“แต่ข้าไม่เคยมอบให้ท่าน นี่ท่าน…ขโมยมันไป”“แล้วต่างอันใดกับเจ้าเล่าเยว่เฟย เจ้าเองก็ทำเช่นเดียวกันมิใช่หรือ”“ข้า!!…. แบบนี้ก็ได้หรือเพคะ”“ทำไมล่ะ ข้ากลับคิดว่ามันยุติธรรมดีเสียอีกเป็นการมอบของหมั้นที่ไม่เหมือนผู้ใดในต้าหยวน เจ้าไม่ชอบงั้นหรือ”“ขโมยของเช่นนี้นะหรือเพคะที่ว่าดีและแปลกใหม่”“ใครว่าแค่ขโมยของอย่างเดียวเล่า”จื่อหรงดึงนางเข้ามาจนชิดและค่อย ๆ ก้มลงมา จมูกสันได้รูปชนเล่นเชิงหยอกล้อกับจมูกเล็กเข้ากับรูปหน้าของเยว่เฟยก่อนจะค่อย ๆ ขยับลงจรดริมฝีปากกลิ่นทับทิมที่พึ่งทาลงไป ลิ้นสากหนากวาดเก็บความหวานของทับทิมในปากและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อรู้ว่านางนำทับทิมที่เขามอบให้มาทำสิ่งนี้“อื้อ…หายใจไม่ทัน”เขาปล่อยนางได้พักหายใจเล็กน้อยและกดริมฝีปากลงไปอีกครั้ง เยว่เฟยเผลอตัวตีไปที่ไหล่เขาเบา ๆ แต่ก็มิได้ทัดทานสิ่งใดได้นางโอบรัดรอบคอของเขาแน่น จื่อหรงค่อย ๆ ขยับขาของนางและยกขึ้นมาอุ้มและพิงกับผนังห้องปรุงยาของนาง“ดึกแล้วเจ้าควรกลับไปพักผ่อนข้าจะเดินไปส่ง”“แต่ว่าท่านมิได้เข้ามาทางประตู”“รับรองว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นข้าหรอกน่าเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นไป เจ้านอนหลับอยู่ในจวนอย่างปลอดภัยนั่นค
ฮ่าวจื่อหรงหันเดินกลับออกมาจากตำหนักกลางโดยไม่ได้ทักทายนางอีกเลย แม้แต่ใบหน้าของนางเขาก็ไม่หันมามองด้วยซ้ำไปจนนางนึกย้อนกลับไปว่าไปทำสิ่งใดให้เขาไม่พอใจหรือไม่“เยว่เฟย!!”“เพคะ…”“เยว่เฟยเสด็จพ่อตรัสถามเจ้าว่ายังต้องให้ท่านหมอตรวจอาการโดยละเอียดอีกครั้งหรือไม่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ”“ขะ ขออภัยเพคะฝ่าบาทหม่อมฉัน…”“ช่างเถอะ ๆ หยางลั่วเจ้าให้คนไปเรียกหมอหลวงมาตรวจอาการนางอีกทีต่อหน้าข้า เยว่เฟยเจ้านั่งรอก่อน”“เพคะฝ่าบาท”องค์รัชทายาทเดินออกไปและสั่งให้กงกงเรียกหมอหลวงมาตรวจ ไม่นานหมอหลวงก็เดินเข้ามาพร้อมกับทูลรายงานหลังจากตรวจเสร็จแล้วว่าท่านหญิงหายเป็นปกติดีแล้วโดยที่ว่านเยว่เฟยนั้นแทบจะไม่ได้ฟังที่ท่านหมอพูดเลยสักนิดจนออกมาจากตำหนักและเดินกลับไปที่รถม้าเมื่อหันไปเห็นองค์ชายแปดที่หน้าตำหนักนางจึงรีบเรียกแต่สตรีอีกคนกำลังเดินไปหาเขา ซึ่งหากจำไม่ผิด นางคือ “ลู่ชิงอัน”“ถวายบังคมองค์ชายแปดเพคะ”“เจ้า…”จื่อหรงหันมาเห็นว่าเยว่เฟยเดินลงมาจากตำหนักของฝ่าบาทแล้ว เขาจึงได้หันมาคุยกับลู่ชิงอัน“ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็เชิญเข้าไปคุยข้างในเถอะ”“ขอบพระทัยเพคะ”สิ่งที่เยว่เฟยเห็นตรงหน้า ฮ่าวจื่อหรงกำลัง
