รุจารินหันไปหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะขึ้นมาซับน้ำอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากพอเธอตั้งท่าจะกินก๋วยเตี๋ยวต่อไม่สนใจ ฝ่ายหาเรื่องก็ดูเหมือนจะไม่รามือง่ายๆ“อ่อยเขาท่าไหนล่ะยะ เขาถึงใจอ่อนดึงตัวมาเสียบแทนฉัน นี่คงนอนแบให้เขาเอาจนพรุนหมดแล้วล่ะสินะ ฮึ”สุดจะทน! คำนี้ผุดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินข้อหาบ้าบอที่ออกจากปากสวยๆ นั้น ยัยนี่คิดว่าตัวเองกำลังแสดงบทนางอิจฉาในละครหลังข่าวอยู่หรือไงนะ คำพูดแต่ละคำไม่สมกับเป็นบุคลากรระดับเลขาผู้บริหารเอาเสียเลยเอาเถอะ...ถ้านางอยากเล่น ก็เล่นไปคนเดียวแล้วกัน เธอขี้เกียจยุ่งด้วยแล้ว“จะหนีไปไหน แค่นี้ทนฟังความจริงไม่ได้หรือไง ดัดจริต”“นี่คุณ ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดพล่ามเรื่องอะไรอยู่นะคะ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่โดนฉันต่อยปากเจ่อเพื่อเรียกสติเมื่อเช้าเพราะคุณมาหาเรื่องตบฉันก่อนโดยไม่มีเหตุผลล่ะก็ ฉันขอโทษด้วยแล้วกันนะที่มือหนักไปหน่อย”คำนั้นทำให้ขาเม้าท์ทั้งหลายมองหน้ากันเลิ่กลั่กที่เรื่องกลับตาลปัตร“เอาเป็นว่าให้เรื่องมันจบๆ กันไปละกัน ส่วนที่คุณมาเทน้ำราดฉันเนี่ย ฉันจะไม่ถือก็ได้ แต่ช่วยเลิกตามระรานคนอื่นแบบนี้เถอะค่ะ มันเสียเวลาเปล่าแล้วก็น่ารำคาญมาก
“แล้วถ้าจ๋าไม่ตกลงล่ะคะ”“ถ้าไม่ตกลงเพราะกลัวโดนยัยนุสบาตามรังควานล่ะก็ พี่ไม่เห็นด้วยนะ ยังไงนี่ก็เป็นโอกาสของเรา ทำไมไม่คว้าไว้แล้วพิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนเห็นว่าเรามาด้วยความสามารถจริงๆ ไม่ได้ใช้เต้าไต่อย่างใครบางคน”“มันจะไม่ง่ายน่ะสิคะพี่หวาน ป่านนี้คุณนุสบาคงฟ้องฝ่ายบุคคลเอาเรื่องจ๋าแล้วก็ได้ เธอโกรธมากคิดว่าจ๋าไปแย่งตำแหน่งเธอมาโดยไม่ชอบธรรม มีอย่างที่ไหนทำงานไม่ถึงสองเดือนก็ได้โปรโมท...”ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ในออฟฟิศก็ดังแทรกขึ้น รุจารินเดินเข้าไปรับสายเอ่ยอยู่ไม่กี่คำก่อนวางไปด้วยสีหน้าหนักใจ“ใครโทรมาเหรอน้องจ๋า”“ฝ่ายบุคคลค่ะ เขาคงเรียกจ๋าลงไปคุยเรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนทีน”วรรณิภาถอนหายใจ สีหน้าเป็นกังวลกับอนาคตหญิงสาวตรงหน้า “ให้พี่ลงไปเป็นเพื่อนด้วยดีไหม”“อย่าเลยค่ะ พี่หวานมีงานเยอะแยะต้องทำ เรื่องนี้จ๋าก็มีส่วนผิดที่โต้ตอบเขาแรงเกินไป เดี๋ยวจ๋าลงไปคุยเองดีกว่า งั้นจ๋าขอตัวก่อนนะคะ”วรรณิภาพยักหน้ารับคำพลางมองตามหลังของหญิงสาวรุ่นน้องไปอย่างเห็นใจพอไปถึงห้องฝ่ายบุคคล รุจารินก็ได้พบว่าฝ่ายโจกท์นั่งหัวโด่รออยู่ก่อนแล้วด้วยสภาพที่เรียกว่าเยินจนดูไม่ได้ นุสบาจ้องมองคนมาใหม่ด
