นาวินก้าวเข้าหากระท่อมไม้ที่เงียบสนิท แสงจันทร์ที่ลอดผ่านต้นไม้ใหญ่รอบด้านทำให้บรรยากาศดูเงียบงันและเย็นยะเยือก เขาสังเกตเห็นกองฟืนและข้าวของที่เขาสั่งให้เอื้องจัดเตรียมไว้ถูกทิ้งกระจัดกระจายหน้ากระท่อม รอยขมวดบนหน้าผากของเขาลึกขึ้น
"เอื้อง!" เขากระซิบดุดันในลำคอ แม้ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นให้ตอบ แต่ความโมโหที่คุกรุ่นทำให้เขากัดฟันแน่น เขาคว้ากุญแจในกระเป๋า ไขประตูเข้าไปในความมืดมิดของกระท่อม บรรยากาศภายในชวนอึดอัดจนเขาใจหายวูบ ร่างสูงกวาดตามองหาคนที่ควรอยู่ในนี้ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดและความเงียบ "มินตรา?" เสียงทุ้มต่ำของเขาเรียกหาเธอในความมืด น้ำเสียงแฝงความห่วงและร้อนรนอย่างปิดไม่มิด ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงเสียงลมเย็นพัดผ่านกระท่อมและความเงียบงันที่ทำให้เขาแทบกระวนกระวาย มือของเขากำแน่นขณะที่ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว... ถ้าเธอหายไป? ใจของเขาเหมือนถูกบีบจนแน่นเมื่อคิดเช่นนั้น แต่แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ดังมาจากมุมห้อง เสียงที่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเดินไปตามเสียง ร่างสูงใหญ่เคลื่อนไปในความมืดจนเห็นเธอ—มินตรา ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆ ร่างเล็กสั่นสะท้านจากความหนาวเย็น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขา “นี่เธอทำอะไรของเธอ!?” เสียงของเขาดุดัน แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความห่วงใย เขาคว้าร่างเล็กนั้นเข้ามาในอ้อมแขนโดยไม่รอให้เธอพูดอะไร “หนาว...” เธอพึมพำเสียงเบา ร่างกายสั่นจนเขารู้สึกได้ “หนาว? เธอไม่คิดจะจุดไฟหรือหาอะไรทำให้อุ่นเลยหรือไง!” เสียงดุของเขาดังขึ้นอีกครั้ง แต่แขนของเขากลับโอบเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม เธอเม้มปากแน่น น้ำตาคลอเบ้า “ฉัน...ฉันไม่รู้จะทำยังไง...” นาวินถอนหายใจหนัก เขารู้สึกทั้งโมโหและเจ็บใจในเวลาเดียวกัน โมโหที่เธอปล่อยตัวเองให้ต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ และเจ็บใจที่เห็นเธอสั่นเทาในอ้อมแขนของเขา “มานี่!” เขาสั่งเสียงเข้ม ก่อนจะอุ้มร่างเล็กขึ้นในอ้อมแขน “จะทำอะไร...” เธอพูดเสียงสั่น แต่เขาไม่ตอบ เขาเดินตรงไปที่เตียง วางเธอลงอย่างนุ่มนวลก่อนจะดึงผ้าห่มหนามาห่อตัวเธอไว้ “อยู่เฉยๆ” เขากระซิบเสียงต่ำ มองเธอที่ยังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ เมื่อทุกอย่างเริ่มอุ่นขึ้น เขานั่งลงข้างเตียง สายตาคมมองเธออย่างเคร่งขรึม “ต่อไป ถ้าเธอไม่รู้จะทำอะไรให้บอกฉัน อย่ามานั่งสั่นแบบนี้ เข้าใจไหม?” มินตราไม่ได้ตอบ เธอเพียงพยักหน้าเบาๆ เขาจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบใบหน้าเธอเบาๆ “เธอเป็นของฉัน...ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเป็นอะไร แต่เธอต้องเชื่อฟัง เข้าใจไหม?” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง แต่แฝงไปด้วยความดุดันที่ชัดเจน เธอพยักหน้าอีกครั้ง น้ำตาคลอแต่ไม่ได้ไหลอีกต่อไป นาวินยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้น “พักซะ...พรุ่งนี้ยังมีอะไรให้เธอทำอีกเยอะ” เขาหันหลังเดินออกไป จุดไฟในเตาให้ความอบอุ่นกลับคืนมาในกระท่อม ขณะนั้นแววตาเขายังคงเต็มไปด้วยความหวังและความหวงแหนที่ยากจะปิดบังร่างบอบบางของมินตรานอนขดตัวอยู่บนเตียงเล็กๆ ในกระท่อม ความเงียบงันของค่ำคืนถูกแทรกด้วยเสียงลมหวิวผ่านหน้าต่าง ร่างของเธอสั่นสะท้านทั้งจากความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาในทุกอณูของร่างกาย และความร้อนรุ่มในหัวใจที่เกิดจากความใกล้ชิดกับนาวินเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
ผ้าห่มหนาไม่อาจกั้นความรู้สึกวูบไหวในใจของเธอได้ ริมฝีปากบางเม้มแน่น เธอพยายามหลับตา ข่มความคิดในหัว แต่ภาพร่างสูงใหญ่ของเขาที่โน้มตัวลงหาเธอ เสียงทุ้มต่ำที่กระซิบชิดหู ยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำ "เธอเป็นของฉัน..." เสียงของเขาแทรกเข้ามาในหัว ยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น มินตราพลิกตัวอย่างกระวนกระวาย ร่างกายของเธอเริ่มอบอุ่นเกินไปเหมือนถูกไฟเผาผลาญ แต่แล้วความหนาวเย็นจากสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างกลับแทรกเข้ามาแทน เธอสั่นสะท้าน ปลายนิ้วเย็นเฉียบขณะที่เธอดึงผ้าห่มมาห่อตัวแน่นขึ้น "ทั้งร้อน ทั้งหนาว...นี่มันอะไรกัน" เธอพึมพำเบาๆ น้ำเสียงสั่นเครือ เธอรู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองไม่อยู่ในความควบคุม ความรู้สึกทั้งหมดนั้นผสมผสานกันจนยากจะเข้าใจ หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นเดินเข้ามาใกล้ เสียงประตูเปิดเบาๆ และร่างสูงใหญ่ของนาวินก็ก้าวเข้ามาในความมืด สายตาคมของเขาจ้องมองเธอในทันที "ยังไม่หลับอีกเหรอ?" เสียงของเขาทุ้มต่ำ แต่นุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย มินตราสะดุ้ง หันมองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายจากแสงจันทร์ เธอเม้มปากแน่นไม่ตอบ นาวินก้าวเข้ามาใกล้ เขามองเธอที่นอนขดตัวเหมือนลูกแมว ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ "ร่างกายเธอมันเย็นเกินไป หรือไม่ก็คง..." เขาหยุดคำพูด รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เธออ่านไม่ออก ก่อนจะโน้มตัวลงไปใกล้จนลมหายใจอุ่นของเขาแตะผิวแก้มของเธอ "ต้องให้ฉันช่วยอีกไหม?" เสียงกระซิบแผ่วเบาทำให้มินตราเบิกตากว้าง ร่างของเธอสะท้านขึ้นอีกครั้ง ทั้งจากความหนาวและความหวั่นไหวที่เขาเป็นต้นเหตุ... นาวินยิ้มเย็นที่มุมปาก ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างเล็กที่นอนสั่นสะท้านอยู่ใต้ผ้าห่ม ร่างของเธอซีดเซียวจากไข้สูง แต่แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนที่เขายากจะละสายตาได้ "ไอ้บ้า...