ฮุ่ยอวิ่นถามหวังติ่งทังแบบหยั่งเชิง “คุณชายหวัง ไม่ทราบว่าวันนั้นท่านอ๋องเชิญท่านไปที่จวนด้วยเรื่องใดหรือ?”หวังติ่งทังยกน้ำชาขึ้น เก็บความคิดในดวงตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ย “แค่พูดคุยเรื่องเก่าก่อน ไม่มีอะไรพิเศษ”ฮุ่ยอวิ่นหัวเราะแล้วมองจ่านเหยียนทีหนึ่งแบบเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ “ตอนนี้คุณชายอู่พักอยู่ที่จวนอ๋อง”หวังติ่งทังชะงักแล้วมองจ่านเหยียน “เจ้าพักอยู่ที่จวนอ๋องหรือ?”จ่านเหยียนรู้ความหมายของฮุ่ยอวิ่น แต่... นางแปลกใจกับการดึงสมัครพรรคพวกอย่างเปิดเผยเช่นนี้ของฮุ่ยอวิ่นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยความเข้าใจที่นางมีต่อทุกคนในจวนอ๋องหนึ่งปีนี้ รู้ว่าจวนอ๋องให้ความสำคัญต่อวิธีการในการทำงาน แต่จะไม่ใช้วิธีดึงสมัครพรรคพวกเด็ดขาดหรือว่า... มู่หรงฉิงเทียนต้องการเดิมพันทั้งหมด? นางไม่เห็นด้วย!“ถูกต้อง!” นางได้แต่ตอบเช่นนี้หวังติ่งทังมองฮุ่ยอวิ่น สุดท้ายก็ยังถามข้อสงสัยในใจออกไป เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะเล็กน้อย “ที่แท้เจ้ากับคุณชายฮุ่ยอวิ่นก็สนิทสนมกันเช่นนี้”ฮุ่ยอวิ่นโบกมือ “ใช่ที่ไหนกัน? เพียงแต่ท่านอ๋องชื่นชมคุณชายอู่ อยากรั้งเขาอยู่ที่จวนสักระยะ”หวังติ่งทังเปลี่ยนสีหน้าเ
หวังติ่งทังเข้าใจ สุดท้ายศึกการเมืองนี้จะทำให้พวกเขาที่เป็นพ่อค้าพลอยติดร่างแหไปด้วยเขาเล็งเห็นอนาคตของมู่หรงฉิงเทียนและเห็นด้วยกับทัศนคติทางการเมืองของเขา แต่ภาพรวมในปัจจุบันของสกุลหวังของเขา ยังจำเป็นต้องได้การสนับสนุนจากราชสำนักไม่น้อยเครื่องประดับทองของราชสำนักมาจากสกุลหวังเป็นส่วนมาก เหตุนี้เครื่องประดับทองของสกุลหวังจึงเลื่องชื่อในแคว้น พร้อมกันนั้นยังเป็นเครื่องยืนยันตำแหน่งคหบดีอันดับหนึ่งของสกุลหวังด้วยอีกอย่าง หากไม่มีคำสั่งจากราชสำนัก เขาจะบุกเบิกเหมืองทองไม่ได้ แม้ทุกปีต้องบรรณาการให้ทางราชสำนักไม่น้อย หากสกุลหวังก็ร่ำรวยเพราะเหตุนี้เช่นกัน นี่คือความจริงหากเขาสนับสนุนมู่หรงฉิงเทียน ก็คือไม่ภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ทว่าในใจเขาชัดเจนในจุดหนึ่งมาก อนาคต ใต้หล้านี้ต้องเป็นของเซ่อเจิ้งอ๋องแน่นอน หากจะวางแผนเพื่อชีวิตของวงศ์ตระกูล หากจะวางแผนเพื่อความก้าวหน้าของวงศ์ตระกูล ยามนี้เขาควรช่วยเหลือเซ่อเจิ้งอ๋องเขาเปิดตู้แล้วหยิบกล่องไม้ใบหน้าออกมา ตามด้วยเปิดออก“ผลผิง?” หวังติ่งทังอึ้ง ในกล่องไม้มีแอปเปิลที่ถูกกัดไปคำหนึ่งแล้วนอนเด่นหราอยู่ในนั้นจ่านเหยียนเหงื่อตก ให้ตายเถอ
