แคว้นจ้าวเล่อ ปกครองโดยองค์ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อ ในยามนี้เป็นช่วงศึกสงครามจากฝั่งชายแดนด้วยเพราะแคว้นเว่ยต้องการจะยึดครองแคว้นจ้าวขึ้นเป็นเมืองขึ้นของตน สาเหตุหนึ่งก็เพราะแคว้นจ้าวนั้นเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่หล่อเลี้ยงชาวประชา หาได้รับความทุกข์ร้อนแต่อย่างไร อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าภายใต้ดินของแคว้นจ้าวนั้นมีขุมทรัพย์มากมายถูกฝั่งเอาไว้ จึงเป็นแคว้นที่ถูกเล็งมากที่สุดในศึกสงครามในโลกยุทธภพแห่งนี้
แคว้นจ้าวมีแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงครามลงมาเกิดจากสวงสวรรค์ ด้วยเพราะมีฝีมือเก่งกาจในเรื่องของบู๊และบุ๊น อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นบุรุษที่เฉยชาที่สุดบนแผ่นดินแคว้นจ้าว แม่ทัพผู้นี้มีนามว่า อู๋ซีห่าว ทุกครั้งที่จับดาบออกรบเมื่อใดเขามักจะนำชัยชนะกลับมาให้เป็นที่พอใจแก่ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อทุกครั้งไป ภายในสนามรบเวลานี้ล้วนเต็มไปด้วยศพของเหล่าทหารของทั้งสองแคว้นที่นอนตายเกลื่อนกลาดไปทั่ว มองไปทางนั้นก็มีแต่ดองโลหิตเหม็นคาวคละคลุ้งลอยมาแตะจมูก ฝั่งหนึ่งคือแคว้นจ้าวที่ยังคงเหลือทหารกว่าครึ่ง ส่วนอีกแคว้นคือแคว้นเว่ยที่กำลังจะพ่ายแพ้ในศึกสงครามครั้งนี้ "ผู้ใดตัดหัวแม่ทัพแคว้นจ้าวมาให้ข้าได้ ข้าจะมอบตำแหน่งรองแม่ทัพ อีกทั้งยังมอบเงินทอง หญิงงามให้เป็นรางวัล!!" แม่ทัพเว่ยแม้จะรู้ว่าตนเองกำลังจะพ่ายแพ้แต่ก็ไม่ยอมลดทิฐิลง ความอยากเอาชนะและความโลภก่อให้เกิดการสูญเสียมากมายเหลือเกิน แม่ทัพจ้าว อู๋ซีห่าวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาเฉยตา นัยน์ตาสีอำพันไร้ความรู้สึกใด ๆ ก่อนจะควบอาชาดำทมิฬคู่ใจตรงเข้าไปปะทะกับกองกำลังอันน้อยนิดของแคว้นเว่ย และก็เป็นชัยชนะของแคว้นจ้าวอีกครั้งเมื่ออู๋ซีห่าวฝ่าแดนวงล้อมอันบอบบางเข้าไปหาแม่ทัพแคว้นเอ่ยได้ก่อนจะยกดาบขึ้นฟันลงที่คอของอีกฝ่ายได้สำเร็จ เสียงตะโกนกู่ร้องดังไปทั่วสนามรบเมื่อเห็นว่าแม่ทัพของตนตัดหัวแม่ทัพแคว้นเว่ยได้สำเร็จ อู๋ซีห่าวจ้องมองร่างที่ล้มตึงจากหลังม้าลงไปนอนอยู่กับพื้นด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า ก่อนจะหันไปสั่งทหารให้นำกองกำลังและคนที่ได้รับบาดเจ็บกลับไปรักษาตัวที่ค่ายทหารของตนทันที เมื่อชัยชนะตกเป็นของแคว้นจ้าวได้สำเร็จ ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อจึงสั่งให้คนนำอาหารพระราชทานมามอบให้เป็นรางวัลในการทำศึกอันได้รับชัยชนะแก่เหล่าทหาร ในยามค่ำคืนนี้ทั่วทั้งค่ายทหารเต็มไปด้วยความปิดติยินดี เสียงตะโกนเรียกชื่อของแม่ทัพผู้เก่งกาจดังขึ้นไม่มีหยุดหย่อน ภายในกระโจมเล็ก ๆ อู่ซีหาวกำลังนั่งอ่านจดหมายที่เขียนโดยพระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจที่จะออกไปร่วมสังสรรค์กับคนด้านนอกแม้แต่น้อย จดหมายที่กำลังนั่งอ่านนั้นเต็มไปด้วยความยินดี ความปลื้มปิดติ ความภูมิใจในตัวของแม่ทัพหนุ่มคนสนิท หากเป็นแม่ทัพผู้อื่นที่ได้อ่านคงจะดีใจจนออกนอกหน้าไม่น้อย แต่ทว่ากลับไม่ใช่กับตัวของอู๋ซีห่าว ใบหน้าหล่อเหลาคมสันหาได้แสดงความรู้สึกใด ๆ มีเพียงความนิ่งเฉยและนัยน์สีอำพันที่กวาดไล่ตามตัวอักษรไปทีละบรรทัด จนกระทั่งมาถึงข้อความสุดท้าย สมรสพระราชทานอย่างนั้นหรือ?! อู๋วีห่าวถอนหายใจออกมาก่อนจะวางจดหมายในมือลง ตบแต่งกับคุณหนูรองสกุลเซี่ยอย่างนั้นหรือ? ได้ยินมาว่าสกุลเซี่ยนั้นมีบุตรสาวสองคน คนโตนามเซี่ยเหลียนฮวาเป็นบุตรสาวคนโตของฮูหยินคนก่อนที่เสียไปตั้งแต่ที่คลอดนางออกมา ได้ข่าวว่าเซี่ยวั่งฝูจงเกลียดจงชังในตัวนางไม่น้อยถึงขนาดสั่งให้แยกเรือนของนางออกไปหลังสุดเรือนใหญ่ ออกคำสั่งไม่ให้ก้าวขามาที่เรือนใหญ่หรือแม้แต่ออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว ส่วนบุตรสาวคนรองมีนามเซี่ยชิวหรง เป็นบุตรสาวลูกติดของสามีเก่าของเซี่ยฝูหรงที่เซี่ยวั่งซูตบแต่งขึ้นเป็นภรรยาเมื่อหลายปีก่อน ข่าวลือออกมามากมายตามประสาปากของชาวบ้านว่านางอ่อนโยน บ้างก็ว่านางโหดร้าย รังแกพี่สาวต่างมารดาของตนโดยการผลักตกน้ำจนไข้ขึ้นสลบไปหลายวัน แต่หากว่าอู๋ซีห่าวกลับเชื่อในอย่างหลังมากกว่าเพราะตนก็เคยพบครอบครัวสกุลเซี่ยมาก่อน แน่นอนว่าต่อหน้าใครหลายคนคุณหนูรองนั้นทำตัวราวสตรีอ่อนโยนเพียบพร้อมไปด้วยความงดงาม กิริยามารยาทดี แต่ทว่าเขากลับเห็นในยามที่สาวใช้ไม่ทันระวังทำชาในถาดสาดใส่เสื้อผ้าของนางจนเปียกโชก เสียงของนางหวีดร้องด้วยความไม่พอใจก่อนจะลงมือตบตีสาวใช้ผู้โชคร้ายนางนั้น ไม่รู้ว่าองค์ฮ่องเต้หวังดีหรือหวังร้ายกันแน่ เพราะไม่ว่าจะเป็นเซี่ยเหลียนฮวาหรือเซี่ยชิวหรง เขาก็ไม่คิดจะตบแต่งให้เป็นฮูหยินข้างกาย ชีวิตนี้เขาต้องการเพียงนำหน้าที่ของตน รักสันโดษ เมื่อยามที่บ้านเมืองสงบไร้ซึ่งเภทภัยใด ๆ เขาก็จะออกจากตำแหน่งแม่ทัพ ไปใช้ชีวิตในยุทธภพอย่างสบายใจ ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องของศึกสงคราม "ท่านแม่ทัพ" "ว่าอย่างไรกุ้ยหยาง" อู๋ซีห่าวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าองครักษ์คนสนิทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ กุ้หยางเป็นทั้งเพื่อนและคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย เห็นการเติบโตของอู๋ซีห่าวมาโดยตลอด รู้ดีว่าเขาชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด เมื่อครู่ตนเข้ามาเห็นเขานั่งถอนหายใจให้กับจดหมายจากองค์ฮ่องเต้ก็แปลกใจ อยากจะถามไถ่เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายความกังวลได้บ้าง "ข้าเห็นท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่เมื่อครู่ องค์ฮ่องเต้เขียนอะไรมาถึงท่านเช่นนั้นหรือ?" "เจ้าเอาไปอ่านเองเถิด ข้าครั้นขี้เกียจจะพูดกล่าว" ว่าแล้วก็ส่งจดหมายในมือมอบให้คนสนิท เมื่อกุ้ยหยางกวาดสายตาอ่านมาจนสุดสิ้นประโยค หน้าตาก็ถึงกับเหวอกลางอากาศ "สมรสพระราชทานตบแต่งกับคุณหนูรองสกุลเซี่ย!!" “อืม” อู๋ซีห่าวส่งเสียงในลำคอ “บ้าไปแล้ว!! ให้ท่านตบแต่งกับคุณหนูรอง นางขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีร้ายกาจเพียงใด ผู้คนล้วนต่างรับรู้กันทั้งนั้น!” “เบาหน่อยกุ้ยหยาง หน้าต่างมีรู ประตูมีช่อง หากคนภายนอกได้ยินเข้าจะไม่เป็นการดีเท่าใดนัก เอาไว้เรื่องนี้พอเดินทางกลับถึงแคว้นจ้าว ข้าจะกราบทูลองค์ฮ่องเต้อีกที เจ้าไปออกสังสรรค์กับพวกเขาเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเตรียมตัวออกเดินทางแต่เช้า” กุ้ยหยางพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินออกไปจากกระโจมท่านแม่ทัพ ส่วนอู๋ซีห่าวไม่ได้อยากจะคิดให้เรื่องอะไรมาทำให้จิตใจสับสนในตอนนี้ ล้มตัวนอนลงบนตั่งเล็ก ๆ ก่อนจะหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุดท่ามกลางใจกลางเมืองหรูในเขตต้าหนาย สถานที่เขตนี้เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศชอบมาเป็นอับดับต้น ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเลยก็ว่าได้ ท่ามกลางแสงสีและสถานที่น่าเที่ยวมากมายใครจะไปรับรู้ได้ว่าจะมีสถานที่หนึ่งที่จะทำให้เรื่องน่าแปลกประหลาดของกาลเวลาเกิดขึ้นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ตัดมาทางสะพานข้ามเมืองเข้าออกแห่งใหญ่ที่มักจะมีรถสัญจรผ่านไปมาเนื่องจากตรงช่วงใจกลางสะพานแห่งนี้นั้นมีวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำใหญ่ที่งดงามจึงมักเป็นสถานที่ที่ใครหลาย ๆ คนมักจะชอบมาจอดรถเพื่อลงมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นภาพความทรงจำ ใจกลางสะพานใหญ่ขณะนี้กำลังมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง หล่อนกำลังยืนจับขอบสะพานเฝ้ามองไปยังวิวทิวทัศน์ด้านหน้าอย่างเหม่อลอย ก่อนที่น้ำตาสีใสจะไหลรินร่วงลงมาจากนัยน์ตาสีอำพัน ในมือของเธอกำรูปภาพใบหนึ่งเอาไว้ หล่อน ๆ ค่อยคลี่มือออกจับรูปภาพใบนั้นขึ้นมาดูทั้งน้ำตาในภาพปรากฏเป็นรูปของคนสามคนโดยที่หล่อนนั้นยืนอยู่ตรงกลาง ฝั่งข้างซ้ายมือของแฟนหนุ่มที่กำลังจะตบแต่งกันในหนึ่งเดือนข้างหน้า ส่วนด้านขวามือคือเพื่อนสนิทตั้งแต่เล็กของเธอ พวกเขาทั้งสามคนมาเที่ยวทริปที่ประเทศนี้เพราะจะฉลองกับการส
