‘ยิ่งโตแม่กำไลก็ยิ่งหน้าเหมือนคุณพี่กานดานะคะ’
‘ยิ่งเหมือนก็ยิ่งแสลงใจนะคุณน้อง เถ้าแก่ถึงได้เกลียดหลานสาวในไส้นัก’
‘แต่เรื่องเจ็บป่วย จะมาโทษเด็กได้อย่างไรกันคะ แม่กำไลไม่รู้ความเลย’
‘เราเป็นคนอื่นก็พูดได้ แต่นั่นลูกท่านตายนะ ซ้ำยังจำเพาะคลอดลูกตายเสียอีก ใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงทำใจลำบาก’
‘แล้วไม่สงสารหลานหรือคะ พอลืมตาดูโลก แม่ก็มาตาย ไม่มีใครให้นมให้น้ำ แทนที่จะสงสาร กลับมาชังน้ำหน้าหลาน กล่าวหาว่าหลานทำให้ลูกสาวตาย น้องไม่เข้าใจค่ะ’
‘เราไม่เข้าใจความคิดเถ้าแก่หรอก ท่านย่อมมีเหตุผลของท่าน แต่พี่ล่ะเห็นใจพ่ออรรถนัก ครองตัวเป็นม่ายไม่ยอมแต่งเมียใหม่ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไหว้วานแม่สื่อให้หาผู้หญิงมาดูตัวเท่าไร พ่ออรรถก็ไม่สนใจ เกรงแต่ว่าแม่ใหม่จะเข้ากับลูกสาวไม่ได้’
‘ก็ส่วนหนึ่งนั่นล่ะค่ะคุณพี่ แต่น้องเคยถามคุณพี่อรรถตรงๆ แล้วนะคะ คุณพี่ท่านว่า ท่านรักคุณพี่กานดาเหลือเกิน เกรงว่าถ้ามีเมียใหม่ คุณพี่กานดาจะเสียใจ’
ถ้อยคำสนทนาเหล่านั้นทำให้รู้เหตุที่คุณตาเกลียดหล่อนนัก นั่นเพราะคุณแม่ไม่ได้จากไปเพราะเจ็บป่วย แต่จากไปเพราะคุณแม่ตกเลือดหลังคลอด และหลังจากคุณแม่เสียไม่นาน คุณยายก็มาตรอมใจตายตามคุณแม่ไปอีกคน
นั่นทำให้หล่อนไม่โกรธเคืองคุณตาเลยที่ท่านเกลียดหล่อน หล่อนกลับเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไป เพราะคุณพ่อเองก็คงไม่ยอมสูญเสียหล่อนเช่นกัน
กำไลนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ คุณพ่อวิ่งเต้นเข้าออกตามเรือนของผู้มีอำนาจ เรือนของผู้ที่ท่านเรียกว่าเป็นเพื่อน หวังให้ช่วยเหลือหล่อน ช่วยพูด หรือช่วยอย่างไรก็ได้ให้หล่อนไม่ต้องตกไปเป็นเมียของกำนันเดช ทว่าไม่มีเรือนใดเลยที่ตกปากรับคำ มีแต่ไม่กล้า กับแบ่งรับแบ่งสู้
แต่เมื่อคุณพ่อพบหน้าหล่อน ใบหน้าที่อมทุกข์ก็แสร้งยิ้มแย้มว่าไม่มีอะไร ปลอบใจว่าเรื่องนี้ท่านแก้ไขได้แน่ ให้หล่อนวางใจ ให้หล่อนไม่ต้องห่วง แต่หล่อนซึ่งเป็นลูกจะปล่อยให้คุณพ่อทุกข์เพียงลำพังได้อย่างไร
‘พ่อไม่น่าไปช่วยนังนวลมันเลย แม่กำไลเลยต้องเดือดร้อนแบบนี้ พ่อน่าจะปล่อยให้คุณพระนพท่านจัดการกันเอง เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้ลองนั่ง ดันเอากระดูกมาแขวนคอเสียอีก แล้วดูนี่สิไอ้กำนันมันไม่ยอม อย่างไรมันก็จะบีบให้พ่อยกแม่กำไลให้มันให้ได้ มันขู่พ่อ ถ้าไม่ได้คำตอบในก่อนวันพระหน้า มันจะยื่นหนังสือไปที่ยกกระบัตร’