แม้ว่าจะรู้สึกเสียหน้าราวกับถูกน้ำชาร้อน ๆ สาดใส่แต่ลู่ชิงอันก็ต้องฝืนยิ้มเพราะมีองค์ชายแปดยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งนางหันไปเห็นว่าเขาเอาแต่มองว่านเยว่เฟยทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้สนใจมองหน้าพวกเขาเลยด้วยซ้ำ“ข้าก็แค่เข้ามาทักทายตามมารยาทเท่านั้น หากท่านหญิงไม่ใคร่อยากจะรับก็….”“เช่นนั้นก็คงต้องขอตัวก่อน ข้ายังมีธุระที่ต้องทำอีกหลายที่ เสี่ยวชิงเจ้าไปจ่ายเงินเราจะได้รีบไป”“ไม่ต้องหรอก ค่าอาหารของเจ้าข้าจะจ่ายให้ถือเสียว่าเพื่อเป็นการขอบคุณเรื่องที่เจ้า….”ว่านเยว่เฟยหันมามองหน้าองค์ชายแปดเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่เขาไม่พบนาง แต่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยจนเขาเองยังนึกตกใจ“เกรงว่าคงจะไม่ต้องรบกวนองค์ชายเพคะ อาหารนี่มิได้แพงถึงกับจ่ายไม่ได้อีกอย่างเรื่องขอบคุณก็คงไม่ต้องเอ่ยมากความ เรื่องผ่านมานานแล้วข้าไม่ "จดจำ" อีกแล้ว ทูลลาเพคะ"ว่านเยว่เฟยหยิบของและเดินออกจากร้านในทันที จื่อหรงรู้สึกปวดร้าวที่หัวใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเยว่เฟยจะโกรธเขาถึงเพียงนี้ เขาใคร่อยากจะอธิบายสักหน่อยจึงเดินตามนางออกไป“องค์ชายจะไปที่ใดเพคะ ละครใกล้จะเริ่มแล้ว”“แม่นางลู่ วันนี้คงไม่สะดวกแล้วข้า…”“ฟิ้ว…. ฉึก!!…
ฮ่าวจื่อหรงเดินเข้าไปใกล้นาง มีดปลายแหลมในมือของนางเริ่มสั่นจนต้องใช้สองมือประคองเอาไว้ น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นจนขอบตาร้อนผ่าว นางไม่อยากสับสนในความรู้สึกนี้อีกขอแค่พบตัวฆาตกรที่ฆ่าเจ้าของร่างเดิมก็จะลาจากเขาไปตลอดกาล นางไม่อยากสับสนกับความรู้สึกที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่อยากต้องรองรับอารมณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้“อย่าเข้ามานะ”“เยว่เฟย ข้าแค่อยากให้เจ้ารับฟังเหตุผลที่ข้าจะพูด...”“สายไปแล้วตอนนี้ข้าไม่อยากฟังสิ่งใดทั้งสิ้นท่านกลับไปดูแลคนของท่านเถอะ”“เยว่เฟย ฟังข้าก่อน”“ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาอย่างไรเล่า!!”ขาของจื่อหรงก้าวมาข้างหน้าแต่ขาของนางกลับถอยไปจนสุดกำแพงห้อง มือที่ถือมีดอยู่ยังคงสั่นเพราะความรู้สึกที่สับสน ใจหนึ่งอยากทำร้ายเขาเพื่อระบายแค้นที่เขาเมินเฉยกับนางอย่างไร้เหตุผล อีกใจหนึ่งก็อยากฟังเหตุผลที่เขาเอ่ยอ้าง แต่หัวใจนางในตอนนี้กลับไม่พร้อมจะรับฟังสิ่งใดอีกแล้ว นางตัดสินใจจะตัดใจจากเขาแล้วก่อนที่มันจะเกินควบคุมมากไปกว่านี้“เยว่เฟย เจ้าฟังข้าก่อน”“ออกไป”“แต่ข้ามาเพื่ออธิบายและบาดแผลของเจ้าก็ต้องการยารักษานะเยว่เฟย ข้าขอร้องฟังข้าสักนิดแค่....”“ข้าบอกว่าไม่อยากฟังท่านฟังได้ยินหร
