“คุณแม่ยังไม่ตื่นเหรอคะ?”
“เปล่าหรอกค่ะ…แต่คุณผู้หญิงยังไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่เมื่อวานค่ะ…”ป้าแพรก้มหน้าต่ำลงไม่มองสบตาฉันพร้อมกับเอ่ยตอบคำถามที่ฉันถามเธอไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ยังไม่กลับเหรอคะ?” “คุณแม่ไปไหน?”ฉันเอ่ยออกมาอย่างสงสัยใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาหางคิ้วข้างขวากระตุกบ่งบอกถึงสิ่งที่ฉันกลัว ตึกๆๆๆ “คุณผู้หญิงกลับมาแล้วจ๊ะป้าแพร!”เสียงฝีเท้าที่วิ่งมาจากทางหน้าบ้านและเสียงตื่นเต้นและร้อนรนใจของผินเด็กรับใช้หลานสาวของป้าแพรเอ่ยตะโกนลั่นมาแต่ไกลทำให้ป้าแพรหันไปจ้องมองหน้าผินด้วยแววตาดุๆ พรึบ “ขอโทษค่ะ..คุณหนู”ผินที่โดนป้าแพรดุทางสายตาก็หันมามองหน้าฉันที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารถึงกับหน้าเสียเอามือกุมกันไว้ด้านหน้าหน้าตาซีดเชียวอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ…คุณแม่กลับมาแล้วเหรอ?”ฉันเอ่ยบอกผินไปและเอ่ยถามถึงคุณแมา “ค่ะ…คุณผู้หญิงกลับมาแล้วค่ะ…” “ป้าแพร!…นังผิน!”เสียงที่คุ้นหูของฉันเอ่ยดังมาจากหน้าประตูทางเข้าห้องอาหารพร้อมกับร่างสูงสวยสง่าของคุณผู้หญิงของบ้านนี้กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาในห้องอาหารแห่งนี้ “ขาาาคุณผู้หญิง”ผินเด็กสาวสิบเจ็ดเอ่ยขานรับคุณแม่ของฉัน เธอยังคงอยู่ในชุดนักเรียนของมหาวิทยาลัยเทคนิคสายอาชีพที่อยู่ติดกับมหาลัยของฉัน “ยัยเอย?” “คุณแม่^_^”ฉันเอ่ยเรียกคุณแม่ไปด้วยสีหน้าและนำ้เสียงดีใจที่สายตาของเราทั้งคู่สบกัน คุณแม่ของฉันยิ้มให้ฉันก่อนจะเดินตรงดิ่งมาหาฉันที่โต๊ะอาหารใหญ่ ท่านนั่งลงตรงหัวโต๊ะด้านข้างของฉัน ฉันก็มองหน้าท่านและยิ้มให้ท่าน “เอากาแฟให้ฉันแก้วหนึ่ง”คุณแม่ละสายตาจากฉันและหันไปสั่งผิน “ค่ะ…คุณผู้หญิง^_^”ผินก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมตอบรับคำสั่งของคุณแม่ฉันและเดินออกไปจากห้องอาหารแห่งนี้ และคุณแม่ก็หันกลับมามองหน้าฉันเหมือนเดิม “ลูกยังไม่ไปเรียนอีกเหรอจ๊ะ?” “รอพี่คีรีมารับนะคะ^_^”ฉันตอบคุณแม่ไปและยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำส้มคั้นของฉันมาดื่ม “แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับหนูนะจ๊ะ” “เรื่องอะไรเหรอคะ?”ฉันวางแก้วน้ำส้มลงและหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาซับไปที่ริมฝีปากของฉันแทน คุณแม่มีสีหน้าที่ดูเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย ทำให้ฉันอยากจะรู้เรื่องที่คุณแม่จะบอกฉันซะเหลือเกิน พรึบพรึบคุณแม่หันไปเปิดกระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นดังและหยิบซองสีชมพูออกมาจากกระเป๋าและยื่นมันมาให้ฉัน ฉันก็ยิ้มบางๆให้คุณแม่ของฉันสลับกับมองซองจดหมายสีชมพูนี้ด้วยแววตาสงสัย“อะไรคะ?”“เดี๋ยวนี้จะให้เงินเดือนหนูเป็นซองสีชมพูแบบนี้เลยเหรอคะ?”ฉันพูดเชิงเล่นเชิงจริงใส่คุณแม่ไป แต่สีหน้าของท่านก็ไม่ได้เล่นขำไปกับคำพูดของฉันเลยสักนิด พรึบฉันที่เห็นคุณแม่ทำสีหน้าเคร่งเครียดจึงยื่นมือไปรับซองจดหมายสีชมพูมาจากมือของท่านแทน ฉันมองหน้าคุณแม่ของฉันอีกครั้งก่อนจะเปิดซองจดหมายดูเนื้อหาข้างในพรึบทันทีที่ฉันเปิดซองจดหมายออกก็พบกับกระดาษสีชมพูที่ถูกตกแต่งให้เป็นรูปหัวใจเต็มดวง เนื้อหาในจดหมายเชื้อเชิญให้ไปร่วมงานมงคลสมรสของ“งานมงคลสมรสระหว่างนางขณิฐา ลิ้มเกียรติและนายมงคล ณรงค์เดช”ฉันอ่านออกเสียงดังน้ำเสียงสั่นเครือแววตาสั่นไหวริมฝีปากสั่นระริก หัวใจเจ็บจี๊ดใบหน้าชาไปทั้งหน้า ฉันค่อยๆละสายตาจากกระดาษรูปหัวใจในมือขึ้นไปมองหน้าผู้เป็นแม่ของฉัน“นี่มันอะไรกันคะ?”ฉันพยายามทำน้ำเสียงให้แผ่วเบาที่สุดอย่างคนที่กำลังพยายามระงับอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเองไม่ให้มันระเบิดออกมา“หนูถามว่ามันอะไรกันคะ!!!”ฉันตะโกนเสียงดัง
