20
ดอกหลีต้องลมฝน
หลังจากการค้าร้านผลไม้แห้งที่ตลาดปลาประสบความสำเร็จไม่น้อย โจวเจียวเจียวก็ขออนุญาตพี่ชายเพื่อเปิดร้านในตลาดเดียวกันเพิ่ม
สุดถนนเส้นรองของตลาดบูรพาเป็นถนนเล็กสายหนึ่งใช้สัญจรไปมา สำหรับเลี่ยงผู้คน เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนข้าวของต่าง ๆ การเดินเที่ยวเล่นในตลาดของนางหาใช่การเดินเตร็ดเตร่ แต่เป็นการสำรวจพื้นที่
นางเห็นว่าผู้คนจอดแวะหาซื้อข้าวของไม่น้อย แต่ไม่มีเวลาเดินเที่ยวเล่นเหมือนคนทั่วไป การเดินไปที่ต่าง ๆ ล้วนใช้เวลามากทำให้ต้องรีบซื้อรีบออกเดินทาง
หญิงสาวคิดว่าการทำร้าขายอาหารแบบซื้อกลับน่าสนใจไม่น้อย จึงได้ปรึกษากับโจวจี้หยวนด้วยเห็นว่าก่อนนี้น้องสาวเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อย อยากให้นางมีอะไรทำเสียบ้าง
อีกทั้งตระกูลโจวก็ไม่ขาดแคลนเงิน จะขาดทุนสักร้านสองร้านบิดามารดาคงไม่ว่าอันใด
“เจีย
21เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือโจวเจียวเจียวชาติก่อนเป็นคนจิตใจดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น พอเห็นเด็กสาวหมดสติอยู่ตรงหน้ามีหรือจะปล่อยผ่านไปได้ นางรีบพุ่งตัวเข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างกายร่างนั่นทันที ลืมสิ้นทุกกฎเกณฑ์ที่ตนตั้งไว้เด็กสาวนอนไม่ได้สติ ร่างกายกระตุกเกร็งมุมปากมีของเหลวสีขาวขุ่นไหลออกมา ผู้คนรอบข้างพากันตีวงกว้างมองด้วยความตื่นตระหนกอาการเช่นนี้หากแสดงออกมาต่อหน้าผู้คนล้วนถูกเข้าใจผิดเป็นผีร้ายหรือวิญญาณร้ายเป็นแน่“หลินซี เอาน้ำกับผ้าสะอาดให้ข้าที” นางหันไปบอกกับหลินซีเสียงดัง ก่อนจะหันมาจัดแจงเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบหนาวให้นอนราบบนพื้นถนนหน้าร้านทุกฝีเท้าขยับหยุดนิ่งไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้าไปช่วยเหลือแม้สักคน มีเพียงโจวเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ข้างกายนางอย่างลืมตัว ครู่หนึ่งหลินซีก็ถืออ่างน้ำที่มีน้ำอยู่ด้าน
22กล่องขนมหวานหลังส่งสืออีหรานถึงสกุลสือ มู่หลินเฟิงก็หอบหิ้วเอากล่องขนมที่ได้จากโจวเจียวเจียวกลับมาบ้าน ความรู้สึกภายในสับสนปนเปกันจนไม่สามารถตรึกตรองได้ในเวลาอันรวดเร็วเขาไม่ชอบโจวเจียวเจียว เรียกว่ามีอคติจึงจะถูกกว่าแต่ยามนี้เมื่อได้เห็นนางเปลี่ยนไป แม้จะเล็กน้อยแต่เขาคิดว่านางไม่เหมือนเดิมและยิ่งเห็นข้างกายนางมีหลินซีบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพหลินชวน สายตาที่นางมองเขาเปลี่ยนไปไม่น้อยเขารู้สึกได้ ขณะที่กำลังนั่งอยู่ในภวังค์ของตนเองก็ได้ยินเสียงเรียกคุ้นหู“คุณชายท่านกลับมาเสียที คุณชายท่านรีบไปดูฮูหยินเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้อาวุโสของมารดาปรี่ตรงเข้ามาหาเขาที่ลานกลางของบ้าน สีหน้าไม่สู้ดีนัก ร่างกายสูงโปร่งรีบผุดลุกจากที่นั่งตามไปทันทีก่อนหน้านี้อี้ฮูหยินก็เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ มาตลอด เรียกว่าสา