ขนาดฉันป่วยแบบนี้ก็จะไม่เว้นเลยรึไง?" มินตรากัดฟันพูดออกมาทั้งที่เสียงสั่น เธอมองเขาที่เริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ด "ก็เธอพูดเองนี่ว่าหนาว" เสียงทุ้มต่ำของเขาแฝงความเย้ยหยัน เขาโยนเสื้อเชิ้ตตัวหนาลงพื้น เผยให้เห็นแผงอกแน่นหนาที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ "นายทำอะไรน่ะ!?" มินตราพยายามดิ้นหนี แต่แรงของเธอน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับเขา "ทำตามในนิยายน่ะสิ..." เขากระซิบชิดใบหู น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความดิบเถื่อน "กอดกันให้ความอบอุ่น ไงล่ะ..." มือใหญ่คว้าผ้าห่มที่ห่อร่างเล็กไว้ กระชากออกอย่างไม่ปรานี เผยให้เห็นร่างของเธอที่เปลือยเปล่าภายใต้ชุดนอนบางเบา "อย่านะ...นาวิน!" เธอพยายามผลักเขาออก แต่กลับถูกเขารวบข้อมือทั้งสองข้างไว้แน่นเหนือศีรษะ "อยู่นิ่งๆ สิ จะดิ้นทำไม เธออยากหนาวตายหรือไง?" เขาพูดพลางถอดเสื้อผ้าของตัวเองจนหมด ร่างกายสูงใหญ่เปลือยเปล่าของเขาแนบชิดกับร่างเธออย่างไร้ช่องว่าง มินตราตัวแข็งทื่อเมื่อเขาดึงชุดนอนบางเบาของเธอออกจนหมด ร่างกายของเธอเย็นเฉียบ แต่กลับรู้สึกร้อนผ่าวจากความใกล้ชิดของเขา "นี่...นายบ้าไปแล้วเหรอ!" เธอตวาดเสียงแหบพร่า แต่เขาเพียงยิ้มบางๆ และดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดแน่น "อยู่นิ่งๆ และเลิกพูดมากได้แล้ว..." เสียงของเขาแหบต่ำแต่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด "ฉันไม่อยากให้เธอตายเพราะหนาวในกระท่อมของฉันหรอกนะ" เขาประคองเธอแนบอกใหญ่ อุณหภูมิร่างกายของเขาที่สูงกว่าทำให้ความหนาวเย็นของเธอบรรเทาลงเล็กน้อย แต่มันกลับเติมเต็มด้วยความร้อนรุ่มที่ยากจะระงับ มินตรากัดฟันแน่น หลับตาแน่นไม่อยากรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเขาก้มลงจูบหน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา หัวใจของเธอก็เต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก "นอนซะ...ไข้เธอจะได้ลด" เขากระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู แต่แขนของเขากลับโอบเธอแน่นขึ้น ทำให้เธอไม่สามารถดิ้นหนีได้ แม้คำพูดของเขาจะฟังดูเหมือนห่วงใย แต่ดวงตาเย็นชาของเขากลับแฝงความต้องการที่เขาไม่ได้ปิดบังเลยแม้แต่น้อย นาวินยิ้มเย็นอีกครั้งเมื่อเสียงอุทานแผ่วเบาของมินตราหลุดออกมา เธอพยายามบิดตัวหนีจากสัมผัสของเขา แต่แรงของเธอที่อ่อนล้าเพราะไข้สูงไม่มีทางสู้เขาได้เลย "หึ...