ในเรื่องเงินสินบน แม้จะผิดแต่หล่อนก็ไม่โทษคุณพ่อ เพราะข้าราชการบางครั้งก็ไม่อาจต่อกรกับผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นได้ เช่นเรื่องพ่อแม่ของนวลที่กู้เงินกำนันเดช แม้คุณพ่อของหล่อนจะรู้ว่ากำนันโกง แต่ท่านก็จำต้องเงียบไว้เพราะไม่อยากให้มีเรื่องเดือดร้อน ซึ่งก็เห็นได้ชัดเจนเมื่อท่านยื่นมือเข้าไปช่วยนวล เรื่องราวก็กลับกลายเป็นแบบนี้ คือกำนันยกมาเป็นข้ออ้างต้องการแต่งหล่อนเป็นเมีย
‘คุณพ่ออย่าคิดเช่นนั้นเลยค่ะ คนคดอย่างกำนันเดช ก็ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับนวลด้วย คุณพ่อคิดดูนะคะ กำนันเดชมีเงินมากมายไม่จำเป็นเลยที่ต้องบีบบังคับนวลแบบนั้น จะว่าหมายใจนวลมากจนอยากได้เป็นเมียก็มีส่วน แต่ถ้ารู้ว่าเสี่ยงไปก็จะเสียมากกว่าได้ คนอย่างกำนันจะยอมหรือคะ ลูกว่ากำนันถือโอกาสที่จะบีบบังคับคุณพ่อเรื่องลูกต่างหาก ลำพังเสียนวลไปคนหนึ่ง กำนันหรือคะจะเสียดาย ในขณะที่หน้าที่การงานของตัวเองยังมั่นคง แต่กำนันกลับเอาเรื่องนี้มาบีบคุณพ่อ เพื่อให้ลูกแต่งงานด้วย นั่นจะเพื่ออะไรล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เพื่อให้ฐานะของกำนันมั่นคงขึ้นไปอีก ใช่หรือไม่คะคุณพ่อ’
‘จริงอย่างคำลูกว่า ไอ้กำนันเดชมันคงวางแผนไว้แล้ว มันต้องทำทุกทาง บีบพ่อให้ยกแม่กำไลให้มันแน่’
‘แม้ไม่มีเรื่องนวลมาเกี่ยวข้อง กำนันก็ต้องหาเหตุอื่นมาให้คุณพ่อ จำยอมยกลูกให้เป็นเมียอย่างแน่นอน’
‘ให้ตาย พ่อก็ไม่ยอมยกแม่กำไลให้กำนันหรอก’
ในยามนั้นคำหนักแน่นของคุณพ่อกับหยาดน้ำตาที่เจิ่งนองใบหน้าของท่าน หล่อนไม่สงสัยความรักที่คุณพ่อมีแต่หล่อนเลย หรือหากคุณพ่อตกลงปลงใจจะให้หล่อนแต่งงานกับกำนันเดชจริงๆ หล่อนก็คงไม่ขัดท่าน เพราะสิ่งที่ท่านเลือกให้ย่อมดีกับหล่อนที่สุดแล้ว
แต่เมื่อท่านเห็นพร้องกับหล่อน ที่ไม่อยากเป็นเมียของคนไม่ดี เพราะหากเป็นคนดี แม้ไม่ได้รักชอบ หล่อนก็จะไม่ขัด เช่นครั้งที่คุณพ่อพาหล่อนไปที่เรือนคุณพระนพ ด้วยหวังให้ท่านพึงพอใจหล่อน
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าบากหน้าไปให้ผู้ชายดูตัวถึงเรือน แต่หล่อนก็ไม่ขัดไม่ทักท้วง ด้วยคุณพระนพไม่มีสิ่งใดเสียหาย และก็ไม่ขัดกับความตั้งใจเดิมที่หล่อนต้องการแต่งงานกับชายที่พึงใจ แต่เมื่อคุณพระนพไม่ได้พึงใจในตัวหล่อน หล่อนก็ไม่ได้เสียใจ เพราะอย่างไรเสียการดูตัวก็เป็นสิ่งเหมาะสมสำหรับคู่ครองที่คู่ควรกัน