จ่านเหยียนอยู่ในจวนของหวังติ่งทังจนถึงยามบ่าย อาการของนายท่านหวังคงที่ประมาณหนึ่งแล้ว ก่อนกลับ จ่านเหยียนให้คนป้อนยาอันกงอีกหนเดิมหวังติ่งทังอยากให้นางทำนายให้หน่อย แต่ฮุ่ยอวิ่นอยู่ที่นี่จึงได้แต่ปล่อยผ่านไป!ก่อนกลับจวน จ่านเหยียนเห็นหว่านจวินมาหาหวังติ่งทังนางยืนอยู่หน้าประตูแล้วมองไปจากที่ไกล ๆ เห็นใบหน้าของหว่านจวินมีจิตใจปรารถนาต่อความตายที่แน่วแน่อย่างหนึ่งนางไม่รู้ว่าหว่านจวินพูดอะไรกับหวังติ่งทัง หลังจากกล่าวจบ หว่านจวินก็ราวกับเบาใจ ก่อนจะพาสาวใช้สองคนจากไปจ่านเหยียนเอ่ยกับหวังติ่งทัง “ทางที่ดีระยะนี้เจ้าจับตาดูหว่านจวินให้ดี หรือไม่เจ้าก็ปลอบใจนางให้มาก ถูกบังคับให้ละทิ้งความรัก นางต้องทุกข์ใจมากแน่”หวังติ่งทังหัวเราะ “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เด็กสาวคนหนึ่งจะรู้จักความรักความทุกข์อันใด? อีกระยะหนึ่งก็ดีแล้ว ข้ารู้น้องสาวของข้าคนนี้ดี ของที่นางไม่ได้มา มักจะอาละวาดระยะหนึ่ง แต่หากได้มาก็จะทิ้งขว้างไม่ไยดี”“ไม่ใช่...” จ่านเหยียนกำลังจะเตือน หวังติ่งทังก็ไล่นาง “เอาละ เจ้ากลับไปเร็วหน่อยเถอะ ข้าจะดูนางเอง”จ่านเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง “เหล่าหวัง ข้าขอเตือนเจ้า น้องสาวของเจ้า
ฮุ่ยอวิ่นรู้สึกแปลกใจมากกับการที่อาเสอเถียงจ่านเหยียนฉอด ๆ อย่างโจ่งแจ้ง ส่วนจ่านเหยียนกลับไม่โกรธ นายบ่าวสองคนนี้คล้ายพี่สาวน้องสาวอยู่บ้างจ่านเหยียนไม่ต่อปากด้วยแล้ว กลับมีลางสังหรณ์ร้ายอยู่ในใจลึก ๆนางหลับตาลง นับนิ้วคำนวณอายุขัยของหว่านจวิน ยังไม่หมดอายุขัย น่าจะไม่เกิดเรื่องแน่นอน นางมิได้วางใจทั้งหมด เพราะคนที่เสียชีวิตก่อนหมดอายุขัยก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกันหวังเพียงหวังติ่งทังจะใส่ใจกับคำพูดของนาง ปลอบใจหว่านจวินให้ดี ให้นางล้มเลิกความคิดที่จะตายเสียครั้นกลับถึงจวนอ๋อง ฮุ่ยอวิ่นก็ได้ข่าวบอกว่าเทพโอสถมาแล้วฮุ่ยอวิ่นเดินพรวดพราดเข้าไปทันทีจ่านเหยียนสบตากับอาเสอทีหนึ่ง อาเสอจึงดึงบ่าวรับใช้ท่านนั้นมาถาม “เทพโอสถคือผู้ใดหรือ?”บ่าวรับใช้ตอบ “เทพโอสถก็คือหมอที่เก่งที่สุดในแคว้นต้าโจวเรา เป็นหมอเทวดา เขามารักษาโรคให้กับกุ้ยไท่เฟยน่ะ”จ่านเหยียนรู้ว่ามารดาของมู่หรงฉิงเทียนป่วย แม้ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร แต่เห็นว่าหลายปีนี้หาหมอดีมาไม่น้อย แต่รักษามานานเช่นนี้ก็ยังไม่หาย คาดว่าอาการคงหนักน่าดูอาเสอเบะปาก “หมอเทวดาอันใด? หมอที่ดีที่สุดในจักรวาลอยู่ที่นี่แล้ว กลับไม่เห็นคุ
ส่วนทางห้องโถงหลัก ราคาในการรักษาของเทพโอสถไม่ธรรมดา!“ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ขอเพียงท่านอ๋องหาคู่ครองในเมืองหลวงให้ลูกศิษย์ของข้าสักคนก็พอ ระดับขุนนางจะต่ำกว่าระดับสามไม่ได้ อายุก็ห้ามเกินสามสิบ ที่บ้านไร้ภรรยาและอนุ”มู่หรงฉิงเทียนหัวเราะชืด ๆ “ในเมืองหลวงกลับไม่มีผู้ใดสอดคล้องกับเงื่อนไขที่ท่านหมอเทวดากล่าว”เทพโอสถหัวเราะเล็กน้อย “เหตุใดจะไม่มี? ในจวนของท่านอ๋องก็มีอยู่คนหนึ่งมิใช่หรือ?”