ตัวสั่นแบบนี้เพราะไข้ หรือเพราะฉันกันแน่?" เขากระซิบเสียงพร่า ลมหายใจร้อนระอะแตะผิวแก้มของเธอ "ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้านี่!" เธอร้องลั่น แต่เขาไม่สะทกสะท้าน กลับกดตัวเธอให้แนบกับอกแกร่งของเขาแน่นขึ้น มือใหญ่ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธอ ก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปถึงสะโพกกลมกลึง "หนาวอยู่ไม่ใช่เหรอ? ฉันก็แค่ช่วยให้เธออุ่นขึ้นไง" น้ำเสียงเขาเย้าหยอก แต่แววตาและการกระทำกลับแฝงไปด้วยความดิบเถื่อน มินตราสะดุ้งเมื่อมือใหญ่ของเขาลากไล้ไปตามส่วนโค้งเว้าของร่างกาย ราวกับสำรวจทุกส่วนที่เป็นของเธอ เธอพยายามดิ้นหนี แต่เขายิ่งบีบสะโพกของเธอแน่นขึ้น "ดิ้นอีกสิ ฉันชอบเวลาเธอพยายามขัดขืน" เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะโน้มใบหน้าลงใกล้ ลิ้นร้อนๆ แตะลงที่ซอกคอขาวของเธอ ไล่เลียไปจนถึงไหล่เปลือย "นาวิน! ฉันบอกให้หยุดนะ!" เธอพยายามดันเขาออก แต่มือเล็กของเธอไม่มีแรงพอจะทำอะไรเขาได้ "ฉันกำลังช่วยเธออยู่ จะไปตื่นเต้นอะไรนักหนา?" เขากระซิบข้างหู ก่อนจะขบเบาๆ ที่ติ่งหู ทำให้เธอสะท้านวูบไปทั้งตัว มือของเขาเลื่อนขึ้นไปกอบกุมหน้าอกอิ่มที่ขึ้นรูปสวย ก่อนจะลูบไล้อย่างแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความจงใจ เธอสั่นเทิ้ม ร่างกายตอบสนองต่อสัมผัสของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้ "ไอ้บ้า...ฉันเกลียดนาย..." เธอพูดเสียงพร่า แต่เขากลับหัวเราะในลำคอ รอยยิ้มเย็นชาแต้มที่มุมปาก "เธอพูดไปสิ แต่ร่างกายเธอน่ะ บอกฉันว่าอย่างอื่น" เขากระซิบ ลมหายใจร้อนของเขาเป่ารดแก้มของเธอ ก่อนจะลากริมฝีปากไปที่หน้าผากของเธอ จูบลงอย่างหนักแน่น มือของเขายังคงลูบไล้ไปทั่วร่างเปลือยเปล่าของเธอ ละเลงความร้อนให้เธอจนลืมไปว่าความหนาวเย็นเมื่อครู่นั้นเคยมีอยู่จริง ร่างของเธอสั่นสะท้าน แต่ไม่ใช่เพราะไข้ที่รุมเร้าอีกต่อไป "ฉันจะทำให้เธอไม่มีวันลืมคืนนี้...จำไว้ มินตรา เธอเป็นของฉัน" เขาพูดเสียงหนักแน่น ก่อนจะประทับจูบที่ริมฝีปากของเธออย่างร้อนแรง แทรกลิ้นเข้าไปลิ้มรสเธออย่างไม่ปรานี...มินตราหอบหายใจเบาๆ เมื่อริมฝีปากของเธอถูกกดด้วยแรงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความคั่งแค้น ร่างบางที่คิดว่าตัวเองจะได้รับคำให้อภัยจากนาวิน บัดนี้กลับติดอยู่ในวงแขนแกร่งที่กอดรัดเธอแน่นจนไม่อาจดิ้นหลุด“อื้อ... นาวิน...” เสียงของเธอขาดห้วงเมื่อเขาไม่ปล่อยให้เธอได้พูดต่อ ริมฝีปากร้อนของเขาบดเบียดเข้าหาอีกครั้ง ลิ้นร้อนแทรกซึมเข้ามาโดยไม่ให้โอกาสเธอปฏิเสธแว่นตาหนาๆ ที่เขาสวมไว้ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ถูกดึงออกโยนทิ้งอย่างไม่แยแส ก่อนที่เขาจะเสยผมขึ้น เผยใบหน้าคมคายและดวงตาคมที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา“คิดว่าผมจะให้อภัยคุณง่ายๆ เหรอ?” เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยกระซิบข้างหูเธอหลังจากผละจากจูบ ริมฝีปากของเขายังแตะเบาๆ บนผิวแก้มนุ่มของเธอมินตรามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและตกใจ “นาวิน... คุณ...”เขาหัวเราะในลำคอ ดวงตาที่เคยดูอ่อนโยนกลับเยือกเย็น “คุณหลงกลผมเอง... คนอย่างคุณควรได้รับบทเรียน”เขาดันเธอให้เอนตัวไปกับเบาะรถหรู นิ้วเรียวไล้ผ่านกรอบหน้าของเธอก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาแตะที่ริมฝีปาก เขายิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ ก่อนจะกดจูบเธออีกครั้ง คราวนี้เร่าร้อนและดุดันยิ่งขึ้นมินตราครางแผ่วในลำคอ มือของ