เมื่อพลาดจากคุณพระนพ หล่อนก็ยังหมายใจว่าสักวันจะได้เจอใครคนนั้น คนที่หล่อนพึงใจและจะฝากฝังชีวิตไว้ได้ คนที่มีความดีเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะยากจนข้นแค้น หรืออาจเป็นแค่พ่อค้าพ่อขาย หรือคนชาวบ้านทำนา แต่หากมีความดีเป็นที่ตั้ง ทรัพย์ของหล่อนก็เสมือนทรัพย์ของผัว ช่วยกันก่อร่างสร้างตัว หล่อนแน่ใจว่าเขาคนนั้นจะไม่ทำให้หล่อนลำบากแน่แต่ยามนี้เวลาจวนตัว หล่อนจะไปหาใครคนนั้นได้จากที่ไหน ที่ต้องทำคือหาทางออก ทางที่เหมาะสม และต้องทำให้กำนันเดชไม่กล้าราวีหล่อนกับคุณพ่ออีก ‘คุณพ่อคะ เรามาหาทางแก้ไขไปด้วยกันนะคะ’‘แล้วแม่กำไลคิดจะทำเช่นไรลูก เพื่อนฝูงที่พ่อมี บากหน้าไปหา ก็ไม่มีใครกล้ารับปากช่วย มีแต่แบ่งรับแบ่งสู้ คงมีเพียงคุณพระนพท่านเดียวที่จะออกหน้าได้ แต่พ่อก็เกรงใจท่านนัก เพราะเมื่อคราวแรกที่ท่านย้ายมาประจำการที่นี่ใหม่ๆ แทนที่จะช่วยเหลือให้ท่านทำงานง่ายขึ้น พ่อกลับเพิกเฉยหลายสิ่ง เพียงเพราะท่าน...’‘ไม่พึงใจลูก’‘ใช่ ที่พ่อกล้าบากหน้าพาแม่กำไลไปพบท่าน ก็เพราะคิดว่าอย่างไรท่านก็ต้องรับแม่กำไลไว้ แต่ท่านไม่เห็นแก่หน้าพ่อ พ่อก็เลยแทบจะไม่ช่วยเหลือท่านเลย และจะนับเรื่องนังนวลว่าเป
ท่าน้ำเรือนพระเกษตรานพคุณ‘ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์(เปลว)’ กับ หมื่นพิบูลย์ไพศาล(ขวัญ) ยืนอยู่ในมุมมืดของเรือน มองตรงไปยัง พระเกษตรานพคุณ(นพ) และ หลวงธรณีพิทักษ์(ปาน) ที่ยืนส่งพระอรรถชัยลงเรือและเมื่อคุณพระนพพยักหน้าให้สัญญาณว่าตามกันขึ้นไปบนเรือน เปลวกับขวัญก็ไม่รอช้าที่จะตามติดที่ศาลานอกชานเรือน คุณพระนพนั่งอยู่บนตั่ง โดยที่พื้นเรือนนั้นมีปาน เปลว และขวัญนั่งอยู่ไม่ห่าง บรรยากาศเคร่งขรึมเพราะนี่คือการปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นการดีสองอย่างด้วยกันหนึ่ง คือได้ช่วยเหลือพระอรรถชัยกับลูกสาวและสอง คือ ทำให้กำนันเดชรู้ว่าสิ่งใดที่คิดว่าได้มาง่ายนั้น ย่อมไม่ง่ายอีกต่อไปเปลวมองหน้าปานเพราะชั่วอึดใจแล้วก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา คุณพระก็นิ่ง ปานก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ซึ่งโดยปกติแล้วเขาผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรอให้คุณพระเอ่ยปากก่อน แต่ครั้งนี้บางอย่างที่รุกเร้าในใจทำให้ไม่อาจเก็บกิริยานิ่งเฉยอยู่ได้มีเพียงสายตาที่มองสบพี่ชายเท่านั้น ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องราวที่พูดคุยกัน“คุณพระอรรถท่านมาขอให้ช่วย เพราะว่าแม่กำไลไม่เต็มใจแต่งงานกับกำนันเดช”ทว่าคนที่พูดขึ้นมาก
