เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นจนทำให้ร่างที่นอนนิ่งอยู่ขมวดคิ้วด้วยความรำคาญแต่ทว่ายังไม่ยอมตื่นลืมตาขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งมือปริศนาคู่หนึ่งเข้ามากระชากแขนของสตรีที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างแรงแล้วโยนร่างนางจนตกลงจากเตียงลงมานั่งอยู่บนพื้น เฟยฮวาร้องซีดในลำคอเมื่อความเจ็บแสบจากที่เข่าทั้งสองข้างกระแทกกับพื้นเต็มแรงก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองบุคคลที่ยืนทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดอยู่ตรงหน้า
เฟยฮวาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่จู่ ๆ ก็เห็นบุคคลประหลาดในเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่คุ้นตา ค่อย ๆ กวาดสายตามองดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัยว่าทำไมตนถึงมาอยู่กองละครถ่ายย้อนยุคได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจะกระโดดสะพานลอยตกลงไปในแม่น้ำอันแสนกว้างใหญ่แท้ ๆ "กะ..." ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาใช้ฝ่ามือตบลงบนที่พวงแก้มของเฟยฮวาจนหน้าหัน ความเจ็บแปลบที่พวงแก้มทำให้เฟยฮวาจำต้องยกมือขึ้นกุมใบหน้าของตนเอาไว้ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนักแต่ตัวเธอก็ไม่ยอมให้คนที่ไม่รู้จักมาทำกิริยาต่ำทรามแบบนี้ใส่ตนหรอก ไม่รอช้าเฟยฮวาลุกขึ้นพรวดคว้ามือของคนแปลกหน้าที่กำลังจะตบลงมาที่ใบหน้าตนอีกครั้งก่อนจะยกฝ่ามือของตนฟาดลงไปบนใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มแรงเพื่อเป็นการเอาคืนในสิ่งที่อีกฝ่ายได้ลงมือทำกับตนก่อน เมื่อโดนตบกลับโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อีกฝ่ายก็กระทืบเท้าลงกับพื้นปึงปังตามด้วยกรีดร้องลั่นด้วยความโกรธแค้น ยกมือขึ้นชี้หน้าด่าเฟยฮวาไม่หยุดปาก "เจ้า!!! เจ้ากล้าตบข้าหรือนังชั้นต่ำ!!" "คุณสิต่ำ!! ในเมื่อคุณเริ่มก่อนทำไมฉันถึงจะโต้ตอบคุณบ้างไม่ได้ ทำไม!! กล้าตบมาฉันก็กล้าสวนกลับ มาสิ!!!" เฟยฮวาจ้องตอบกลับสายตาคู่นั้นอย่างไม่เกรงหน้า ยกหน้าขึ้นเชิดใส่อีกฝ่าย "กร๊ดดดดด!! นังเหลียนฮวา!!! ข้าจะฆ่าเจ้า!!! ข้าจะฆ่าเจ้า!!!" เฟยฮวาหาได้สนใจกับชื่อที่อีกฝ่ายเรียกตนเอง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาบีบคอของตนก็ไม่รอช้ายกเท้าขึ้นถีบหน้าท้องของอีกฝ่ายจนล้มกลิ้งไปนอนกองอยู่ที่พื้นด้วยความจุกงอ จ้องหน้ากลับมาสู้สายตาของเฟยฮวากัดริมฝีปากแน่น ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ เสียงหนึ่งก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ผู้คนโดยรอบต่างพากันก้มหน้าไม่กล้าสบตาสองบุคคลที่เข้ามาใหม่ เฟยฮวาจ้องมองบุรุษและสตรีที่ก้าวเข้ามาใหม่ด้วยความงุนงง เมื่อผู้ที่ดูเป็นบุรุษอายุเยอะเข้ามาหาเฟยฮวา เพียงแค่เฟยฮวากะพริบตาแค่ครั้งเดียวฝ่ามือหยาบก็ฟาดลงมาที่ใบหน้าของเธออีกครั้งซ้ำกับรอยเดิมที่สตรีอีกคนทำไว้ก่อนหน้านี้ ก่อนที่ตัวเฟยฮวาจะถูกจับให้คุกเข่านั่งลงกับพื้นด้วยฝีมือของผู้หญิงที่รีบคลานเข่าเข้ามา "นายท่าน!! เรื่องนี้คุณหนูหลานฮวาไม่ผิดนะเจ้าคะ!! ขอนายท่านโปรดพิจารณาอย่าได้ลงโทษคุณหนูเลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้บ่าวและคนอื่นอยู่ในเหตุการณ์คนที่ผิดคือคุณหนูชิวหรงที่เข้ามาก่อกวนคุณหนูของเราก่อน นายท่านได้โปรดอย่าทำอะไรคุณหนูของข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ แค่นี้คุณหนูก็เจ็บปวดไปหมดแล้ว" ด้วยเพราะตัวนางผู้นี้รู้ดีว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจึงรีบวิงวอนขอร้องต่อบุรุษผู้มากอายุที่ยืนจ้องมองคุณหนูของตนด้วยความไม่พอใจ เฟยฮวาที่ได้ยินก็คงยังงุนงงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดอยู่ตรงหน้า ครั้นจะลุกขึ้นอ้าปากต่อเถียงกับผู้ใหญ่ตรงหน้าก็คงจะไม่ได้เพราะถึงอย่างไรเสียคน ๆ คนนี้ก็คล้ายกับผู้เป็นบิดาของตนเพียงแค่แตกต่างจากรังสีที่ส่งผ่านออกมาจากร่างกายก็แค่นั้น "ข้าไม่สนใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครจะเป็นผู้เริ่ม แต่ข้าเห็นว่านังลูกไม่รักดีผู้นี้ลงมือกระทำกับบุตรสาวแสนรักของข้า พวกเจ้าลากนางไปเฆี่ยนเป็นการลงโทษ อย่าให้ได้มีเรื่องราวป่าเถื่อนเช่นนี้เกิดขึ้นในสกุลเซี่ยของข้า ลากตัวนางไป!!!" เฟยฮวาที่ยังเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกสาวใช้ลากตัวออกไปหน้าลานโล่งใจกลางสกุลเซี่ย ก่อนที่จะถูกไม้หวายฟาดลงมาที่กลางหลังจนเจ็บแสบ ความรู้สึกเจ็บปวดทำให้เฟยฮวาไม่อาจขัดขืนไหนจะถูกคนแปลกหน้าสองคนจับแขนเอาไว้ เสียงไม้หวายที่ดังกระทบกับลมก่อนจะฟาดลงมาที่กลางหลังทำให้เกิดเสียงอันน่าหวาดเสียว เฟยฮวากัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด ไม่คิดจะร้องขอความเมตตาในสถานการณ์ที่แสนจะงุนงงนี้ "เหลียนฮวา คราวนี้เจ้าสำนึกผิดหรือไม่!!??" บุคคลอายุมากเอ่ยถามจ้องมองใบหน้าขาวซีดของผู้เป็นบุตรสาว "ไม่..ฉันไม่สำนึกอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้ฉันไม่ผิด พวกคุณมันบ้าอำนาจ ไม่ยุติธรรม" เฟยฮวาเปล่งเสียงด้วยความยากลำบากเพราะตนเพิ่งจะเคยเจอการลงโทษแบบนี้จึงทำให้ร่างกายรู้สึกคล้ายกันจะหมดเรี่ยวแรง อาการหน้ามืดภาพลายตาตีสับสนไปหมด "ดี!!! ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ พวกเจ้าก็เฆี่ยนนางต่อไป เฆี่ยนจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด!!!" อีกฝ่ายพูดจบก็เดินประคองพาสตรีที่ยืนข้างกายและผู้เป็นบุตรสาวอีกคนเดินกลับเข้าไปจวนหลังใหญ่ ปล่อยให้ผู้เป็นบุตรสาวอีกคนถูกเฆี่ยนตีอยู่ทั้งอย่างนั้น เฟยฮวาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นไม่อาจทนการถูกเฆี่ยนตีเช่นนี้ได้จึงเป็นลมหมดสติไปเป็นอีกครั้งที่เฟยฮวาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด แต่คราวนี้เป็นความเจ็บปวดที่มาจากบริเวณกลางหลัง หญิงสาวร้องซี๊ดเมื่อรับรู้ถึงสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดกำลังทาลงมาที่กลางหลังอีกครั้ง เฟยฮวากัดริมฝีปากของตนเองแน่น บริเวณขอบตาปรากฏหยดน้ำตาคลอ ๆ อยู่หางตาเล็กน้อย"คุณหนู นายท่านช่างใจร้ายกับท่านเหลือเกิน เฆี่ยนตีรุนแรงเช่นนี้ ทั้งไม่ยอมให้ยามารักษา ซินซินต้องขออภัยที่ต้องนำสมุนไพรไม่มีราคามารักษาบาดแผลให้ท่าน" ผู้เรียกตัวเองว่าซินซินกล่าวจบก็ค่อย ๆ ทาสมุนไพรลงที่แผลจากเฆี่ยนตีให้คุณหนูของตนอย่างเบามือที่สุดกลิ่นเหม็นเขียวของสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดลอยอบอวลไปทั่วห้อง จนกระทั่งหลังจากที่ทำอะไรเสร็จแล้วเฟยฮวาจึงถูกประคองใ้ลุกขึ้นนั่งเหยียดตรง นางมองการกระทำของซินซินอยู่นาน เมื่อเห็นว่าถ้วยยาเหม็นเขียวที่ยื่นมาตรงหน้าก็ทำหน้าเหยเกใช้มือดันถ้วยยาคืนกลับไปให้ซินซิน"เหม็นแบบนี้ใครจะไปกินได้กัน" "คุณหนู หากคุณหนูไปกินจะไม่หายเอานะเจ้าค่ะ ยานี้เหม็นเขียวก็จริงอยู่แต่จะช่วยทำให้อาการและความเจ็บปวดของคุณหนูลดลงได้เยอะเลยนะเจ้าคะ หากไม่ดูดค่ำคืนนี้คุณหนูคงได้ไข้ขึ้นอีกแน่ ๆ""เฮ้อ ก็ได้ ๆ ฉันยอม
หลังจากที่รู้และเข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเจอกับตัวในตอนนี้ได้แล้วเฟยฮวาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าในเมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แม้จะอยู่ในร่างของผู้อื่นนางก็จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยจากโลกก่อนและแทนเจ้าของกายหยาบคนเก่า "คุณหนู น้ำชาเจ้าค่ะ" ซิวซิวส่งจอกชาในมือให้คุณหนูของนาง จ้องมองใบหน้าของคุณหนูจนเฟยฮวาที่จับสังเกตได้จึงจ้องมองซินซินตอบกลับด้วยความสงสัย"ซินซิน เจ้าสงสัยในตัวข้าเช่นนั้นหรือ?" ซินซินที่ได้ยินคำถามเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงท่าทางหวาดกลัว นางก้มหน้าก้มตาส่ายหัวรัว"เจ้าไม่เชื่อหรือว่านี่คือคุณหนูของเจ้า""ข้าน้อยไม่กล้าเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดว่าสิ่งใดที่ทำให้คุณหนูเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้กัน แต่ก่อนคุณหนูที่ข้าน้อยรู้จัก เป็นเพียงสตรีอ่อนโยน อ่อนแอ มักถูกดูแคลนจากบิดา มารดาเลี้ยงและน้องสาวต่างมารดา พอมาในวันนี้หลังจากที่คุณหนูตื่นลืมตาขึ้นมาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ข้าน้อยเพียงแค่ดีใจ""ดีใจเช่นนั้นหรือ?" ซินซินพยักหน้าแล้วเงยหน้าส่งรอยยิ้มให้กับคุณหนูของนาง"ดีใจที่คุณหนูมีแรงลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเองได้ในวันนี้ ที่ผ่านมาข้าน้อยต้องทนเห็นคุณหนูร้องห่มร้อง
แคว้นจ้าวเล่อ ปกครองโดยองค์ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อ ในยามนี้เป็นช่วงศึกสงครามจากฝั่งชายแดนด้วยเพราะแคว้นเว่ยต้องการจะยึดครองแคว้นจ้าวขึ้นเป็นเมืองขึ้นของตน สาเหตุหนึ่งก็เพราะแคว้นจ้าวนั้นเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่หล่อเลี้ยงชาวประชา หาได้รับความทุกข์ร้อนแต่อย่างไร อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าภายใต้ดินของแคว้นจ้าวนั้นมีขุมทรัพย์มากมายถูกฝั่งเอาไว้ จึงเป็นแคว้นที่ถูกเล็งมากที่สุดในศึกสงครามในโลกยุทธภพแห่งนี้แคว้นจ้าวมีแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงครามลงมาเกิดจากสวงสวรรค์ ด้วยเพราะมีฝีมือเก่งกาจในเรื่องของบู๊และบุ๊น อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นบุรุษที่เฉยชาที่สุดบนแผ่นดินแคว้นจ้าว แม่ทัพผู้นี้มีนามว่า อู๋ซีห่าว ทุกครั้งที่จับดาบออกรบเมื่อใดเขามักจะนำชัยชนะกลับมาให้เป็นที่พอใจแก่ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อทุกครั้งไปภายในสนามรบเวลานี้ล้วนเต็มไปด้วยศพของเหล่าทหารของทั้งสองแคว้นที่นอนตายเกลื่อนกลาดไปทั่ว มองไปทางนั้นก็มีแต่ดองโลหิตเหม็นคาวคละคลุ้งลอยมาแตะจมูก ฝั่งหนึ่งคือแคว้นจ้าวที่ยังคงเหลือทหารกว่าครึ่ง ส่วนอีกแคว้นคือแคว้นเว่ยที่กำลังจะพ่ายแพ้ในศึกสงครามครั้งนี้"ผู้ใดตัด
ท่ามกลางใจกลางเมืองหรูในเขตต้าหนาย สถานที่เขตนี้เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศชอบมาเป็นอับดับต้น ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเลยก็ว่าได้ ท่ามกลางแสงสีและสถานที่น่าเที่ยวมากมายใครจะไปรับรู้ได้ว่าจะมีสถานที่หนึ่งที่จะทำให้เรื่องน่าแปลกประหลาดของกาลเวลาเกิดขึ้นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ตัดมาทางสะพานข้ามเมืองเข้าออกแห่งใหญ่ที่มักจะมีรถสัญจรผ่านไปมาเนื่องจากตรงช่วงใจกลางสะพานแห่งนี้นั้นมีวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำใหญ่ที่งดงามจึงมักเป็นสถานที่ที่ใครหลาย ๆ คนมักจะชอบมาจอดรถเพื่อลงมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นภาพความทรงจำ ใจกลางสะพานใหญ่ขณะนี้กำลังมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง หล่อนกำลังยืนจับขอบสะพานเฝ้ามองไปยังวิวทิวทัศน์ด้านหน้าอย่างเหม่อลอย ก่อนที่น้ำตาสีใสจะไหลรินร่วงลงมาจากนัยน์ตาสีอำพัน ในมือของเธอกำรูปภาพใบหนึ่งเอาไว้ หล่อน ๆ ค่อยคลี่มือออกจับรูปภาพใบนั้นขึ้นมาดูทั้งน้ำตาในภาพปรากฏเป็นรูปของคนสามคนโดยที่หล่อนนั้นยืนอยู่ตรงกลาง ฝั่งข้างซ้ายมือของแฟนหนุ่มที่กำลังจะตบแต่งกันในหนึ่งเดือนข้างหน้า ส่วนด้านขวามือคือเพื่อนสนิทตั้งแต่เล็กของเธอ พวกเขาทั้งสามคนมาเที่ยวทริปที่ประเทศนี้เพราะจะฉลองกับการส
แคว้นจ้าวเล่อ ปกครองโดยองค์ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อ ในยามนี้เป็นช่วงศึกสงครามจากฝั่งชายแดนด้วยเพราะแคว้นเว่ยต้องการจะยึดครองแคว้นจ้าวขึ้นเป็นเมืองขึ้นของตน สาเหตุหนึ่งก็เพราะแคว้นจ้าวนั้นเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่หล่อเลี้ยงชาวประชา หาได้รับความทุกข์ร้อนแต่อย่างไร อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าภายใต้ดินของแคว้นจ้าวนั้นมีขุมทรัพย์มากมายถูกฝั่งเอาไว้ จึงเป็นแคว้นที่ถูกเล็งมากที่สุดในศึกสงครามในโลกยุทธภพแห่งนี้แคว้นจ้าวมีแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงครามลงมาเกิดจากสวงสวรรค์ ด้วยเพราะมีฝีมือเก่งกาจในเรื่องของบู๊และบุ๊น อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นบุรุษที่เฉยชาที่สุดบนแผ่นดินแคว้นจ้าว แม่ทัพผู้นี้มีนามว่า อู๋ซีห่าว