เคนโซ คิณภพ….พรึบตุ๊บ “ไอ้สัส…ถุย!”ผมสบถคำด่าพร้อมกับถุยน้ำลายลงไปบนร่างของเด็กช่างกลต่างสถาบันกับผมที่มันสวมใส่ช็อปสีน้ำเงินเข้มส่วนผมสวมใส่ชุดช็อปสีแดงออกเลือดหมูนิดๆตุ๊บ“อึก!”เสียงสะอึกสุดท้ายก่อนที่ร่างของมันจะนอนแน่นิ่งหมดสติไป ผมก็กระตุกรอยยิ้มที่มุมปากและหันหลังเดินออกมาจากซอกตึกร้างเก่าๆที่อยู่ในตัวของตลาดนัดที่ใกล้วิทยาลัยของผม ผมเอามือปัดเสื้อช็อปและเดินผิวปากกลับไปคร่อมรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์500ccคันใหญ่สีดำสลับสีน้ำเงินของผมพร้อมกับสตาร์ทรถและบิดออกมาจากที่แห่งนั้นมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัยของผมเพื่อจะเข้าเรียนพรึบผมจอดรถของผมในที่จอดรถประจำก็พบกับเพื่อนๆในแก๊งของผมที่มันกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของพวกเรา“เห้ย…ไอ้เคน”เสียงตะโกนทักทายผมดังมาจากเพื่อนๆของผมทันทีที่พวกมันเห็นผม ผมก็ยักคิ้วและยกมือทักทายพวกมันกลับไปก่อนจะเดินตรงดิ่งไปหาพวกมัน“ได้ข่าวว่าไอ้ครามยกพวกไปตีมึงเหรอวะ..”“ที่ไปยุ่งยามกับเด็กมัน?”ไอ้ธารเพื่อนหนึ่งในห้าของผมเอ่ยขึ้น ไอ้ครามที่พวกมันถามถึงก็คือคนที่ผมเพิ่งจะกระทืบมันเสร็จก่อนที่จะมาวิทยาลัยนี่แหละครับ“อืม…”ผมตอบมันสั้นๆก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งและหยิบบุหรี
“ของกูโว้ย!!” “ระดับดาววิทยาลัยเลยนะเว้ย!”ผมก็ส่ายศีรษะพร้อมกับพ่นควันบุหรี่ลอยขึ้นเหนือหัวของผมก่อนจะแสยะยิ้มเมื่อนึกถึงเรือนร่างของน้องน้ำใสที่เพื่อนๆผมพูดถึงกัน หึๆเธอต้องเป็นของผมตั้งหากล่ะครับ ตึกๆๆๆ “พี่เคนโซคะ^_^”เสียงหวานใสดังขึ้นทำให้เสียงของเพื่อนๆผมที่มันเถียงกันอยู่ต้องหยุดชะงักลงและหันไปมองต้นเสียงของเจ้าของเสียงหวานและเจ้าของตัวเล็กน่ารักผมยาวสยายที่ยืนยิ้มหวานให้ผมอยู่ “น้องมีนา^_^”ผมยิ้มละมุนก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อของเจ้าของใบหน้าหวานสวยไปก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินตรงดิ่งไปหาเธออย่างรวดเร็ว “ไอ้สัสเคน…พอแฟนมาทิ้งพวกกูทันที!” “น้องมีนาครับบบบบ”เสียงของเพื่อนๆผมเอ่ยแซวผมและมีนาแฟนของผมที่เธอเพิ่งจะอยู่ ปวช.ปีสามผมเดินไปหาเธอและพร้อมกับยื่นมือไปจับปลายผมด้านหน้าของเธอให้ไปทัดหูเธอเพื่อผมจะได้มองโครงหน้าสวยหวานของเธอได้อย่างชัดเจนขึ้น “พี่เคนโซทานข้าวหรือยังคะ?” “ยังเลยครับ….หิวมากเลย^_^” “แล้วน้องมีนาล่ะครับ…ทานอะไรมารึยัง?” “ยังเลยค่ะ…พอดีอาจารย์เพิ่งจะปล่อยให้พัก^_^” “งั้นดีเลยครับ…เราไปหาอะไรอร่อยๆทานกันไหมครับ^_^”ผมเอ่ยเชื้อชวนมีนา เธอก็ยิ้มหวานให้ผมอย่างเขินอ