23ข้ามีข้อแลกเปลี่ยนยามรุ่งอรุณสาดแสงสีทองจนเต็มนภา มู่หลินเฟิงก็ถึงหน้าคฤหาสน์สกุลโจวแล้ว ชายหนุ่มออกมาตั้งแต่เช้าต้องการสนทนากับโจวเจียวเจียว เพื่อว่าจ้างให้นางทำอาหารเผื่อมารดาตนเองด้วย“นางไม่อยู่หรือ” มู่หลินเฟิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ยินว่าโจวเจียวเจียวไม่อยู่ในบ้าน เช้าถึงเพียงนี้เหตุใดนางจึงไม่อยู่ ไม่เพียงตัวนางที่ไม่อยู่แม้แต่พี่ชายก็เช่นกัน“คุณหนูกับคุณชายไปตลาดบูรพาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้วขอรับคุณชาย” ชายเฝ้าประตูเอ่ยตอบก่อนจะประสานมือค้อมตัวลง มู่หลินเฟิงไม่ได้ตอบสิ่งใดอีกเพียงแต่ขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปทางตลาดปลาไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องคุยกับโจวเจียวเจียวให้ได้แปลกนักที่เช้าเพียงนี้ในร้านนางกลับมีคนไม่น้อยเลย ทั้งโจวจี้หยวน โจวเจียวเจียว เถ้าแก่ผู้ดูแลร้าน บ่าวรับใช้ข้างกายสองคน ซ้ำ
24หวั่นใจรอยยิ้มแห่งความโล่งใจบนหน้าปรากฏขึ้นทันทีที่นางรับปากเขาคิดไว้อยู่แล้วว่านางคงรับปากแต่ยามต้องพูดขอร้องนาง กลับใจเต้นระส่ำ ไม่รู้เพราะรู้สึกผิด ละอายใจหรือสิ่งใดกันแน่จึงทำให้เป็นเช่นนี้เดิมคิดจะขอโทษนางเสียก่อนยังไม่ทันได้เอ่ยปากนางก็ตกลงแล้ว“ขอบคุณเจียวเจียว” ชายหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้นก็เดินไปรินน้ำชาให้นางเพื่อเป็นการขอบคุณ นัยน์ตากระจ่างใสมองถ้วยชาที่ยื่นมาด้วยความงุนงงไม่คิดว่าบุรุษเช่นมู่หลินเฟิงจะรักมารดาตนเองมากเพียงนี้ในนิยายก็ไม่ได้บรรยายถึงมารดาของเขามากนัก มักบรรยายอย่างรวบรัดเพราะตอนจบนางต้องตาย ผู้เขียนคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบรรยายให้มากกระมัง“ข้ารับปากแล้วเหตุใดพี่มู่ยังไม่กลับเล่า”“ท่านแม่ไม่ค่อยกินข้าวกำลังล้มป่วยไม่ทราบว่าเจ้
25นางตอบเจ้าว่าอย่างไรอาหารบนโต๊ะมีเพียงสามอย่างเท่านั้น แต่นายหญิงของจวนกลับตักกินจนหมดอย่างที่ไม่เคยเป็น บ่าวไพร่ รวมถึงบุตรชายคนเดียวของจวนล้วนพากันยกยิ้มอย่างโล่งใจ ในที่สุดอี้ฮูหยินก็สามารถกินอาหารจนหมดได้เสียทีขอเพียงเป็นเช่นนี้ต่อไปโรคภัยเหล่านั้นคงน้อยลงเป็นแน่“ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็กินอาหารได้เสียที” เพียงฟังจากน้ำเสียงก็รับรู้แล้วว่าบุตรชายดีใจมากเพียงใดที่มารดากินอาหารได้จนหมดเช่นนี้ ผ่านมาหลายปีที่อี้ฮูหยินกินเพื่ออยู่ ฝืนกินอาหารจานละสองสามคำต่อมื้อ ร่างกายจึงเจ็บป่วยง่ายพอเห็นมารดากินได้มากขนาดนี้ มู่หลินเฟิงเกือบหลั่งน้ำตาออกมาเสียด้วยซ้ำ“แม่ขอโทษที่ทำให้เฟิงเอ๋อร์กังวล ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ”“ที่ใดกัน ขอเพียงท่านแม่ดีขึ้น ต่อให้ลุยคมหอกคมดาบลูกย่อมไม่เกี่ยง&r
