ณ เรือนพระอรรถชัย
‘กำไล’ ทอดสายตาเคร่งเครียดมองน้ำในลำคลองที่ไหลผ่านหน้าเรือน จุดหมายปลายทางก็คือแม่น้ำสายหลักที่พาดผ่านมณฑลแห่งนี้
ชั่วขณะหนึ่งแล้วที่หล่อนนั่งปล่อยใจให้ล่องลอยไปดุจดังสายน้ำ ด้วยคิดไม่ตกว่าปัญหายิ่งใหญ่สุดในชีวิตที่พุ่งชนอย่างไม่ปรานีนั้น จะหาหนทางแก้ไขได้อย่างไร
ในเมื่อตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ ชีวิตของหล่อนมีเพียงพ่อผู้เดียวที่ยินดีเลี้ยงดูอุ้มชูจนเติบใหญ่ และทุกความรักที่พ่อมีต่อหล่อนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พ่อ ‘รัก’ หล่อนจริงแท้แน่นอน รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
นึกย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เมื่อครั้งหล่อนอายุได้ 10 ปี
ในยามนั้นงานบุญวันสงกรานต์คือธรรมเนียมปฏิบัติที่บุตรหลานญาติสนิทจะได้ไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อนที่โรงเรียนต่างพูดคุยกันในเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่นั้นไม่พ้นเรื่องไปเที่ยวบ้านคุณปู่คุณย่าหรือบ้านคุณตาคุณยาย
นั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่คุณครูได้จังหวะสอนเรื่องการลำดับญาติพี่น้อง
หล่อนจึงเพิ่งรู้ตัวว่าญาติทางฝ่ายแม่นั้น หล่อนไม่เคยได้รู้จักใครเลย หล่อนไม่เคยพบคุณตา คุณยาย ไม่รู้เลยว่าหล่อนมีคุณน้า และคุณลุง คุณป้า ทางฝั่งแม่บ้างหรือไม่
จำความได้ว่าไม่เคยพบ และคุณพ่อก็ไม่เคยพูดถึงพวกท่านเหล่านั้น
หล่อนจึงสอบถามว่าพวกท่านเป็นใคร อยู่ที่ไหน ชื่อเรียงเสียงใด แต่คุณพ่อกลับบอกเพียงว่าท่านเป็นเจ้าของโรงสีข้าวขนาดใหญ่อยู่อีกฟากหนึ่งของพระนคร และเป็นคนไทยเชื้อสายจีน
มิน่า... หล่อนถึงได้มีผิวขาวผิดแผลกไปจากเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งคุณพ่อบอกว่าหล่อนขาวได้แม่
รู้ดังนั้น หล่อนจึงร่ำร้องว่าต้องการไปกราบท่านบ้าง เหมือนที่เพื่อนร่วมห้องไปเยี่ยมเยือนญาติผู้ใหญ่ อยากรู้ว่าหล่อนมีคุณน้าหรือไม่ และคุณแม่มีพี่สาวพี่ชายไหม แต่ละท่านนั้นก็น่าจะมีลูก หล่อนก็จะได้มีญาติพี่น้องเพิ่ม