บ้านเช่า A ย่านสลัม...... ขวัญเอย กมลวรรณ… พรึบ “บ้านหลังนี้แหละหนู…” “ในย่านนี้ก็เหลือแค่หลังนี้หลังเดียว…”เสียงทุ้มต่ำของคุณป้าวัยห้าสิบต้นๆเอ่ยขึ้น ฉันก็ละสายตาจากบ้านไม้สองชั้นที่ด้านบนเป็นไม้ด้านล่างเป็นปูนกลับมามองหน้าป้าเจ้าของบ้านเช่าหลังนี้และอีกหลายๆหลังที่อยู่ในซอยนี้ “สองห้องนอน…หนึ่งห้องน้ำ…หนึ่งห้องครัว…” “หนึ่งห้องนั่งเล่น….”ป้าเจ้าของบ้านเช่าเอ่ยต่อ “เดือนละสองพันห้า…น้ำไฟต่างหาก…” “สองพันห้าเหรอคะ?”ฉันเอ่ยทวนคำพูดของป้าเจ้าของบ้านเช่าไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแววตาเป็นประกาย เพราะมันถูกมากสองพันห้าน้ำไฟตั้งหากเนี่ย ได้บ้านทั้งหลังเลยนะ มันถือว่าถูกแสนถูกมาก หาถูกกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วจ้ะ “ใช่จ้า…จ่ายล่วงหน้าสองเดือนเข้าอยู่ได้ทันที…” “ถ้าเธอไม่เอา…แถวนี้ก็คงจะไม่ให้เช่าแล้วล่ะ…เหลือแต่หอ…” “แต่ค่าเช่าก็น่าจะแพงเพิ่มจากของฉันเป็นอีกเท่าตัว…” “งั้นตกลงค่ะ…หนูตกลง^_^”ฉันรีบตอบทันที ป้าเจ้าของบ้านก็ฉีกยิ้มกว้างให้ฉัน “งั้นไปที่บ้านฉันไปเซ็นสัญญากัน…” “อ้อได้ค่ะ^_^”ฉันพยักหน้ารับคำป้าเจ้าของบ้านพร้อมกับเดินตามหลังป้าเขาไปต้อยๆและทอดสายตามองไปรอบๆบ้านหลังที่ฉันตกล
“พี่ขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ…”พี่คีรีหันมาเอ่ยบอกฉันพร้อมกับชูโทรศัพท์เครื่องหรูของเขาให้ฉันดู “ค่ะ^_^”ฉันยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้พี่คีรี เขาก็ยิ้มให้ฉันอย่างสุภาพบุรุษและเดินออกไปจากห้องนอนบนชั้นสองของฉัน ฉันเมื่อพี่คีรีไปแล้วก็หันกลับมาจัดแจงข้าวของของฉันต่ออย่างไม่ให้เสียเวลส“ที่นอนก็ใช้ได้นะ…ถึงจะไม่นุ่มเหมือนที่บ้านเราก็เถอะ…”ฉันพึมพำออกมาพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนของฉันที่เป็นขนาดเตียงนอนห้าฟุตได้ถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดตา มีหมอนสองใบหมอนข้างหนึ่งลูกและผ้านวมอีกหนึ่งผืน ฉันเอามือลูบไปบนที่นอนและนึกถึงความสุขสบายเวลาที่อยู่บ้านของฉันที่ฉันอยู่มาตั้งแต่เกิด แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อคุณแม่ของฉันท่านไม่ได้แคร์ความรู้สึกของฉันเลยสักนิดท่านไม่ถามฉันสักนิด…ว่าฉันอยากจะมีพ่อใหม่หรือเปล่าพรึบ“น้องเอยคะ!”“คะ?”ฉันรีบหันไปมองหน้าพี่คีรีที่เขาวิ่งกระหืดกระหอบมาตรงหน้าของฉันด้วยท่าทางรีบร้อนหน้าตาของเขาดูเคร่งเครียดนะ“พี่คีรีมีอะไรหรือเปล่าคะ?”“คือว่าพี่…มีธุระด่วนนะคะ…”พี่คีรีตอบฉันมาด้วยสีหน้าวิตกกังวล“อ้อค่ะ…งั้นพี่คีรีไปทำธุระเถอะค่ะ..ที่เหลือเดี๋ยวเอยจัดการต่อเองค่ะ…”
เช้าวันต่อมาบ้านเช่า Aห้องนอน ขวัญเอย…ขวัญเอย กมลวรรณ….08:30น.พรึบตุ๊บ!!!“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!”“เฮือก!”ฉันสะดุ้งตื่นสุดตัวลุกขึ้นนั่งจากที่นอนหลับอย่างสบายด้วยความตกใจกับเสียงกรี๊ดของผู้หญิงที่ดังสนั่นอยู่ในบ้านของฉัน ใช่มันต้องดังอยู่ในบ้านของฉันแน่ๆ“ใครเข้ามากรี๊ดในบ้านฉันเนี่ย!”ฉันโวยขึ้นและลุกออกมาจากที่นอนด้วยท่าทางฉุนเฉียวเมื่อคืนฉันก็ล็อคประตูบ้านแล้ว แล้วใครเข้ามาในบ้านของฉัน จะว่าเป็นเสียงจากข้างบ้านก็ไม่ใช่ เพราะบ้านข้างๆทั้งซ้ายและขวาอยู่ห่างจากบ้านฉันตั้งห้าร้อยเมตรน่ะ ไม่มีทางที่เสียงมันจะดังใกล้ขนาดนี้ได้พรึบ“หึย!หงุดหงิดโว้ย!!”ฉันสบถขึ้นอย่างหัวเสียพร้อมกับเดินตรงดิ่งไปยังประตูห้องนอนของฉันและหมุนลูกบิดพร้อมกับเปิดประตูออกไปดูเหตุการณ์ข้างนอกด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด จะไม่ให้โมโหได้ยังไงคนกำลังนอนกลับสบายแต่กลับมีทั้งเสียงกรี๊ดกร๊าดและเสียงเขวี้ยงปาข้าวของพรึบ“นี่!…ไอ้พี่เคน…”“แกจะหลอกเอาฉันฟรีเหรอห๊ะ!”เสียงผู้หญิงแหลมสูงปี๊ดเอ่ยขึ้นทำให้ฉันขมวดคิ้วงุนงงเพราะต้นตอของเสียงนั้นดังมาจากห้องนอนฝั่งตรงข้ามกับห้องของฉัน ซึ่งห้องนั้นมีคนอยู่ด้วยเหรอ? ทำไมฉันไม่รู้?