“เริ่มงานพรุ่งนี้เลยหรือคะ!” รุจารินอุทาน“ใช่ค่ะ อันที่จริงตามกำหนดเดิมควรเป็นอาทิตย์หน้า แต่เนื่องจากคุณนุสบาต้องโดนพักงานกะทันหันอย่างที่ทราบ แล้วท่านรองก็ต้องการเลขาที่จะคอยช่วยงานอย่างเร่งด่วน รอไม่ได้ ฉะนั้นคุณต้องมาเริ่มรับหน้าที่นี้เร็วขึ้น”“แล้วเรื่องส่งต่องานล่ะคะ จ๋าเกรงว่าคุณนุสบาคงไม่ยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ แน่”“ไม่ต้องห่วงนะคะ ทุกอย่างมีในคู่มือแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะส่งอีเมล์ให้อีกที ลองอ่านทำความเข้าใจดูนะคะ เพราะหลายๆ อย่างก็คล้ายๆ กับงานที่คุณเคยทำในตำแหน่งเดิม แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องปรับเปลี่ยนบ้างตามความเหมาะสม และต้องไปรายงานตัวกับท่านรองฯ พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า ขอให้ตรงเวลานะคะ ส่วนบ่ายนี้คุณก็เคลียร์งานที่ออฟฟิศเก่าให้เรียบร้อย”คุณเลขาส้มหล่นได้แต่รับคำ คิดในใจเสียว่าดีกว่าโดนไล่ออกตลอดเวลาที่เกิดเรื่อง ไม่มีวี่แววของตัวต้นเหตุที่แท้จริงออกมาเพื่อรับผิดชอบฐานที่ทำให้ผู้หญิงสองคนมีเรื่องกันโดยใช่เหตุ คิดไปแล้วก็น่าหงุดหงิดเหลือเกิน รุจารินเผลอลูบอกเสื้อที่ถูกเรียวปากร้อนๆ จูบประทับตราเมื่อเช้า แม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่ทว่ารอยอุ่นๆ จนเกือบร้อนนั้นยังไม่ลบเลือนหายไ
“ถ้าเขาเป็นลูกค้าจริงๆ ฉันคงไม่หนีหน้าตั้งแบบนี้หรอกค่ะ”“แล้วทำไมคุณต้องหนี เขาเป็นใครกันแน่” สารถีหนุ่มคาดคั้นด้วยเสียงดุๆ สายตาคมกล้าแม้ไม่หันมาก็รู้ว่าเจ้าตัวคงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องที่สงสัยไปง่ายๆ“เขาเป็น...พ่อฉันเองค่ะ”“หืม!” ชายหนุ่มหันขวับมองใบหน้าหวานสวยที่ติดจะเย็นชาอย่างแปลกใจ “งั้นผมควรจอดรถไหม”“ถ้าคุณจะกรุณา หากพบห้างใหญ่ๆ หรือที่ที่คนเดินพลุกพล่านข้างหน้าก็ช่วยจอดให้ฉันลงตรงนั้นได้ไหมคะ”“ทำไมล่ะ ก็ไหนว่าเขาเป็นพ่อคุณ แล้วทำไมต้องหนี เอ่อ...