม่? อย่าคิดมาก!”อาเสอหงุดหงิดนิด ๆ “ต่อไปเวลาอยู่ต่อหน้าคุณชายหวัง ท่านอย่าได้พูดกับข้าน้อยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เล่า”จ่านเหยียนเอ๋ “มีน้ำโหด้วย?”“นี่คือขีดจำกัดต่ำสุด ท่านไม่ได้ให้ค่าแรงข้าน้อยสักหน่อย” อาเสอถลึงตามองนาง นี่คือปัญหาด้านศักดิ์ศรี จะยอมให้ไม่ได้ฮุ่ยอวิ่นถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าคุณชายอู่ติดค้างค่าแรงเจ้าหรือ? ติดอยู่เท่าใด?” หลงอู่ผู้นี้เป็นคนตระหนี่หรือ? ดูไม่ออกจริง ๆจ่านเหยียนกล่าวกับฮุ่ยอวิ่น “ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาเอาแต่ใจน่ะ ในเมื่อเขาไม่อยากลงจากรถม้า เช่นนั้นก็ทิ้งไว้ที่นี่นั่นแหละ”กล่าวจบ จ่านเหยียนก็กระโดดลงจากรถม้าไปเอง กำลังจะเดินไปเคาะประตู มือเพิ่งสัมผัสห่วงทองเหลือง ประตูก็เปิดออกดังแอ๊ดมือของนางค้างอยู่กลางอากาศ เห็นลุงฝูพ่อบ้านจวนสกุลหวังที่ทั้งร้อนใจและยินดี “ลุงฝู เช้าเช่นนี้จะไปที่ใดหรือ?”ลุงฝู
หลังจากกินอันกงหนิวหวงเข้าไป จ่านเหยียนก็ฝังเข็มกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือด ในที่สุดหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง นายท่านหวังก็ดีขึ้น สามารถพูดได้แล้ว “รบ...กวนเจ้าอีกแล้ว!”จ่านเหยียนเอ่ย “ไม่ต้องพูดอะไรที่เป็นพิธีรีตองหรอก พักผ่อนให้มากเถอะ!” จ่านเหยียนดึงผ้าห่มให้เขา แล้วกำชับหวังฮูหยิน “ฮูหยินอยู่ดูแลที่นี่เถอะ ข้าจะออกไปเขียนตำรับยาก่อน!”“ได้ ได้!” หวังฮูหยินดึงมือของนางมา แล้วเอ่ยทั้งน้ำตาไหลพราก “อาอู่ โชคดีที่ได้เจ้านะ มิเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว”จ่านเหยียนตอบ “ต่อไปอย่าทำให้เขาโกรธอีก ไม่ว่าอะไรก็ตามใจหน่อย”หวังฮูหยินมองหวังหว่านจวินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างแค้นที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า “ได้ยินหรือยัง? ท่านพ่อของเจ้าสุขภาพไม่ดี เจ้ายังจะทำให้เขาโกรธอีก เขาก็หวังดีต่อเจ้า ยังจะทำร้ายเจ้าได้หรือ?”หวังหว่านจวินปาดน้ำตา ก่อนจะกล่าวตอบหวังฮูหยินราวกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ท่านแม่ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าจะทำตามท่านพ่อทุกอย่างเจ้าค่ะ”เมื่อนั้นหวังฮูหยินจึงมีสีหน้าอ่อนโยน ดึงนางลุกขึ้นยืน “แม่ไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ฉีซุนนั่นมิใช่คนดี ตอนนี้เจ้าอาจโทษท่านพ่อกับแม