“เอ่อ…เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่สินะครับ…”เสียงทุ้มละมุนเอ่ยขึ้นทำให้ฉันเผลอสะดุ้งตกใจและรู้สึกตัวว่าเผลอจ้องเรือนร่างของผู้ชายตรงหน้านี้นานเกินไปแล้วพรึบทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นไปหมายจะก่นด่าเขาแต่แล้วฉันก็ต้องเข้าสู่โหมดตกตะลึงเป็นรอบที่สอง กับใบหน้าหล่อเหลาจมูกโด่งเป็นสันดวงตาสองชั้นกลมโตริมฝีปากหยักสีชมพูอวบอิ่มปลายคางเรียวใบหน้าเรียวยาวราวกับเป็นใบหน้าที่ฟ้าประทาน รวมไปถึงเรือนผมของผู้ชายคนนี้ที่ออกสีน้ำตาลเข้มๆจัดว่าเขาคนนี้เป็นผู้ชายที่หล่อมากจริงๆ ถึงที่มุมปากของเขาจะมีรอยฟกช้ำอยู่แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อของผู้ชายคนนี้ลดน้อยลงเลย“เอ่อออ….”ฉันอ้ำๆอึ้งๆพูดอะไรไม่ออก “นี่…แกจะยืนอยู่อีกนานไหม…ฉันมีธุระจะเคลียร์กับผู้ชายคนนี้!”เสียงแหลมเฟี้ยวของผู้หญิงดังเรียกสติฉันให้กลับมา ฉันก็ละสายตาจากหนุ่มหน้าหล่อสไตล์เกาหลีไปมองหน้าคู่อริของเขาแทน ก็พบกับผู้หญิงร่างเล็กที่มีผ้าขนหนูผืนจิ๋วพันเรือนร่างของเธอทำให้ฉันรู้ได้ทันที ว่าสองคนนี้เพิ่งผ่านอะไรกันมา“ฉันแค่จะบอกว่า..บ้านฉันไม่ใช่โรมแรมม่านรูด…”ฉันเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบตรึงทำให้ผู้ชายหน้าหล่อถึงกับขมวดคิ้วงุนงงและสงสัยพร้อมกับมองเรือนร่
วันเดียวกัน12:30น.บ้านของคุณป้าเจ้าของบ้านเช่าขวัญเอย กมลวรรณ….พรึบ“ทำไมคุณป้าไม่บอกหนูล่ะค่ะว่าหนูมีรูมเมท?”ฉันเอ่ยถามคุณป้าเจ้าของบ้านไปอย่างเอาเรื่อง ที่เธอไม่ยอมบอกฉันในตอนที่ฉันไปดูบ้านและตกลงเซ็นสัญญาเช่าบ้านกับเธอ“ถ้าป้าบอก…หนูก็ไม่เอาน่ะสิ”คุณป้าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแหยๆ เพราะเธอคงจะเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของฉันน่ะ “ถือว่าช่วยๆกันนะ…หนูก็มีห้องนอนส่วนตัวหนิ…พ่อหนุ่มเขาไม่ยุ่งหรอกนะ…”“เขาเป็นเด็กดี^_^”“เด็กดีอะไรคะ…ไม่มีตังค์มาจ่ายค่าเช่าคุณป้าน่ะ?”“ก็เพราะเรื่องนี้ไงจ๊ะ…ป้าถึงต้องหาทางออกให้กับตัวป้าเองและพ่อหนุ่มคนนั้น…”คุณป้าว่าเสียงอ่อนพร้อมกับทำสีหน้าเศร้าลงให้ฉันรู้สึกเห็นใจเธอ ซึ่งมันก็ได้ผล ฉันเห็นใจเธอจริงๆ“แม่หนูเองก็เดือดร้อนไม่ใช่เหรอจ๊ะ….และแม่หนูก็จ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ป้าแล้วด้วย…”“อดทนอยู่ต่อเถอะนะจ๊ะ…”“ค่ะ…ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละค่ะ…”ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเบาบอกคุณป้าไป เพราะยังไงๆฉันก็ไม่มีเงินมากพอที่จะไปเช่าบ้านเดี่ยวหรือคอนโดอยู่อยู่แล้วล่ะ ฉันต้องจำใจอยู่ในบ้านเช่าหลังน้อยที่มีรูมเมทเป็นผู้ชายนี้ต่อไป เขาคงจะไม่ทำอะไรฉันหรอกมั้ง น่าตาเขาก็ไม่ได้ดูเลวร้าย