“พ่อเปลวเล่าว่าอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่กับที่พ่อปานเสนอมา”“คุณกำไล... ไม่อยากเป็นเมียกำนันเดชจริงหรือขอรับ”คำถามที่ส่งมาทำให้คุณพระนพสบตากับปาน ต่างมีรอยยิ้มในสีหน้า“จริงสิ คุณพระท่านยืนยันหนักแน่น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องเป่าร้องว่าคุณกำไลร้องห่มร้องไห้ไม่อยากจะออกเรือนกับกำนันเดชหรอก”“แต่ทีแรกคุณพระอรรถยืนยันหนักแน่น ว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับกำนันให้ได้นี่ขอรับ”“หือ... มีเหตุนั้นด้วยรึ”“เอ่อ...”คุณพระนพที่ทำเสียงอือออเอ่ยถาม กับสายตาของท่านที่หมายถึงว่าเขาสนใจเรื่องคุณกำไลด้วยเหรอ ทำให้เปลวยิ่งต้องปั้นหน้านิ่ง ข่มความวูบวาบในหัวใจ และพยายามรวบรวมคำพูดออกมาให้เป็นการเป็นงานมากที่สุด ไม่ให้เจือไปด้วยความในใจของเขารู้ว่าผู้บังคับบัญชา พี่ชาย และน้องชาย ต่างจับจ้องมองอากัปกิริยา เขายิ่งต้องนิ่งต้องเฉย ทำเป็นไม่มีสิ่งใดเจือปน นอกจากเรื่องงาน“กระผมได้ยินมาแบบนั้นขอรับ จึงไม่แน่ใจว่าคุณพระอรรถท่านต้องการให้ช่วยเหลือจริงหรือไม่”“นั่นเป็นแผนของแม่กำไล ทำทีว่าคุณพระท่านไม่ได้ขัดข้อง เป็นตัวแม่กำไลเองที่ฟูมฟายไม่ยอมแต่ง กำนันเดชจะได้วางใจในตัวคุณพระ”“ขอรับ”ความลิงโลดในใจคล้ายจะปิดไม่
ณ เรือนพระอรรถชัย‘กำไล’ ทอดสายตาเคร่งเครียดมองน้ำในลำคลองที่ไหลผ่านหน้าเรือน จุดหมายปลายทางก็คือแม่น้ำสายหลักที่พาดผ่านมณฑลแห่งนี้ชั่วขณะหนึ่งแล้วที่หล่อนนั่งปล่อยใจให้ล่องลอยไปดุจดังสายน้ำ ด้วยคิดไม่ตกว่าปัญหายิ่งใหญ่สุดในชีวิตที่พุ่งชนอย่างไม่ปรานีนั้น จะหาหนทางแก้ไขได้อย่างไรในเมื่อตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ ชีวิตของหล่อนมีเพียงพ่อผู้เดียวที่ยินดีเลี้ยงดูอุ้มชูจนเติบใหญ่ และทุกความรักที่พ่อมีต่อหล่อนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พ่อ ‘รัก’ หล่อนจริงแท้แน่นอน รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เมื่อครั้งหล่อนอายุได้ 10 