มู่หรงฉิงเทียนมองเขา “ฮุ่ยอวิ่นมิได้มีตำแหน่งขุนนาง ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่ท่านบอกว่าระดับขุนนางไม่ต่ำกว่าระดับสาม”เทพโอสถหัวเราะไม่ยี่หระ “ท่านอ๋อง การให้ตำแหน่งขุนนางกับที่ปรึกษาผู้มีความสามารถสักคนมิใช่เรื่องยาก อย่างน้อย...สำหรับท่านอ๋องก็มิใช่”ฮุ่ยอวิ่นเพิ่งกลับมาถึงเหมือนกัน เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก็อดเคืองโกรธขึ้นมาไม่ได้ เขามองเทพโอสถ “คำขอของหมอเทวดากลับทำให้คนลำบากใจเล็กน้อย”เทพโอสถโบกมือ “ไม่ คุณชายฮุ่ยอวิ่นผิดแล้ว ข้ามิเคยขอผู้ใดก่อน แล้วจะถือว่าเป็นการ ‘ขอ’ ได้อย่างไร? มิว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่มีราคาที่ต้องจ่าย มิใช่หรือ?”“หากต้องการให้ข้าน้อยแต่งลูกศิษย์ของหมอเทวดา ข้า
เทพโอสถอมยิ้มแล้วเอ่ย “ลูกศิษย์ของกระหม่อมนามว่าเหลียนถัง พักอยู่ที่เรือนเหลียนฮวาย่วนเหมาะสมที่สุด”“เสี่ยวเหลียน ขอบคุณท่านอ๋องสิ!” เทพโอสถสั่งกับสตรีนางนั้นเหลียนถังเดินมาข้างหน้าแล้วยอบตัวน้อย ๆ “หม่อมฉันขอบคุณในความกรุณาเพคะ!”มู่หรงฉิงเทียนเงียบนิ่ง ผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการสื่อความหมายเทพโอสถจะรักษาโรคให้กุ้ยไท่เฟยในวันพรุ่ง ดังนั้นฮุ่ยอวิ่นจึงพาจ่านเหยียนและอาเสอไปพบกับกุ้ยไท่เฟยก่อนความจริงเขาไม่อยากพาไปหรอก แต่เมื่อคืนหลังจากพระอาจารย์เป่ากวงสวดมนต์เสร็จก็บอกฮุ่ยอวิ่นให้พาหลงอู่ไปเยี่ยมกุ้ยไท่เฟยสักหน่อย มิได้บอกจุดประสงค์ แค่ยืนกรานให้เขาไปฮุ่ยอวิ่นเคารพพระอาจารย์เป่ากวงเสมอมา เห็นเขายืนกรานเช่นนี้จึงไม่ได้ถามสาเหตุอะไร เพียงพาจ่านเหยียนและอาเสอไปคารวะกุ้ยไท่เฟยจ่านเหยียนรู้ว่ากุ้ยไท่เฟยป่วย แต่ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไรฮุ่ยอวิ่นบอกว่าจะพานางไปพบกุ้ยไท่เฟย และนางก็กำลังอยากไปดูสักหน่อยพอดีเส้นทางที่ฮุ่ยอวิ่นนำนางไป ตลอดทางทัศนียภาพงดงามยิ่งนัก โดยมากแล้วเป็นการรังสรรค์จากธรรมชาติ จุดที่แกะสลักจากมนุษย์มีเพียงสระดอกบัวจ่านเหยียนราวกับเข้าสู่แดนเซียนนอกโลก นางชื่น
อวิ๋นกุ้ยไท่เฟยตอบ “ไม่ค่อยสะดวก มองไม่เห็น”ผู้เป็นหมอมักมีหัวใจแห่งบิดามารดา จ่านเหยียนอดถามไม่ได้ “เป็นเพราะสาเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”อวิ๋นกุ้ยไท่เฟยหน้านิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มตรงมุมปาก “ข้าจำไม่ได้แล้ว”มีหรือจะจำความเจ็บปวดจากการสูญเสียการมองเห็นไม่ได้? โดยรวมคงเพราะไม่อยากเอ่ยถึง หรือไม่ก็ปลงตกแล้วฮุ่ยอวิ่นนึกว่าจ่านเหยียนจะถามต่อ จึงยื่นมือมากระตุกแขนเสื้อของนางแล้วโบกมือเป็นการบอกว่าอย่าถามจ่านเหยียนเปลี่ยนประเด็น “น้ำชาเหล่านี้เจือกลิ่นส้ม ใช่ชาส้มหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? แต่มันไม่ใช่แค่ชาส้ม หากยังใส่เมล็ดชุมเห็ดเทศด้วยกระมัง?”