“จะเคนโซไหนก็ช่างผมเถอะครับ…!!”เสียงของผู้ชายคนนั้นเปล่งออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ“ว่าแต่พี่มาเมาอะไรที่เปลี่ยวๆแบบนี้?”“ไม่กลัวโดนลากไปรุมโทรมเหรอไง?”“ดูแต่งตัวดิ!”พรึบ“อื้อออ…ไม่เอา…ฉันร้อน!”ฉันเอ่ยบอกเขาไปพลางพยายามดึงเสื้อแจ็คเก็ตที่หนักมากออกไปจากร่างของฉันที่โดนเคนโซเอาคุมร่างของฉันไว้พรึบ“ถ้าไม่ใส่…ก็กลับบ้าน!”เคนโซว่าพร้อมกับคว้าข้อมือของฉันและออกแรงดึงร่างของฉันให้ลุกขึ้นพรึบ“ไม่กลับ!!”ฉันสะบัดข้อมือตัวเองอย่างแรงให้หลุดจากการจับกุมของเคนโซและเอ่ยตะคอกใส่เขากลับไป“อย่าดื้อได้เปล่าวะ!!”เคนโซตวาดเสียงดังใส่ฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่กลัวเขา และไม่กลัวใครทั้งนั้น“อย่ามายุ่ง!!”ฉันแผดเสียงดังใส่เคนโซ จนเขาทำเพียงแค่ยืนมองฉันเฉยๆ“พี่เป็นอะไรเนี่ย…ทำตัวเป็นยัยขี้เมาเหมือนคนอกหักแบบนี้”“ฉันไม่ได้อกหัก!!”ฉันเงยหน้าขึ้นไปตะโกนเสียงดังตอบเขาไป“เขาก็แค่ไม่รัก…ฉัน”และฉันก็พูดเสียงแผ่วเบาอย่างคนที่จุกอยู่ในอก นี้เป็นการอกหักและการผิดหวังครั้งแรกในชีวิตของฉัน ซึ่งฉันไม่เคยเตรียมใจกับเรื่องอย่างนี้มาก่อน เพราะฉันคิดว่าฉันโชคดีที่สุดที่ได้พี่คีรีเป็นแฟน และคิดมาตลอดว่าเขารักฉันมาก “ฮืฮๆๆๆใช
“มีแต่รี…ได้ไหม?”คุณป้าเจ้าของร้านว่าพร้อมชูกล่องเหล้าให้ฉันดู ฉันก็พยักหน้าว่าได้หมดตอนนี้ ขอแค่กินแล้วเมา เมาเพื่อให้ลืมเธอไปเลย!!!“มีแต่กลมขนาดใหญ่เจ็ดร้อยมิลลิลิตร”“แปดร้อยบาท…”“ได้ค่ะ…เอามาสองกลมเลย!”ฉันตอบเสียงดังฟังชัดพร้อมกับสะอึกจากการร้องไห้มาอย่างหนัก พรึบ“หนึ่งพันหกร้อยบาท”ป้าเจ้าของร้านว่าพร้อมกับยื่นถุงหิ้วสีเข้มมาให้ฉันที่ด้านในบรรจุเหล้าสองกลม ฉันก็ยื่นเงินแบงค์พันสองใบให้เธอและรอเงินทอนเมื่อได้เงินทอนมาจากป้าฉันก็จัดการยัดเงินทอนเก็บลงไปในกระเป๋าช่องลับของกระโปรงพรึบฉันหยิบถุงเหล้าและเก็บเงินทอนเรียบร้อยก็เดินเท้าเปล่าซึ่งฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าไปถอดรองเท้าทิ้งไว้ที่ไหนและตอนไหนที่เท้าฉันไม่ได้สวมใส่รองเท้า แต่พอรู้ตัวอีกทีก็เจ็บแสบที่เท้าทั้งสองข้างไปหมดแล้วพรึบฉันทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวตัวยาวที่นั่งได้ถึงสามคนและจัดการเปิดขวดเหล้ากลมขึ้นมาและเริ่มกระดกทันที“อ๊าาาาาาห์”ฉันร้องออกมาที่รสชาติขมๆและเข้มๆของเหล้าลงคอฉัน ฉันกระดกเหล้าอย่างเพียวๆจนรู้สึกแสบคอและแสบท้องไปหมด แต่แบบนี้ยิ่งดี ฉันจะได้เมา เมาให้ลืมพี่คีรี!“อึกๆๆๆฮืฮๆๆๆๆ”ฉันเบะปากร้องไห้ออกมาอย่างไม่
“ก็ได้ครับ…” “ว่าแต่คุณภีมมาเมืองไทยรอบนี้….จะอยู่กี่วันครับ…?” “ก็ไม่รู้สิครับ…อยู่จนกว่าคุณคีรีจะเบื่อผม^_^” “คุณคีรี…?”ฉันที่ได้ยินบทสนาที่ฟังดูสนิทสนมของชายสองคนนั้นได้อย่างชัดเจนและได้ยินเสียงที่คุ้นหูฉัน พี่คีรี มาทำอะไรที่นี้และทำไมเขาดูสนิทสนมกับคุณภีมขนาดนั้น พรึบ “พี่คีรีจริงๆด้วย..”