ครั้นพ่อบ้านจวนตระกูลเผยได้รับรายงานจากบ่าวเฝ้าประตูจวนว่ามีรถม้าของจวนขุนนางหลายท่านผ่านหน้าจวน พ่อบ้านก็รีบไปแจ้งนายท่านนายหญิงและคุณชายอย่างรวดเร็วตามที่เหล่าเจ้านายได้สั่งการเอาไว้ เนื่องจากงานเลี้ยงในครั้งนี้ตระกูลเผยเป็นตระกูลที่มีฐานะต่ำสุด พวกเขาจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าบุตรีตระกูลเผยจะถูกคุณหนูตระกูลอื่นกลั่นแกล้งหรือไม่ จึงได้เฝ้ารออย่างกระวนกระวายตลอดเวลา
เมื่อทั้งสามคนได้ยินพ่อบ้านมารายงานก็รีบออกไปยืนรอหน้าประตูจวน พร้อมชะเง้อมองดูว่าเมื่อไรรถม้าตระกูลตนเองจะมาเสียที เวลาผ่านไปเกือบสองเค่อแต่ก็ยังไร้วี่แวว ทำให้เผยจือคุนกับเผยฮูหยินร้อนใจหนักขึ้นจนไม่อาจยืนนิ่ง ๆ ได้ ทั้งสองเดินวนไปวนมาอยู่หน้าจวน มีเพียงเผยจือชิ่นที่ยังคงพยายามกดอารมณ์ของตนเองอยู่หน้าประตูจวน ถึงในใจเขาจะกระสับกระส่ายมากก็ตาม
ในที่สุดความพะวงที่อยู่ในใจก็สงบลง เมื่อทั้งสามคนเห็นรถม้าตระกูลเผยกำลังมุ่งหน้ามายังจวน เพียงล้อรถม้าหยุดสนิทสตรีตระกูลเผยทั้งสองก็ทยอยลงจากรถม้า เผยจือคุนกับหลินเยว่ฉีรีบเข้าไปหาเผยตั้นเหม่ยเพื่อสำรวจบุตรสาวทันทีด้วยความเป็นห่วงว่าบุตรสาวจะถูกคุณหนูตระกูลอื่นข่มเหงรั
“ใครได้เป็นพระชายาเอกและพระชายารองของชินอ๋องและองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ”เมื่อสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ออกไปไกลแล้วเผยจือคุนจึงไม่รั้งรอที่จะเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าบุตรสาวคนโตของตนเองจะได้เป็นพระชายาเอกของชินอ๋อง ตามที่เหล่าสหายในที่ทำงานต่างพูดถึง เนื่องจากตระกูลเผยเป็นตระกูลเดียวที่ได้รับเทียบเชิญจากขันทีข้างกายของมู่หรงไทเฮา ถึงคุณสมบัติหลายสิ่งหลายอย่างของบุตรสาวเมื่อเทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ จะทำให้ผู้นำตระกูลเผยประมาณตนได้ว่ามู่หรงไทเฮาอาจไม่ยอมรับบุตรสาวของเขาเป็นพระชายาเอก แต่ด้วยเว่ยเหวินเซียนเป็นโอรสองค์โปรดก็พอจะทำให้เผยจือคุนพอมีลุ้นว่ามู่หรงไทเฮาจะตามใจโอรสองค์นี้สักครา แต่ต่อให้มู่หรงไทเฮาไม่ยินดีให้เผยตั้นเยี่ยนเป็นพระชายาเอกแต่การส่งขันทีคนสนิทมาอย่างน้อยตำแหน่งพระชายารองก็ต้องได้เป็น“วันนี้เกิดเรื่องขึ้นจึงยังไม่มีการประกาศออกมาว่าผู้ใดได้เป็นพระชายาเอกหรือพระชายารองเจ้าค่ะท่านพ่อ” เผยตั้นเหม่ยเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเบิกบาน“เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นหรือ!” เผยจือคุน หลินเยว่ฉีและเผยจือชิ่นมีสีหน้าตกใจไม่ต่างกันเลยเผยจือคุนรู