ปีในยามนั้นงานบุญวันสงกรานต์คือธรรมเนียมปฏิบัติที่บุตรหลานญาติสนิทจะได้ไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อนที่โรงเรียนต่างพูดคุยกันในเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่นั้นไม่พ้นเรื่องไปเที่ยวบ้านคุณปู่คุณย่าหรือบ้านคุณตาคุณยายนั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่คุณครูได้จังหวะสอนเรื่องการลำดับญาติพี่น้องหล่อนจึงเพิ่งรู้ตัวว่าญาติทางฝ่ายแม่นั้น หล่อนไม่เคยได้รู้จักใครเลย หล่อนไม่เคยพบคุณตา คุณยาย ไม่รู้เลยว่าหล่อนมีคุณน้า และคุณลุง คุณป้า ทางฝั่งแม่บ้างหรือไม่จำความได้ว
“พ่อเปลวเล่าว่าอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่กับที่พ่อปานเสนอมา”“คุณกำไล... ไม่อยากเป็นเมียกำนันเดชจริงหรือขอรับ”คำถามที่ส่งมาทำให้คุณพระนพสบตากับปาน ต่างมีรอยยิ้มในสีหน้า“จริงสิ คุณพระท่านยืนยันหนักแน่น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องเป่าร้องว่าคุณกำไลร้องห่มร้องไห้ไม่อยากจะออกเรือนกับกำนันเดชหรอก”“แต่ทีแรกคุณพระอรรถยืนยันหนักแน่น ว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับกำนันให้ได้นี่ขอรับ”“หือ... มีเหตุนั้นด้วยรึ”“เอ่อ...”คุณพระนพที่ทำเสียงอือออเอ่ยถาม กับสายตาของท่านที่หมายถึงว่าเขาสนใจเรื่องคุณกำไลด้วยเหรอ ทำให้เปลวยิ่งต้องปั้นหน้านิ่ง ข่มความวูบวาบในหัวใจ และพยายามรวบรวมคำพูดออกมาให้เป็นการเป็นงานมากที่สุด ไม่ให้เจือไปด้วยความในใจของเขารู้ว่าผู้บังคับบัญชา พี่ชาย และน้องชาย ต่างจับจ้องมองอากัปกิริยา เขายิ่งต้องนิ่งต้องเฉย ทำเป็นไม่มีสิ่งใดเจือปน นอกจากเรื่องงาน“กระผมได้ยินมาแบบนั้นขอรับ จึงไม่แน่ใจว่าคุณพระอรรถท่านต้องการให้ช่วยเหลือจริงหรือไม่”“นั่นเป็นแผนของแม่กำไล ทำทีว่าคุณพระท่านไม่ได้ขัดข้อง เป็นตัวแม่กำไลเองที่ฟูมฟายไม่ยอมแต่ง กำนันเดชจะได้วางใจในตัวคุณพระ”“ขอรับ”ความลิงโลดในใจคล้ายจะปิดไม่
ท่าน้ำเรือนพระเกษตรานพคุณ‘ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์(เปลว)’ กับ หมื่นพิบูลย์ไพศาล(ขวัญ) ยืนอยู่ในมุมมืดของเรือน มองตรงไปยัง พระเกษตรานพคุณ(นพ) และ หลวงธรณีพิทักษ์(ปาน) ที่ยืนส่งพระอรรถชัยลงเรือและเมื่อคุณพระนพพยักหน้าให้สัญญาณว่าตามกันขึ้นไปบนเรือน เปลวกับขวัญก็ไม่รอช้าที่จะตามติดที่ศาลานอกชานเรือน คุณพระนพนั่งอยู่บนตั่ง โดยที่พื้นเรือนนั้นมีปาน เปลว