แต่คุณพ่อกลับบอกว่าไม่สะดวกในการเดินทาง ด้วยเรือนคุณตาคุณยายอยู่ไกลมาก ต้องนั่งเรือ ต่อรถไฟ จากนั้นก็ต้องต่อเรืออีกรอบ ล่องไปตามเรือกสวนไร่นา ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้สะดวกสบายอย่างเรือนเรา ซ้ำต้องออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง กว่าจะถึงเรือนคุณตาคุณยายก็เย็นย่ำค่ำพอดี
นั่นคือเหตุผลที่ท่านไม่เคยพาไปเลย เพราะคุณพ่อเกรงว่าหล่อนจะเหนื่อยและพานจะเป็นไข้ เพราะตั้งแต่เด็กก็ป่วยกระเสาะกระแสะ
ได้ฟังดังนั้น หล่อนยิ่งมีแรงฮึดที่จะต้องไปเจอหน้าคุณตาคุณยายให้ได้ ไม่ว่าคุณพ่อจะบอกว่าหนทางลำบาก แต่หล่อนก็ใคร่จะได้พบหน้าพวกท่าน หมายใจว่าเมื่อหลังสงกรานต์ได้เจอเพื่อนๆ อีกครั้ง หล่อนจะได้มีเรื่องคุยว่าบ้านคุณตาคุณยายของหล่อนนั้นไปลำบากมาก ต้องนั่งรถต่อเรือหลายต่อ แต่ก็สนุกสนานเหลือเกิน
นั่นเป็นความสนุกที่เด็กวัย 10 ปี อย่างหล่อนคาดหวังและจินตนาการเพริศแพร้ว
ทว่า... สิ่งที่คิดกับความจริงช่างสวนทางอย่างสิ้นเชิง หล่อนควรเชื่อคำคุณพ่อ ไม่ควรรบเร้าให้ท่านพาไปที่นั่นเลย ด้วยเสียงแผดลั่นตั้งแต่คุณพ่อพาหล่อนย่างเท้าเข้าสู่ใต้ชายคา
‘พามันมาทำไม! ฉันบอกแล้วไม่ใช่รึพ่ออรรถ ถ้าพ่อจะมาก็มาแค่คนเดียว อีนังตัวอัปรีย์นั่น! ไม่ต้องพามา อย่าเอามาเหยียบเรือนฉันให้เป็นเสนียด’
‘โธ่... คุณพ่อขอรับ แม่กำไลเป็นหลานแท้ๆ ของคุณพ่อนะขอรับ เหตุใดคุณพ่อถึงไม่ปล่อยวาง แม่กานดาก็จากไปตั้งหลายปีแล้ว แล้วคุณพ่อดูสิขอรับ แม่กำไลยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนแม่กานดาไม่มีผิด ไม่ว่าจะเป็นกิริยาท่าทาง ความฉลาดเฉลียว ไม่ต่างกันเลยขอรับ โดยเฉพาะผิวพรรณนั่น คุณพ่อดูสิครับทอดแบบแม่กานดามาชัดๆ เลย’
‘ก็เพราะมันเหมือนแม่ไง ฉันจึงชังมันนัก และพ่ออย่ามาบอกว่ามันเป็นหลานฉัน เพราะฉันไม่มีวันลืม ว่ามันเป็นคนทำให้ลูกฉันตาย ซ้ำเมียฉันยังต้องมาตรอมใจตายตามลูกไปอีกคน พ่อมาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ต้อนรับ ถ้าพ่อจะมาก็มาแค่ตัวคนเดียว อย่าพาอีนังตัวอัปรีย์นี่มาด้วย พามันออกไป!’