อวิ๋นกุ้ยไท่เฟยเอ่ยอย่างยินดี “มิผิด ข้าแค่สั่งให้คนใส่ลงไปเล็กน้อยเท่านั้น เจ้ากลับรู้ได้”“เมล็ดชุมเห็ดเทศช่วยเรื่องล้างตับและการมองเห็น รสชาติหอมสดชื่น แต่ใส่ลงไปได้เล็กน้อยเท่านั้น มิเช่นนั้นรสชาติเข้มเกินไปจะเสียรสชาติชาและส้ม น้ำชาจะขุ่นมัว และยังจะทำให้ลำไส้ลื่น” จ่านเหยียนเอ่ยอวิ๋นกุ้ยไท่เฟยผงะ จู่ ๆ ก็เอื้อมมือควานหามาทางจ่านเหยียน จ่านเหยียนเอื้อมมือไปจับมือของนาง รู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของนางเล็กน้อยอวิ๋นกุ้ยไท่เฟยเอ่ยด้วยความยิ
“รีบเชิญเร็ว!” จู๋กูกูรีบเอ่ยนางเข้าไปประคองอวิ๋นกุ้ยไท่เฟย เอ่ย “หมอเทวดามาแล้ว พวกเรากลับเข้าเรือนเถอะ ตรวจอาการในเรือนจะสะดวกกว่านะเจ้าคะ”อวิ๋นกุ้ยไท่เฟยกลับโบกมือแล้วนั่งลงเหมือนเดิม “อยู่ตรงนี้เถอะ ข้าชอบแสงแดดสว่าง ๆ”“เช่นนั้นหรือ ก็ได้เจ้าค่ะ!” จู๋กูกูได้แต่ตามใจนางมู่หรงฉิงเทียนในชุดผ้าฝ้ายลวดลายมังกรเหินสีนิลที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางเมฆาซึ่งเป็นลายพื้นเดินเข้ามา ตรงเอวคาดผ้ารัดเอวสีทอง ผูกกระเป๋าผ้าสีทองใบหนึ่ง และบนกระเป๋าผ้าห้อยพู่หยกใสทะลุปรุโปร่งชิ้นหนึ่งเห็นแล้วทำให้คนรู้สึกถึงความสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์และท่วงทำนองน่าเกรงขามอย่างไรก็คือราชวงศ์ แม้จะเป็นชุดลำลองก็ยังแสดงลักษณะแห่งราชวงศ์ออกมาทั้งหมดเหลียนถังเดินอยู่ข้างหลังเทพโอสถ ครั้นนางเห็นฮุ่ยอวิ่น ก็เพียงปราดสายตาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง จากนั้นใบหน้านิ่งก็เก็บอารมณ์ไว้ในดวงตา“เสด็จแม่ ไม่เชื่อฟังอีกแล้วนะ!” มู่หรงฉิงเทียนเดินมาข้างหน้าแล้วตำหนิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบา “บอกแล้วมิใช่หรือ? อย่าออกมาตอนเช้าตรู่ หากต้องความเย็นแล้วจะทำอย่างไร?”นี่คือครั้งแรกที่จ่านเหยียนเห็นมู่หรงฉิงเทียนอ่อนโยนเช่นนี้ เส้นโค้
ทั้งสองจะยอมหรือ? จึงบอกจะเข้าไปพูดกับจิ้นหรูกูกู หรูหัวกลับหน้าขรึม “พวกเจ้าเห็นตำหนักชิงหนิงคือสถานที่ใด? พวกเจ้าอยากเข้าก็เข้าได้ตามใจชอบหรือ?”อาถงข่มอารมณ์โกรธ กล่าวขอร้อง “กูกูอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย พวกเราก็ทำงานตามคำสั่ง หากเชิญจิ้นหรูกูกูกลับไปไม่ได้ หมู่โฮ่วฮองไทเฮาต้องพาลมาถึงเราแน่ กูกูคงไม่อยากเห็นพวกเราถูกลงโทษกระมัง?”“พวกเจ้าถูกลงโทษหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับข้า? ข้าแค่ฟังคำสั่งของเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาเท่า...”