และขวัญนั่งอยู่ไม่ห่าง บรรยากาศเคร่งขรึมเพราะนี่คือการปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นการดีสองอย่างด้วยกันหนึ่ง คือได้ช่วยเหลือพระอรรถชัยกับลูกสาวและสอง คือ ทำให้กำนันเดชรู้ว่าสิ่งใดที่คิดว่าได้มาง่ายนั้น ย่อมไม่ง่ายอีกต่อไปเปลวมองหน้าปานเพราะชั่วอึดใจแล้วก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา คุณพระก็นิ่ง ปานก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ซึ่งโดยปกติแล้วเขาผู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรอให้คุณพระเอ่ยปากก่อน แต่ครั้งนี้บางอย่างที่รุกเร้าในใจทำให้ไม่อาจเก็บกิริยานิ่งเฉยอยู่ได้มีเพียงสายตาที่มองสบพี่ชายเท่านั้น ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องราวที่พูดคุยกัน“คุณพระอรรถท่านมาขอให้ช่วย เพราะว่าแม่กำไลไม่เต็มใจแต่งงานกับกำนันเดช”ทว่าคนที่พูดขึ้นมาก
เมื่อพลาดจากคุณพระนพ หล่อนก็ยังหมายใจว่าสักวันจะได้เจอใครคนนั้น คนที่หล่อนพึงใจและจะฝากฝังชีวิตไว้ได้ คนที่มีความดีเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะยากจนข้นแค้น หรืออาจเป็นแค่พ่อค้าพ่อขาย หรือคนชาวบ้านทำนา แต่หากมีความดีเป็นที่ตั้ง ทรัพย์ของหล่อนก็เสมือนทรัพย์ของผัว ช่วยกันก่อร่างสร้างตัว หล่อนแน่ใจว่าเขาคนนั้นจะไม่ทำให้หล่อนลำบากแน่แต่ยามนี้เวลาจวนตัว หล่อนจะไปหาใครคนนั้นได้จากที่ไหน ที่ต้องทำคือหาทางออก ทางที่เหมาะสม และต้องทำให้กำนันเดชไม่กล้าราวีหล่อนกับคุณพ่ออีก ‘คุณพ่อคะ เรามาหาทางแก้ไขไปด้วยกันนะคะ’‘แล้วแม่กำไลคิดจะทำเช่นไรลูก เพื่อนฝูงที่พ่อมี บากหน้าไปหา ก็ไม่มีใครกล้ารับปากช่วย มีแต่แบ่งรับแบ่งสู้ คงมีเพียงคุณพระนพท่านเดียวที่จะออกหน้าได้ แต่พ่อก็เกรงใจท่านนัก เพราะเมื่อคราวแรกที่ท่านย้ายมาประจำการที่นี่ใหม่ๆ แทนที่จะช่วยเหลือให้ท่านทำงานง่ายขึ้น พ่อกลับเพิกเฉยหลายสิ่ง เพียงเพราะท่าน...’‘ไม่พึงใจลูก’‘ใช่ ที่พ่อกล้าบากหน้าพาแม่กำไลไปพบท่าน ก็เพราะคิดว่าอย่างไรท่านก็ต้องรับแม่กำไลไว้ แต่ท่านไม่เห็นแก่หน้าพ่อ พ่อก็เลยแทบจะไม่ช่วยเหลือท่านเลย และจะนับเรื่องนังนวลว่าเป