นั่นคือเสียงตวาดก้องของคุณตา ทั้งที่เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้เจอหน้าท่านกับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ทางฝั่งแม่แท้ๆ
ในยามนั้นไม่รู้เลยว่าทำไมท่านถึง ‘เกลียด’ สายตาของท่านที่มองมาฉายถึงความเกลียดชังอย่างหาที่สุดไม่ได้ ทำให้หล่อนหนาวสะท้านสั่นในอก จนคุณพ่อต้องกอดปลอบขวัญอยู่นาน
จำได้ว่าหล่อนหวาดผวาจนฝันร้ายและเป็นไข้อยู่หลายวัน ในฝันสายตาของคุณตาไม่ได้ละความเกลียดชังลงเลย รวมทั้งสายตาของอีกหลายท่านที่อยู่ในเรือนคุณตาที่หล่อนเข้าใจว่าเป็นญาติทางฝั่งแม่
บ้างก็มองมาอย่างเกลียดชังไม่ต่างจากคุณตา บ้างก็มองด้วยความเคร่งเครียด บ้างก็มีแววกรุ่นแต่ไม่ถึงกับเกลียด แต่โดยรวมแล้ว ไม่มีใครเลยที่ยินดีที่หล่อนไปเยือนในคราวนั้น
จากวันนั้นหล่อนก็ไม่กล้ารบเร้าถามไถ่เรื่องเกี่ยวกับคุณตาคุณยายจากคุณพ่ออีกเลย
จวบจนเมื่อโตขึ้นพอรู้ความ เมื่อใดก็ตามที่เจอญาติพี่น้องทางฝั่งคุณพ่อ ก็ไม่พ้นที่จะได้ยินเรื่องราวของตัวหล่อนเอง
‘ยิ่งโตแม่กำไลก็ยิ่งหน้าเหมือนคุณพี่กานดานะคะ’‘ยิ่งเหมือนก็ยิ่งแสลงใจนะคุณน้อง เถ้าแก่ถึงได้เกลียดหลานสาวในไส้นัก’‘แต่เรื่องเจ็บป่วย จะมาโทษเด็กได้อย่างไรกันคะ แม่กำไลไม่รู้ความเลย’‘เราเป็นคนอื่นก็พูดได้ แต่นั่นลูกท่านตายนะ ซ้ำยังจำเพาะคลอดลูกตายเสียอีก ใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงทำใจลำบาก’‘แล้วไม่สงสารหลานหรือคะ พอลืมตาดูโลก แม่ก็มาตาย ไม่มีใครให้นมให้น้ำ แทนที่จะสงสาร กลับมาชังน้ำหน้าหลาน กล่าวหาว่าหลานทำให้ลูกสาวตาย น้องไม่เข้าใจค่ะ’‘เราไม่เข้าใจความคิดเถ้าแก่หรอก ท่านย่อมมีเหตุผลของท่าน แต่พี่ล่ะเห็นใจพ่ออรรถนัก ครองตัวเป็นม่ายไม่ยอมแต่งเมียใหม่ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไหว้วานแม่สื่อให้หาผู้หญิงมาดูตัวเท่าไร พ่ออรรถก็ไม่สนใจ เกรงแต่ว่าแม่ใหม่จะเข้ากับลูกสาวไม่ได้’‘ก็ส่วนหนึ่งนั่นล่ะค่ะคุณพี่ แต่น้องเคยถามคุณพี่อรรถตรงๆ แล้วนะคะ คุณพี่ท่านว่า ท่านรักคุณพี่กานดาเหลือเกิน เกรงว่าถ้ามีเมียใหม่ คุณพี่กานดาจะเสียใจ’ถ้อยคำสนทนาเหล่านั้นทำให้รู้เหตุที่คุณตาเกลียดหล่อนนัก นั่นเพราะคุณแม่ไม่ได้จากไปเพราะเจ็บป่วย แต่จากไปเพราะคุณแม่ตกเลือดหลังคลอด และหลังจากคุณแม่เสียไม่นาน คุณยายก็มาตรอมใจตายต