ขอโทษด้วยที่ผมถามละลาบละล้วง”“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจเฮือก ความอัดอั้นตันใจอยากระบายให้ใครสักคนฟัง แต่ถึงอย่างไรคนข้างกายยามนี้ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามา ถึงจะเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาแล้ว แถมเขากำลังจะกลายมาเป็นเจ้านายคนใหม่ แต่เธอจะไว้ใจเขาได้แค่ไหนกัน“แต่ฉันขอไม่ตอบละกันค่ะ เอาเป็นว่าถ้าเขามาดี ฉันก็คงไม่ต้องหนีแบบนี้”“ผมช่วยอะไรคุณได้ไหม”“ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบหน้านิ่ง “ข้างหน้ามีห้างใหญ่ คุณช่วยกรุณาจอดรถหน้าห้างนั้นให้ฉันลงด้วยแล้วกันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”คำตอบนั้นทำให้คนฟังตงิดๆ ใจ นี่เขากลายเป็นแท็กซี่ไปตั้งแต
เอาล่ะ ถ้าเขาต้องการยั่วโมโหเธอล่ะก็ ดูเหมือนเขาจะทำสำเร็จแล้วล่ะ “คุณทำแบบนี้ทำไมคะ”“ทำอะไรครับ? ที่ผมตักอาหารให้เนี่ยเหรอ หรือว่า...”“คุณให้ฉันมาเป็นเลขาคุณแทนคุณนุสบาทำไมคะ” หญิงสาวตัดสินใจถามตรงๆ“ก็เขาทำงานไม่ได้เรื่อง” คนพูดเบ้ปากนิดๆ “แล้วผมก็ชอบกาแฟที่คุณชงมากกว่าที่เขาชงด้วย รสกาแฟคุณทั้งหอม หวาน อร่อยเหมือนคนชงไม่มีผิด”“ได้โปรดเลิกพูดจาแบบนี้สักทีได้ไหมคะ ฉันขอร้อง” หญิงสาวตัดบทเสียงแข็ง“แบบไหนล่ะ”“ก็แบบที่คุณพูดอยู่ ฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องวันนั้นมันเป็นแค่อุบัติเหตุ ฉันไม่ติดใจอะไร คุณก็ควรลืมๆ มันไปซะ ระหว่างคุณและฉันจะมีแค่เรื่องงานเท่านั้น ส่วนเรื่องหนี้ที่ติดค้างไว้ ฉันก็บอกแล้วว่าจะทยอยจ่ายคืนให้ไม่ต้องห่วง จะหักจากเงินเดือนก็ได้ แล้วถ้าคุณอึดอัดหรือลำบากใจที่จะเห็นฉันทำงานที่นี่ ฉันก็จะลาออกให้”“ผมพูดหรือว่าอึดอัด”“คุณไม่พูด แต่ฉันรู้สึกแบบนั้น”“นั่นมันเรื่องของคุณ แต่เรื่องลาออก ผมยังไม่รับไว้พิจารณา”“ทำไมคะ” รุจารินถามอย่างเหลืออด “คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”“เจ้านาย เจ้าหนี้ และสามีโดยพฤตินัย สิทธิ์แค่นี้พอไหม หรืออยากได้สิทธิ์พ่อของลูกคุณอีกตำแหน่งดี”“นี
“ไม่ต้องค่ะ ฉันจะกลับแท็กซี่เอง” เธอพยายามสะกดอารมณ์ไว้อย่างยากเย็น ก่อนสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปแบบไม่เหลียวหลังทำไมชีวิตเธอถึงเฮงซวยแบบนี้นะ ต้องมาพบเจอแต่ผู้ชายที่เห็นแก่ตัว ทั้งพ่อแท้ๆ ทั้งผู้ชายที่เธอเพิ่งผละหนีมาคนนั้น ทั้งๆ ที่มีคนรักมีคู่หมั้นแล้ว เขาก็ยังจะดึงเธอไว้ให้เป็นตัวสำรองอีกทำไม