“น้องรองเหตุใดเจ้ามิบอกว่ามีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับเจ้า” ความเป็นห่วงและความรู้สึกผิดในใจเกินกว่าที่เขาจะปิดบังความรู้สึกตนเองเอาไว้ได้ ยามนี้เผยจือชิ่นไม่สนใจว่ามารดาของเขาจะคิดเช่นไรอีกแล้ว“ความสัมพันธ์ของข้ากับพวกท่านจะให้ข้าพูดเช่นไร เพียงแค่อ้าปากคุยกันดี ๆ แต่ละครั้งก็ยังยาก ถึงพักหลังมาจะพูดกันดี ๆ ได้หลายประโยค แต่ข้าบอกไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา อย่างไรเสียพวกท่านก็ทำอันใดไม่ได้อยู่ดี พลอยทำให้พวกท่านวิตกกังวลและหวาดกลัวไปเสียเปล่า ๆ”คำพูดของเผยตั้นเยี่ยนราวกับมีดแหลมที่แทงทะลุร่างของสองบุรุษแซ่เผย ความรู้สึกผิดแล่นวาบขึ้นมาตามสันหลังของบุรุษทั้งสอง เผยจือคุนถึงกับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับบุตรสาวคนโต ส่วนเผยจือชิ่นเองก็ได้แต่กล่าวโทษตนเองที่ไร้ความสามารถซ้ำ ๆ ในใจ“เยี่ยนเอ๋อร์พูดถูกแล้ว เจ้ารู้ความขึ้นมากจริง ๆ อีกทั้งยังรู้จักแก้ปัญหาเองแล้ว ไม่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้ที่บ้านต้องลำบากใจ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก” ใบหน้าหลินเยว่ฉีเต็มไปด้วยรอยยิ้มการค้า ในใจของนางรู้สึกโล่งอกที่เผยตั้นเยี่ยนคิดได้เช่นนี้ ภัยอันตรายต่
หยางฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที หยางหวังหย่งจึงต้องเรียกคนที่อยู่ด้านนอกมาพามารดาออกไป ส่วนหยางฮูหยินถึงจะหน้ามืดยืนเซไร้เรี่ยวแรงราวกับจะเป็นลมไปอีกคน กลับพยายามทนฝืนเพราะอยากอยู่ข้าง ๆ บุตรสาว สาวรับใช้ที่เข้ามาพยุงจึงประคองพาไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ เตียงนอนบุรุษทั้งสองต่างเอ่ยวิงวอนขอร้องไห้หมอหลวงที่ตามมายื้อชีวิตคุณหนูสายตรงของจวนที่นอนอยู่ ทว่าหมอหลวงกลับทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาอย่างละอายใจที่ไร้ความสามารถไม่อาจช่วยคุณหนูตระกูลหยางให้พ้นเงื้อมมือมัจจุราชได้เมื่อไม่อาจช่วยเหลือได้หมอหลวงจึงขอตัวออกมาจากห้องนอนของหญิงสาว เพื่อไปตรวจหยางฮูหยินผู้เฒ่า และเพื่อปล่อยให้ผู้ที่กำลังหายใจอ่อนแรงได้มีโอกาสร่ำลาคนในครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางไปยังแม่น้ำลืมเลือน ผู้เป็นปู่เป็นพ่อถึงจะเศร้าเสียใจแต่ก็ยังพอรักษาท่าทีขุนนางใหญ่เอาไว้ได้ มีเพียงน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นเอาไว้อยู่ที่หลั่งไหลออกมาแทนความรู้สึกที่มีอยู่ในใจทว่าหยางฮูหยินผู้เป็นมารดาไม่อาจยับยั้งอารมณ์ของตนได้ นางร่ำไห้ออกมาเมื่อเห็นสตรีร่างบางที่นางเลี้ยงมาอย่างถนอมมีสภาพบอบช้ำมากถึงเพียงนี้ ห
เมื่อถึงเวลาประชุมเช้า ขุนนางทุกคนก็เข้ายืนประจำที่ของตน วันนี้ไม่เพียงเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหยางกับรองเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหยางที่ไม่มาร่วมประชุม แต่เว่ยเหวินเซียนก็ไม่มาเช่นกันเพราะปกติเขาจะเข้ามายังท้องพระโรงก็ต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญจริง ๆ หรือไม่ก็เหวินหลิงฮ่องเต้เรียกให้เข้าประชุมด้วย ขุนนางที่อยู่ฝ่ายอำนาจของตระกูลหยางจึงได้ทีเอ่ยเรื่องคุณหนูตระกูลหยางขึ้นมาหลังจากที่ทูลเรื่องอื่น ๆ ของราชสำนักเสร็จแล้ว“ฝ่าบาทพวกกระหม่อมขอบังอาจทูลทวงความเป็นธรรมให้คุณหนูตระกูลหยางพ่ะย่ะค่ะ ถึงนางจะตายไปแล้วแต่เรื่องที่ไม่ได้ทำก็ไม่ควรให้คนตายต้องแบกรับ และยิ่งไม่ควรให้ใครมากล่าวถึงตระกูลหยางแบบเสีย ๆ หาย ๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางวัยกลางคนเอ่ยขึ้น“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียคุณหนูตระกูลเผยก็กล่าวโดยไม่มีหลักฐาน จึงควรจะสอบสวนเรื่องนี้เพื่อมิให้ชื่อเสียงของตระกูลขุนนางใหญ่ต้องเสียหายเพียงเพราะถูกคุณหนูผู้หนึ่งกล่าวหานะพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางอีกคนรีบกล่าวเสริมเหวินหลิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ใช้เพียงสายตากวาดมองขุนนางคนอื่น ๆ ที่ยื
เผยจือคุนและเผยจือชิ่นออกไปทำงานตามปกติ แต่เพียงทั้งสองทราบข่าวเรื่องจวนตระกูลหยางในหัวก็คิดถึงความปลอดภัยของคนในจวนวนซ้ำ ๆ ไม่รู้จบ เพราะเมื่อวานนี้เผยตั้นเหม่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดในวังให้พวกเขาฟังหมดแล้ว จึงรู้ว่าผู้ตายในจวนตระกูลหยางเป็นใคร สองพ่อลูกรู้ดีว่าผู้นำตระกูลหยางมิยอมจบง่าย ๆ เป็นแน่ และจะให้ไปทวงหนี้ชีวิตนี้กับเว่ยชินอ๋องก็คงไม่ได้ เช่นนั้นบัญชีแค้นนี้ก็คงหนีไม่พ้นเผยตั้นเยี่ยนที่จะต้องเป็นผู้ชดใช้ และเพราะยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ จะสั่งเหล่าทหารหรือองครักษ์มาคอยคุ้มกัน ทำให้บุรุษสกุลเผยทั้งสองอดที่จะร้อนรนพะวงใจไม่ได้วันนี้นอกจากความว้าวุ่นที่อยู่ในใจ ทั้งสองพ่อลูกยังจะต้องหนักใจเมื่อต้องรับมือกับคนรอบข้างในที่ทำงานอีกด้วย ถึงแม้ทั้งสองจะทำงานต่างที่กันแต่ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกันเมื่อรับรู้ได้ว่าคนที่ทำงานต่างมองพวกเขาต่างออกไปจากเดิม คนที่มักทักทายแปรเปลี่ยนไปราวกับมีท่าทีจะหลบเลี่ยงไม่อยากพบหน้า หรือไม่ก็ทำเมินเฉยราวกับไม่รู้จัก คำพูดยามสนทนาก็ห้วน ๆ สั้น ๆ เหมือนไม่อยากพูดคุยด้วย บุรุษแซ่เผยทั้งสองจึงคิดทบทวนเรื่องที่เผยตั้นเยี่
โชคดีที่เผยตั้นเหม่ยเป็นคนอ่านง่าย เมื่อสนทนากันจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร ทั้งคู่ราวไม่รู้จักกันมาก่อนเผยตั้นเยี่ยนจึงเริ่มจากการถามถึงความชอบและสิ่งที่อยากทำ คำตอบของน้องสาวต่างมารดาช่างสมกับเป็นสตรีในยุคนี้ เพราะความต้องการของนางมีเพียงแต่งงานกับบุรุษตระกูลใหญ่ที่รักและให้เกียรตินางเมื่อรับรู้เช่นนั้นหญิงยุคใหม่ก็มิอาจจะทนอยู่เฉยได้ เพราะไม่ว่าจะยุคไหนหากเป็นที่รักก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่าผู้ชายจะปรนนิบัติดีเพียงใด แต่เมื่อใดไร้รักการที่สตรีต้องพึ่งพาแต่บุรุษย่อมต้องอดทนกล้ำกลืนเท่านั้น เพราะมิว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดให้เจ็บช้ำใจมากเท่าใดก็ตาม หญิงสาวที่ไม่มีหนทางให้ไปก็ทำได้เพียงทนอยู่ เผยตั้นเยี่ยนจึงต้องเอ่ยเตือนสติหญิงสาวอายุน้อยกว่า“น้องสาม ถึงข้าจะยังมิได้ออกเรือนและไม่รู้ว่าบุรุษที่เจ้าจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นคนดีมากเพียงใด แต่ในฐานะที่เป็นพี่หญิงของเจ้าข้าก็อยากให้เจ้าพึ่งพาตนเองได้ มิใช่ยังมิแต่งงานก็อาศัยบิดามารดาแต่งออกไปก็อาศัยสามี หากวันหน้าเกิดอันใดขึ้นอย่างน้อยเจ้าก็สามารถช่วยตนเองหรือสามีของเจ้าได้ หรือไม่หากสามีของเจ้าทำให้เจ้าคับข้องใจ เจ้าก็ยังมิต้องอด
