“พ่อเปลวเล่าว่าอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่กับที่พ่อปานเสนอมา”
“คุณกำไล... ไม่อยากเป็นเมียกำนันเดชจริงหรือขอรับ”
คำถามที่ส่งมาทำให้คุณพระนพสบตากับปาน ต่างมีรอยยิ้มในสีหน้า
“จริงสิ คุณพระท่านยืนยันหนักแน่น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องเป่าร้องว่าคุณกำไลร้องห่มร้องไห้ไม่อยากจะออกเรือนกับกำนันเดชหรอก”
“แต่ทีแรกคุณพระอรรถยืนยันหนักแน่น ว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับกำนันให้ได้นี่ขอรับ”
“หือ... มีเหตุนั้นด้วยรึ”
“เอ่อ...”
คุณพระนพที่ทำเสียงอือออเอ่ยถาม กับสายตาของท่านที่หมายถึงว่าเขาสนใจเรื่องคุณกำไลด้วยเหรอ ทำให้เปลวยิ่งต้องปั้นหน้านิ่ง ข่มความวูบวาบในหัวใจ และพยายามรวบรวมคำพูดออกมาให้เป็นการเป็นงานมากที่สุด ไม่ให้เจือไปด้วยความในใจของเขา
รู้ว่าผู้บังคับบัญชา พี่ชาย และน้องชาย ต่างจับจ้องมองอากัปกิริยา เขายิ่งต้องนิ่งต้องเฉย ทำเป็นไม่มีสิ่งใดเจือปน นอกจากเรื่องงาน
“กระผมได้ยินมาแบบนั้นขอรับ จึงไม่แน่ใจว่าคุณพระอรรถท่านต้องการให้ช่วยเหลือจริงหรือไม่”
“นั่นเป็นแผนของแม่กำไล ทำทีว่าคุณพระท่านไม่ได้ขัดข้อง เป็นตัวแม่กำไลเองที่ฟูมฟายไม่ยอมแต่ง กำนันเดชจะได้วางใจในตัวคุณพระ”
“ขอรับ”
ความลิงโลดในใจคล้ายจะปิดไม่มิดในสีหน้า เมื่อรอยยิ้มราวจะผุดวาบอยู่บ่อยครั้งจนต้องข่มใจและใช้ไรฟันขบปากแน่น
“เช่นนั้น พ่อเปลวคิดอย่างไรเล่า เห็นด้วยไหมที่จะแจ้งท่านอัยการ”
“กระผมเห็นด้วยกับคุณพระ ว่าไม่ควรแจ้งเรื่องกับท่านอัยการขอรับ เพราะนั่นจะกลายเป็นว่าไม่ว่าใครก็ถูกกำนันเดชรังแกได้ กระผมเห็นว่าควรทำตามทุกอย่างที่กำนันต้องการ แต่กำนันจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการสักอย่างเลยขอรับ”
“ว่ามาพ่อเปลว จะทำเยี่ยงไรที่คุณกำไลไม่ต้องตกเป็นเมียกำนันเดช”
เปลวมองหน้าพี่ชายก่อนจะมองคุณพระนพและหันมองขวัญ ที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างใคร่รู้ในสิ่งที่เขาจะบอก
เขาบอกเล่าถึงแผนการที่ย่อมมีทั้งส่วนได้ส่วนเสีย
“เช่นนั้นรอให้พ่อเปลวกับพ่อปานกลับจากพระนครก่อนเถิด ค่อยไปปรึกษากับคุณพระอรรถท่านอีกที ถ้าท่านและคุณกำไลเห็นด้วย แผนนี้ข้าก็ว่าดี เพราะหากคุณกำไลต้องการเลือกคู่ครองด้วยตัวเอง เรื่องชื่อเสียงเสียหาย ก็เป็นสิ่งที่คุณกำไลต้องตัดสินใจ”
.
.