ทุกครั้งที่จับดาบออกรบเมื่อใดเขามักจะนำชัยชนะกลับมาให้เป็นที่พอใจแก่ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อทุกครั้งไปภายในสนามรบเวลานี้ล้วนเต็มไปด้วยศพของเหล่าทหารของทั้งสองแคว้นที่นอนตายเกลื่อนกลาดไปทั่ว มองไปทางนั้นก็มีแต่ดองโลหิตเหม็นคาวคละคลุ้งลอยมาแตะจมูก ฝั่งหนึ่งคือแคว้นจ้าวที่ยังคงเหลือทหารกว่าครึ่ง ส่วนอีกแคว้นคือแคว้นเว่ยที่กำลังจะพ่ายแพ้ในศึกสงครามครั้งนี้"ผู้ใดตัด
หลังจากที่รู้และเข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเจอกับตัวในตอนนี้ได้แล้วเฟยฮวาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าในเมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แม้จะอยู่ในร่างของผู้อื่นนางก็จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยจากโลกก่อนและแทนเจ้าของกายหยาบคนเก่า "คุณหนู น้ำชาเจ้าค่ะ" ซิวซิวส่งจอกชาในมือให้คุณหนูของนาง จ้องมองใบหน้าของคุณหนูจนเฟยฮวาที่จับสังเกตได้จึงจ้องมองซินซินตอบกลับด้วยความสงสัย"ซินซิน เจ้าสงสัยในตัวข้าเช่นนั้นหรือ?" ซินซินที่ได้ยินคำถามเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงท่าทางหวาดกลัว นางก้มหน้าก้มตาส่ายหัวรัว"เจ้าไม่เชื่อหรือว่านี่คือคุณหนูของเจ้า""ข้าน้อยไม่กล้าเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดว่าสิ่งใดที่ทำให้คุณหนูเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้กัน แต่ก่อนคุณหนูที่ข้าน้อยรู้จัก เป็นเพียงสตรีอ่อนโยน อ่อนแอ มักถูกดูแคลนจากบิดา มารดาเลี้ยงและน้องสาวต่างมารดา พอมาในวันนี้หลังจากที่คุณหนูตื่นลืมตาขึ้นมาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ข้าน้อยเพียงแค่ดีใจ""ดีใจเช่นนั้นหรือ?" ซินซินพยักหน้าแล้วเงยหน้าส่งรอยยิ้มให้กับคุณหนูของนาง"ดีใจที่คุณหนูมีแรงลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเองได้ในวันนี้ ที่ผ่านมาข้าน้อยต้องทนเห็นคุณหนูร้องห่มร้อง
เป็นอีกครั้งที่เฟยฮวาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด แต่คราวนี้เป็นความเจ็บปวดที่มาจากบริเวณกลางหลัง หญิงสาวร้องซี๊ดเมื่อรับรู้ถึงสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดกำลังทาลงมาที่กลางหลังอีกครั้ง เฟยฮวากัดริมฝีปากของตนเองแน่น บริเวณขอบตาปรากฏหยดน้ำตาคลอ ๆ อยู่หางตาเล็กน้อย"คุณหนู นายท่านช่างใจร้ายกับท่านเหลือเกิน เฆี่ยนตีรุนแรงเช่นนี้ ทั้งไม่ยอมให้ยามารักษา ซินซินต้องขออภัยที่ต้องนำสมุนไพรไม่มีราคามารักษาบาดแผลให้ท่าน" ผู้เรียกตัวเองว่าซินซินกล่าวจบก็ค่อย ๆ ทาสมุนไพรลงที่แผลจากเฆี่ยนตีให้คุณหนูของตนอย่างเบามือที่สุดกลิ่นเหม็นเขียวของสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดลอยอบอวลไปทั่วห้อง จนกระทั่งหลังจากที่ทำอะไรเสร็จแล้วเฟยฮวาจึงถูกประคองใ้ลุกขึ้นนั่งเหยียดตรง นางมองการกระทำของซินซินอยู่นาน เมื่อเห็นว่าถ้วยยาเหม็นเขียวที่ยื่นมาตรงหน้าก็ทำหน้าเหยเกใช้มือดันถ้วยยาคืนกลับไปให้ซินซิน"เหม็นแบบนี้ใครจะไปกินได้กัน" "คุณหนู หากคุณหนูไปกินจะไม่หายเอานะเจ้าค่ะ ยานี้เหม็นเขียวก็จริงอยู่แต่จะช่วยทำให้อาการและความเจ็บปวดของคุณหนูลดลงได้เยอะเลยนะเจ้าคะ หากไม่ดูดค่ำคืนนี้คุณหนูคงได้ไข้ขึ้นอีกแน่ ๆ""เฮ้อ ก็ได้ ๆ ฉันยอม