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นจนทำให้ร่างที่นอนนิ่งอยู่ขมวดคิ้วด้วยความรำคาญแต่ทว่ายังไม่ยอมตื่นลืมตาขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งมือปริศนาคู่หนึ่งเข้ามากระชากแขนของสตรีที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างแรงแล้วโยนร่างนางจนตกลงจากเตียงลงมานั่งอยู่บนพื้น เฟยฮวาร้องซีดในลำคอเมื่อความเจ็บแสบจากที่เข่าทั้งสองข้างกระแทกกับพื้นเต็มแรงก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองบุคคลที่ยืนทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดอยู่ตรงหน้า เฟยฮวาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่จู่ ๆ ก็เห็นบุคคลประหลาดในเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่คุ้นตา ค่อย ๆ กวาดสายตามองดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัยว่าทำไมตนถึงมาอยู่กองละครถ่ายย้อนยุคได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจะกระโดดสะพานลอยตกลงไปในแม่น้ำอันแสนกว้างใหญ่แท้ ๆ "กะ..." ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาใช้ฝ่ามือตบลงบนที่พวงแก้มของเฟยฮวาจนหน้าหัน ความเจ็บแปลบที่พวงแก้มทำให้เฟยฮวาจำต้องยกมือขึ้นกุมใบหน้าของตนเอาไว้ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนักแต่ตัวเธอก็ไม่ยอมให้คนที่ไม่รู้จักมาทำกิริยาต่ำทรามแบบนี้ใส่ตนหรอกไม่รอช้าเฟยฮวาลุกขึ้นพร
เป็นอีกครั้งที่เฟยฮวาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด แต่คราวนี้เป็นความเจ็บปวดที่มาจากบริเวณกลางหลัง หญิงสาวร้องซี๊ดเมื่อรับรู้ถึงสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดกำลังทาลงมาที่กลางหลังอีกครั้ง เฟยฮวากัดริมฝีปากของตนเองแน่น บริเวณขอบตาปรากฏหยดน้ำตาคลอ ๆ อยู่หางตาเล็กน้อย"คุณหนู นายท่านช่างใจร้ายกับท่านเหลือเกิน เฆี่ยนตีรุนแรงเช่นนี้ ทั้งไม่ยอมให้ยามารักษา ซินซินต้องขออภัยที่ต้องนำสมุนไพรไม่มีราคามารักษาบาดแผลให้ท่าน" ผู้เรียกตัวเองว่าซินซินกล่าวจบก็ค่อย ๆ ทาสมุนไพรลงที่แผลจากเฆี่ยนตีให้คุณหนูของตนอย่างเบามือที่สุดกลิ่นเหม็นเขียวของสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดลอยอบอวลไปทั่วห้อง จนกระทั่งหลังจากที่ทำอะไรเสร็จแล้วเฟยฮวาจึงถูกประคองใ้ลุกขึ้นนั่งเหยียดตรง นางมองการกระทำของซินซินอยู่นาน เมื่อเห็นว่าถ้วยยาเหม็นเขียวที่ยื่นมาตรงหน้าก็ทำหน้าเหยเกใช้มือดันถ้วยยาคืนกลับไปให้ซินซิน"เหม็นแบบนี้ใครจะไปกินได้กัน" "คุณหนู หากคุณหนูไปกินจะไม่หายเอานะเจ้าค่ะ ยานี้เหม็นเขียวก็จริงอยู่แต่จะช่วยทำให้อาการและความเจ็บปวดของคุณหนูลดลงได้เยอะเลยนะเจ้าคะ หากไม่ดูดค่ำคืนนี้คุณหนูคงได้ไข้ขึ้นอีกแน่ ๆ""เฮ้อ ก็ได้ ๆ ฉันยอม