ทม ผู้หญิงแกร่งผู้ทำหน้าที่ดูแลทุกซอกทุกมุมของไร่กุหลาบที่ครอบคลุมภูเขาหลายลูก สายตาคมกริบของเธอจ้องตรงไปยังเอื้อง สาวใช้ประจำเรือนใหญ่ที่กำลังยกถาดชาอยู่ เธอขยับเข้าไปใกล้ในจังหวะที่สาวใช้อ่อนวัยกำลังพยายามหลบสายตา“ใครอยู่ในกระท่อมนั่นน่ะ เอื้อง?” เสียงเข้มของทมที่ไม่ยอมรับคำตอบครึ่งๆ กลางๆดังขึ้นในความเงียบ ทำให้เอื้องสะดุ้ง เธอก้มหน้าหลบอย่างเห็นได้ชัด มือที่กำถาดชาอยู่สั่นเล็กน้อย“ขะ...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคุณทม แค่คนที่คุณนาวินพามา...” เอื้องตอบเสียงแผ่ว เบือนสายตาไม่กล้ามองหน้าทมยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาแฝงด้วยความสงสัยจับจ้องใบหน้าเอื้องราวกับจะเจาะลึกไปในใจ “คนที่เขาพามา? แล้วทำไมถึงต้องพาไปไว้ที่กระท่อมปลายนั่น?”เอื้องเงียบไป ดวงตาล่อกแล่กอย่างชัดเจน ทมย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ยื่นหน้าเข้าหา “ฉันไม่ชอบคำตอบครึ่งๆ กลางๆ เอื้อง บอกมาดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้น...”เอื้องรีบก้มหน้าพูดอย่างลนลาน “คุณนาวินพาผู้หญิงคนหนึ่งมาเจ้าค่ะ ดูเหมือน...เธอไม่เต็มใจ คุณนาวินให้คนไปจัดกระท่อมไว้ให้ แต่ดิฉัน...ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง”ที่กระท่อมชายไร่กุหลาบมินตรายืนมองวิวทิวเขาผ่านหน้าต่างเล็กๆ
ทมยืนพิงเสาไม้ที่เรือนใหญ่ พลางถามเอื้องด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสงสัยและไม่วางใจ “คุณนาวินไม่อยู่อีกแล้วเหรอเอื้อง? ช่วงนี้ฉันแทบไม่เห็นเขาที่เรือนใหญ่เลย หรือว่ามีอะไรที่ฉันยังไม่รู้?”เอื้องที่กำลังยกถาดน้ำชาให้สาวใช้คนอื่นหยุดชะงัก เธอก้มหน้าต่ำเหมือนพยายามหลบสายตาของทม ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความลำบากใจ “เอ่อ...คุณทม... ฉัน...”ทมเลิกคิ้วสูง น้ำเสียงของเธอแหลมขึ้นเล็กน้อย “อะไรเอื้อง? มีอะไรก็บอกมาให้หมด ฉันสังเกตเห็นว่าช่วงนี้คุณวินทำตัวแปลกๆ แถมยังหายไปบ่อยๆ อีก มีอะไรเกิดขึ้นที่ฉันควรรู้หรือเปล่า?”เอื้องลังเลชั่วครู่ก่อนจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ก็แค่...งานยุ่งน่ะค่ะคุณทม คุณวิน...เขาอาจจะมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ”แต่คำตอบนั้นกลับไม่ทำให้ทมหายสงสัย ดวงตาแหลมคมของเธอจ้องมองเอื้องอย่างพิจารณา “สำคัญถึงขั้นต้องไปอยู่ที่กระท่อมหลังนั้นหรือไง?” เธอถามตรงไปตรงมา เสียงกดต่ำเอื้องสะดุ้งเล็กน้อย มือที่จับถาดชาเริ่มสั่น เธอกัดริมฝีปากแน่นเหมือนลังเลว่าจะพูดหรือไม่“คุณวินพาใครไปอยู่ที่กระท่อมหลังนั้นใช่ไหมเอื้อง?” ทมถามซ้ำ ดวงตาของเธอแหลมคมและเอาจริงเอื้องอึกอัก สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัว “ฉัน