จวนสกุลว่าน“ท่านหญิง อาการของท่านดูเหมือน…”“ขอบคุณใต้เท้าลู่ข้าดีขึ้นมากแล้ววันนี้ท่านมาเยี่ยมข้างั้นหรือ”“ข้าน้อยได้ยินว่าท่านหญิงได้รับบาดเจ็บเพราะน้องสาวข้าทำเรื่องวุ่นวายดังนั้นวันนี้จึงมาเยี่ยมและมาเพื่อขอโทษ”“ท่านอย่าได้คิดมากข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไร องค์ชายแปดต่างหากที่ช่วยนางไว้ ว่าแต่แม่นางลู่ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”“ตอนนี้พักฟื้นอยู่อาการดีขึ้นเพราะได้ยาถอนพิษจากองค์ชายแปด”คำนี้ทำให้นางเจ็บอยู่ในใจลึก ๆ แผลในใจของนางยังคงสดอยู่จึงได้เจ็บปวดเมื่อได้ยินเรื่องของเขา“ดีแล้วล่ะ เขาเป็นหมอที่เก่งดังนั้น…”“ท่านหญิง ข้ามาที่นี่คิดว่าท่านหญิงคงจะรู้ว่าข้ามาทำไม”ว่านเยว่เฟยเงยหน้ามองลู่อี้เทียนด้วยความแปลกใจอีกครั้ง เขาสบตากับนางและค่อย ๆ พูด แม้ว่าลู่อี้เทียนจะเป็นชายหนุ่มที่สุภาพและดูแข็งแรงดุจนักรบเพราะเขาเป็นทหารแต่ก็มิได้ทำให้ว่านเยว่เฟยรู้สึกใจเต้นแรงเหมือนกับที่เป็นกับฮ่าวจื่อหรง“ใต้เท้าลู่…ท่านหมายจะพูดสิ่งใดหรือ”“ข้ามาที่นี่เพราะอยากจะทราบว่าท่านหญิงกับองค์ชายแปด เหตุใดจึงทะเลาะกันรุนแรงเช่นนี้”“ข้าหรือจะกล้าทะเลาะกับเขา หึ ใต้เท้าลู่คงเข้าใจผิดไปแล้วข้ามิได้ทะเลาะกับเขา
“อือ…หนาว….”“เยว่เฟย อดทนไว้ก่อนนะข้าจะต้องรีดพิษออกมาให้หมด”“คนใจร้าย อย่าเข้ามานะคนโกหกข้าไม่ต้องการท่าน อย่า….อย่าทิ้งข้า อย่าทิ้ง..”“เยว่เฟยข้าไม่เคยทิ้งเจ้า อดทนอีกนิดนะ”นางละเมอเพราะพิษ ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยมือสั่นในการรักษาคนมาก่อนครั้งนี้เป็นครั้งที่เขากลัวมากที่สุด แม้ว่าเขาจะจัดการกับพิษเช่นนี้ได้แต่การที่จะรักษาให้นางนั้นกลับเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในตอนนี้ยิ่งนักด้วยกลัวว่าจะเสียนางไปตลอดกาล“ไม่ได้ข้าต้องตั้งสติให้มากกว่านี้ ชีวิตของนางอยู่ในมือของข้า เหตุใดจึงไม่นึกเฉลียวใจให้เร็วกว่านี้กันนะบ้าเอ๊ย!!”เขาตัดสินใจฝังเข็มให้นางก่อนเพื่อระงับความเจ็บปวดและค่อย ๆ เจาะแผลและรีดเลือดพิษออกมาทีละนิดแต่เลือดที่เริ่มไหลออกมามากขึ้นทำให้เขาต้องถอดชุดของนางออกจนหมด“ขอโทษนะเยว่เฟยข้าจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้ ข้าสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ปล่อยเจ้าไป ต่อให้เจ้าไปที่ใดข้าก็จะตามเจ้าไปทุกที่ ตามจนกว่าเราจะได้ครองคู่กัน เยว่เฟยเจ้าอย่าพึ่งทิ้งข้าไปนะ”เขาป้อนยาให้นางก่อนและค่อย ๆ ดูดซับเลือดพิษออกมา กว่าจะใช้เวลารีดเลือดที่เป็นพิษออกมาจนหมดก็ใช้เวลานานเกือบครึ่งชั่วยาม ใบหน้าของนางเริ่มมีสีเ
“องค์ชาย แต่ไปตอนนี้อาจจะไม่เหมาะนะพ่ะย่ะค่ะ”“ทำไมจะไม่เหมาะ!! ข้าเป็นหมอจะต้องไปตรวจอาการนางหลังจากถอนพิษไปแล้วนั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เจ้ารีบไปจัดของเร็ว ๆ เข้า หากช้าข้าจะสั่งโบยเจ้าแทน!!”“ไปเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”จางจิ้งไม่เคยเห็นองค์ชายแปดเกรี้ยวกราดด้วยเรื่องของสตรีเช่นนี้มาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พระองค์มีอาการโกรธจนหน้ามืดเช่นนี้และที่สำคัญสาเหตุมาจากสตรีที่ไม่ควรชื่อว่า “ว่านเยว่เฟย” ที่เขาเคยเกลียดมาก่อน จวนสกุลว่าน “เช่นนั้นข้าอาจจะลองคิดดูอีกที ขอบคุณใต้เท้าลู่ที่ชวน”“คุณหนูเจ้าคะ”“เสี่ยวชิงมีอะไรเหตุใดจึงทำหน้าตาตื่นขนาดนี้”“องค์ชายแปดเสด็จ!!”สาวใช้ไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดเสียงของถังกงกงที่เดินนำขบวนองค์ชายเข้ามาในจวนนับสิบคนก็สร้างความแปลกใจให้ทั้งเยว่เฟยและลู่อีเทียนอย่างมาก“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงพากันมามากมายถึงเพียงนั้น”“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”“ท่านหญิงว่าน”“คารวะถังกงกง”“ถวายบังคมองค์ชายแปดพ่ะย่ะค่ะ”“ใต้เท้าลู่ ข้าไม่คิดว่าจะพบท่านที่นี่”ฮ่าวจื่อหรงเริ่มเปิดศึกปะทะคารมกับลู่อี้เทียนทันที อีกฝั่งมีหรือที่จะยอมเมื่อเขาเริ่มก่อนเช่นนี้ ลู่อี้เทียนเดินออ
“นี่ท่าน…”“หากว่าเจ้ายอมกินยาถอนพิษที่ข้านำมาให้ตั้งแต่ครั้งแรกก็คงไม่ต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ข้าช่วยเจ้าเอาไว้นะ”ว่านเยว่เฟยไม่ตอบสิ่งใด การที่นางพูดน้อยเช่นนี้ทำให้ฮ่าวจื่อหรงทำตัวไม่ถูกจริง ๆ เพราะเขามักจะคุ้นเคยกับเยว่เฟยที่เอาแต่เถียงคำไม่ตกฟากและมักจะตีหน้าใสไร้เดียงสาตามที่นางชอบทำ แต่มาพักหลัง ๆ กลับไม่เป็นเช่นนั้นทำให้เขาเริ่มที่จะเกรงใจนางมากขึ้น“เอ่อ..ข้าหมายถึง…”“ช่างเถอะ ท่านรีบตรวจเถอะจะได้ไม่เสียเวลาเผื่อว่าท่านจะต้องไปทำธุระที่อื่น”“ข้าตั้งใจมาหาเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ได้จะไปที่ใดต่อหากว่าเจ้าอยากจะถามเรื่องอื่นก็คงได้ยินที่ลู่อี้เทียนเผลอพูดออกมาแล้วมิใช่หรือ”เยว่เฟยหันหน้าหนีและค่อย ๆ ปลดชุดของนางออกและนั่งหันข้างให้เขา ผ้าที่ปิดแผลอยู่ที่ไหล่ซึ่งสาวใช้ของนางเป็นผู้ทำแผลเอาไว้ให้ถูกเขาแกะออกอย่างเบามือ แม้ว่าจะเคยเห็นตอนนางเปลือยมาแล้วแต่นั่นเป็นตอนที่นางไร้สติ“เอ่อ…แผลเริ่มแห้งแล้ว แสดงว่าเจ้าทายาและดื่มยาที่ข้าจัดอย่างเคร่งครัดสินะดีมากอีกสองสามวันก็ไม่ต้องใช้ผ้าปิดเอาไว้แล้วล่ะจะได้ขยับตัวสะดวกขึ้น ตอนนี้เจ้ายกแขนข้างขวาได้หรือไม่”“ยังไม่ถนัดนักแต่ก็ถือว่าดีกว่
“ลู่หนิงลี่” ผลักประตูเข้ามาโดยพลการ หมอฮ่าวและเยว่เฟยที่อยู่ในห้องหันมาและจื่อหรงก็ดึงคู่หมั้นของเขามาใกล้ ๆ ทันที“หนิงลี่ เธอมาทำอะไรที่นี่ พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา”“พี่จื่อหรง พี่จะแต่งงานกับ...