เมื่อพลาดจากคุณพระนพ หล่อนก็ยังหมายใจว่าสักวันจะได้เจอใครคนนั้น คนที่หล่อนพึงใจและจะฝากฝังชีวิตไว้ได้ คนที่มีความดีเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะยากจนข้นแค้น หรืออาจเป็นแค่พ่อค้าพ่อขาย หรือคนชาวบ้านทำนา แต่หากมีความดีเป็นที่ตั้ง ทรัพย์ของหล่อนก็เสมือนทรัพย์ของผัว ช่วยกันก่อร่างสร้างตัว หล่อนแน่ใจว่าเขาคนนั้นจะไม่ทำให้หล่อนลำบากแน่แต่ยามนี้เวลาจวนตัว หล่อนจะไปหาใครคนนั้นได้จากที่ไหน ที่ต้องทำคือหาทางออก ทางที่เหมาะสม และต้องทำให้กำนันเดชไม่กล้าราวีหล่อนกับคุณพ่ออีก ‘คุณพ่อคะ เรามาหาทางแก้ไขไปด้วยกันนะคะ’‘แล้วแม่กำไลคิดจะทำเช่นไรลูก เพื่อนฝูงที่พ่อมี บากหน้าไปหา ก็ไม่มีใครกล้ารับปากช่วย มีแต่แบ่งรับแบ่งสู้ คงมีเพียงคุณพระนพท่านเดียวที่จะออกหน้าได้ แต่พ่อก็เกรงใจท่านนัก เพราะเมื่อคราวแรกที่ท่านย้ายมาประจำการที่นี่ใหม่ๆ แทนที่จะช่วยเหลือให้ท่านทำงานง่ายขึ้น พ่อกลับเพิกเฉยหลายสิ่ง เพียงเพราะท่าน...’‘ไม่พึงใจลูก’‘ใช่ ที่พ่อกล้าบากหน้าพาแม่กำไลไปพบท่าน ก็เพราะคิดว่าอย่างไรท่านก็ต้องรับแม่กำไลไว้ แต่ท่านไม่เห็นแก่หน้าพ่อ พ่อก็เลยแทบจะไม่ช่วยเหลือท่านเลย และจะนับเรื่องนังนวลว่าเป
ท่าน้ำเรือนพระเกษตรานพคุณ‘ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์(เปลว)’ กับ หมื่นพิบูลย์ไพศาล(ขวัญ) ยืนอยู่ในมุมมืดของเรือน มองตรงไปยัง พระเกษตรานพคุณ(นพ) และ หลวงธรณีพิทักษ์(ปาน) ที่ยืนส่งพระอรรถชัยลงเรือและเมื่อคุณพระนพพยักหน้าให้สัญญาณว่าตามกันขึ้นไปบนเรือน เปลวกับขวัญก็ไม่รอช้าที่จะตามติดที่ศาลานอกชานเรือน คุณพระนพนั่งอยู่บนตั่ง โดยที่พื้นเรือนนั้นมีปาน เปลว และขวัญนั่งอยู่ไม่ห่าง บรรยากาศเคร่งขรึมเพราะนี่คือการปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นการดีสองอย่างด้วยกันหนึ่ง คือได้ช่วยเหลือพระอรรถชัยกับลูกสาวและสอง คือ ทำให้กำนันเดชรู้ว่าสิ่งใดที่คิดว่าได้มาง่ายนั้น ย่อมไม่ง่ายอีกต่อไปเปลวมองหน้าปานเพราะชั่วอึดใจแล้วก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา คุณพระก็นิ่ง ปานก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ซึ่งโดยปกติแล้วเขาผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรอให้คุณพระเอ่ยปากก่อน แต่ครั้งนี้บางอย่างที่รุกเร้าในใจทำให้ไม่อาจเก็บกิริยานิ่งเฉยอยู่ได้มีเพียงสายตาที่มองสบพี่ชายเท่านั้น ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องราวที่พูดคุยกัน“คุณพระอรรถท่านมาขอให้ช่วย เพราะว่าแม่กำไลไม่เต็มใจแต่งงานกับกำนันเดช”ทว่าคนที่พูดขึ้นมาก