ดึกแล้วทุกคนแยกย้ายเข้าเรือนของตน เพราะวันพรุ่งปานและเปลวจะต้องเดินทางเอาเอกสารของคุณพระนพไปส่งที่พระนครแต่เช้าตรู่ และต้องเลยไปจัดการธุระอีกหลายแห่ง
เนิ่นนานจนฟ้าใกล้จะสาง คนที่ข่มตานอนไม่หลับก็ออกมายืนอยู่หน้าเรือน เปลวทอดสายตามองน้ำในคลองที่ไหลเอื่อย ด้วยสิ่งที่รับรู้มาเมื่อวันวานรบกวนจิตใจของเขาเหลือเกิน
‘คุณกำไลไม่อยากแต่งงานกับกำนันจ้ะพี่ ร้องห่มร้องไห้ใหญ่โต แต่เลี่ยงพระอรรถไม่ได้ ยังไงพระอรรถก็จะให้แต่ง’
นั่นคือสิ่งที่พ่อขวัญมารายงานหลายวันก่อน แต่กลับกลายว่านั่นเป็นแผนที่คุณกำไลวางไว้ จงใจป่าวร้องว่าตนเองไม่เต็มใจแต่ถูกพ่อบังคับ
หล่อนต้องการปกป้องพ่อของตนเอง โดยยอมรับความมัวหมองเป็นลูกไม่ว่านอนสอนง่าย เป็นหญิงที่อาจหาญปฏิเสธงานแต่งที่ผู้ใหญ่จัดหาให้ อย่างนั้นหรือ
แล้วหากแผนการที่เขาคิดไว้หล่อนน้อมรับ นั่นจะยิ่งไม่เป็นการเพิ่มความเลวร้ายในชีวิต ให้กับผู้หญิงคนหนึ่งมากขึ้นไปกว่าเดิมหรอกหรือ
‘คุณกำไลต้องการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง’
จะมีผู้ชายคนไหนเข้าใจว่าหล่อนจำใจต้องทำ เพื่อไม่ให้ตนเองตกเป็นเครื่องมือเสริมอำนาจของกำนันเดช
“ผู้ชายคนไหนที่จะเข้าใจ ผมไม่เห็นใครเลย...”
เปลวบอกตัวเองไม่ถูกว่าทำไมถึงได้กังวลใจ อาจเพราะเห็นใจลูกสาวพระอรรถชัยที่ต้องแต่งงานกับกำนันเดช ซึ่งมีผลพวงมาจากเรื่องที่พระอรรถชัยเป็นพยานช่วยแม่นวลไว้
หรืออาจเป็นเพราะ... ไม่อาจลืมใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นได้
แม้ว่าหล่อนจะมองเหยียดเขาอย่างนั้นหรือ
ผู้หญิงที่ชะเง้อชะแง้แอบมองคุณพระนพ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสตรีที่บิดาเคยนำมาฝากฝังกับคุณพระ ทว่าท่านไม่รับไว้ แต่หล่อนก็ยังกล้าหัวเราะคิกคักกับบ่าวสาวๆ ดวงตาก็แพรวพราวระยิบระยับยามเมียงมองบุรุษที่พึงใจ
นั่นผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน
แต่ยามที่หล่อนมองเขา ‘รังเกียจ’ รับรู้ได้ทันที
คนไม่ชอบหน้า มองปุ๊บก็รู้ปั๊บ
ก็รู้ทั้งรู้ว่าหล่อนรังเกียจ แต่กลับสลัดไล่ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นออกไปจากความคิดไม่ได้เลย หรือจะเป็นเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆ เมื่อหล่อนเดินผ่าน หรือจะเป็น ‘กลิ่นหอมติดกระดาน’ ที่จำเพาะเขาได้นั่งตรงจุดนั้น
กลิ่นที่กำจายแทรกซึมไปถึงหัวใจแข็งกระด้าง
“คุณกำไล...”