หลังจากที่รู้และเข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเจอกับตัวในตอนนี้ได้แล้วเฟยฮวาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าในเมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แม้จะอยู่ในร่างของผู้อื่นนางก็จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยจากโลกก่อนและแทนเจ้าของกายหยาบคนเก่า "คุณหนู น้ำชาเจ้าค่ะ" ซิวซิวส่งจอกชาในมือให้คุณหนูของนาง จ้องมองใบหน้าของคุณหนูจนเฟยฮวาที่จับสังเกตได้จึงจ้องมองซินซินตอบกลับด้วยความสงสัย"ซินซิน เจ้าสงสัยในตัวข้าเช่นนั้นหรือ?" ซินซินที่ได้ยินคำถามเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงท่าทางหวาดกลัว นางก้มหน้าก้มตาส่ายหัวรัว"เจ้าไม่เชื่อหรือว่านี่คือคุณหนูของเจ้า""ข้าน้อยไม่กล้าเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดว่าสิ่งใดที่ทำให้คุณหนูเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้กัน แต่ก่อนคุณหนูที่ข้าน้อยรู้จัก เป็นเพียงสตรีอ่อนโยน อ่อนแอ มักถูกดูแคลนจากบิดา มารดาเลี้ยงและน้องสาวต่างมารดา พอมาในวันนี้หลังจากที่คุณหนูตื่นลืมตาขึ้นมาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ข้าน้อยเพียงแค่ดีใจ""ดีใจเช่นนั้นหรือ?" ซินซินพยักหน้าแล้วเงยหน้าส่งรอยยิ้มให้กับคุณหนูของนาง"ดีใจที่คุณหนูมีแรงลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเองได้ในวันนี้ ที่ผ่านมาข้าน้อยต้องทนเห็นคุณหนูร้องห่มร้อง
แคว้นจ้าวเล่อ ปกครองโดยองค์ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อ ในยามนี้เป็นช่วงศึกสงครามจากฝั่งชายแดนด้วยเพราะแคว้นเว่ยต้องการจะยึดครองแคว้นจ้าวขึ้นเป็นเมืองขึ้นของตน สาเหตุหนึ่งก็เพราะแคว้นจ้าวนั้นเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่หล่อเลี้ยงชาวประชา หาได้รับความทุกข์ร้อนแต่อย่างไร อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าภายใต้ดินของแคว้นจ้าวนั้นมีขุมทรัพย์มากมายถูกฝั่งเอาไว้ จึงเป็นแคว้นที่ถูกเล็งมากที่สุดในศึกสงครามในโลกยุทธภพแห่งนี้แคว้นจ้าวมีแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงครามลงมาเกิดจากสวงสวรรค์ ด้วยเพราะมีฝีมือเก่งกาจในเรื่องของบู๊และบุ๊น อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นบุรุษที่เฉยชาที่สุดบนแผ่นดินแคว้นจ้าว แม่ทัพผู้นี้มีนามว่า อู๋ซีห่าว ทุกครั้งที่จับดาบออกรบเมื่อใดเขามักจะนำชัยชนะกลับมาให้เป็นที่พอใจแก่ฮ่องเต้จ้าวหรงเล่อทุกครั้งไปภายในสนามรบเวลานี้ล้วนเต็มไปด้วยศพของเหล่าทหารของทั้งสองแคว้นที่นอนตายเกลื่อนกลาดไปทั่ว มองไปทางนั้นก็มีแต่ดองโลหิตเหม็นคาวคละคลุ้งลอยมาแตะจมูก ฝั่งหนึ่งคือแคว้นจ้าวที่ยังคงเหลือทหารกว่าครึ่ง ส่วนอีกแคว้นคือแคว้นเว่ยที่กำลังจะพ่ายแพ้ในศึกสงครามครั้งนี้"ผู้ใดตัด