“เพราะข้ารู้ถึงได้วางแผนเหล่านี้ให้พวกท่านอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ ข้าเคยใช้แซ่เผยต่อให้แต่งออกไปหากตระกูลเผยมีปัญหาข้าเองก็ต้องเดือดร้อน หรือแม้แต่วันหน้าข้าเดือดร้อนตระกูลเผยก็ไม่อาจอยู่เป็นสุขได้ ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่” เผยตั้นเยี่ยนไม่รอช้าที่จะตอบกลับ เพื่อจะเอ่ยให้เผยฮูหยินรู้ว่าหากนางมีภัยคนตระกูลเผยก็ต้องช่วยนางเช่นกัน“ในเมื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ข้าจึงอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะแต่งเข้าจวนอ๋อง เมื่อข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องแล้วจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง และอีกอย่างหากข้าออกเรือนไปแล้วท่านแม่คิดจะให้ข้านำเงินมาจุนเจือในจวนอีกอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องจะมองพวกท่านเช่นไร เช่นนั้นยามที่ข้ายังอยู่ที่จวนมิสู้พวกท่านรีบปูทางให้ตนเองไม่ดีหรือ อย่างไรเสียหากข้าต้องการสิ่งใดเพื่อตระกูลตนเองในยามนี้จะเอ่ยปากกับท่านอ๋องก็ยังมิดูน่าเกลียด ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่”ใบหน้าของหลินเยว่ฉีทำให้เผยตั้นเยี่ยนรู้ว่านางสามารถโน้มน้าวได้สำเร็จเป็นแน่ ถึงเผยฮูหยินจะยังไม่พูดออกมาแต่ในใจของสตรีวัยกลางคนก็น่าจะคล้อยตามนา
เผยตั้นเยี่ยนไม่คิดรอให้เว่ยเหวินเซียนเอ่ยบทลงโทษสตรีทั้งสอง เพราะนางรู้ว่าหากมีรับสั่งออกมาแล้ว การกลับคำต่อหน้าผู้ใต้บัญชาการจะทำให้บุรุษที่ปกครองเหล่าแม่ทัพอย่างเขาขาดความน่าเชื่อถือได้ จึงรีบกล่าวช่วยสตรีทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับก้าวเท้าลงมาจากเตียง“ท่านอ๋องเพคะ หากจะลงโทษพวกนางก็ลงโทษหม่อมฉันก่อนเถอะเพคะ เพราะหม่อมฉันเป็นคนสั่งให้พวกนางไปซื้อของเอง พวกนางมิได้ละเลยหน้าที่เลยแม้แต่น้อย” เผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเสียงหนักแน่นเมื่อเห็นว่าบุรุษสูงศักดิ์นิ่งเงียบ หญิงสาวจึงได้หันไปหาสตรีสองคนที่คุกเข่าอยู่ “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”ลี่มี่กับเหมิงเหมิงไม่รอช้ารีบลุกขึ้นยอบกายออกจากห้องไปทันที พวกนางรีบกลับไปยังเรือนพักของตนเอง เนื่องจากคืนนี้พวกนางไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงพระชายาชินอ๋องแล้ว ที่พวกนางมาถึงห้องนอนของเผยตั้นเยี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกนางกลัวว่าจะทำหน้าที่พลาดอีก จึงได้เดินสำรวจรอบบริเวณไม่ยอมกลับห้องนอนของตนเองเมื่อสาวรับใช้ทั้งสองเดินมาถึงเรือนนอน ก็พบกับฉุยฉุยที่เพิ่งเดินมาถึงห้องนอนเช่นกัน “เจ้าไปไหนมาอย่างน