ฉันพึมพำออกมาเมื่อโผล่หัวออกมาจากหลังโซฟาเพื่อดูหน้าผู้ชายสองคนนั้นให้ชัดเจน ก็ต้องถึงกับตกใจที่เป็นพี่คีรีจริงๆด้วย เขากำลังยืนโอบกอดผู้ชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำและทั้งสองคนกำลังยืนจ้องหน้ากันอยู่ก่อนที่จะค่อยๆโน้มใบหน้าหล่อเข้าหากันอย่างช้าๆ “จ๊วฟฟฟฟฟ” “อื้อออ”ทั้งสองมอบจุมพิตที่เร้าร้อนและดุดันให้กันและกัน ผิดกับฉันที่อ้าปากค้างกับภาพเบื้องหน้าที่เห็น พี่คีรี แฟนของฉันกำลังจูบอยู่กับผู้ชาย ที่เขาไม่ยอมจูบฉันก็เพราะว่าเขา ไม่ได้ชอบฉัน “อื้ออ” พรึบ ฉันเอามือปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องเล็ดลอดออกไปเมื่อผู้ชายรูปร่างหน้าตาที่หล่อดูดีไปหมดทุกสัดส่วนสองคนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มและค่อยๆพากันเดินเข้าไปในห้องน้ำ พรึบ ฉันลุกขึ้นยืนและค่อยๆก้าวขาที่เเข็งทื่อเดินไปดูภาพบาดตาบาดใจเบื้องหน้า กว่า
“คุณภีม…นี่เขาเป็นใครเหรอ?”“ถึงต้องเตรียมห้องสูทไว้ให้เขาเลย?”ฉันที่ช่วยยัยถุงแป้งดูดฝุ่นตามพรมสีขาวตรงโซนห้องนั่งเล่นของห้องสูทใหญ่หรูหรานี้ก็เอ่ยถามไปอย่างสงสัย“คุณภีมเป็นเจ้าของโรมแรมนี้…และอีกๆหลายๆสาขาที่อยู่ทั่วประเทศน่ะ..”ถุงแป้งที่นำผ้าสีขาวเช็ดไปตามโต๊ะและของตกแต่งซึ่งเธอยืนอยู่ไม่ไกลจากฉันนักเอ่ยตอบฉันมา ฉันก็พยักหน้าเข้าใจ และเราสองคนก็ช่วยกันทำความสะอาดและจัดห้องให้เรียบร้อยเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มจนทุกอย่างในห้องนี้สะอาดเหมือนใหม่ทุกอย่าง“นี่ถุงแป้ง!!”“คะ!”ถุงแป้งและฉันที่กำลังนั่งพักเหนื่อยที่ห้องพักของแม่บ้านอยู่ถึงกับต้องหันไปมองเสียงเเข็งที่ตะคอกอยู่ด้านหน้าประตูห้องสูทพลางสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ฉันจึงหันไปมองตาม ดีนะที่เธอคนนี้ที่มาเรียกยัยถุงแป้งไม่ใช่คุณเกลอะไรนั้น ไม่งั้นฉันกับยัยถุงแป้งแย่แน่“ลูกค้าเช็คเอาท์ออกไป...มาช่วยพี่ทำความสะอาดห้องหน่อยเร็ว!”“ค่ะๆๆ”ถุงแป้งรีบลุกขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะลงอย่างเข้าใจและเธอก็หันมามองหน้าฉันด้วยสีหน้าลำบากใจ“เอ่อ…”“มีอะไร?”ฉันทำถามถุงแป้งเสียงเข้มที่เห็นว่าสีหน้าที่ร้อนรนใจของเธอกำลังจ้องมองฉันอยู่“คือว่าฉัน….ลืมไปว่า
เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นสองชั่วโมงโรมแรมWหรูระดับห้าดาวใจกลางเมืองชั้นที่8 โซนพนักงานของโรงแรมขวัญเอย กมลวรรรณ…..พรึบ“นี่ขวัญเอยเพื่อนแป้งค่ะ….”ถุงแป้งเพื่อนจากมหาลัยที่เรียนคณะเดียวกับฉันเอ่ยบอกผู้หญิงวัยกลางคนที่เเต่งชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าของโรงแรมแห่งนี้ด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงสุภาพ ฉันจึงยกมือไหว้ผู้หญิงคนนั้นตามมารยาท“อืม….”