“พี่ฮุ่ยก็กล่าวเช่นนี้หรือ?” หวังติ่งทังขมวดคิ้วมองฮุ่ยอวิ่นฮุ่ยอวิ่นเอ่ย “สตรีหาคู่ครอง อันดับแรกคืออุปนิสัย ชาติตระกูลอะไรสำคัญหรือ?”หวังติ่งทังผินหน้าไปมองจ่านเหยียน “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”จ่านเหยียนไม่คิดจะสนใจประเด็นนี้ เรื่องรักใคร่ชายหญิงมิใช่งานถนัดของนาง แต่ก็รู้สึกว่าฮุ่ยอวิ่นกล่าวมีเหตุผลเช่นกัน เงินสำคัญมาก ชาติตระกูลสำคัญมาก แต่ถ้าไม่มีความรัก แล้วจะมีความสุขหรือ?ในทางกลับกัน คำพูดนี้ก็เป็นความจริงได้เหมือนกัน ความรักสำคัญมาก แต่ถ้าไม่มีเงิน แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร?อยู่ที่ว่าหวังหว่านจวินต้องการมีรักดื่มน้ำเติมเต็มท้องหรือว่าชีวิตที่มั่งมีศรีสุขแล้วดังนั้นหลังจากนางพิจารณาแล้วจึงเอ่ย “ข้าคิดว่า หากฉีซุนนั่นเป็นคนดีจริง ๆ ไยเจ้าไม่สนับสนุนเงินเขาสักหน่อย? ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ขาดเงิน”“น่ารังเกียจ!” หวังติ่งทังฮุ่ยอวิ่นมองเขาราวกับมีความคิด “แต่... ข้าน้อยคิดว่าที่พี่อู่กล่าวมีเหตุผลอย่างยิ่ง” แม้จะบอกว่าน่ารังเกียจ แต่ก็กล่าวตรงประเด็นหวังติ่งทังส่ายหน้า “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ลูกผู้ชายอกสามศอก สมควรยืนหยัดด้วยตัวเอง จะให้คนอื่นช่วยเหลือเรื่องเงินได้อย่างไร?
ฮุ่ยอวิ่นถามหวังติ่งทังแบบหยั่งเชิง “คุณชายหวัง ไม่ทราบว่าวันนั้นท่านอ๋องเชิญท่านไปที่จวนด้วยเรื่องใดหรือ?”หวังติ่งทังยกน้ำชาขึ้น เก็บความคิดในดวงตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ย “แค่พูดคุยเรื่องเก่าก่อน ไม่มีอะไรพิเศษ”ฮุ่ยอวิ่นหัวเราะแล้วมองจ่านเหยียนทีหนึ่งแบบเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ “ตอนนี้คุณชายอู่พักอยู่ที่จวนอ๋อง”หวังติ่งทังชะงักแล้วมองจ่านเหยียน “เจ้าพักอยู่ที่จวนอ๋องหรือ?”จ่านเหยียนรู้ความหมายของฮุ่ยอวิ่น แต่... นางแปลกใจกับการดึงสมัครพรรคพวกอย่างเปิดเผยเช่นนี้ของฮุ่ยอวิ่นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยความเข้าใจที่นางมีต่อทุกคนในจวนอ๋องหนึ่งปีนี้ รู้ว่าจวนอ๋องให้ความสำคัญต่อวิธีการในการทำงาน แต่จะไม่ใช้วิธีดึงสมัครพรรคพวกเด็ดขาดหรือว่า... มู่หรงฉิงเทียนต้องการเดิมพันทั้งหมด? นางไม่เห็นด้วย!“ถูกต้อง!” นางได้แต่ตอบเช่นนี้หวังติ่งทังมองฮุ่ยอวิ่น สุดท้ายก็ยังถามข้อสงสัยในใจออกไป เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะเล็กน้อย “ที่แท้เจ้ากับคุณชายฮุ่ยอวิ่นก็สนิทสนมกันเช่นนี้”ฮุ่ยอวิ่นโบกมือ “ใช่ที่ไหนกัน? เพียงแต่ท่านอ๋องชื่นชมคุณชายอู่ อยากรั้งเขาอยู่ที่จวนสักระยะ”หวังติ่งทังเปลี่ยนสีหน้าเ
ทั้งสองจะยอมหรือ? จึงบอกจะเข้าไปพูดกับจิ้นหรูกูกู หรูหัวกลับหน้าขรึม “พวกเจ้าเห็นตำหนักชิงหนิงคือสถานที่ใด? พวกเจ้าอยากเข้าก็เข้าได้ตามใจชอบหรือ?”อาถงข่มอารมณ์โกรธ กล่าวขอร้อง “กูกูอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย พวกเราก็ทำงานตามคำสั่ง หากเชิญจิ้นหรูกูกูกลับไปไม่ได้ หมู่โฮ่วฮองไทเฮาต้องพาลมาถึงเราแน่ กูกูคงไม่อยากเห็นพวกเราถูกลงโทษกระมัง?”“พวกเจ้าถูกลงโทษหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับข้า? ข้าแค่ฟังคำสั่งของเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาเท่า...”อาถงกับอาเถี่ยรีบฉวยโอกาสตอนที่หรูหัวพูดบุกเข้าไปเพียงแต่ทั้งสองเพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกองครักษ์สองสามคนขวางเอาไว้“บุกรุกตำหนักของไทเฮา พวกเจ้ามีกี่ชีวิต? เอาตัวไป!” หรูหัวเอ่ยเสียงกร้าวกระบี่หลายเล่มพาดอยู่ตรงลำคอของอาถงกับอาเถี่ย ทั้งสองไม่กล้าต่อต้าน จึงได้แต่หันไปมองหรูหัวและเอ่ย “กูกู พวกเรามิได้จงใจบุกรุก กูกูโปรดเมตตา อนุญาตให้เราไปพบจิ้นหรูกูกูหน่อยเถอะ”หรูหัวหัวเราะเสียงเย็น ส่งสายตากับองครักษ์ “เอาตัวไป ขังอยู่ในห้องมืดก่อน”ห้องมืดใช้กักขังคนในตำหนักที่กระทำความผิดโดยเฉพาะ บ้างเข้าห้องมืดไม่กี่วันก็ออกมา แต่ทั่วไปแล้วมักมอบให้หัวหน้าขันทีในวั
ทั้งสองคิดไปก็มิใช่วิธี จึงให้จี๋เสียงกับหรูอี้ไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์หมู่โฮ่วฮองไทเฮา ตามจิ้นหรูกลับมาปรนนิบัติที่ตำหนักครั้นจี๋เสียง หรูอี้ไปถึงตำหนักชิงหนิงกลับเข้าไปไม่ได้ ได้แต่ให้ขันทีในตำหนักไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์ของหมู่โฮ่วฮองไทเฮาผ่านไปพักหนึ่ง หรูหัวก็ยิ้มตาหยีเดินออกมา “เซิ่งหมู่ฮองไทเฮากำลังเดินหมากกับจิ้นหรูกูกู นี่กำลังสนุกเลย จะอย่างไรเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาก็ไม่ยอมให้กูกูไป พวกเจ้าสองคนกลับไปทูลรายงานหมู่โฮ่วฮองไทเฮาว่าจะส่งคนกลับไปดึกหน่อยแล้วกัน”“อ๊าาา”เสียงร้องดังมาจากข้างในอีก จี๋เสียง หรูอี้สบตากันทีหนึ่ง สีหน้าเริ่มกังวลเล็กน้อยหรูหัวเอ่ยเรียบ “มีนางกำนัลคนหนึ่งไม่ทันระวังทำน้ำชาหกใส่หลังมือของจิ้นหรูกูกู