26ราวสวรรค์จัดวางมู่หลินเฟิงตื่นขึ้นอีกครั้งในยามอู่อาการนอนไม่พอหายไปแล้วจึงได้คิดจะลุกมาจัดแจงล้างหน้าเปลี่ยนชุดเสียใหม่ ตั้งใจว่าจะไปคุยกับโจวเจียวเจียวแต่ยังไม่ทันได้ลงจากเตียง จี้ชิงก็วิ่งเข้ามาหาอย่างแสนรู้“คุณชาย ท่านตื่นเสียที เมื่อครู่มีประกาศผลสอบติดไว้ที่กลางเมืองแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มเห็นผู้เป็นนายไม่ค่อยสนใจจะรู้จึงทำหน้าหงิกงอ เดินไปยกอ่างไม้เข้ามามู่หลินเฟิงมั่นใจกว่าสิบส่วนว่าอย่างไรครั้งนี้ตนเองต้องได้ลำดับหนึ่ง จึงไม่ได้ตื่นเต้นเท่ากับจี้ชิงที่ลุ้นแล้วลุ้นอีกในหัวเขายามนี้มีเพียงการตระเตรียมคำพูดไว้พูดกับโจวเจียวเจียวหลังล้างหน้าสวมอาภรณ์ตัวใหม่แล้ว จี้ชิงยืนนิ่งล้วงเอาจดหมายเล็กในสาบเสื้อออกมายื่นให้ผู้เป็นนาย“คุณหนูสือวานข้าน้อยเอามาให้คุณชายขอ
27ข้าเองก็ชอบเจ้าเช่นกันภาพเบื้องหน้ายิ่งทำให้นางไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไปมู่หลินเฟิงตรงเข้าไปยุดแขนเล็กของโจสเจียวเจียวเอาไว้ด้วยความไม่พอใจ ยื้อยุดกันไปมาสักครู่โจวเจียวเจียวก็ตามเขาออกมา เล็บยาวจิกเข้ากลางฝ่ามือตนเองจนแน่น นางไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อีกนางเสียมู่หลินเฟิงไปไม่ได้ โจวเจียวเจียวไม่ควรอยู่ข้างกายเขาอีกหญิงสาวมาเกือบถึงเพิงแจกอาหารแต่ระหว่างนั้นถูกฝุ่นปลิวเข้าตา ชายหนุ่มข้างกายจึงอาสาดูให้ มู่หลินเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปขวางทันทีพอดึงนางออกห่างจากหลินซี หยดน้ำใสก็พลันร่วงหล่นจากดวงตากลมกระจ่างทำให้มู่หลินเฟิงคิดไปไกลว่า นางขุ่นเคืองที่ถูกเขาขวางไม่ให้อยู่ใกล้บุรุษผู้นี้สองบุรุษฉุดยื้อหนึ่งสตรี เคราะห์ดีแถบนี้เป็นท้ายตรอกผู้คนจึงไม่พ
28น่าเอ็นดูนักเสียงภายนอกเงียบไปชั่วขณะ หลินซีข่มใจกำมือจนแน่นรอฟังว่าหญิงสาวตรงหน้าจะตอบอย่างไร ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดหลังฟังเขาพูดจบแม้นางจะปฏิเสธก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ไม่รู้ว่านางเองก็ไม่ได้มองเขาเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ดีไม่ดีอาจมองเขาเป็นสตรีด้วยกันเสียด้วยซ้ำ แต่หากมิตรภาพต้องจบลงไปด้วยคงไม่ดีนัก คิดแล้วก็ไม่น่าบ้าบิ่นพูดออกไปเลยครู่เดียวหญิงสาวก็คลี่ยิ้มสดใสออกมา“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร ขอบคุณความรู้สึกที่เจ้ามีให้แก่ข้า แต่สำหรับข้า เจ้าเป็นเพียงสหายที่ดีที่สุดเท่านั้นหลินซี เช่นเดียวกับพี่จืออวิ๋น” นางไม่อาจปล่อยให้เขามีความหวังใด ๆ ได้ ไม่เช่นนั้นเท่ากับเป็นการทำร้ายสหายรักถึงสองคนเจ้าของใบหน้างดงามหล่อเหลาราวอิสตรีถอนหายใจหนัก ๆ อย่างโล่งอกก่อนจะยิ้มออกมา เขาเองก็ใช่คนวอแว หากนางไม่ชอบก็ย