“วันนี้ท่านอ๋องคงเหนื่อยล้ามามาก บรรทมเถอะเพคะ แค่เพียงท่านอ๋องมาอยู่ข้าง ๆ หม่อมฉันก็ไม่กลัวสิ่งใดแล้ว” น้ำเสียงของหญิงสาวเจ้าของเตียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด อาจเป็นเพราะความมืดจึงทำให้นางไม่เห็นว่ายามนี้ใบหน้าของเขาอ่อนเพลียเพียงใดนางรู้ข่าวจากสาวใช้ทั้งสองที่เว่ยเหวินเซียนส่งมาว่าตั้งแต่จัดการลงทัณฑ์หยางหวังลี่เสร็จ เว่ยชินอ๋องก็รีบออกจากเมืองไปตามจับโจรทั้งสองคนทันที เพราะกลัวว่านางจะถูกกล่าวหาว่าพูดเท็จต่อหน้าพระพักตร์เพื่อใส่ความหยางหวังลี่และคนตระกูลหยาง ถึงเขาจะไปตามจับโจรแต่ก็ยังไม่วายที่จะคิดเพื่อนาง ไม่เพียงส่งคนมาคุ้มครองยังรีบกลับมาอยู่ข้างนางอีกด้วย“ขอบพระทัยเพคะที่ทำเพื่อหม่อมฉัน ทั้งที่หม่อมฉันมิได้ร้องขอ” เผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเมื่อเห็นราง ๆ ว่าดวงตาของบุรุษตรงหน้านั้นยังมิยอมหลับลง“เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นรางวัลได้หรือไม่” ถึงร่างกายของเขาจะอ่อนเพลียมากก็จริง แต่การได้พบหน้านางก็ทำให้กำลังของเขากลับมาหลายส่วน ครั้นคิดว่าจะได้รางวัลจากนางความง่วงที่มาเยือนก่อนหน้าก็มลายหายไปทันที เพราะยามนี้หัวใจเขาเต้นโครมครามลุ้น
เผยตั้นเยี่ยนไม่คิดรอให้เว่ยเหวินเซียนเอ่ยบทลงโทษสตรีทั้งสอง เพราะนางรู้ว่าหากมีรับสั่งออกมาแล้ว การกลับคำต่อหน้าผู้ใต้บัญชาการจะทำให้บุรุษที่ปกครองเหล่าแม่ทัพอย่างเขาขาดความน่าเชื่อถือได้ จึงรีบกล่าวช่วยสตรีทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับก้าวเท้าลงมาจากเตียง“ท่านอ๋องเพคะ หากจะลงโทษพวกนางก็ลงโทษหม่อมฉันก่อนเถอะเพคะ เพราะหม่อมฉันเป็นคนสั่งให้พวกนางไปซื้อของเอง พวกนางมิได้ละเลยหน้าที่เลยแม้แต่น้อย” เผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเสียงหนักแน่นเมื่อเห็นว่าบุรุษสูงศักดิ์นิ่งเงียบ หญิงสาวจึงได้หันไปหาสตรีสองคนที่คุกเข่าอยู่ “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”ลี่มี่กับเหมิงเหมิงไม่รอช้ารีบลุกขึ้นยอบกายออกจากห้องไปทันที พวกนางรีบกลับไปยังเรือนพักของตนเอง เนื่องจากคืนนี้พวกนางไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงพระชายาชินอ๋องแล้ว ที่พวกนางมาถึงห้องนอนของเผยตั้นเยี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกนางกลัวว่าจะทำหน้าที่พลาดอีก จึงได้เดินสำรวจรอบบริเวณไม่ยอมกลับห้องนอนของตนเองเมื่อสาวรับใช้ทั้งสองเดินมาถึงเรือนนอน ก็พบกับฉุยฉุยที่เพิ่งเดินมาถึงห้องนอนเช่นกัน “เจ้าไปไหนมาอย่างน