นี่อย่างไร กำลังถูกโบยอยู่เลย”“แต่... เหตุใดเสียงนี้ฟังดูแล้วจึงเหมือนเสียงของจิ้นหรูกูกูล่ะ?” จี๋เสียงเอ่ยอย่างขลาด ๆ“เหลวไหลอันใด?” หรูหัวเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน “เจ้าจะบอกว่าเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาทรมาทรกรรมจิ้นหรูกูกูหรือ? ยังมิได้กล่าวถึงจิ้นหรูกูกูเป็นคนข้างพระวรกายของหมู่โฮ่วฮองไทเฮา แค่อดีตนางคือนางกำนัลคนสนิทของอดีตฮ่องเต้ ทั้งยังมีไมตรีกับเซิ่งหมู่ฮองไทเฮามาต
จิ้นหรูหัวใจรัดแน่น สุดท้ายดวงตาก็ฉายความแตกตื่นออกมา “พระองค์คิดจะทำอันใดกันแน่เพคะ?”“ถามได้ดี!” ถงไทเฮาลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วเดินก้าวหนึ่ง เหยียบหลังมือของจิ้นหรู ออกแรงขยี้ มองดูความทรมานบนใบหน้าของจิ้นหรู ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “เจ็บหรือ?”จิ้นหรูกัดฟัน “ไทเฮาจะลงโทษบ่าวอย่างไรก็ได้เพคะ”อย่างมากก็แค่ตาย ตายแล้วก็คือหลุดพ้น แต่... นางรู้ ถงไทเฮาแค้นนางที่สุด จะไม่ให้นางตายง่าย ๆ เด็ดขาด“ข้าได้ยินว่าคุกทักษิณมีทัณฑ์ทรมานมากมาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเทียบกับข้าที่นี่แล้ว จะเหนือกว่าหรือไม่? มิสู้จิ้นหรูกูกูช่วยข้าเปรียบเทียบสักหน่อย” ถงไทเฮาโน้มตัวลงเชยคางของจิ้นหรู มุมปากแย้มยิ้มชั่วร้ายเหี้ยมเกรียมเดิมรูปลักษณ์ก็มิได้งามวิไล ยามนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน ยิ่งทำให้ดุร้ายอัปลักษณ์มากกว่าเดิมจิ้นหรูขวัญผวา ไม่กล้ามองดวงตากระหายเลือดของนาง จึงก้มหน้ากัดริมฝีปาก อดทนต่อความเจ็บที่ส่งมาถึงแต่... นี่ยังห่างไกลกับจุดสิ้นสุดหรูหัวยกตะปูมากะละมังหนึ่ง พวกมันมิใช่ตะปูเหล็ก แต่เป็นตะปูไม้ท้อทุกเล่มทำจากไม้ท้อ ส่วนปลายแหลมคมเงาวับ“ถ้าเจ้าร้องสักแอะ ข้าจะเพิ่มตะปูอีกเล่ม” ถงไทเฮาเอ่ย
ด้วยประการละฉะนี้ ทุกคนจึงนึกว่าฮ่องเต้โปรดปรานแต่ฮองเฮา ทอดทิ้งวังหลังแม้นางสนมจะตำหนิไม่พอใจ แต่เพราะฮองเฮาคือคนสกุลถง จึงไม่มีใครกล้าพูดฮองเฮารูปโฉมไม่โดดเด่น กลับได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เพียงนี้ เห็นได้ว่าฮ่องเต้รักนางจริง ๆชั่วขณะ ฮองเฮาบารมีไร้ที่สิ้นสุด รั้งตำแหน่งฮองเฮา ทั้งยังมีความโปรดปรานของฮ่องเต้มั่นคงดั่งขุนเขา ทำให้สกุลถงเหิมเกริมมากขึ้นทุกวันเขาใช้การกระทำบอกนาง ในใจของเขามีแต่นางเท่านั้นสามสิบกว่าปีแล้ว