ฤกษ์ดีงานวิวาห์สองงานถูกจัดขึ้นพร้อมกัน เป็นเหตุให้เรื่องนี้ร่ำลือไปทั่วเมืองเทียนเผิง สองตระกูลขุนนางสำคัญวิวาห์บุตรสาวจากตระกูลคหบดีชื่อดัง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงเตี้ยมมีชื่อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลโจวอีกเช่นกันทั้งสองไม่ได้คิดจะแต่งวันเดียวกัน แต่ฤกษ์ดีวันนี้กลับมีเพียงห้าปีครั้ง หลินซีเองก็ไม่อยากรอ มู่หลินเฟิงก็ไม่อยากรอ ยิ่งมีบุตรปีนี้จะเกื้อหนุนครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งสตรีทั้งสองยังกลัวจะไม่ได้ไปร่วมดื่มอวยพรให้อีกฝ่ายเมื่อเลือกไม่ได้จึงตกลงแต่งพร้อมกัน มู่หลินเฟิงและหลินซียังคงปะทะฝีปากกันบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ถูกว่าที่ภรรยาตำหนิจนหน้าบูดกันไปทุกทีหากงานจัดในบ้าน เจ้าสาวย่อมไม่มีหน้าที่มาต้อนรับ แต่งานวิวาห์นี้กลับจัดในโรงเตี้ยมใหญ่โต เจ้าสาวทั้งสองจึงสวมผ้าคลุมหน้าพูดคุยกับผู้มาร่วมยินดีด้วยได้ กระทั่งมีชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาคารวะสุรากับโจวเจียวเจียว“
ตอนพิเศษอารมณ์ดีหลังถูกสตรีในใจปฏิเสธชัดเจน หลินซีรู้สึกว่าตนเองต้องเสียใจมากเป็นแน่ ทว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้สึกราวยกภูเขาออกจากอกเสียมากกว่า ร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรีเดินเอื่อยไปเรื่อย ๆ บนถนนเส้นหลักของตลาดฝั่งประจิมแม้จะมีใบหน้างดงามจนหาที่เปรียบได้ยากและเป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อกวนเพราะตระกูลนักรบเช่นเขาไหนเลยจะรู้จักรักหยกถนอมบุปผาได้เฉิงเชียงที่เดินอยู่ด้านหลังขยับขึ้นมากระซิบชายหนุ่มแผ่วเบา“คุณชายนั่นแม่นางจืออวิ๋นขอรับ” หว่านจืออวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดาไม่ต่างสืออีหราน ต่างกันเพียงนางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลขุนนาง หากแต่เป็นบุตรสาวพ่อค้ายามนี้ไร้ซึ่งเงาของสืออีหราน นางจึงเป็นที่เลื่องลือมากยิ่งขึ้น มีบรรดาบุตรชายขุนนางหลายคนมาทำความรู้จัก บางคนต้อ
47พิมดาวจวนตระกูลมู่เงียบเชียบราวกับจวนร้างแต่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้รู้ว่าแท้จริงที่นี่มิได้ร้างผู้คน สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเศร้าหมองไม่น้อย นางชี้หน้าผู้เป็นสามีต่อว่าเขาแต่ตนเองกับร่ำ ๆ จะร้องไห้บุตรชายนางไปทำงานต่างเมืองสองเดือนแล้ว แม้มีจดหมายแต่ราวกับไม่มี จดหมายนั้นหาใช่บุตรชายนางเขียน หากบุตรชายนางยังอยู่ดีเหตุใดจึงไม่เขียนจดหมายมาเอง“ท่านโกหกข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด ฮือ...” อี้ฮูหยินกล่าวไปร่ำไห้ไป จดหมายสองฉบับที่ส่งมา ลายมือแทบไม่ต่างจากบุตรชายแต่นางที่เฝ้ามองบุตรชายเติบใหญ่ มีหรือไม่สามารถจำได้ลายมือบนจดหมายถูกปลอมแปลงขึ้น แล้วเหตุใดต้องปลอมหากไม่ใช่เพราะบุตรชายนาง...“ฮูหยินเจ้าใจเย็น ๆ เสียก่อน เฟิงเอ๋อร์ยังอยู่ดี”“อยู่ดีหร
46ขอเพียงท่านฟื้นปลายวสันต์ลมโชยพัดผ่านกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันฟังราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีให้ความสดชื่นไม่น้อย เพียงแต่ที่นี่คือเรือนข้างในคฤหาสน์หลังใหญ่สกุลโจว ร่างสูงโปร่งบนเตียงก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมดำสนิทที่ถูกลมพัดของมู่หลินเฟิงออกจากใบหน้า“สองเดือนแล้วที่ท่านปล่อยให้ข้าพูดคุยเพียงลำพัง ยังไม่ทันได้หมั้นหมายก็ทิ้งให้ข้ากังวลเช้าเย็นเช่นนี้ คิดว่าข้ายังจะอยากแต่งกับท่านอีกหรือคุณชายมู่” บ่นไปก็เช็ดตัวเขาไป นางทำจนเคยชินไปเสียแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนนางจึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขาทั้งเช้าและเย็นเดิมทีนางคิดว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งเดือน เพราะก่อนนี้เขาตอบสนองนางด้วยการขยับนิ้ว แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียว ดูเหมือนอี้ฮูหยินเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่าบุตรชายไม่ได
45ข้ายังรออยู่ตระกูลสือที่รุ่งเรืองในอดีต ยามนี้จบสิ้นแล้วทั้งตระกูล ประตูใหญ่จวนสือที่เคยรุ่งโรจน์บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ตบเท้าเข้ามาทำความรู้จัก บัดนี้มีเพียงเศษใบไม้ปลิดปลิว เวิ้งว้างวังเวง ประตูปิดสนิทถูกแปะทับด้วยกระดาษสีแดงแผ่นยาวในตลาดมีประกาศความผิดติดไว้ให้ผู้คนรับรู้ ตระกูลสือกำเริบเสิบสาน ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สตรีสกุลสือไร้คุณธรรมบงการลอบทำร้ายผู้อื่น ต้องโทษทั้งตระกูล ยึดทรัพย์ยึดจวน ริบคืนบรรดาศักดิ์ทั้งหมดสือจินเฉิงถูกโบยห้าสิบครั้ง เนรเทศไปชายแดน สืออีหรานถูกโบยสามสิบครั้งถูกกรีดใบหน้าด้านขวาว่าไร้คุณธรรม เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่อาจผูกสมัครรักผู้ใดได้อีก ส่วนมารดาของนางถูกโบยยี่สิบครั้งฐานเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรสาวไร้คุณธรรมเมื่อได้ยินเรื่องนี้โจวเจียวเจียวไม่ได้มีท่าทางยินดียินร้ายใดต่อเรื่องที่ได้ย
44ท่านต้องฟื้นจวนแม่ทัพหลินมู่หลินเฟิงถูกพากลับมายังจวนตระกูลหลิน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งหมอของตระกูลหลินเชี่ยวชาญชำนาญบาดแผลเช่นนี้มากกว่า ร่างโชกเลือดถูกยกเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง สาวใช้สองสามคนช่วยท่านหมออยู่ภายใน ผ่านไปเกือบสองเค่อจึงยกเอาอ่างไม้ออกมา เปลี่ยนเป็นน้ำร้อนแล้วเข้าไปอีกโจวเจียวเจียวเดินวนไปวนมา ร้อนใจนักไม่รู้คนโง่ผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีดปักคาไว้ไม่รู้ถูกส่วนสำคัญบ้างหรือไม่เหตุใดคน ๆ นั้นจึงโง่เช่นนี้ การช่วยคนต้องช่วยโดยไม่ให้ตนเองเป็นอันตรายไปด้วย นี่อันใดกันทำตนเองบาดเจ็บคาบเกี่ยวชีวิต คิดแล้วยิ่งขุ่นเคืองเป็นถึงจอหงวนสิ้นคิดนักหญิงสาวทำได้เพียงต่อว่าเขาในใจ นางต่อว่าเขาจนลืมไปกระมังว่าตนเองก็ตายเพราะช่วยผู้อื่น“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ร่างเล็กปรี่เข้าไปถาม