อาถงกับอาเถี่ยรีบฉวยโอกาสตอนที่หรูหัวพูดบุกเข้าไปเพียงแต่ทั้งสองเพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกองครักษ์สองสามคนขวางเอาไว้“บุกรุกตำหนักของไทเฮา พวกเจ้ามีกี่ชีวิต? เอาตัวไป!” หรูหัวเอ่ยเสียงกร้าวกระบี่หลายเล่มพาดอยู่ตรงลำคอของอาถงกับอาเถี่ย ทั้งสองไม่กล้าต่อต้าน จึงได้แต่หันไปมองหรูหัวและเอ่ย “กูกู พวกเรามิได้จงใจบุกรุก กูกูโปรดเมตตา อนุญาตให้เราไปพบจิ้นหรูกูกูหน่อยเถอะ”หรูหัวหัวเราะเสียงเย็น ส่งสายตากับองครักษ์ “เอาตัวไป ขังอยู่ในห้องมืดก่อน”ห้องมืดใช้กักขังคนในตำหนักที่กระทำความผิดโดยเฉพาะ บ้างเข้าห้องมืดไม่กี่วันก็ออกมา แต่ทั่วไปแล้วมักมอบให้หัวหน้าขันทีในวั
ทั้งสองคิดไปก็มิใช่วิธี จึงให้จี๋เสียงกับหรูอี้ไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์หมู่โฮ่วฮองไทเฮา ตามจิ้นหรูกลับมาปรนนิบัติที่ตำหนักครั้นจี๋เสียง หรูอี้ไปถึงตำหนักชิงหนิงกลับเข้าไปไม่ได้ ได้แต่ให้ขันทีในตำหนักไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์ของหมู่โฮ่วฮองไทเฮาผ่านไปพักหนึ่ง หรูหัวก็ยิ้มตาหยีเดินออกมา “เซิ่งหมู่ฮองไทเฮากำลังเดินหมากกับจิ้นหรูกูกู นี่กำลังสนุกเลย จะอย่างไรเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาก็ไม่ยอมให้กูกูไป พวกเจ้าสองคนกลับไปทูลรายงานหมู่โฮ่วฮองไทเฮาว่าจะส่งคนกลับไปดึกหน่อยแล้วกัน”“อ๊าาา”เสียงร้องดังมาจากข้างในอีก จี๋เสียง หรูอี้สบตากันทีหนึ่ง สีหน้าเริ่มกังวลเล็กน้อยหรูหัวเอ่ยเรียบ “มีนางกำนัลคนหนึ่งไม่ทันระวังทำน้ำชาหกใส่หลังมือของจิ้นหรูกูกู นี่อย่างไร กำลังถูกโบยอยู่เลย”“แต่... เหตุใดเสียงนี้ฟังดูแล้วจึงเหมือนเสียงของจิ้นหรูกูกูล่ะ?” จี๋เสียงเอ่ยอย่างขลาด ๆ“เหลวไหลอันใด?” หรูหัวเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน “เจ้าจะบอกว่าเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาทรมาทรกรรมจิ้นหรูกูกูหรือ? ยังมิได้กล่าวถึงจิ้นหรูกูกูเป็นคนข้างพระวรกายของหมู่โฮ่วฮองไทเฮา แค่อดีตนางคือนางกำนัลคนสนิทของอดีตฮ่องเต้ ทั้งยังมีไมตรีกับเซิ่งหมู่ฮองไทเฮามาต
จิ้นหรูหัวใจรัดแน่น สุดท้ายดวงตาก็ฉายความแตกตื่นออกมา “พระองค์คิดจะทำอันใดกันแน่เพคะ?”“ถามได้ดี!” ถงไทเฮาลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วเดินก้าวหนึ่ง เหยียบหลังมือของจิ้นหรู ออกแรงขยี้ มองดูความทรมานบนใบหน้าของจิ้นหรู ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “เจ็บหรือ?”จิ้นหรูกัดฟัน “ไทเฮาจะลงโทษบ่าวอย่างไรก็ได้เพคะ”อย่างมากก็แค่ตาย ตายแล้วก็คือหลุดพ้น แต่... นางรู้ ถงไทเฮาแค้นนางที่สุด จะไม่ให้นางตายง่าย ๆ เด็ดขาด“ข้าได้ยินว่าคุกทักษิณมีทัณฑ์ทรมานมากมาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเทียบกับข้าที่นี่แล้ว จะเหนือกว่าหรือไม่? มิสู้จิ้นหรูกูกูช่วยข้าเปรียบเทียบสักหน่อย” ถงไทเฮาโน้มตัวลงเชยคางของจิ้นหรู