เธองั้นเหรอ”“ใช่ มีอะไรน่าตกใจกันล่ะ”“แล้วฉันล่ะ ฉันละคะพี่เอาฉันไปไว้ที่ไหนพี่จื่อหรงทั้ง ๆ ที่คุณพ่อของพี่ก็บอกว่าเรา…”“แต่พี่ก็บอกคุณพ่อไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ พูดต่อหน้าเธอด้วยและวันนั้นเราก็คุยกันจบแล้ว คุณพ่อเธอก็รับรู้แล้วคุณพ่อพี่ก็เช่นกันดังนั้นระหว่างเราไม่มีอะไรเกินกว่าคำว่าคนรู้จัก”“แต่ว่าฉันรักพี่นะคะ”“ตายจริงใครมาวิ่งตามผู้ชายถึงที่นี่ล่ะเนี่ยเสียงดังออกไปถึงข้างนอก อ้อ เธออีกแล้วเหรอหนิงลี่”“พี่ชิงอัน!! ฉันเป็นน้องพี่นะ”ชื่อที่ถูกเรียกทำให้ว่านเยว่เฟยหันไปมองทันที “ลู่ชิงอัน” ในชุดกาวน์สีขาวเดินมามองหน้าผู้หญิงอีกคนที่ยืนหน้าประตูและหันเอาแฟ้มมาวางที่โต๊ะของจื่อหรง“พี่หรงนี่รายงานที่ขอไปวันก่อน ไม่มีอะไรผิดปกติวางใจได้ เธอคือ…ว่าที่พี่สะใภ้ของน้องเหรอ”“ใช่แล้วชิงอัน จริงสิเยว่เฟยนี่ลู่ชิงอัน เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลนี้”“อะไรนะ
คอนโดเยว่เฟย “คุณพักที่นี่เหรอ”“ค่ะ ฉันซื้อเอาไว้ตอนที่แม่เสียเมื่อหลายปีก่อน”“หรูจริง ๆ ด้วยแฮะ”“คุณหมอคงไม่รังเกียจคนว่างงานที่เอาแต่เขียนนิยายอย่างฉันหรอกใช่ไหมคะ”“คุณเคยเป็นหมอมาก่อนนี่ หมอศัลยกรรมสมองคนเก่งของโรงพยาบาลชื่อดังเสียด้วยทำไมคุณถึงลาออกล่ะ”“คุณสืบประวัติฉันเหรอคะ อยากโดนลงโทษเหรอคะคุณหมอ”“ไม่ใช่นะ ผมก็แค่… คุ้นชื่อคุณก็เลยไปสืบดูเท่านั้น ทำไมคุณถึงลาออกแล้วไปเป็นแอร์โฮสเตสละครับ”“อืม คงเพราะอยากจะพบคุณมั้งคะ สวรรค์คงจะกำหนดเอาไว้แบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”“เยว่เฟย คำพูดของคุณทำไมดูโบราณจังเลยล่ะ”“อะไรนะ โบราณงั้นเหรอคะ”“ใช่ ผมว่าจะถามมานานแล้วแต่…”“เจ้าคือบุปผาในฤดู…”“เดี๋ยว!! อย่าพึ่งพูด”“หมอคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า แต่ผมเคยได้ยินประโยคนี้”“อะไรนะคะ”ว่านเยว่เฟยมองดูฮ่าวจื่อหรงที่ยืนขึ้นและจับเธอเอาไว้พร้อมกับสบตาเธออีกครั้ง“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ เยว่เฟยของข้า”ว่านเยว่เฟยยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อมองไปที่เขาอีกครั้ง ฮ่าวจื่อหรงเองก็เผลอร้องไห้ออกมาเช่นกันโดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจแต่เขารู้สึกว่าประโยคนี้ควรจะพูดตอนนี้กับเธอคนนี้เพียงคนเดียว“
เธอขยับหนีเขาไม่ได้ ราวกับร่างกายถูกสะกดเอาไว้ให้หยุดนิ่งและเมื่อเขาเริ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้ เธอก็เผลอตัวยื่นหน้าขึ้นไปรับสัมผัสที่คุ้นเคยเพราะในชาติก่อนว่านเยว่เฟยและท่านอ๋องฮ่าวจื่อหรงมักจะแสดงความรักต่อกันตลอดเวลาที่มีโอกาส ตลอดเวลาที่แต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบหกสิบปี พวกเขารักกันจนลมหายใจสุดท้ายจริง ๆ“อือ…อ๊ะ หมอคะ”แทนที่เขาจะหยุดแต่กลับเลือกที่จะดันตัวเธอเข้าไปในห้องข้างในและเริ่มยกตัวเธอเข้าไปวางที่เตียงของเขา เสียงหายใจหอบถี่เพราะความตื่นเต้นจนเธอเองก็รู้สึกได้เพราะเธอเองก็เป็นเหมือนกับเขา“ว่านเยว่เฟย คุณเป็นแม่มดเหรอ”“คะ? คุณหมอคุณพูดอะไรนะคะ ฉัน…อื้อ”เธอกำต้นแขนเขาแน่น หมอฮ่าวยังสวมชุดกาวน์สีขาวอยู่ตอนที่วิ่งตามเธอออกมาจากโรงพยาบาลและตอนนี้ก็กำลังจูบเธออย่างกระหายและกำลังซึมซับบางอย่างพร้อมกับความสับสนของเขาที่เริ่มคลี่คลายเมื่อได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง“เยว่เฟย”“จื่อหรง…”“คุณต้องการผมหรือเปล่า”“ฉัน…”“เยว่เฟย ผมถามคุณว่า….”