43มีสิ่งใดจะสั่งเสียทัศนวิสัยเบื้องหน้าช่างพร่าเลือนหลังฟื้นคืนสติโจวเจียวเจียวพยายามหรี่ตาลงเล็กน้อยมองลอดรูเล็กบนผนัง กลิ่นอับบนผนังบ่งบอกว่าที่นี่เก่ามากเพียงใด ด้านในไม่มีเงาผู้คนเช่นนั้นคนชุดดำคงอยู่ด้านนอก“นางฟื้นหรือยัง” เสียงทุ้มแว่วมาจากหลังประตู โจวเจียวเจียวแสร้งเอนกายลงนอนบนพื้นไม้ผุพังทำเหมือนตนเองยังไม่ฟื้นคืนสติ ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเปิดประตู ไม่รู้ว่าที่แท้คนเหล่านี้ต้องการสิ่งใดจากนางแต่คนเหล่านี้เป็นคนของสืออีหรานแน่นอน เพราะบนโลกนี้คนที่เกลียดนางมีเพียงสตรีแซ่สือ อีกทั้งก่อนหน้านางยังมาพูดจาข่มโอ้อวดว่าตนกำลังจะได้แต่งกับมู่หลินเฟิง ทว่าผ่านไปเพียงคืนเดียวก็หล่นจากความฝันเสียแล้ว“นางยังไม่ฟื้น”“ฟื้นไม่ฟื้นก็ช่าง รีบจัดการเสีย ยามนี
42ถูกจับตัวไปกระดาษใบแรกถูกเปิดอ่าน ในกระดาษมีเพียงประโยคเดียวเหมือนจดหมายตอบกลับอย่างไรอย่างนั้น อ่านจบแผ่นแรกก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาทั้งที่ไม่ใช่ข้อความหวานซึ้งใดแท้ ๆ‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’ จดหมายสี่ฉบับแรกเนื้อความเหมือนกัน ข้อความสั้น ๆ ไม่ลงชื่อแต่กลับเรียกรอยยิ้มของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีหากนางไม่คิดถึงจริง ๆ จะอุตส่าห์เขียนจดหมายตอบกลับเขาทุกฉบับหรือ แม้นางจะบอกว่าไม่คิดถึงแต่ยามที่เขียนข้อความนี้ลงไป นางย่อมต้องนึกถึงคำถามเป็นแน่แต่จดหมายฉบับสุดท้ายกลับต่างออกไป ตัวหนังสือเล็กแต่เป็นระเบียบ สะอาดตา ไม่น่าเชื่อว่าเจียวเจียวที่เกลียดการเขียนอักษรจะเขียนได้ดีเช่นนี้ ตัวอักษรตรงหน้าไม
41เช่นนั้นท่านก็กลับไปหน้าคฤหาสน์สกุลโจวร่างสูงสง่ายืนตระหง่านอยู่หน้าประตูใหญ่ หลังเฉากงกงประกาศพระราชโองการวันต่อมามู่หลินเฟิงจึงมาถึงจวนตั้งแต่เช้า เขาต้องการพูดคุยโจวเจียวเจียวเรื่องการสมรสนี้สิ่งที่ทำให้เขาเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนจนเสร็จรวดเร็ว คือข่าวสารจากองค์ชายรอง ในจดหมายกล่าวเพียงประโยคเดียวก็ทำเขาร้อนรนนั่งไม่ติดเก้าอี้เสียแล้ว‘ข่าวว่าช่วงนี้ตระกูลหลินเตรียมขบวนสินสอด’ตระกูลหลินมีบุตรชายเพียงคนเดียวนั่นคือหลินซี ฉะนั้นการหมั้นหมายนี้ย่อมเป็นของหลินซี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าสาวผู้นั้นเป็นใคร มู่หลินเฟิงคิดถึงภาพที่นางและหลินซีไล่ตีกันจึงคิดว่าอย่างไรก็คงเป็นเจียวเจียว จึงเร่งจัดการงานให้เสร็จแล้วรีบกลับมายังเมืองหลวงทว่าทุกสิ่งก็ยังเหนือความหมายของเขาอยู่ดี แม้จะดีใจที่ได้ประทานสมรสกั