มุมปากแย้มยิ้มชั่วร้ายเหี้ยมเกรียมเดิมรูปลักษณ์ก็มิได้งามวิไล ยามนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน ยิ่งทำให้ดุร้ายอัปลักษณ์มากกว่าเดิมจิ้นหรูขวัญผวา ไม่กล้ามองดวงตากระหายเลือดของนาง จึงก้มหน้ากัดริมฝีปาก อดทนต่อความเจ็บที่ส่งมาถึงแต่... นี่ยังห่างไกลกับจุดสิ้นสุดหรูหัวยกตะปูมากะละมังหนึ่ง พวกมันมิใช่ตะปูเหล็ก แต่เป็นตะปูไม้ท้อทุกเล่มทำจากไม้ท้อ ส่วนปลายแหลมคมเงาวับ“ถ้าเจ้าร้องสักแอะ ข้าจะเพิ่มตะปูอีกเล่ม” ถงไทเฮาเอ่ย
ด้วยประการละฉะนี้ ทุกคนจึงนึกว่าฮ่องเต้โปรดปรานแต่ฮองเฮา ทอดทิ้งวังหลังแม้นางสนมจะตำหนิไม่พอใจ แต่เพราะฮองเฮาคือคนสกุลถง จึงไม่มีใครกล้าพูดฮองเฮารูปโฉมไม่โดดเด่น กลับได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เพียงนี้ เห็นได้ว่าฮ่องเต้รักนางจริง ๆชั่วขณะ ฮองเฮาบารมีไร้ที่สิ้นสุด รั้งตำแหน่งฮองเฮา ทั้งยังมีความโปรดปรานของฮ่องเต้มั่นคงดั่งขุนเขา ทำให้สกุลถงเหิมเกริมมากขึ้นทุกวันเขาใช้การกระทำบอกนาง ในใจของเขามีแต่นางเท่านั้นสามสิบกว่าปีแล้ว นางเข้าวังในวัยสิบสอง บัดนี้สี่สิบสาม อดีตฮ่องเต้คือแผ่นฟ้าของนาง คือสามีของนาง คือนายของนางเขาจากไปก่อนนาง แม้นางจะเสียใจ แต่ก็มิได้แสดงออกว่าเสียใจมาก เพราะนางรู้ว่าเขากำลังรอนางอยู่ตรงนั้น สุดท้ายนางจะได้ไปพบกับเขานางรู้ ยามนี้ได้เวลาแล้ว“พูด!” หรูหัวดุดันขึ้นมา ตบหน้านางฉาดหนึ่งจิ้นหรูหน้าเอียงไปข้างหนึ่ง แก้มบวมขึ้นรอยประทับนิ้วมือทันทีจิ้นหรูคุกเข่าตัวตรง “บ่าวไม่มีอะไรจะพูดเพคะ”“เจ้ามอบความบริสุทธิ์ของเจ้าให้ผู้ใด?” ถงไทเฮาไม่แสดงออกว่าโกรธมาก ในทางกลับกัน นางพรูลมยาว ข้อกังขาที่เก็บอยู่ในใจนางยี่สิบกว่าปี กระจ่างแจ้งในที่สุด“บ่าวไม่ทร
หรูหัวลากนางเข้าตำหนักชั้นในไปอย่างไม่ให้ปฏิเสธจิ้นหรูมองเสื้อผ้าบนฉากบังลมด้วยความประหลาดใจ เหตุใดหรูหัวจึงมีเสื้อผ้าวางอยู่ในตำหนักบรรทมของไทเฮาได้แต่นางมิได้ถาม เพราะถามแล้วก็คงไม่บอก นางมองเสื้อผ้านางกำนัลชุดนี้ มิได้สงสัยเรื่องอื่นก็เข้าไปเปลี่ยนชุดด้านหลังฉากบังลมนางเพิ่งถอดเสื้อผ้า หรูหัวก็เข้ามา “อุ๊ย ข้าลืมบอกเจ้าไป ชุดนี้เคยใส่แล้ว เปลี่ยนอีกชุดเถอะ!”นางยื่นชุดสีเหลืองอ่อนในมือให้จิ้นหรู พร้อมกับกวาดสายตามองบริเวณแขนของจิ้นหรูอย่างรวดเร็ว เมื่อนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะออกไปจิ้นหรูเพิ่งแต่งตัวเสร็จก็มีหญิงสูงวัยดุดันเข้ามาสองคน ลากแขนจิ้นหรูคนละข้างออกไปข้างนอกจิ้นหรูตกตะลึงพรึงเพริดถามขึ้นว่า “นี่พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ?”หญิงสูงวัยสองคนนั้นลากนางไปแล้วผลักจนนางสะดุดล้มลงพื้น ถงไทเฮามองนางจากมุมสูง ดวงหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต“เซิ่งหมู่ฮองไทเฮา บ่าวทำอะไรผิดไปเพคะ?” จิ้นหรูหัวใจหนักอึ้ง แต่ยังสงบสติอารมณ์แล้วถาม“ทำอะไรผิด?” เสียงของถงไทเฮาราวกับส่งมาจากขุมนรก พกพากลิ่นอายเย็นยะเยือกชุ่มชื้น “แต้มพรหมจรรย์ของเจ้าเล่า?”จิ้นหรูหัวใจ