“พ่อเปลวเล่าว่าอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่กับที่พ่อปานเสนอมา”“คุณกำไล... ไม่อยากเป็นเมียกำนันเดชจริงหรือขอรับ”คำถามที่ส่งมาทำให้คุณพระนพสบตากับปาน ต่างมีรอยยิ้มในสีหน้า“จริงสิ คุณพระท่านยืนยันหนักแน่น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องเป่าร้องว่าคุณกำไลร้องห่มร้องไห้ไม่อยากจะออกเรือนกับกำนันเดชหรอก”“แต่ทีแรกคุณพระอรรถยืนยันหนักแน่น ว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับกำนันให้ได้นี่ขอรับ”“หือ... มีเหตุนั้นด้วยรึ”“เอ่อ...”คุณพระนพที่ทำเสียงอือออเอ่ยถาม กับสายตาของท่านที่หมายถึงว่าเขาสนใจเรื่องคุณกำไลด้วยเหรอ ทำให้เปลวยิ่งต้องปั้นหน้านิ่ง ข่มความวูบวาบในหัวใจ และพยายามรวบรวมคำพูดออกมาให้เป็นการเป็นงานมากที่สุด ไม่ให้เจือไปด้วยความในใจของเขารู้ว่าผู้บังคับบัญชา พี่ชาย และน้องชาย ต่างจับจ้องมองอากัปกิริยา เขายิ่งต้องนิ่งต้องเฉย ทำเป็นไม่มีสิ่งใดเจือปน นอกจากเรื่องงาน“กระผมได้ยินมาแบบนั้นขอรับ จึงไม่แน่ใจว่าคุณพระอรรถท่านต้องการให้ช่วยเหลือจริงหรือไม่”“นั่นเป็นแผนของแม่กำไล ทำทีว่าคุณพระท่านไม่ได้ขัดข้อง เป็นตัวแม่กำไลเองที่ฟูมฟายไม่ยอมแต่ง กำนันเดชจะได้วางใจในตัวคุณพระ”“ขอรับ”ความลิงโลดในใจคล้ายจะปิดไม่
“พ่อเปลวเล่าว่าอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่กับที่พ่อปานเสนอมา”“คุณกำไล... ไม่อยากเป็นเมียกำนันเดชจริงหรือขอรับ”คำถามที่ส่งมาทำให้คุณพระนพสบตากับปาน ต่างมีรอยยิ้มในสีหน้า“จริงสิ คุณพระท่านยืนยันหนักแน่น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องเป่าร้องว่าคุณกำไลร้องห่มร้องไห้ไม่อยากจะออกเรือนกับกำนันเดชหรอก”“แต่ทีแรกคุณพระอรรถยืนยันหนักแน่น ว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับกำนันให้ได้นี่ขอรับ”“หือ... มีเหตุนั้นด้วยรึ”“เอ่อ...”คุณพระนพที่ทำเสียงอือออเอ่ยถาม กับสายตาของท่านที่หมายถึงว่าเขาสนใจเรื่องคุณกำไลด้วยเหรอ ทำให้เปลวยิ่งต้องปั้นหน้านิ่ง ข่มความวูบวาบในหัวใจ และพยายามรวบรวมคำพูดออกมาให้เป็นการเป็นงานมากที่สุด ไม่ให้เจือไปด้วยความในใจของเขารู้ว่าผู้บังคับบัญชา พี่ชาย และน้องชาย ต่างจับจ้องมองอากัปกิริยา เขายิ่งต้องนิ่งต้องเฉย ทำเป็นไม่มีสิ่งใดเจือปน นอกจากเรื่องงาน“กระผมได้ยินมาแบบนั้นขอรับ จึงไม่แน่ใจว่าคุณพระอรรถท่านต้องการให้ช่วยเหลือจริงหรือไม่”“นั่นเป็นแผนของแม่กำไล ทำทีว่าคุณพระท่านไม่ได้ขัดข้อง เป็นตัวแม่กำไลเองที่ฟูมฟายไม่ยอมแต่ง กำนันเดชจะได้วางใจในตัวคุณพระ”“ขอรับ”ความลิงโลดในใจคล้ายจะปิดไม่