เปลวได้แต่พึมพำ หมายใจว่าไปพระนครครั้งนี้ เขาอาจได้คำตอบที่ทำให้ใจเต้นรัวเร็วยามคิดถึงใบหน้า
‘จะเช้าแล้ว’
ที่เส้นขอบฟ้าเหนือเวิ้งน้ำด้านหน้าให้สีส้มจางๆ ฉาบไล้กับความมืดสนิทที่ค่อยๆ สว่างวาบขึ้นทีละน้อย พอมองเห็นบ้านเรือนสองฝั่งริมคลองได้อย่างรางเลือน และก็เห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวใกล้เข้ามา
เรือพายลำเล็กไม่ตามไฟตะเกียง กำลังหันเหหัวเรือ มุ่งหน้ามายังท่าน้ำ ณ เรือนใหญ่
ณ เรือนพระอรรถชัย‘กำไล’ ทอดสายตาเคร่งเครียดมองน้ำในลำคลองที่ไหลผ่านหน้าเรือน จุดหมายปลายทางก็คือแม่น้ำสายหลักที่พาดผ่านมณฑลแห่งนี้ชั่วขณะหนึ่งแล้วที่หล่อนนั่งปล่อยใจให้ล่องลอยไปดุจดังสายน้ำ ด้วยคิดไม่ตกว่าปัญหายิ่งใหญ่สุดในชีวิตที่พุ่งชนอย่างไม่ปรานีนั้น จะหาหนทางแก้ไขได้อย่างไรในเมื่อตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ ชีวิตของหล่อนมีเพียงพ่อผู้เดียวที่ยินดีเลี้ยงดูอุ้มชูจนเติบใหญ่ และทุกความรักที่พ่อมีต่อหล่อนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พ่อ ‘รัก’ หล่อนจริงแท้แน่นอน รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เมื่อครั้งหล่อนอายุได้ 10 ปีในยามนั้นงานบุญวันสงกรานต์คือธรรมเนียมปฏิบัติที่บุตรหลานญาติสนิทจะได้ไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อนที่โรงเรียนต่างพูดคุยกันในเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่นั้นไม่พ้นเรื่องไปเที่ยวบ้านคุณปู่คุณย่าหรือบ้านคุณตาคุณยายนั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่คุณครูได้จังหวะสอนเรื่องการลำดับญาติพี่น้องหล่อนจึงเพิ่งรู้ตัวว่าญาติทางฝ่ายแม่นั้น หล่อนไม่เคยได้รู้จักใครเลย หล่อนไม่เคยพบคุณตา คุณยาย ไม่รู้เลยว่าหล่อนมีคุณน้า และคุณลุง คุณป้า ทางฝั่งแม่บ้างหรือไม่จำความได้ว
‘ยิ่งโตแม่กำไลก็ยิ่งหน้าเหมือนคุณพี่กานดานะคะ’‘ยิ่งเหมือนก็ยิ่งแสลงใจนะคุณน้อง เถ้าแก่ถึงได้เกลียดหลานสาวในไส้นัก’‘แต่เรื่องเจ็บป่วย จะมาโทษเด็กได้อย่างไรกันคะ แม่กำไลไม่รู้ความเลย’‘เราเป็นคนอื่นก็พูดได้ แต่นั่นลูกท่านตายนะ ซ้ำยังจำเพาะคลอดลูกตายเสียอีก ใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงทำใจลำบาก’‘แล้วไม่สงสารหลานหรือคะ พอลืมตาดูโลก แม่ก็มาตาย ไม่มีใครให้นมให้น้ำ แทนที่จะสงสาร กลับมาชังน้ำหน้าหลาน กล่าวหาว่าหลานทำให้ลูกสาวตาย น้องไม่เข้าใจค่ะ’‘เราไม่เข้าใจความคิดเถ้าแก่หรอก