“เพราะข้ารู้ถึงได้วางแผนเหล่านี้ให้พวกท่านอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ ข้าเคยใช้แซ่เผยต่อให้แต่งออกไปหากตระกูลเผยมีปัญหาข้าเองก็ต้องเดือดร้อน หรือแม้แต่วันหน้าข้าเดือดร้อนตระกูลเผยก็ไม่อาจอยู่เป็นสุขได้ ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่” เผยตั้นเยี่ยนไม่รอช้าที่จะตอบกลับ เพื่อจะเอ่ยให้เผยฮูหยินรู้ว่าหากนางมีภัยคนตระกูลเผยก็ต้องช่วยนางเช่นกัน“ในเมื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ข้าจึงอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะแต่งเข้าจวนอ๋อง เมื่อข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องแล้วจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง และอีกอย่างหากข้าออกเรือนไปแล้วท่านแม่คิดจะให้ข้านำเงินมาจุนเจือในจวนอีกอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องจะมองพวกท่านเช่นไร เช่นนั้นยามที่ข้ายังอยู่ที่จวนมิสู้พวกท่านรีบปูทางให้ตนเองไม่ดีหรือ อย่างไรเสียหากข้าต้องการสิ่งใดเพื่อตระกูลตนเองในยามนี้จะเอ่ยปากกับท่านอ๋องก็ยังมิดูน่าเกลียด ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่”ใบหน้าของหลินเยว่ฉีทำให้เผยตั้นเยี่ยนรู้ว่านางสามารถโน้มน้าวได้สำเร็จเป็นแน่ ถึงเผยฮูหยินจะยังไม่พูดออกมาแต่ในใจของสตรีวัยกลางคนก็น่าจะคล้อยตามนา
โชคดีที่เผยตั้นเหม่ยเป็นคนอ่านง่าย เมื่อสนทนากันจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร ทั้งคู่ราวไม่รู้จักกันมาก่อนเผยตั้นเยี่ยนจึงเริ่มจากการถามถึงความชอบและสิ่งที่อยากทำ คำตอบของน้องสาวต่างมารดาช่างสมกับเป็นสตรีในยุคนี้ เพราะความต้องการของนางมีเพียงแต่งงานกับบุรุษตระกูลใหญ่ที่รักและให้เกียรตินางเมื่อรับรู้เช่นนั้นหญิงยุคใหม่ก็มิอาจจะทนอยู่เฉยได้ เพราะไม่ว่าจะยุคไหนหากเป็นที่รักก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่าผู้ชายจะปรนนิบัติดีเพียงใด แต่เมื่อใดไร้รักการที่สตรีต้องพึ่งพาแต่บุรุษย่อมต้องอดทนกล้ำกลืนเท่านั้น เพราะมิว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดให้เจ็บช้ำใจมากเท่าใดก็ตาม หญิงสาวที่ไม่มีหนทางให้ไปก็ทำได้เพียงทนอยู่ เผยตั้นเยี่ยนจึงต้องเอ่ยเตือนสติหญิงสาวอายุน้อยกว่า“น้องสาม ถึงข้าจะยังมิได้ออกเรือนและไม่รู้ว่าบุรุษที่เจ้าจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นคนดีมากเพียงใด แต่ในฐานะที่เป็นพี่หญิงของเจ้าข้าก็อยากให้เจ้าพึ่งพาตนเองได้ มิใช่ยังมิแต่งงานก็อาศัยบิดามารดาแต่งออกไปก็อาศัยสามี หากวันหน้าเกิดอันใดขึ้นอย่างน้อยเจ้าก็สามารถช่วยตนเองหรือสามีของเจ้าได้ หรือไม่หากสามีของเจ้าทำให้เจ้าคับข้องใจ เจ้าก็ยังมิต้องอด
เผยจือคุนและเผยจือชิ่นออกไปทำงานตามปกติ แต่เพียงทั้งสองทราบข่าวเรื่องจวนตระกูลหยางในหัวก็คิดถึงความปลอดภัยของคนในจวนวนซ้ำ ๆ ไม่รู้จบ เพราะเมื่อวานนี้เผยตั้นเหม่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดในวังให้พวกเขาฟังหมดแล้ว จึงรู้ว่าผู้ตายในจวนตระกูลหยางเป็นใคร สองพ่อลูกรู้ดีว่าผู้นำตระกูลหยางมิยอมจบง่าย ๆ เป็นแน่ และจะให้ไปทวงหนี้ชีวิตนี้กับเว่ยชินอ๋องก็คงไม่ได้ เช่นนั้นบัญชีแค้นนี้ก็คงหนีไม่พ้นเผยตั้นเยี่ยนที่จะต้องเป็นผู้ชดใช้ และเพราะยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ จะสั่งเหล่าทหารหรือองครักษ์มาคอยคุ้มกัน