ท่าน้ำเรือนพระเกษตรานพคุณ‘ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์(เปลว)’ กับ หมื่นพิบูลย์ไพศาล(ขวัญ) ยืนอยู่ในมุมมืดของเรือน มองตรงไปยัง พระเกษตรานพคุณ(นพ) และ หลวงธรณีพิทักษ์(ปาน) ที่ยืนส่งพระอรรถชัยลงเรือและเมื่อคุณพระนพพยักหน้าให้สัญญาณว่าตามกันขึ้นไปบนเรือน เปลวกับขวัญก็ไม่รอช้าที่จะตามติดที่ศาลานอกชานเรือน คุณพระนพนั่งอยู่บนตั่ง โดยที่พื้นเรือนนั้นมีปาน เปลว และขวัญนั่งอยู่ไม่ห่าง บรรยากาศเคร่งขรึมเพราะนี่คือการปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นการดีสองอย่างด้วยกันหนึ่ง คือได้ช่วยเหลือพระอรรถชัยกับลูกสาวและสอง คือ ทำให้กำนันเดชรู้ว่าสิ่งใดที่คิดว่าได้มาง่ายนั้น ย่อมไม่ง่ายอีกต่อไปเปลวมองหน้าปานเพราะชั่วอึดใจแล้วก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา คุณพระก็นิ่ง ปานก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ซึ่งโดยปกติแล้วเขาผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรอให้คุณพระเอ่ยปากก่อน แต่ครั้งนี้บางอย่างที่รุกเร้าในใจทำให้ไม่อาจเก็บกิริยานิ่งเฉยอยู่ได้มีเพียงสายตาที่มองสบพี่ชายเท่านั้น ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องราวที่พูดคุยกัน“คุณพระอรรถท่านมาขอให้ช่วย เพราะว่าแม่กำไลไม่เต็มใจแต่งงานกับกำนันเดช”ทว่าคนที่พูดขึ้นมาก
เมื่อพลาดจากคุณพระนพ หล่อนก็ยังหมายใจว่าสักวันจะได้เจอใครคนนั้น คนที่หล่อนพึงใจและจะฝากฝังชีวิตไว้ได้ คนที่มีความดีเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะยากจนข้นแค้น หรืออาจเป็นแค่พ่อค้าพ่อขาย หรือคนชาวบ้านทำนา แต่หากมีความดีเป็นที่ตั้ง ทรัพย์ของหล่อนก็เสมือนทรัพย์ของผัว ช่วยกันก่อร่างสร้างตัว หล่อนแน่ใจว่าเขาคนนั้นจะไม่ทำให้หล่อนลำบากแน่แต่ยามนี้เวลาจวนตัว หล่อนจะไปหาใครคนนั้นได้จากที่ไหน ที่ต้องทำคือหาทางออก ทางที่เหมาะสม และต้องทำให้กำนันเดชไม่กล้าราวีหล่อนกับคุณพ่ออีก ‘คุณพ่อคะ เรามาหาทางแก้ไขไปด้วยกันนะคะ’‘แล้วแม่กำไลคิดจะทำเช่นไรลูก เพื่อนฝูงที่พ่อมี บากหน้าไปหา ก็ไม่มีใครกล้ารับปากช่วย มีแต่แบ่งรับแบ่งสู้ คงมีเพียงคุณพระนพท่านเดียวที่จะออกหน้าได้ แต่พ่อก็เกรงใจท่านนัก เพราะเมื่อคราวแรกที่ท่านย้ายมาประจำการที่นี่ใหม่ๆ แทนที่จะช่วยเหลือให้ท่านทำงานง่ายขึ้น พ่อกลับเพิกเฉยหลายสิ่ง เพียงเพราะท่าน...’‘ไม่พึงใจลูก’‘ใช่ ที่พ่อกล้าบากหน้าพาแม่กำไลไปพบท่าน ก็เพราะคิดว่าอย่างไรท่านก็ต้องรับแม่กำไลไว้ แต่ท่านไม่เห็นแก่หน้าพ่อ พ่อก็เลยแทบจะไม่ช่วยเหลือท่านเลย และจะนับเรื่องนังนวลว่าเป