หญิงวัยกลางคนยกมือรับไหว้ฉันพลางมองหน้าฉันอย่างพินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าเท้าจรดหัว ฉันก็ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความเกร็งพลางหันไปมองหน้าถุงแป้งอย่างหวาดกลัว เธอก็ทำเพียงแค่ยิ้มอ่อนให้ฉันที่จริงฉันไม่ค่อยสนิทกับเธอด้วยซ้ำไปหรอก เพราะเธอเป็นคนที่ไม่ค่อยรวยน่ะ แต่เธอเรียนเก่งจนได้เป็นเด็กนักเรียนทุน ฉันที่กำลังมองหางานอยู่ จึงเข้าไปคุยทำความรู้จักกับเธอและบอกถึงจุดประสงค์ของตัวเองว่าฉันอยากหางานสบายๆที่ไม่เหนื่อยไม่ต้องตากแดดทำน่ะ ถุงเเป้งก็เลยชวนฉันมาที่นี้ โรงแรมระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงแห่งนี้“วันนี้เธอก็ตามยัยถุงแป้งเพื่อดูงานที่เธอจะต้องทำไปก่อน…”“และพรุ่งนี้ค่อยนำเอกสารการสมัครงานมาให้ฉัน…”“ขอบคุณค่ะคุณเกล^_^”ถุงแป้งยิ้มกว้างอย่างดีใจพลางยกมือไหว
“เออๆๆอดีตแฟนก็อดีตแฟน….”“เธอจะกลับมาอยู่ที่นี้ถาวร…เพราะเห็นว่าคุณลุงพ่อของเธอ….ล้มป่วยน่ะ…”“ล้มป่วย?”ผมเอ่ยทวนคำพูดของพี่ติณห์ไปอย่างตกใจและเป็นห่วงคุณลุงภวัตพ่อของวิเวียนอดีตผู้หญิงที่ผมรักเธอมากและครั้งหนึ่งเราเคยใช้ชีวิตร่วมกันแต่มันก็เป็นแค่อดีตที่ผมไม่อยากจะจำ“อืม…ใช่…เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันเข้าไปหาท่าน…เอาการ์ดงานแต่งไปให้ท่านน่ะ…”“อาการท่านมองหนักเอาเรื่อง….”“สงสัยท่านคงไม่มีเงินส่งไปให้ลูกสาวท่านผลาญอีกแล้วน่ะ…”พี่ติณห์พูดถูกทุกอย่าง ผมก็พยักหน้าเข้าใจ ลุงภวัตเคยเป็นเลขาของคุณพ่อผมมาตั้งแต่พ่อผมก่อตั้งบริษัทเหมืองเพชรใหม่ๆจนกิจการของพ่อผมเติบใหญ่อย่างทุกวันจนทำให้ผมและวีเวียนลูกสาวของลุงภวัตได้รู้จักกันและสนิทสนมกันจนผมรักเธอเพราะเธอเป็นความรักครั้งแรกของผมและก็ยังเป็นคนแรกของผมอีกด้วย ผมรักเธอมาจึงไปขอร้องอ้อนวอนให้คุณพ่อผมไปขอหมั้นวิเวียนให้ผม จนผมกับวิเวียนได้หมั้นหมายกัน เราสองคนจึงตัดสินใจไปใช้ชีวิตกันสองคนที่ต่างประเทศเพื่อไปเรียนต่อเกรดสิบที่แอลเอ ปีแรกเรามีความสุขกันมากแต่พอเข้าปีที่สองปีสามวิเวียนผู้หญิงที่แสนดีของผมก็เปลี่ยนไป เธอเริ่มกลับบ้านมืดเริ่มเที่ยว และใ
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา…โรงแรมหรูระดับห้าดาวใจกลางเมืองชั้น5 โซนภัตตาคาร…20:00น.เคนโซ คิณภพ….พรึบ“อะไรครับ?”ผมที่ก้มหน้าก้มตากินอาหารค่ำสุดหรูในภัตตาคารหรูแห่งนี้ด้วยความเอร็ดอร่อยก็ต้องหยุดชะงักลงและเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าพี่ชายสุดที่รักของผม(มั้ง)พรึบพี่ติณห์ไม่ตอบคำถามผมเขากลับยักคิ้วให้ผมและพยักหน้าให้ผมเปิดอ่านซองจดหมายสีชมพูที่เขาเป็นคนยื่นให้ผมดูเอง ผมก็ขมวดคิ้วงุนงงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายมาจากมือของพี่ติณห์ พี่ชายคนเดียวของผม“การ์ดแต่งงานเหรอพี่?”ผมที่เปิดซองจดหมายออกก็พบกับการ์ดรูปหัวใจและพอผมอ่านข้อความในจดหมายก็พอจะรู้ว่าเป็นการเชื้อเชิญให้ไปงานแต่งงาน ผมเลยมองหน้าพี่ติณห์และถามเขาออกไปด้วยความตกใจปนตื่นเต้นและดีใจรวมๆกันไป ที่พี่ชายสุดที่รักของผมจะมีเมียกับเขาสักที^_^“อืม…อย่าลืมไปล่ะ….”“ไปแน่นอนอยู่แล้วครับ…พี่ชายสุดหล่อแต่งงานทั้งที^_^”ผมเอ่ยพูดไปพลางยิ้มกว้างอย่างทะเล้นให้พี่ติณห์เขาก็ยิ้มให้ผมใบหน้าของพี่ติณห์เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆอย่างเขินอาย ผมก็มองหน้าพี่ติณห์ด้วยความขำๆที่เห็นพี่ชายผมเขินได้ขนาดนี้ แสดงว่าผู้หญิงคนที่พี่ติณห์จะแต่งงานด้วยต้องไม่ธรรมดา เพราะพี