ท่านย่อมมีเหตุผลของท่าน แต่พี่ล่ะเห็นใจพ่ออรรถนัก ครองตัวเป็นม่ายไม่ยอมแต่งเมียใหม่ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไหว้วานแม่สื่อให้หาผู้หญิงมาดูตัวเท่าไร พ่ออรรถก็ไม่สนใจ เกรงแต่ว่าแม่ใหม่จะเข้ากับลูกสาวไม่ได้’‘ก็ส่วนหนึ่งนั่นล่ะค่ะคุณพี่ แต่น้องเคยถามคุณพี่อรรถตรงๆ แล้วนะคะ คุณพี่ท่านว่า ท่านรักคุณพี่กานดาเหลือเกิน เกรงว่าถ้ามีเมียใหม่ คุณพี่กานดาจะเสียใจ’ถ้อยคำสนทนาเหล่านั้นทำให้รู้เหตุที่คุณตาเกลียดหล่อนนัก นั่นเพราะคุณแม่ไม่ได้จากไปเพราะเจ็บป่วย แต่จากไปเพราะคุณแม่ตกเลือดหลังคลอด และหลังจากคุณแม่เสียไม่นาน คุณยายก็มาตรอมใจตายต
เมื่อพลาดจากคุณพระนพ หล่อนก็ยังหมายใจว่าสักวันจะได้เจอใครคนนั้น คนที่หล่อนพึงใจและจะฝากฝังชีวิตไว้ได้ คนที่มีความดีเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะยากจนข้นแค้น หรืออาจเป็นแค่พ่อค้าพ่อขาย หรือคนชาวบ้านทำนา แต่หากมีความดีเป็นที่ตั้ง ทรัพย์ของหล่อนก็เสมือนทรัพย์ของผัว ช่วยกันก่อร่างสร้างตัว หล่อนแน่ใจว่าเขาคนนั้นจะไม่ทำให้หล่อนลำบากแน่แต่ยามนี้เวลาจวนตัว หล่อนจะไปหาใครคนนั้นได้จากที่ไหน ที่ต้องทำคือหาทางออก ทางที่เหมาะสม และต้องทำให้กำนันเดชไม่กล้าราวีหล่อนกับคุณพ่ออีก ‘คุณพ่อคะ เรามาหาทางแก้ไขไปด้วยกันนะคะ’‘แล้วแม่กำไลคิดจะทำเช่นไรลูก เพื่อนฝูงที่พ่อมี บากหน้าไปหา ก็ไม่มีใครกล้ารับปากช่วย มีแต่แบ่งรับแบ่งสู้ คงมีเพียงคุณพระนพท่านเดียวที่จะออกหน้าได้ แต่พ่อก็เกรงใจท่านนัก เพราะเมื่อคราวแรกที่ท่านย้ายมาประจำการที่นี่ใหม่ๆ แทนที่จะช่วยเหลือให้ท่านทำงานง่ายขึ้น พ่อกลับเพิกเฉยหลายสิ่ง เพียงเพราะท่าน...’‘ไม่พึงใจลูก’‘ใช่ ที่พ่อกล้าบากหน้าพาแม่กำไลไปพบท่าน ก็เพราะคิดว่าอย่างไรท่านก็ต้องรับแม่กำไลไว้ แต่ท่านไม่เห็นแก่หน้าพ่อ พ่อก็เลยแทบจะไม่ช่วยเหลือท่านเลย และจะนับเรื่องนังนวลว่าเป
ท่าน้ำเรือนพระเกษตรานพคุณ‘ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์(เปลว)’ กับ หมื่นพิบูลย์ไพศาล(ขวัญ) ยืนอยู่ในมุมมืดของเรือน มองตรงไปยัง พระเกษตรานพคุณ(นพ) และ หลวงธรณีพิทักษ์(ปาน) ที่ยืนส่งพระอรรถชัยลงเรือและเมื่อคุณพระนพพยักหน้าให้สัญญาณว่าตามกันขึ้นไปบนเรือน เปลวกับขวัญก็ไม่รอช้าที่จะตามติดที่ศาลานอกชานเรือน คุณพระนพนั่งอยู่บนตั่ง โดยที่พื้นเรือนนั้นมีปาน เปลว และขวัญนั่งอยู่ไม่ห่าง บรรยากาศเคร่งขรึมเพราะนี่คือการปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นการดีสองอย่างด้วยกันหนึ่ง