นาวินก้าวเข้าหากระท่อมไม้ที่เงียบสนิท แสงจันทร์ที่ลอดผ่านต้นไม้ใหญ่รอบด้านทำให้บรรยากาศดูเงียบงันและเย็นยะเยือก เขาสังเกตเห็นกองฟืนและข้าวของที่เขาสั่งให้เอื้องจัดเตรียมไว้ถูกทิ้งกระจัดกระจายหน้ากระท่อม รอยขมวดบนหน้าผากของเขาลึกขึ้น"เอื้อง!" เขากระซิบดุดันในลำคอ แม้ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นให้ตอบ แต่ความโมโหที่คุกรุ่นทำให้เขากัดฟันแน่นเขาคว้ากุญแจในกระเป๋า ไขประตูเข้าไปในความมืดมิดของกระท่อม บรรยากาศภายในชวนอึดอัดจนเขาใจหายวูบ ร่างสูงกวาดตามองหาคนที่ควรอยู่ในนี้ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดและความเงียบ"มินตรา?" เสียงทุ้มต่ำของเขาเรียกหาเธอในความมืด น้ำเสียงแฝงความห่วงและร้อนรนอย่างปิดไม่มิดไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงเสียงลมเย็นพัดผ่านกระท่อมและความเงียบงันที่ทำให้เขาแทบกระวนกระวาย มือของเขากำแน่นขณะที่ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว... ถ้าเธอหายไป?ใจของเขาเหมือนถูกบีบจนแน่นเมื่อคิดเช่นนั้น แต่แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ดังมาจากมุมห้อง เสียงที่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้เขาเดินไปตามเสียง ร่างสูงใหญ่เคลื่อนไปในความมืดจนเห็นเธอ—มินตรา ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆ ร่างเล็กสั่นสะท้านจากความหนา
ทมยืนพิงเสาไม้ที่เรือนใหญ่ พลางถามเอื้องด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสงสัยและไม่วางใจ “คุณนาวินไม่อยู่อีกแล้วเหรอเอื้อง? ช่วงนี้ฉันแทบไม่เห็นเขาที่เรือนใหญ่เลย หรือว่ามีอะไรที่ฉันยังไม่รู้?”เอื้องที่กำลังยกถาดน้ำชาให้สาวใช้คนอื่นหยุดชะงัก เธอก้มหน้าต่ำเหมือนพยายามหลบสายตาของทม ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความลำบากใจ “เอ่อ...คุณทม... ฉัน...”ทมเลิกคิ้วสูง น้ำเสียงของเธอแหลมขึ้นเล็กน้อย “อะไรเอื้อง? มีอะไรก็บอกมาให้หมด ฉันสังเกตเห็นว่าช่วงนี้คุณวินทำตัวแปลกๆ แถมยังหายไปบ่อยๆ อีก มีอะไรเกิดขึ้นที่ฉันควรรู้หรือเปล่า?”เอื้องลังเลชั่วครู่ก่อนจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ก็แค่...งานยุ่งน่ะค่ะคุณทม คุณวิน...เขาอาจจะมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ”แต่คำตอบนั้นกลับไม่ทำให้ทมหายสงสัย ดวงตาแหลมคมของเธอจ้องมองเอื้องอย่างพิจารณา “สำคัญถึงขั้นต้องไปอยู่ที่กระท่อมหลังนั้นหรือไง?” เธอถามตรงไปตรงมา เสียงกดต่ำเอื้องสะดุ้งเล็กน้อย มือที่จับถาดชาเริ่มสั่น เธอกัดริมฝีปากแน่นเหมือนลังเลว่าจะพูดหรือไม่“คุณวินพาใครไปอยู่ที่กระท่อมหลังนั้นใช่ไหมเอื้อง?” ทมถามซ้ำ ดวงตาของเธอแหลมคมและเอาจริงเอื้องอึกอัก สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัว “ฉัน