17:30น.ร้านคาเฟ่หน้ามหาลัยQAพรึบ“คุณหนูเอยของป้า”ป้าแพรเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาและสงสารจับใจทันทีที่เธอเดินเข้ามาหาฉันที่นั่งรอเธอที่โต๊ะอาหารของร้าน โดยที่เมื่อวานฉันโทรนัดแนะให้ป้าแพรแอบเก็บเสื้อผ้ารองเท้าและกระเป๋าของฉันมาให้ฉันโดยสถานที่นัดแนะของเราทั้งคู่คือคาเฟ่หน้ามหาลัยของฉัน ที่ป้าแพรรู้จัก ฉันเลือกนั่งเป็นโต๊ะด้านในสุดของร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว เพราะเวลาเย็นๆแบบนี้นักศึกษาและนักเรียนจากวิทยาลัยเทคนิคค่อนข้างเยอะน่ะ“ป้าแพร^_^”ซึ่งผิดกับฉันที่ลุกขึ้นยืนและเอ่ยเรียกป้าแพรไปด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจพรึบป้าแพรวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบที่เป็นสีชมพูที่เธอเข็นมาลงและโผเข้าสวมกอดฉันทันที ฉันก็กอดตอบเธอไปเธอกอดฉันแน่น ฉันกับป้าแพรจะค่อนข้างสนิทกันเพราะเธอเป็นคนเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เกิดน่ะ เธอรักและเอ็นดูฉันมาก“คุณหนูของป้า^7^”ป้าแพรคลายกอดฉันและยื่นมือลูบไปตามท่อนแขนของฉันด้วยสายตาเป็นห่วง“นั่งก่อนนะคะ^7^”ฉันเอ่ยชวนป้าแพรให้นั่งลง เธอก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเป็นคำตอบให้ฉัน“ป้าแพรจะรับน้ำอะไรดีคะ?”“ไม่ล่ะค่ะคุณหนู…ขอบคุณนะคะ^_^”“ค่ะ…”“คุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ…เรื่องที่พัก…สะดวกสบา
“พี่สาวของพี่เคนโซเหรอคะ?”เสียงหวานใสที่ฟังดูสงสัยและไร้เดียงสาเอ่ยกระซิบถามหนุ่มหน้าหล่อที่ชื่อเคนโซไป เขาชื่อเคนโซเหรอ ชื่อนี้ไม่เหมาะกับคนจนๆเลยเนอะ“เปล่าหรอกครับ…พี่ขวัญเอยเขาเป็นรูมเมทพี่น่ะ…”“รูมเมทเหรอคะ…มีนามาที่บ้านพี่เคนโซหลายครั้ง…ไม่เคยรู้เลยนะคะ…ว่าพี่เคนโซมีรูมเมทด้วย?”“เพิ่งมีนะคะ…น้องมีนารีบทานข้าวเถอะค่ะ..เดี๋ยวไปวิลัยสายนะ…”“ค่ะ…”ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังบทสนทนาของคนทั้งสองนั้นนะ แต่บังเอิญว่าฉันที่ยืนใส่รองเท้าอยู่ได้ยินพอดีน่ะ พรึบ“แฟนพี่ขวัญเอย…ยังไม่มารับอีกเหรอครับ…?”ฉันที่ยืนรออยู่หน้าถนนหน้าบ้านที่พยายามจะไม่สนใจผู้ชายหน้าหล่อที่กำลังจูงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ออกมาจากข้างบ้านจนถึงหน้าบ้านที่ฉันกำลังยืนอยู่และเขาก็เอ่ยถามฉัน ฉันจึงต้องหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาเรียบเฉย“ใกล้แล้วย่ะ!”ฉันตอบเสียงห้วนอย่างคนที่แสดงออกได้ชัดว่าไม่อยากคุยกับเขา แต่เคนโซกลับไม่สะทกสะท้านเลยกลับยิ้มหวานให้ฉัน แถมยังมองเรือนร่างท่อนขาเรียวขาวของฉันด้วยแววตาหวานเยิ้มอีกตั้งหาก “นาย!”ฉันจึงต้องเรียกเขาเสียงเข้มเมื่อแฟนของนายรูมเมทเดินออกมาจากบ้านเช่าพอดี เขาจึงยิ้มบางๆให้ฉันก่อนจะหันไปมอ