คือได้ช่วยเหลือพระอรรถชัยกับลูกสาวและสอง คือ ทำให้กำนันเดชรู้ว่าสิ่งใดที่คิดว่าได้มาง่ายนั้น ย่อมไม่ง่ายอีกต่อไปเปลวมองหน้าปานเพราะชั่วอึดใจแล้วก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา คุณพระก็นิ่ง ปานก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ซึ่งโดยปกติแล้วเขาผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรอให้คุณพระเอ่ยปากก่อน แต่ครั้งนี้บางอย่างที่รุกเร้าในใจทำให้ไม่อาจเก็บกิริยานิ่งเฉยอยู่ได้มีเพียงสายตาที่มองสบพี่ชายเท่านั้น ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องราวที่พูดคุยกัน“คุณพระอรรถท่านมาขอให้ช่วย เพราะว่าแม่กำไลไม่เต็มใจแต่งงานกับกำนันเดช”ทว่าคนที่พูดขึ้นมาก
“พ่อเปลวเล่าว่าอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่กับที่พ่อปานเสนอมา”“คุณกำไล... ไม่อยากเป็นเมียกำนันเดชจริงหรือขอรับ”คำถามที่ส่งมาทำให้คุณพระนพสบตากับปาน ต่างมีรอยยิ้มในสีหน้า“จริงสิ คุณพระท่านยืนยันหนักแน่น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องเป่าร้องว่าคุณกำไลร้องห่มร้องไห้ไม่อยากจะออกเรือนกับกำนันเดชหรอก”“แต่ทีแรกคุณพระอรรถยืนยันหนักแน่น ว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับกำนันให้ได้นี่ขอรับ”“หือ... มีเหตุนั้นด้วยรึ”“เอ่อ...”คุณพระนพที่ทำเสียงอือออเอ่ยถาม กับสายตาของท่านที่หมายถึงว่าเขาสนใจเรื่องคุณกำไลด้วยเหรอ ทำให้เปลวยิ่งต้องปั้นหน้านิ่ง ข่มความวูบวาบในหัวใจ และพยายามรวบรวมคำพูดออกมาให้เป็นการเป็นงานมากที่สุด ไม่ให้เจือไปด้วยความในใจของเขารู้ว่าผู้บังคับบัญชา พี่ชาย และน้องชาย ต่างจับจ้องมองอากัปกิริยา เขายิ่งต้องนิ่งต้องเฉย ทำเป็นไม่มีสิ่งใดเจือปน นอกจากเรื่องงาน“กระผมได้ยินมาแบบนั้นขอรับ จึงไม่แน่ใจว่าคุณพระอรรถท่านต้องการให้ช่วยเหลือจริงหรือไม่”“นั่นเป็นแผนของแม่กำไล ทำทีว่าคุณพระท่านไม่ได้ขัดข้อง เป็นตัวแม่กำไลเองที่ฟูมฟายไม่ยอมแต่ง กำนันเดชจะได้วางใจในตัวคุณพระ”“ขอรับ”ความลิงโลดในใจคล้ายจะปิดไม่