หลังจากที่รู้และเข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเจอกับตัวในตอนนี้ได้แล้วเฟยฮวาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าในเมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แม้จะอยู่ในร่างของผู้อื่นนางก็จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยจากโลกก่อนและแทนเจ้าของกายหยาบคนเก่า "คุณหนู น้ำชาเจ้าค่ะ" ซิวซิวส่งจอกชาในมือให้คุณหนูของนาง จ้องมองใบหน้าของคุณหนูจนเฟยฮวาที่จับสังเกตได้จึงจ้องมองซินซินตอบกลับด้วยความสงสัย"ซินซิน เจ้าสงสัยในตัวข้าเช่นนั้นหรือ?" ซินซินที่ได้ยินคำถามเช่นนั้นก็ถึงกับแสดงท่าทางหวาดกลัว นางก้มหน้าก้มตาส่ายหัวรัว"เจ้าไม่เชื่อหรือว่านี่คือคุณหนูของเจ้า""ข้าน้อยไม่กล้าเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดว่าสิ่งใดที่ทำให้คุณหนูเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้กัน แต่ก่อนคุณหนูที่ข้าน้อยรู้จัก เป็นเพียงสตรีอ่อนโยน อ่อนแอ มักถูกดูแคลนจากบิดา มารดาเลี้ยงและน้องสาวต่างมารดา พอมาในวันนี้หลังจากที่คุณหนูตื่นลืมตาขึ้นมาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ข้าน้อยเพียงแค่ดีใจ""ดีใจเช่นนั้นหรือ?" ซินซินพยักหน้าแล้วเงยหน้าส่งรอยยิ้มให้กับคุณหนูของนาง"ดีใจที่คุณหนูมีแรงลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเองได้ในวันนี้ ที่ผ่านมาข้าน้อยต้องทนเห็นคุณหนูร้องห่มร้อง
เป็นอีกครั้งที่เฟยฮวาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด แต่คราวนี้เป็นความเจ็บปวดที่มาจากบริเวณกลางหลัง หญิงสาวร้องซี๊ดเมื่อรับรู้ถึงสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดกำลังทาลงมาที่กลางหลังอีกครั้ง เฟยฮวากัดริมฝีปากของตนเองแน่น บริเวณขอบตาปรากฏหยดน้ำตาคลอ ๆ อยู่หางตาเล็กน้อย"คุณหนู นายท่านช่างใจร้ายกับท่านเหลือเกิน เฆี่ยนตีรุนแรงเช่นนี้ ทั้งไม่ยอมให้ยามารักษา ซินซินต้องขออภัยที่ต้องนำสมุนไพรไม่มีราคามารักษาบาดแผลให้ท่าน" ผู้เรียกตัวเองว่าซินซินกล่าวจบก็ค่อย ๆ ทาสมุนไพรลงที่แผลจากเฆี่ยนตีให้คุณหนูของตนอย่างเบามือที่สุดกลิ่นเหม็นเขียวของสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดลอยอบอวลไปทั่วห้อง จนกระทั่งหลังจากที่ทำอะไรเสร็จแล้วเฟยฮวาจึงถูกประคองใ้ลุกขึ้นนั่งเหยียดตรง นางมองการกระทำของซินซินอยู่นาน เมื่อเห็นว่าถ้วยยาเหม็นเขียวที่ยื่นมาตรงหน้าก็ทำหน้าเหยเกใช้มือดันถ้วยยาคืนกลับไปให้ซินซิน"เหม็นแบบนี้ใครจะไปกินได้กัน" "คุณหนู หากคุณหนูไปกินจะไม่หายเอานะเจ้าค่ะ ยานี้เหม็นเขียวก็จริงอยู่แต่จะช่วยทำให้อาการและความเจ็บปวดของคุณหนูลดลงได้เยอะเลยนะเจ้าคะ หากไม่ดูดค่ำคืนนี้คุณหนูคงได้ไข้ขึ้นอีกแน่ ๆ""เฮ้อ ก็ได้ ๆ ฉันยอม