ทำให้บุรุษสกุลเผยทั้งสองอดที่จะร้อนรนพะวงใจไม่ได้วันนี้นอกจากความว้าวุ่นที่อยู่ในใจ ทั้งสองพ่อลูกยังจะต้องหนักใจเมื่อต้องรับมือกับคนรอบข้างในที่ทำงานอีกด้วย ถึงแม้ทั้งสองจะทำงานต่างที่กันแต่ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกันเมื่อรับรู้ได้ว่าคนที่ทำงานต่างมองพวกเขาต่างออกไปจากเดิม คนที่มักทักทายแปรเปลี่ยนไปราวกับมีท่าทีจะหลบเลี่ยงไม่อยากพบหน้า หรือไม่ก็ทำเมินเฉยราวกับไม่รู้จัก คำพูดยามสนทนาก็ห้วน ๆ สั้น ๆ เหมือนไม่อยากพูดคุยด้วย บุรุษแซ่เผยทั้งสองจึงคิดทบทวนเรื่องที่เผยตั้นเยี่
เมื่อถึงเวลาประชุมเช้า ขุนนางทุกคนก็เข้ายืนประจำที่ของตน วันนี้ไม่เพียงเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหยางกับรองเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหยางที่ไม่มาร่วมประชุม แต่เว่ยเหวินเซียนก็ไม่มาเช่นกันเพราะปกติเขาจะเข้ามายังท้องพระโรงก็ต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญจริง ๆ หรือไม่ก็เหวินหลิงฮ่องเต้เรียกให้เข้าประชุมด้วย ขุนนางที่อยู่ฝ่ายอำนาจของตระกูลหยางจึงได้ทีเอ่ยเรื่องคุณหนูตระกูลหยางขึ้นมาหลังจากที่ทูลเรื่องอื่น ๆ ของราชสำนักเสร็จแล้ว“ฝ่าบาทพวกกระหม่อมขอบังอาจทูลทวงความเป็นธรรมให้คุณหนูตระกูลหยางพ่ะย่ะค่ะ ถึงนางจะตายไปแล้วแต่เรื่องที่ไม่ได้ทำก็ไม่ควรให้คนตายต้องแบกรับ และยิ่งไม่ควรให้ใครมากล่าวถึงตระกูลหยางแบบเสีย ๆ หาย ๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางวัยกลางคนเอ่ยขึ้น“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียคุณหนูตระกูลเผยก็กล่าวโดยไม่มีหลักฐาน จึงควรจะสอบสวนเรื่องนี้เพื่อมิให้ชื่อเสียงของตระกูลขุนนางใหญ่ต้องเสียหายเพียงเพราะถูกคุณหนูผู้หนึ่งกล่าวหานะพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางอีกคนรีบกล่าวเสริมเหวินหลิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ใช้เพียงสายตากวาดมองขุนนางคนอื่น ๆ ที่ยื
หยางฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที หยางหวังหย่งจึงต้องเรียกคนที่อยู่ด้านนอกมาพามารดาออกไป ส่วนหยางฮูหยินถึงจะหน้ามืดยืนเซไร้เรี่ยวแรงราวกับจะเป็นลมไปอีกคน กลับพยายามทนฝืนเพราะอยากอยู่ข้าง ๆ บุตรสาว สาวรับใช้ที่เข้ามาพยุงจึงประคองพาไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ เตียงนอนบุรุษทั้งสองต่างเอ่ยวิงวอนขอร้องไห้หมอหลวงที่ตามมายื้อชีวิตคุณหนูสายตรงของจวนที่นอนอยู่ ทว่าหมอหลวงกลับทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาอย่างละอายใจที่ไร้ความสามารถไม่อาจช่วยคุณหนูตระกูลหยางให้พ้นเงื้อมมือมัจจุราชได้เมื่อไม่อาจช่วยเหลือได้หมอหลวงจึงขอตัวออกมาจากห้องนอนของหญิงสาว เพื่อไปตรวจหยางฮูหยินผู้เฒ่า และเพื่อปล่อยให้ผู้ที่กำลังหายใจอ่อนแรงได้มีโอกาสร่ำลาคนในครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางไปยังแม่น้ำลืมเลือน ผู้เป็นปู่เป็นพ่อถึงจะเศร้าเสียใจแต่ก็ยังพอรักษาท่าทีขุนนางใหญ่เอาไว้ได้ มีเพียงน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นเอาไว้อยู่ที่หลั่งไหลออกมาแทนความรู้สึกที่มีอยู่ในใจทว่าหยางฮูหยินผู้เป็นมารดาไม่อาจยับยั้งอารมณ์ของตนได้ นางร่ำไห้ออกมาเมื่อเห็นสตรีร่างบางที่นางเลี้ยงมาอย่างถนอมมีสภาพบอบช้ำมากถึงเพียงนี้ ห