ท่าน้ำเรือนพระเกษตรานพคุณ‘ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์(เปลว)’ กับ หมื่นพิบูลย์ไพศาล(ขวัญ) ยืนอยู่ในมุมมืดของเรือน มองตรงไปยัง พระเกษตรานพคุณ(นพ) และ หลวงธรณีพิทักษ์(ปาน) ที่ยืนส่งพระอรรถชัยลงเรือและเมื่อคุณพระนพพยักหน้าให้สัญญาณว่าตามกันขึ้นไปบนเรือน เปลวกับขวัญก็ไม่รอช้าที่จะตามติดที่ศาลานอกชานเรือน คุณพระนพนั่งอยู่บนตั่ง โดยที่พื้นเรือนนั้นมีปาน เปลว และขวัญนั่งอยู่ไม่ห่าง บรรยากาศเคร่งขรึมเพราะนี่คือการปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นการดีสองอย่างด้วยกันหนึ่ง คือได้ช่วยเหลือพระอรรถชัยกับลูกสาวและสอง คือ ทำให้กำนันเดชรู้ว่าสิ่งใดที่คิดว่าได้มาง่ายนั้น ย่อมไม่ง่ายอีกต่อไปเปลวมองหน้าปานเพราะชั่วอึดใจแล้วก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา คุณพระก็นิ่ง ปานก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ซึ่งโดยปกติแล้วเขาผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรอให้คุณพระเอ่ยปากก่อน แต่ครั้งนี้บางอย่างที่รุกเร้าในใจทำให้ไม่อาจเก็บกิริยานิ่งเฉยอยู่ได้มีเพียงสายตาที่มองสบพี่ชายเท่านั้น ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องราวที่พูดคุยกัน“คุณพระอรรถท่านมาขอให้ช่วย เพราะว่าแม่กำไลไม่เต็มใจแต่งงานกับกำนันเดช”ทว่าคนที่พูดขึ้นมาก
เมื่อพลาดจากคุณพระนพ หล่อนก็ยังหมายใจว่าสักวันจะได้เจอใครคนนั้น คนที่หล่อนพึงใจและจะฝากฝังชีวิตไว้ได้ คนที่มีความดีเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะยากจนข้นแค้น หรืออาจเป็นแค่พ่อค้าพ่อขาย หรือคนชาวบ้านทำนา แต่หากมีความดีเป็นที่ตั้ง ทรัพย์ของหล่อนก็เสมือนทรัพย์ของผัว ช่วยกันก่อร่างสร้างตัว หล่อนแน่ใจว่าเขาคนนั้นจะไม่ทำให้หล่อนลำบากแน่แต่ยามนี้เวลาจวนตัว หล่อนจะไปหาใครคนนั้นได้จากที่ไหน ที่ต้องทำคือหาทางออก ทางที่เหมาะสม และต้องทำให้กำนันเดชไม่กล้าราวีหล่อนกับคุณพ่ออีก ‘คุณพ่อคะ เรามาหาทางแก้ไขไปด้วยกันนะคะ’‘แล้วแม่กำไลคิดจะทำเช่นไรลูก เพื่อนฝูงที่พ่อมี บากหน้าไปหา ก็ไม่มีใครกล้ารับปากช่วย มีแต่แบ่งรับแบ่งสู้ คงมีเพียงคุณพระนพท่านเดียวที่จะออกหน้าได้ แต่พ่อก็เกรงใจท่านนัก เพราะเมื่อคราวแรกที่ท่านย้ายมาประจำการที่นี่ใหม่ๆ แทนที่จะช่วยเหลือให้ท่านทำงานง่ายขึ้น พ่อกลับเพิกเฉยหลายสิ่ง เพียงเพราะท่าน...’‘ไม่พึงใจลูก’‘ใช่ ที่พ่อกล้าบากหน้าพาแม่กำไลไปพบท่าน ก็เพราะคิดว่าอย่างไรท่านก็ต้องรับแม่กำไลไว้ แต่ท่านไม่เห็นแก่หน้าพ่อ พ่อก็เลยแทบจะไม่ช่วยเหลือท่านเลย และจะนับเรื่องนังนวลว่าเป