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นจนทำให้ร่างที่นอนนิ่งอยู่ขมวดคิ้วด้วยความรำคาญแต่ทว่ายังไม่ยอมตื่นลืมตาขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งมือปริศนาคู่หนึ่งเข้ามากระชากแขนของสตรีที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างแรงแล้วโยนร่างนางจนตกลงจากเตียงลงมานั่งอยู่บนพื้น เฟยฮวาร้องซีดในลำคอเมื่อความเจ็บแสบจากที่เข่าทั้งสองข้างกระแทกกับพื้นเต็มแรงก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองบุคคลที่ยืนทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดอยู่ตรงหน้า เฟยฮวาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่จู่ ๆ ก็เห็นบุคคลประหลาดในเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่คุ้นตา ค่อย ๆ กวาดสายตามองดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัยว่าทำไมตนถึงมาอยู่กองละครถ่ายย้อนยุคได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจะกระโดดสะพานลอยตกลงไปในแม่น้ำอันแสนกว้างใหญ่แท้ ๆ "กะ..." ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาใช้ฝ่ามือตบลงบนที่พวงแก้มของเฟยฮวาจนหน้าหัน ความเจ็บแปลบที่พวงแก้มทำให้เฟยฮวาจำต้องยกมือขึ้นกุมใบหน้าของตนเอาไว้ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนักแต่ตัวเธอก็ไม่ยอมให้คนที่ไม่รู้จักมาทำกิริยาต่ำทรามแบบนี้ใส่ตนหรอกไม่รอช้าเฟยฮวาลุกขึ้นพร
ท่ามกลางใจกลางเมืองหรูในเขตต้าหนาย สถานที่เขตนี้เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศชอบมาเป็นอับดับต้น ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเลยก็ว่าได้ ท่ามกลางแสงสีและสถานที่น่าเที่ยวมากมายใครจะไปรับรู้ได้ว่าจะมีสถานที่หนึ่งที่จะทำให้เรื่องน่าแปลกประหลาดของกาลเวลาเกิดขึ้นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ตัดมาทางสะพานข้ามเมืองเข้าออกแห่งใหญ่ที่มักจะมีรถสัญจรผ่านไปมาเนื่องจากตรงช่วงใจกลางสะพานแห่งนี้นั้นมีวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำใหญ่ที่งดงามจึงมักเป็นสถานที่ที่ใครหลาย ๆ คนมักจะชอบมาจอดรถเพื่อลงมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นภาพความทรงจำ ใจกลางสะพานใหญ่ขณะนี้กำลังมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง หล่อนกำลังยืนจับขอบสะพานเฝ้ามองไปยังวิวทิวทัศน์ด้านหน้าอย่างเหม่อลอย ก่อนที่น้ำตาสีใสจะไหลรินร่วงลงมาจากนัยน์ตาสีอำพัน ในมือของเธอกำรูปภาพใบหนึ่งเอาไว้ หล่อน ๆ ค่อยคลี่มือออกจับรูปภาพใบนั้นขึ้นมาดูทั้งน้ำตาในภาพปรากฏเป็นรูปของคนสามคนโดยที่หล่อนนั้นยืนอยู่ตรงกลาง ฝั่งข้างซ้ายมือของแฟนหนุ่มที่กำลังจะตบแต่งกันในหนึ่งเดือนข้างหน้า ส่วนด้านขวามือคือเพื่อนสนิทตั้งแต่เล็กของเธอ พวกเขาทั้งสามคนมาเที่ยวทริปที่ประเทศนี้เพราะจะฉลองกับการส