“ข้าได้ยินมา ทุกคืนนางจะเรียกนักดนตรีไปบรรเลงเพลง ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่?”“ทูลไทเฮา เรื่องนี้เกินไปหน่อยเพคะ หมู่โฮ่วฮองไทเฮาทรงเรียกพวกเขามาในยามวิกาลน้อยนัก!”รอยยิ้มของถงไทเฮาบานสะพรั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ “ข้าก็รู้ว่าวังหลังมีปากหอยปากปูมาก จริงสิ ปกติเวลาอดีตฮ่องเต้ทรงสะสางราชกิจ ทรงโปรดทำอันใดหรือ?”หัวข้าสนทนาวกกลับมาเรื่องอดีตฮ่องเต้ จิ้นหรูลอบโล่งอก เวลาตอบคำถามจึงเป็นมิตรมากขึ้นบางส่วน “อดีตฮ่องเต้มีเวลาวางน้อยนัก แต่พระองค์โปรดอู้งานยามยุ่ง ทรงโปรดการเดินหมาก เสวยพระสุธารสชาเพคะ”“เดินหมาก? เดินกับผู้ใด?” ถงไทเฮาถาม“กับบ่าวเพคะ” จิ้นหรูยิ้มบาง “เพียงแต่ฝีมือการเดินหมากของบ่าวไม่ดี แพ้อยู่เรื่อยเลยเพคะ”“อดีตฮ่องเต้ทรงยินดีเดินหมากกับเจ้า แสดงว่าฝีมือการเดินหมากของเจ้าต้องดี” ถงไทเฮายิ้มเอ่ย “เจ้าอย่าได้ถ่อมตัวนักเลย วันหลังข้าจะเดินหมากกับเจ้าบ้าง เจ้าก็คลายเหงาให้ข้าหน่อย”“ขอเพียงไทเฮาโปรด บ่าวก็เดินหมากเป็นเพื่อนไทเฮาได้ทุกเมื่อเพคะ” จิ้นหรูกล่าวจากใจ“เจ้าช่างเป็นคนเข้าใจผู้อื่นแท้ ๆ มิน่าอดีตฮ่องเต้จึง ‘โปรดปราน’ เจ้าเช่นนี้” ถงไทเฮายิ้มเอ่ยคำพูดนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ใ
ตำหนักชิงหนิงจิ้นหรูคุกเข่าลงคำนับ “ถวายพระพรเซิ่งหมู่ฮองไทเฮา”“ลุกขึ้นเถอะ จิ้นหรู” ถงไทเฮาแย้มยิ้มจิ้นหรูลุกขึ้นยืนก้มหน้าแล้วไปยืนอยู่ด้านข้าง“ไม่ต้องเกร็งไป วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามา เพราะอยู่ ๆ ก็นึกถึงอดีตฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้เคยรับสั่งว่าทักษะการชงชาของเจ้าเป็นหนึ่งในใต้หล้า เจ้าจะชงให้ข้าสักครั้งได้หรือไม่?” ถงไทเฮากล่าวขอด้วยใบหน้าราบเรียบ“เพคะ!” จิ้นหรูขานรับ“หรูหัว ไปเตรียมเครื่องชงชา” ถงไทเฮาสั่งหรูหัวขานรับแล้วจึงออกไปถงไทเฮาปรายตามองจิ้นหรู วันนี้นางสวมชุดสีครามปักลายใบไม้ไผ่สีแดงเข้ม มิได้ผัดแป้ง แม้อายุล่วงเลยสี่สิบ กลับยังสง่าเรียบง่ายจิ้นหรูไม่เคยคลอดลูก จึงดูอ่อนเยาว์กว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันมิได้เลอโฉม กลับมีท่วงทำนองอย่างหนึ่งหรูหัวยกเครื่องชงชามา นางมองการต้มน้ำ ล้างชา ล้างถ้วย รินน้ำชาอย่างสง่างามของจิ้นหรูยังไม่พูดถึงฝีไม้ลายมือที่สง่างาม แต่ขณะนางชงชาจะมีสมาธิมาก ยามที่คนคนหนึ่งจดจ่ออยู่กับเรื่องหนึ่ง จะมีเสน่ห์ชวนหลงใหลเป็นพิเศษในฐานะที่ถงไทเฮาคือสตรีก็รู้สึกถึงมนตร์เสน่ห์น่าหลงใหลนี้เหมือนกัน“อดีตฮ่องเต้โปรดเสวยพระสุธารสชาอะไรหรือ?” นา