ทม ผู้หญิงแกร่งผู้ทำหน้าที่ดูแลทุกซอกทุกมุมของไร่กุหลาบที่ครอบคลุมภูเขาหลายลูก สายตาคมกริบของเธอจ้องตรงไปยังเอื้อง สาวใช้ประจำเรือนใหญ่ที่กำลังยกถาดชาอยู่ เธอขยับเข้าไปใกล้ในจังหวะที่สาวใช้อ่อนวัยกำลังพยายามหลบสายตา“ใครอยู่ในกระท่อมนั่นน่ะ เอื้อง?” เสียงเข้มของทมที่ไม่ยอมรับคำตอบครึ่งๆ กลางๆดังขึ้นในความเงียบ ทำให้เอื้องสะดุ้ง เธอก้มหน้าหลบอย่างเห็นได้ชัด มือที่กำถาดชาอยู่สั่นเล็กน้อย“ขะ...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคุณทม แค่คนที่คุณนาวินพามา...” เอื้องตอบเสียงแผ่ว เบือนสายตาไม่กล้ามองหน้าทมยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาแฝงด้วยความสงสัยจับจ้องใบหน้าเอื้องราวกับจะเจาะลึกไปในใจ “คนที่เขาพามา? แล้วทำไมถึงต้องพาไปไว้ที่กระท่อมปลายนั่น?”เอื้องเงียบไป ดวงตาล่อกแล่กอย่างชัดเจน ทมย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ยื่นหน้าเข้าหา “ฉันไม่ชอบคำตอบครึ่งๆ กลางๆ เอื้อง บอกมาดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้น...”เอื้องรีบก้มหน้าพูดอย่างลนลาน “คุณนาวินพาผู้หญิงคนหนึ่งมาเจ้าค่ะ ดูเหมือน...เธอไม่เต็มใจ คุณนาวินให้คนไปจัดกระท่อมไว้ให้ แต่ดิฉัน...ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง”ที่กระท่อมชายไร่กุหลาบมินตรายืนมองวิวทิวเขาผ่านหน้าต่างเล็กๆ
มินตราหอบหายใจเบาๆ เมื่อริมฝีปากของเธอถูกกดด้วยแรงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความคั่งแค้น ร่างบางที่คิดว่าตัวเองจะได้รับคำให้อภัยจากนาวิน บัดนี้กลับติดอยู่ในวงแขนแกร่งที่กอดรัดเธอแน่นจนไม่อาจดิ้นหลุด“อื้อ... นาวิน...” เสียงของเธอขาดห้วงเมื่อเขาไม่ปล่อยให้เธอได้พูดต่อ ริมฝีปากร้อนของเขาบดเบียดเข้าหาอีกครั้ง ลิ้นร้อนแทรกซึมเข้ามาโดยไม่ให้โอกาสเธอปฏิเสธแว่นตาหนาๆ ที่เขาสวมไว้ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ถูกดึงออกโยนทิ้งอย่างไม่แยแส ก่อนที่เขาจะเสยผมขึ้น เผยใบหน้าคมคายและดวงตาคมที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา“คิดว่าผมจะให้อภัยคุณง่ายๆ เหรอ?” เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยกระซิบข้างหูเธอหลังจากผละจากจูบ ริมฝีปากของเขายังแตะเบาๆ บนผิวแก้มนุ่มของเธอมินตรามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและตกใจ “นาวิน... คุณ...”เขาหัวเราะในลำคอ ดวงตาที่เคยดูอ่อนโยนกลับเยือกเย็น “คุณหลงกลผมเอง... คนอย่างคุณควรได้รับบทเรียน”เขาดันเธอให้เอนตัวไปกับเบาะรถหรู นิ้วเรียวไล้ผ่านกรอบหน้าของเธอก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาแตะที่ริมฝีปาก เขายิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ ก่อนจะกดจูบเธออีกครั้ง คราวนี้เร่าร้อนและดุดันยิ่งขึ้นมินตราครางแผ่วในลำคอ มือของ