นางเข้าวังในวัยสิบสอง บัดนี้สี่สิบสาม อดีตฮ่องเต้คือแผ่นฟ้าของนาง คือสามีของนาง คือนายของนางเขาจากไปก่อนนาง แม้นางจะเสียใจ แต่ก็มิได้แสดงออกว่าเสียใจมาก เพราะนางรู้ว่าเขากำลังรอนางอยู่ตรงนั้น สุดท้ายนางจะได้ไปพบกับเขานางรู้ ยามนี้ได้เวลาแล้ว“พูด!” หรูหัวดุดันขึ้นมา ตบหน้านางฉาดหนึ่งจิ้นหรูหน้าเอียงไปข้างหนึ่ง แก้มบวมขึ้นรอยประทับนิ้วมือทันทีจิ้นหรูคุกเข่าตัวตรง “บ่าวไม่มีอะไรจะพูดเพคะ”“เจ้ามอบความบริสุทธิ์ของเจ้าให้ผู้ใด?” ถงไทเฮาไม่แสดงออกว่าโกรธมาก ในทางกลับกัน นางพรูลมยาว ข้อกังขาที่เก็บอยู่ในใจนางยี่สิบกว่าปี กระจ่างแจ้งในที่สุด“บ่าวไม่ทร
หรูหัวลากนางเข้าตำหนักชั้นในไปอย่างไม่ให้ปฏิเสธจิ้นหรูมองเสื้อผ้าบนฉากบังลมด้วยความประหลาดใจ เหตุใดหรูหัวจึงมีเสื้อผ้าวางอยู่ในตำหนักบรรทมของไทเฮาได้แต่นางมิได้ถาม เพราะถามแล้วก็คงไม่บอก นางมองเสื้อผ้านางกำนัลชุดนี้ มิได้สงสัยเรื่องอื่นก็เข้าไปเปลี่ยนชุดด้านหลังฉากบังลมนางเพิ่งถอดเสื้อผ้า หรูหัวก็เข้ามา “อุ๊ย ข้าลืมบอกเจ้าไป ชุดนี้เคยใส่แล้ว เปลี่ยนอีกชุดเถอะ!”นางยื่นชุดสีเหลืองอ่อนในมือให้จิ้นหรู พร้อมกับกวาดสายตามองบริเวณแขนของจิ้นหรูอย่างรวดเร็ว เมื่อนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะออกไปจิ้นหรูเพิ่งแต่งตัวเสร็จก็มีหญิงสูงวัยดุดันเข้ามาสองคน ลากแขนจิ้นหรูคนละข้างออกไปข้างนอกจิ้นหรูตกตะลึงพรึงเพริดถามขึ้นว่า “นี่พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ?”หญิงสูงวัยสองคนนั้นลากนางไปแล้วผลักจนนางสะดุดล้มลงพื้น ถงไทเฮามองนางจากมุมสูง ดวงหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต“เซิ่งหมู่ฮองไทเฮา บ่าวทำอะไรผิดไปเพคะ?” จิ้นหรูหัวใจหนักอึ้ง แต่ยังสงบสติอารมณ์แล้วถาม“ทำอะไรผิด?” เสียงของถงไทเฮาราวกับส่งมาจากขุมนรก พกพากลิ่นอายเย็นยะเยือกชุ่มชื้น “แต้มพรหมจรรย์ของเจ้าเล่า?”จิ้นหรูหัวใจ
“ข้าได้ยินมา ทุกคืนนางจะเรียกนักดนตรีไปบรรเลงเพลง ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่?”“ทูลไทเฮา เรื่องนี้เกินไปหน่อยเพคะ หมู่โฮ่วฮองไทเฮาทรงเรียกพวกเขามาในยามวิกาลน้อยนัก!”รอยยิ้มของถงไทเฮาบานสะพรั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ “ข้าก็รู้ว่าวังหลังมีปากหอยปากปูมาก จริงสิ ปกติเวลาอดีตฮ่องเต้ทรงสะสางราชกิจ ทรงโปรดทำอันใดหรือ?”