‘ยิ่งโตแม่กำไลก็ยิ่งหน้าเหมือนคุณพี่กานดานะคะ’‘ยิ่งเหมือนก็ยิ่งแสลงใจนะคุณน้อง เถ้าแก่ถึงได้เกลียดหลานสาวในไส้นัก’‘แต่เรื่องเจ็บป่วย จะมาโทษเด็กได้อย่างไรกันคะ แม่กำไลไม่รู้ความเลย’‘เราเป็นคนอื่นก็พูดได้ แต่นั่นลูกท่านตายนะ ซ้ำยังจำเพาะคลอดลูกตายเสียอีก ใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงทำใจลำบาก’‘แล้วไม่สงสารหลานหรือคะ พอลืมตาดูโลก แม่ก็มาตาย ไม่มีใครให้นมให้น้ำ แทนที่จะสงสาร กลับมาชังน้ำหน้าหลาน กล่าวหาว่าหลานทำให้ลูกสาวตาย น้องไม่เข้าใจค่ะ’‘เราไม่เข้าใจความคิดเถ้าแก่หรอก ท่านย่อมมีเหตุผลของท่าน แต่พี่ล่ะเห็นใจพ่ออรรถนัก ครองตัวเป็นม่ายไม่ยอมแต่งเมียใหม่ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไหว้วานแม่สื่อให้หาผู้หญิงมาดูตัวเท่าไร พ่ออรรถก็ไม่สนใจ เกรงแต่ว่าแม่ใหม่จะเข้ากับลูกสาวไม่ได้’‘ก็ส่วนหนึ่งนั่นล่ะค่ะคุณพี่ แต่น้องเคยถามคุณพี่อรรถตรงๆ แล้วนะคะ คุณพี่ท่านว่า ท่านรักคุณพี่กานดาเหลือเกิน เกรงว่าถ้ามีเมียใหม่ คุณพี่กานดาจะเสียใจ’ถ้อยคำสนทนาเหล่านั้นทำให้รู้เหตุที่คุณตาเกลียดหล่อนนัก นั่นเพราะคุณแม่ไม่ได้จากไปเพราะเจ็บป่วย แต่จากไปเพราะคุณแม่ตกเลือดหลังคลอด และหลังจากคุณแม่เสียไม่นาน คุณยายก็มาตรอมใจตายต
ณ เรือนพระอรรถชัย‘กำไล’ ทอดสายตาเคร่งเครียดมองน้ำในลำคลองที่ไหลผ่านหน้าเรือน จุดหมายปลายทางก็คือแม่น้ำสายหลักที่พาดผ่านมณฑลแห่งนี้ชั่วขณะหนึ่งแล้วที่หล่อนนั่งปล่อยใจให้ล่องลอยไปดุจดังสายน้ำ ด้วยคิดไม่ตกว่าปัญหายิ่งใหญ่สุดในชีวิตที่พุ่งชนอย่างไม่ปรานีนั้น จะหาหนทางแก้ไขได้อย่างไรในเมื่อตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ ชีวิตของหล่อนมีเพียงพ่อผู้เดียวที่ยินดีเลี้ยงดูอุ้มชูจนเติบใหญ่ และทุกความรักที่พ่อมีต่อหล่อนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พ่อ ‘รัก’ หล่อนจริงแท้แน่นอน รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เมื่อครั้งหล่อนอายุได้ 10 ปีในยามนั้นงานบุญวันสงกรานต์คือธรรมเนียมปฏิบัติที่บุตรหลานญาติสนิทจะได้ไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อนที่โรงเรียนต่างพูดคุยกันในเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่นั้นไม่พ้นเรื่องไปเที่ยวบ้านคุณปู่คุณย่าหรือบ้านคุณตาคุณยายนั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่คุณครูได้จังหวะสอนเรื่องการลำดับญาติพี่น้องหล่อนจึงเพิ่งรู้ตัวว่าญาติทางฝ่ายแม่นั้น หล่อนไม่เคยได้รู้จักใครเลย หล่อนไม่เคยพบคุณตา คุณยาย ไม่รู้เลยว่าหล่อนมีคุณน้า และคุณลุง คุณป้า ทางฝั่งแม่บ้างหรือไม่จำความได้ว