“อย่าถามอีกเลยค่ะ ฉันเป็นของคุณ… มาโดยตลอด”เสื้อกาวน์สีขาวและเสื้อโค้ชของเธอถูกโยนทิ้งไปคนละทาง ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เ
ว่านเยว่เฟยมองสบตาเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอจึงขยับหน้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว ฮ่าวจื่อหรงเองก็ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนกับคนไข้ของตัวเอง เมื่อริมฝีปากของทั้งคู่ทาบปิดกันสนิทและเริ่มขยับเข้าหากันอย่างเผลอตัว ภาพในหัวก็เกิดขึ้นในสมองของหมอฮ่าวทันที“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ… เยว่เฟยของข้า”“อ๊ะ!!”ว่านเยว่เฟยตกใจเมื่อคุณหมอฮ่าวถอยออกและกึ่งผลักเธอออกมาทันทีด้วยท่าทางที่ตกใจเมื่อหันมามองหน้าเธอชัด ๆ อีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและทำไมถึงได้เห็นภาพแบบนั้นในหัวเวลาที่เขาจูบเธอ และนี่เป็นสิ่งที่หมอไม่ควรทำกับคนไข้ของตัวเอง“ผม… ผมขอโทษ ขอตัวก่อน”“คุณ…”เยว่เฟยไม่ร้องตามเขาแม้ว่าอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สัมผัสจากริมฝีปากนั้นคุ้นเคยจนทำให้เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวที่จดจำเขาได้ไม่มีวันลืม“จื่อหรง… ท่านช่างใจร้ายนัก เหตุใดต้องปล่อยข้าเอาไว้เช่นนี้ หากรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ข้าไม่ตามท่านมาหรอกคนใจร้าย ฮือ…”“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!”ฮ่าวจื่อหรงยืนหน้าแดงอยู่ที่หน้าห้องคนไข้พิเศษของเขา สิ่งที่เขาเห็นตอน
แววตาของเธอรื้นไปด้วยน้ำตาทันที ไม่ใช่เพราะยังปรับแสงไม่ได้แต่เพราะชื่อที่พึ่งจะได้ยิน เธอพยายามลุกขึ้นมาและมองเขาใกล้ ๆ ชัด ๆ อีกครั้ง คุณหมอเห็นว่าเธอพยายามจะลุกขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดที่คนไข้จะสามารถลุกขึ้นมาได้ทั้ง ๆ ที่หมดสติไปหลายวันอีกทั้งเธอยังบาดเจ็บตามตัวอยู่หลายแห่ง“คุณค่อย ๆ ลุกอย่าพึ่งรีบร้อน…คนไข้ครับ นี่คุณทำอะไร”“จะ…จื่อ…คุณ…. ชื่อ….”สายตาที่หันมามองสบตาเธอนั้นนิ่งไป และเมื่อทั้งคู่สบตากันก็เหมือนจะมีบางอย่างทำให้คุณหมอฮ่าวหยุดนิ่งไปเช่นกัน ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเธอแบบนี้ และรู้สึกเหมือนกับเคยรู้จักเธอมาก่อนทั้ง ๆ ที่เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอเธอแน่ ๆ“ตอนนี้คนไข้รู้สึกยังไงบ้างครับ”“จื่อ.... หรง”หมอฮ่าวชะงักไปเมื่อเธอเรียกชื่อเขาเฉย ๆ อย่างคนคุ้นเคย เขาหันไปขมวดคิ้วและมองเธออีกครั้งด้วยความแปลกใจกึ่งสงสัย สีหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังคงสวยมาก ๆ เพราะเธอเป็นแอร์โฮสเตสละมั้งถึงได้มีหน้าตาที่สวยแม้แต่ตอนที่ป่วยก็ยังดูสวยอยู่“คุณ รู้จักผมเหรอครับ”เพียงคำถามนั้นก็ทำเอาเธอปากสั่นและน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุดจนเขาตกใจ กล่องทิชชูถูกยกมาวางที่ตรงหน้าและเขาก็รี