หัวข้าสนทนาวกกลับมาเรื่องอดีตฮ่องเต้ จิ้นหรูลอบโล่งอก เวลาตอบคำถามจึงเป็นมิตรมากขึ้นบางส่วน “อดีตฮ่องเต้มีเวลาวางน้อยนัก แต่พระองค์โปรดอู้งานยามยุ่ง ทรงโปรดการเดินหมาก เสวยพระสุธารสชาเพคะ”“เดินหมาก? เดินกับผู้ใด?” ถงไทเฮาถาม“กับบ่าวเพคะ” จิ้นหรูยิ้มบาง “เพียงแต่ฝีมือการเดินหมากของบ่าวไม่ดี แพ้อยู่เรื่อยเลยเพคะ”“อดีตฮ่องเต้ทรงยินดีเดินหมากกับเจ้า แสดงว่าฝีมือการเดินหมากของเจ้าต้องดี” ถงไทเฮายิ้มเอ่ย “เจ้าอย่าได้ถ่อมตัวนักเลย วันหลังข้าจะเดินหมากกับเจ้าบ้าง เจ้าก็คลายเหงาให้ข้าหน่อย”“ขอเพียงไทเฮาโปรด บ่าวก็เดินหมากเป็นเพื่อนไทเฮาได้ทุกเมื่อเพคะ” จิ้นหรูกล่าวจากใจ“เจ้าช่างเป็นคนเข้าใจผู้อื่นแท้ ๆ มิน่าอดีตฮ่องเต้จึง ‘โปรดปราน’ เจ้าเช่นนี้” ถงไทเฮายิ้มเอ่ยคำพูดนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ใ
ตำหนักชิงหนิงจิ้นหรูคุกเข่าลงคำนับ “ถวายพระพรเซิ่งหมู่ฮองไทเฮา”“ลุกขึ้นเถอะ จิ้นหรู” ถงไทเฮาแย้มยิ้มจิ้นหรูลุกขึ้นยืนก้มหน้าแล้วไปยืนอยู่ด้านข้าง“ไม่ต้องเกร็งไป วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามา เพราะอยู่ ๆ ก็นึกถึงอดีตฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้เคยรับสั่งว่าทักษะการชงชาของเจ้าเป็นหนึ่งในใต้หล้า เจ้าจะชงให้ข้าสักครั้งได้หรือไม่?” ถงไทเฮากล่าวขอด้วยใบหน้าราบเรียบ“เพคะ!” จิ้นหรูขานรับ“หรูหัว ไปเตรียมเครื่องชงชา” ถงไทเฮาสั่งหรูหัวขานรับแล้วจึงออกไปถงไทเฮาปรายตามองจิ้นหรู วันนี้นางสวมชุดสีครามปักลายใบไม้ไผ่สีแดงเข้ม มิได้ผัดแป้ง แม้อายุล่วงเลยสี่สิบ กลับยังสง่าเรียบง่ายจิ้นหรูไม่เคยคลอดลูก จึงดูอ่อนเยาว์กว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันมิได้เลอโฉม กลับมีท่วงทำนองอย่างหนึ่งหรูหัวยกเครื่องชงชามา นางมองการต้มน้ำ ล้างชา ล้างถ้วย รินน้ำชาอย่างสง่างามของจิ้นหรูยังไม่พูดถึงฝีไม้ลายมือที่สง่างาม แต่ขณะนางชงชาจะมีสมาธิมาก ยามที่คนคนหนึ่งจดจ่ออยู่กับเรื่องหนึ่ง จะมีเสน่ห์ชวนหลงใหลเป็นพิเศษในฐานะที่ถงไทเฮาคือสตรีก็รู้สึกถึงมนตร์เสน่ห์น่าหลงใหลนี้เหมือนกัน“อดีตฮ่องเต้โปรดเสวยพระสุธารสชาอะไรหรือ?” นา