‘ยิ่งโตแม่กำไลก็ยิ่งหน้าเหมือนคุณพี่กานดานะคะ’‘ยิ่งเหมือนก็ยิ่งแสลงใจนะคุณน้อง เถ้าแก่ถึงได้เกลียดหลานสาวในไส้นัก’‘แต่เรื่องเจ็บป่วย จะมาโทษเด็กได้อย่างไรกันคะ แม่กำไลไม่รู้ความเลย’‘เราเป็นคนอื่นก็พูดได้ แต่นั่นลูกท่านตายนะ ซ้ำยังจำเพาะคลอดลูกตายเสียอีก ใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงทำใจลำบาก’‘แล้วไม่สงสารหลานหรือคะ พอลืมตาดูโลก แม่ก็มาตาย ไม่มีใครให้นมให้น้ำ แทนที่จะสงสาร กลับมาชังน้ำหน้าหลาน กล่าวหาว่าหลานทำให้ลูกสาวตาย น้องไม่เข้าใจค่ะ’‘เราไม่เข้าใจความคิดเถ้าแก่หรอก ท่านย่อมมีเหตุผลของท่าน แต่พี่ล่ะเห็นใจพ่ออรรถนัก ครองตัวเป็นม่ายไม่ยอมแต่งเมียใหม่ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไหว้วานแม่สื่อให้หาผู้หญิงมาดูตัวเท่าไร พ่ออรรถก็ไม่สนใจ เกรงแต่ว่าแม่ใหม่จะเข้ากับลูกสาวไม่ได้’‘ก็ส่วนหนึ่งนั่นล่ะค่ะคุณพี่ แต่น้องเคยถามคุณพี่อรรถตรงๆ แล้วนะคะ คุณพี่ท่านว่า ท่านรักคุณพี่กานดาเหลือเกิน เกรงว่าถ้ามีเมียใหม่ คุณพี่กานดาจะเสียใจ’ถ้อยคำสนทนาเหล่านั้นทำให้รู้เหตุที่คุณตาเกลียดหล่อนนัก นั่นเพราะคุณแม่ไม่ได้จากไปเพราะเจ็บป่วย แต่จากไปเพราะคุณแม่ตกเลือดหลังคลอด และหลังจากคุณแม่เสียไม่นาน คุณยายก็มาตรอมใจตายต
ณ เรือนพระอรรถชัย‘กำไล’ ทอดสายตาเคร่งเครียดมองน้ำในลำคลองที่ไหลผ่านหน้าเรือน จุดหมายปลายทางก็คือแม่น้ำสายหลักที่พาดผ่านมณฑลแห่งนี้ชั่วขณะหนึ่งแล้วที่หล่อนนั่งปล่อยใจให้ล่องลอยไปดุจดังสายน้ำ ด้วยคิดไม่ตกว่าปัญหายิ่งใหญ่สุดในชีวิตที่พุ่งชนอย่างไม่ปรานีนั้น จะหาหนทางแก้ไขได้อย่างไรในเมื่อตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ ชีวิตของหล่อนมีเพียงพ่อผู้เดียวที่ยินดีเลี้ยงดูอุ้มชูจนเติบใหญ่ และทุกความรักที่พ่อมีต่อหล่อนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พ่อ ‘รัก’ หล่อนจริงแท้แน่นอน รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เมื่อครั้งหล่อนอายุได้ 10 ปีในยามนั้นงานบุญวันสงกรานต์คือธรรมเนียมปฏิบัติที่บุตรหลานญาติสนิทจะได้ไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อนที่โรงเรียนต่างพูดคุยกันในเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่นั้นไม่พ้นเรื่องไปเที่ยวบ้านคุณปู่คุณย่าหรือบ้านคุณตาคุณยายนั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่คุณครูได้จังหวะสอนเรื่องการลำดับญาติพี่น้องหล่อนจึงเพิ่งรู้ตัวว่าญาติทางฝ่ายแม่นั้น หล่อนไม่เคยได้รู้จักใครเลย หล่อนไม่เคยพบคุณตา คุณยาย ไม่รู้เลยว่าหล่อนมีคุณน้า และคุณลุง คุณป้า ทางฝั่งแม่บ้างหรือไม่จำความได้ว