‘ยิ่งโตแม่กำไลก็ยิ่งหน้าเหมือนคุณพี่กานดานะคะ’‘ยิ่งเหมือนก็ยิ่งแสลงใจนะคุณน้อง เถ้าแก่ถึงได้เกลียดหลานสาวในไส้นัก’‘แต่เรื่องเจ็บป่วย จะมาโทษเด็กได้อย่างไรกันคะ แม่กำไลไม่รู้ความเลย’‘เราเป็นคนอื่นก็พูดได้ แต่นั่นลูกท่านตายนะ ซ้ำยังจำเพาะคลอดลูกตายเสียอีก ใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงทำใจลำบาก’‘แล้วไม่สงสารหลานหรือคะ พอลืมตาดูโลก แม่ก็มาตาย ไม่มีใครให้นมให้น้ำ แทนที่จะสงสาร กลับมาชังน้ำหน้าหลาน กล่าวหาว่าหลานทำให้ลูกสาวตาย น้องไม่เข้าใจค่ะ’‘เราไม่เข้าใจความคิดเถ้าแก่หรอก ท่านย่อมมีเหตุผลของท่าน แต่พี่ล่ะเห็นใจพ่ออรรถนัก ครองตัวเป็นม่ายไม่ยอมแต่งเมียใหม่ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไหว้วานแม่สื่อให้หาผู้หญิงมาดูตัวเท่าไร พ่ออรรถก็ไม่สนใจ เกรงแต่ว่าแม่ใหม่จะเข้ากับลูกสาวไม่ได้’‘ก็ส่วนหนึ่งนั่นล่ะค่ะคุณพี่ แต่น้องเคยถามคุณพี่อรรถตรงๆ แล้วนะคะ คุณพี่ท่านว่า ท่านรักคุณพี่กานดาเหลือเกิน เกรงว่าถ้ามีเมียใหม่ คุณพี่กานดาจะเสียใจ’ถ้อยคำสนทนาเหล่านั้นทำให้รู้เหตุที่คุณตาเกลียดหล่อนนัก นั่นเพราะคุณแม่ไม่ได้จากไปเพราะเจ็บป่วย แต่จากไปเพราะคุณแม่ตกเลือดหลังคลอด และหลังจากคุณแม่เสียไม่นาน คุณยายก็มาตรอมใจตายต
ณ เรือนพระอรรถชัย‘กำไล’ ทอดสายตาเคร่งเครียดมองน้ำในลำคลองที่ไหลผ่านหน้าเรือน จุดหมายปลายทางก็คือแม่น้ำสายหลักที่พาดผ่านมณฑลแห่งนี้ชั่วขณะหนึ่งแล้วที่หล่อนนั่งปล่อยใจให้ล่องลอยไปดุจดังสายน้ำ ด้วยคิดไม่ตกว่าปัญหายิ่งใหญ่สุดในชีวิตที่พุ่งชนอย่างไม่ปรานีนั้น จะหาหนทางแก้ไขได้อย่างไรในเมื่อตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ ชีวิตของหล่อนมีเพียงพ่อผู้เดียวที่ยินดีเลี้ยงดูอุ้มชูจนเติบใหญ่ และทุกความรักที่พ่อมีต่อหล่อนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พ่อ ‘รัก’ หล่อนจริงแท้แน่นอน รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เมื่อครั้งหล่อนอายุได้ 10 ปีในยามนั้นงานบุญวันสงกรานต์คือธรรมเนียมปฏิบัติที่บุตรหลานญาติสนิทจะได้ไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อนที่โรงเรียนต่างพูดคุยกันในเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่นั้นไม่พ้นเรื่องไปเที่ยวบ้านคุณปู่คุณย่าหรือบ้านคุณตาคุณยายนั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่คุณครูได้จังหวะสอนเรื่องการลำดับญาติพี่น้องหล่อนจึงเพิ่งรู้ตัวว่าญาติทางฝ่ายแม่นั้น หล่อนไม่เคยได้รู้จักใครเลย หล่อนไม่เคยพบคุณตา คุณยาย ไม่รู้เลยว่าหล่อนมีคุณน้า และคุณลุง คุณป้า ทางฝั่งแม่บ้างหรือไม่จำความได้ว