โรงพยาบาล ติ๊ด ติ๊ด….. เสียงของใครคนหนึ่งที่คุยกับคนอีกหนึ่งหรือสองคนไม่แน่ใจเพราะสติที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เสียงที่ดังขึ้นมาแม้ว่าจะจับใจความอะไรไม่ได้แม้ว่าหูจะเริ่มได้ยินเสียงที่ชัดขึ้นแต่ร่างกายกลับยังไม่ตอบสนองอย่างที่ต้องการ เมื่อค่อย ๆ เริ่มหายใจ ลมเย็น ๆ ที่อยู่ปลายจมูกก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามขนาดนั้น แม้ว่าจะมองไม่เห็นตัวคนพูดแต่เสียงที่เริ่มชัดขึ้นก็ทำให้ร่างที่นอนอยู่ค่อย ๆ กะพริบตาขึ้น ราวกับหลับไปนานแสนนานและแสงที่เริ่มไม่คุ้นเคยนี้ก็ทำให้ “ว่านเยว่เฟย” หลับตาลงไปอีกครั้ง “ข้าอยู่ที่ไหน เกิดใหม่อีกแล้วงั้นหรือ ท่านพี่ท่านพาข้ามาที่ใดข้าไม่อยากจากท่านไป นานเหลือเกินแล้วที่เราจากกัน แม้จะเพียงแค่ปีเดียวที่ท่านด่วนจากไปแต่ข้าไม่มีทางลืมท่าน จื่อหรง…พาข้าไปกับท่านด้วย” “เยว่เฟยยอดรักของข้า อีกไม่นานเราจะได้พบกัน…อีกครั้ง” “อย่าไปเพคะท่านพี่ รอข้าก่อนฮ่าวจื่อหรง อย่าไป!! รอข้าก่อน” “รอ…รอก่อน…หรง…จื่อหรง” เสียงงึมงำนั้นเรียกความสนใจของพยาบาลสาวที่กำลังปรับเครื่องช่วยหายใจอยู่ เมื่อคนไข้มีการตอบสนองเธอจึงเรียกคุณหมอทันที “คุณหมอคะ ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีการตอบสนอ
เยว่เฟยไม่รอช้าเพราะนางเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี นางผลักเขาลงไปและเริ่มใช้ลิ้นกับองค์ชายทันที อกแน่น ๆ ที่นางเฝ้าฝันว่าสักวันจะกัดจนเขาต้องร้องขอความเห็นใจ กล้ามท้องที่เป็นลอนทุกครั้งที่กระแทกเข้าออก ทั้งหมดนี้เป็นของนางเพียงคนเดียว“อ๊าา จื่อหรง อื้อ…”"เยว่เฟยเจ้างดงามยิ่งนัก เมื่อมองเช่นนี้แล้วข้าจะ…เริ่มทนไม่ไหว"“ท่าน…จะทนได้กี่ครั้งกันนะท่านพี่”“เจ้ายั่วข้าเช่นนี้ อย่าหวังว่าคืนนี้จะได้พัก”“อ๊าา ข้าเอง ข้าขยับเองเพคะ อ๊าา ท่านพี่ เสียวมาก อื้อ…”จื่อหรงเองก็เริ่มเกร็งหน้าท้องระหว่างที่นางขย่มเขาอยู่ด้านบน ทั้งท่วงท่าและลีลาที่ยั่วยวนนี้มีหรือเขาจะทนไหว ไม่นานเขาก็แตะทางสวรรค์จนนางสั่งให้เขาเป็นผู้ทำบ้างเพราะนางไม่ยอมหยุด เป็นครั้งแรกที่จื่อหรงรู้สึกว่าเยว่เฟยร้องขอเรื่องแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เพียงแค่สามรอบนางก็เริ่มอยากจะพักแล้ว“อ๊าา แน่นดีจัง โอ๊วว ท่านพี่ เสียวมาก ลึกมาก อ๊าา…”“รอบนี้จบเราควรจะพักได้แล้ว เจ้าต้องพักแล้วเยว่เฟย”“อื้อ ก็ได้เพคะ อ๊าา เร่งอีกนิดจะ…ไม่ไหวแล้วว อ๊าา”กว่าพายุรักจะสงบลงก็เกือบจะรุ่งสาง คู่บ่าวสาวที่พึ่งเข้าพิธีส่งตัวนอนซุกในอกของกันและกันบนเตี