ถงไทเฮาถอนตายตากลับช้า ๆ ก็จริง นับจากหรูหัวเข้าวังก็อยู่ข้างตัวนางมาตลอด รวมแล้วอดีตฮ่องเต้เคยมองนางเพียงไม่กี่ครั้ง แม้แต่ชื่อของนางก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำที่สำคัญที่สุดคือ แม้หน้าตาของหรูหัวจะพอใช้ได้ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘สวย’ เด็ดขาด“ในฐานะที่เป็นบุตรสาวสกุลถง ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ใช้ชีวิตเหมือนพญาหงส์ แล้วยังจะสูงศักดิ์ยิ่งกว่าองค์หญิงเสียด้วยซ้ำ หลังจากเข้าวังก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา เกียรติยศไร้ขีดจำกัด แต่... นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ให้คนอื่นดู สิ่งที่ข้าต้องการ ก็แค่สายตาอาวรณ์หนึ่งของอดีตฮ่องเต้ เมื่อไม่ได้มา ข้าก็ไม่อยากให้ผู้ใดได้มันไปทั้งนั้น ไม่ว่านางจะอยู่หรือตาย ข้าก็ต้องรู้ว่านางคือใคร”ถงไทเฮาพูดเนิบช้ามาก แต่... มีความโหดเหี้ยมทุกถ้อยคำหรูหัวพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพึ่บ “เสี่ยวหรู? คนที่ปรนนิบัติอดีตฮ่องเต้ในตำหนักในสมัยก่อน มีคนหนึ่งที่ชื่อจิ้นหรูเพคะ”“จิ้นหรู? ไม่ใช่นาง” ถงไทเฮาส่ายหน้า “นางโตมากับอดีตฮ่องเต้ ถูกส่งไปปรนนิบัติข้างพระวรกายอดีตฮ่องเต้นานแล้ว หากนางคือคนที่อดีตฮ่องเต้โปรดปราน ไยไม่แต่งตั้งนางเป็นสนมเล่า?”หรูหัวคิ
ฮองเฮาส่ายหน้า “ไม่ ซูอี้จะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เขาไม่กลัวว่า...” ความกลัวเริ่มปกคลุมใบหน้าของนาง และไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย“ถ้าเจ้ายังอยากรักษาชีวิตพ่อของเจ้าเอาไว้ ก็ไปหาฮ่องเต้” ถงไทเฮากล่าวอย่างแค้นที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้าเทียบกับสมัยก่อน ถงไทเฮาเติบโตและรู้ความมากแล้ว เมื่อก่อนนางไม่เข้าใจ เหตุใดเสด็จแม่จึงไม่เข้าใจนาง เหตุใดมักให้นางทำเรื่องที่ลำบากใจ บัดนี้นางรู้แล้ว มีเพียงให้ตัวเองลำบาก สกุลถงจึงจะมั่นคงในใจของคนสกุลถง ชื่อเสียงและความมั่นคงของวงศ์ตระกูลสำคัญที่สุดเสมอ นางรู้ว่าตอนนี้ถงเหยียนยังไม่ตระหนักในจุดนี้ แต่นางจะเข้าใจในไม่ช้าก็เร็ว ความน้อยเนื้อต่ำใจในเวลานี้นับเป็นอันใด? ภายภาคหน้ายามสกุลถงกับสกุลมู่หรงแบ่งใต้ฟ้า นางจะรู้ว่าความอยุติธรรมทั้งหลายที่ได้รับในวันนี้คุ้มค่าดวงหน้าไฉไลของฮองเฮาประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว ที่เจืออยู่ในดวงตาคือน้ำตาแห่งความน้อยใจ “เหตุใดต้องให้ข้าไปช่วยด้วยเจ้าคะ? ท่านสั่งคำเดียวก็ได้แล้วนี่ กลับต้องให้ข้าวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้”ถงไทเฮานวดศีรษะ รู้สึกว่าความอึดอัดสายหนึ่งพุ่งขึ้นสมอง นางอยากระเบิดอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าและเอ