ถงไทเฮาถอนตายตากลับช้า ๆ ก็จริง นับจากหรูหัวเข้าวังก็อยู่ข้างตัวนางมาตลอด รวมแล้วอดีตฮ่องเต้เคยมองนางเพียงไม่กี่ครั้ง แม้แต่ชื่อของนางก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำที่สำคัญที่สุดคือ แม้หน้าตาของหรูหัวจะพอใช้ได้ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘สวย’ เด็ดขาด“ในฐานะที่เป็นบุตรสาวสกุลถง ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ใช้ชีวิตเหมือนพญาหงส์ แล้วยังจะสูงศักดิ์ยิ่งกว่าองค์หญิงเสียด้วยซ้ำ หลังจากเข้าวังก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา เกียรติยศไร้ขีดจำกัด แต่... นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ให้คนอื่นดู สิ่งที่ข้าต้องการ ก็แค่สายตาอาวรณ์หนึ่งของอดีตฮ่องเต้ เมื่อไม่ได้มา ข้าก็ไม่อยากให้ผู้ใดได้มันไปทั้งนั้น ไม่ว่านางจะอยู่หรือตาย ข้าก็ต้องรู้ว่านางคือใคร”ถงไทเฮาพูดเนิบช้ามาก แต่... มีความโหดเหี้ยมทุกถ้อยคำหรูหัวพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพึ่บ “เสี่ยวหรู? คนที่ปรนนิบัติอดีตฮ่องเต้ในตำหนักในสมัยก่อน มีคนหนึ่งที่ชื่อจิ้นหรูเพคะ”“จิ้นหรู? ไม่ใช่นาง” ถงไทเฮาส่ายหน้า “นางโตมากับอดีตฮ่องเต้ ถูกส่งไปปรนนิบัติข้างพระวรกายอดีตฮ่องเต้นานแล้ว หากนางคือคนที่อดีตฮ่องเต้โปรดปราน ไยไม่แต่งตั้งนางเป็นสนมเล่า?”หรูหัวคิ
ฮองเฮาส่ายหน้า “ไม่ ซูอี้จะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เขาไม่กลัวว่า...” ความกลัวเริ่มปกคลุมใบหน้าของนาง และไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย“ถ้าเจ้ายังอยากรักษาชีวิตพ่อของเจ้าเอาไว้ ก็ไปหาฮ่องเต้” ถงไทเฮากล่าวอย่างแค้นที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้าเทียบกับสมัยก่อน ถงไทเฮาเติบโตและรู้ความมากแล้ว เมื่อก่อนนางไม่เข้าใจ เหตุใดเสด็จแม่จึงไม่เข้าใจนาง เหตุใดมักให้นางทำเรื่องที่ลำบากใจ บัดนี้นางรู้แล้ว มีเพียงให้ตัวเองลำบาก สกุลถงจึงจะมั่นคงในใจของคนสกุลถง ชื่อเสียงและความมั่นคงของวงศ์ตระกูลสำคัญที่สุดเสมอ นางรู้ว่าตอนนี้ถงเหยียนยังไม่ตระหนักในจุดนี้ แต่นางจะเข้าใจในไม่ช้าก็เร็ว ความน้อยเนื้อต่ำใจในเวลานี้นับเป็นอันใด? ภายภาคหน้ายามสกุลถงกับสกุลมู่หรงแบ่งใต้ฟ้า นางจะรู้ว่าความอยุติธรรมทั้งหลายที่ได้รับในวันนี้คุ้มค่าดวงหน้าไฉไลของฮองเฮาประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว ที่เจืออยู่ในดวงตาคือน้ำตาแห่งความน้อยใจ “เหตุใดต้องให้ข้าไปช่วยด้วยเจ้าคะ? ท่านสั่งคำเดียวก็ได้แล้วนี่ กลับต้องให้ข้าวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้”ถงไทเฮานวดศีรษะ รู้สึกว่าความอึดอัดสายหนึ่งพุ่งขึ้นสมอง นางอยากระเบิดอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าและเอ