“อย่ามัวแต่พูด เข้ามาเสียทีข้ารอนานแล้ว อ๊าา….”สิ้นเสียงเรียกร้องนั้นเขาก็ตอบสนองนางทันทีเพราะตัวเขาเองก็อดทนรอเวลานี้มาแสนนานแล้วเช่นกัน หลายวันที่เกิดเรื่องขึ้นพวกเขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยแม้ว่าจะอยู่ในห้องเดียวกันก็มิอาจทำเรื่องเช่นนี้ได้เพราะเกรงคนจะสงสัย“อาา แน่นมาก...”แรงกระแทกและเสียงครางดังกว่าทุกครั้งและความต้องการของทั้งสองคนก็มีมากเช่นเดียวกัน“อ๊าา ลึกอีกเพคะ อ๊าา เสียวมากเลย อื้อ…”“เยว่เฟยข้าจะทนไม่ไหว ขอแก้ตัวอีกรอบนะไม่ไหวแล้ว อาา…”ไม่นานหลังจากนั้นองค์ชายแปดก็เกร็งตัวขึ้นมา เยว่เฟยเองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะถึงสวรรค์เร็วเช่นนี้ ดูท่าคืนนี้นางคงต้องเหนื่อยอย่างที่เขาพูดเอาไว้จริง ๆ เพราะองค์ชายแปดอัดอั้นมานานหลายวัน คืนนี้คงไม่ปล่อยในนางนอนกอดเขาอย่างเดียวดังเช่นหลายคืนที่ผ่านมาเป็นแน่“จื่อหรง ข้าขอพัก อ๊ะ!! อย่าพึ่งเข้ามา ข้า อ๊าา จื่อหรง”“อีกทีนะ ไม่นานหรอกรอบนี้… เยว่เฟยเจ้ารัดข้าแน่นเกินไปแล้ว”“ก็บอกแล้วว่าขอพักก่อนท่านก็ไม่ยอม อ๊าา ต้องโดนเช่นนี้แหละ”“เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับสามี ไม่กลัวว่าข้าจะเอาคืนหรือ อาา เยว่เฟยทนไม่ไหวแล้วข้า…อาา!!”“แฮก แฮก…”“ข้ายังไม่เหนื่อ
“ชิงอัน… ชิงอัน!! ไม่นะ”องค์ชายแปดจับชีพจรของลู่ชิงอันและค่อย ๆ จับไหล่ของลู่อี้เทียนเป็นเชิงปลอบ เขารู้ทันทีว่านางจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว ลู่อี้เทียนกอดร่างน้องสาวเอาไว้แน่น ร่างของซูหลิงถูกยกออกมานอกห้อง บัดนี้เรื่องราวและคดีที่ต้องไขกระจ่างจนหมดสิ้นอีกทั้งตัวผู้บงการ ฆาตกรก็ล้วนแต่จบชีวิตลงที่นี่ในวันนี้จนหมดสิ้น“เยว่เฟย… เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“จื่อหรง…”“มันจบแล้วเยว่เฟย มันจบแล้ว”“ข้าส่งนางไปได้แล้ว…”ฮ่าวจื่อหรงกอดเยว่เฟยเอาไว้แน่น นางตัวสั่นไปทั้งตัวเพราะไม่เคยเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อนในชีวิตนี้หรือแม้แต่ชีวิตก่อนหน้านี้เองก็ตาม หลังจากข่าวการตายของซูหลิงแพร่ออกไปราวกับว่านหนิงลี่เองก็จะรับรู้ ไม่นานหลังจากนั้นนางเองก็จากไปอย่างสงบเช่นกันเพราะพิษที่นางได้รับนั้นกัดกินภายในจนมิอาจช่วยได้ อีกอย่างเมื่อไม่มีซูหลิงหนิงลี่ก็ไม่ต่างกับผู้ที่ไร้หลักยึด นางจึงไม่มีกำลังใจจะสู้ต่อ “ท่านพ่อเจ้าคะ”“พ่อดีใจที่จนถึงตอนนี้ พ่อไม่เคยทำผิดต่อท่านแม่ของเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก่อนหน้านั้นพ่อรู้สึกผิดกับท่านแม่ของเจ้าและเจ้ามาโดยตลอด”“ท่านพ่อ เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้วนะเจ้าคะ ท่านก็อย่า