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นจนทำให้ร่างที่นอนนิ่งอยู่ขมวดคิ้วด้วยความรำคาญแต่ทว่ายังไม่ยอมตื่นลืมตาขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งมือปริศนาคู่หนึ่งเข้ามากระชากแขนของสตรีที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างแรงแล้วโยนร่างนางจนตกลงจากเตียงลงมานั่งอยู่บนพื้น เฟยฮวาร้องซีดในลำคอเมื่อความเจ็บแสบจากที่เข่าทั้งสองข้างกระแทกกับพื้นเต็มแรงก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองบุคคลที่ยืนทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดอยู่ตรงหน้า เฟยฮวาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่จู่ ๆ ก็เห็นบุคคลประหลาดในเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่คุ้นตา ค่อย ๆ กวาดสายตามองดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัยว่าทำไมตนถึงมาอยู่กองละครถ่ายย้อนยุคได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจะกระโดดสะพานลอยตกลงไปในแม่น้ำอันแสนกว้างใหญ่แท้ ๆ "กะ..." ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาใช้ฝ่ามือตบลงบนที่พวงแก้มของเฟยฮวาจนหน้าหัน ความเจ็บแปลบที่พวงแก้มทำให้เฟยฮวาจำต้องยกมือขึ้นกุมใบหน้าของตนเอาไว้ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนักแต่ตัวเธอก็ไม่ยอมให้คนที่ไม่รู้จักมาทำกิริยาต่ำทรามแบบนี้ใส่ตนหรอกไม่รอช้าเฟยฮวาลุกขึ้นพร
ท่ามกลางใจกลางเมืองหรูในเขตต้าหนาย สถานที่เขตนี้เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศชอบมาเป็นอับดับต้น ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเลยก็ว่าได้ ท่ามกลางแสงสีและสถานที่น่าเที่ยวมากมายใครจะไปรับรู้ได้ว่าจะมีสถานที่หนึ่งที่จะทำให้เรื่องน่าแปลกประหลาดของกาลเวลาเกิดขึ้นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ตัดมาทางสะพานข้ามเมืองเข้าออกแห่งใหญ่ที่มักจะมีรถสัญจรผ่านไปมาเนื่องจากตรงช่วงใจกลางสะพานแห่งนี้นั้นมีวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำใหญ่ที่งดงามจึงมักเป็นสถานที่ที่ใครหลาย ๆ คนมักจะชอบมาจอดรถเพื่อลงมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นภาพความทรงจำ ใจกลางสะพานใหญ่ขณะนี้กำลังมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง หล่อนกำลังยืนจับขอบสะพานเฝ้ามองไปยังวิวทิวทัศน์ด้านหน้าอย่างเหม่อลอย ก่อนที่น้ำตาสีใสจะไหลรินร่วงลงมาจากนัยน์ตาสีอำพัน ในมือของเธอกำรูปภาพใบหนึ่งเอาไว้ หล่อน ๆ ค่อยคลี่มือออกจับรูปภาพใบนั้นขึ้นมาดูทั้งน้ำตาในภาพปรากฏเป็นรูปของคนสามคนโดยที่หล่อนนั้นยืนอยู่ตรงกลาง ฝั่งข้างซ้ายมือของแฟนหนุ่มที่กำลังจะตบแต่งกันในหนึ่งเดือนข้างหน้า ส่วนด้านขวามือคือเพื่อนสนิทตั้งแต่เล็กของเธอ พวกเขาทั้งสามคนมาเที่ยวทริปที่ประเทศนี้เพราะจะฉลองกับการส