“น้องรองเหตุใดเจ้ามิบอกว่ามีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับเจ้า” ความเป็นห่วงและความรู้สึกผิดในใจเกินกว่าที่เขาจะปิดบังความรู้สึกตนเองเอาไว้ได้ ยามนี้เผยจือชิ่นไม่สนใจว่ามารดาของเขาจะคิดเช่นไรอีกแล้ว“ความสัมพันธ์ของข้ากับพวกท่านจะให้ข้าพูดเช่นไร เพียงแค่อ้าปากคุยกันดี ๆ แต่ละครั้งก็ยังยาก ถึงพักหลังมาจะพูดกันดี ๆ ได้หลายประโยค แต่ข้าบอกไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา อย่างไรเสียพวกท่านก็ทำอันใดไม่ได้อยู่ดี พลอยทำให้พวกท่านวิตกกังวลและหวาดกลัวไปเสียเปล่า ๆ”คำพูดของเผยตั้นเยี่ยนราวกับมีดแหลมที่แทงทะลุร่างของสองบุรุษแซ่เผย ความรู้สึกผิดแล่นวาบขึ้นมาตามสันหลังของบุรุษทั้งสอง เผยจือคุนถึงกับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับบุตรสาวคนโต ส่วนเผยจือชิ่นเองก็ได้แต่กล่าวโทษตนเองที่ไร้ความสามารถซ้ำ ๆ ในใจ“เยี่ยนเอ๋อร์พูดถูกแล้ว เจ้ารู้ความขึ้นมากจริง ๆ อีกทั้งยังรู้จักแก้ปัญหาเองแล้ว ไม่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้ที่บ้านต้องลำบากใจ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก” ใบหน้าหลินเยว่ฉีเต็มไปด้วยรอยยิ้มการค้า ในใจของนางรู้สึกโล่งอกที่เผยตั้นเยี่ยนคิดได้เช่นนี้ ภัยอันตรายต่
“ใครได้เป็นพระชายาเอกและพระชายารองของชินอ๋องและองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ”เมื่อสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ออกไปไกลแล้วเผยจือคุนจึงไม่รั้งรอที่จะเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าบุตรสาวคนโตของตนเองจะได้เป็นพระชายาเอกของชินอ๋อง ตามที่เหล่าสหายในที่ทำงานต่างพูดถึง เนื่องจากตระกูลเผยเป็นตระกูลเดียวที่ได้รับเทียบเชิญจากขันทีข้างกายของมู่หรงไทเฮา ถึงคุณสมบัติหลายสิ่งหลายอย่างของบุตรสาวเมื่อเทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ จะทำให้ผู้นำตระกูลเผยประมาณตนได้ว่ามู่หรงไทเฮาอาจไม่ยอมรับบุตรสาวของเขาเป็นพระชายาเอก แต่ด้วยเว่ยเหวินเซียนเป็นโอรสองค์โปรดก็พอจะทำให้เผยจือคุนพอมีลุ้นว่ามู่หรงไทเฮาจะตามใจโอรสองค์นี้สักครา แต่ต่อให้มู่หรงไทเฮาไม่ยินดีให้เผยตั้นเยี่ยนเป็นพระชายาเอกแต่การส่งขันทีคนสนิทมาอย่างน้อยตำแหน่งพระชายารองก็ต้องได้เป็น“วันนี้เกิดเรื่องขึ้นจึงยังไม่มีการประกาศออกมาว่าผู้ใดได้เป็นพระชายาเอกหรือพระชายารองเจ้าค่ะท่านพ่อ” เผยตั้นเหม่ยเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเบิกบาน“เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นหรือ!” เผยจือคุน หลินเยว่ฉีและเผยจือชิ่นมีสีหน้าตกใจไม่ต่างกันเลยเผยจือคุนรู