ทั้งที่เขาไม่ได้รักเธอซักนิด พ่อเสียอีกถึงยังรักแม่บ้างตอนที่คบหากันใหม่ๆ ถึงสุดท้ายจะมาหักหลังนอกใจกันก็เถอะ แต่ผู้ชายคนนี้ไม่มีความรู้สึกนั้นด้วยซ้ำ เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็แค่เหตุสุดวิสัยเท่านั้นไม่! เธอจะไม่ยอมทำร้ายหรือแย่งชิงคนรักของใครเหมือนเมียใหม่พ่อที่เคยทำร้ายแม่และเธอจนชีวิตแทบพังพินาศมาแล้ว ไม่เอาเด็ดขาดชีวิตนี้หากไม่เจอคนที่รักกันจริง รักเดียวใจเดียว เธอก็ขอเป็นโสดตลอดชีวิตดีกว่าร่างระหงเดินจ้ำพรวดๆ จนมาถึงหน้าร้าน ให้บังเอิญว่ามีรถแท็กซี่คันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดส่งผู้โดยสารพอดี เธอจึงรีบโบกรถทันที“อุ้ย!” ยังไม่ทันได้ขึ้นรถสมใจ จู่ๆ ร่างบางก็ถูกฉุดดึงจนเซถลาเข้าหาอกของคนตัวสูงที่วิ่งตามออกมา ยังไม่ทันที่เธอจะตั้งตัว ฝ่ายนั้นก็รวบเธอเข้ามากอดและดึงให้เดินต
“ก็ดี ผมจะได้หาเรื่องจูบคุณบ่อยๆ” ชายหนุ่มเอ่ยหน้าขรึม แต่แววตาแต้มรอยคุกรุ่นปนขัดใจ“ส่วนเรื่องที่ผมต้องการให้คุณมาเป็นผู้หญิงของผมน่ะ ผมพูดจริง ที่ทำงานเราก็ยังคงเป็นเจ้านายเลขาตามปกติ จะไม่มีเรื่องชู้สาวใดๆ ต่อหน้าคนอื่น แต่พอเลิกงานแล้วเราสองคนค่อยหาเวลาส่วนตัวกัน และแน่นอนว่าทุกอย่างจะต้องเป็นความลับ ให้ใครรู้ไม่ได้ ระหว่างเราจะมีแค่เรื่องงาน กับเรื่องบนเตียงเท่านั้น...”“จอดรถด้วยค่ะ! ฉันจะลงตรงนี้” หญิงสาวรีบตัดบทก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรที่ระคายหูมากไปกว่านี้“แต่ผมยังพูดไม่จบ”“นั่นมันเรื่องของคุณค่ะ แต่ฉันฟังจบแล้ว”“เลิกงอแงแล้วเรามาคุยกันอย่างที่ผู้ใหญ่เขาคุยให้จบสักที เอาล่ะ ผมไม่อ้อมค้อมล่ะนะ ผมติดใจในตัวคุณมาก วันที่เรามีเซ็กซ์กัน ผมรู้ว่าผมเป็นคนแรกของคุณ และคุณเองก็ยังไม่มีใคร แล้วผมก็ไม่เคยคิดเลี้ยงดูผู้หญิงคนไหนแบบที่กำลังชวนคุณอยู่นี่ ถ้าคุณตอบตกลงรับข้อเสนอเราก็ค่อยมาทำสัญญากัน อยากได้ค่าตอบแทนหรืออะไรก็ว่ามา เพนส์เฮาส์ รถคันใหม่ หรือว่าเงินค่าเลี้ยงดูรายเดือน โบนัสรายสัปดาห์ หรือว่าจะไปเที่ยวที่ไหน...”ยิ่งฟังเล็บมนยิ่งจิกเบาะที่นั่งแน่น เพื่อระงับโทสะที่กำลังพลุ่ง
ค่ำวันนั้นนายปิยะเดินคอตกเข้าบ้านอย่างสิ้นหวัง เมื่อตัวเองคว้าน้ำเหลวในการเจรจากับลูกสาวคนโตที่จู่ๆ ก็โดดขึ้นรถใครก็ไม่รู้หนีหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างน่าเจ็บใจ และทั้งที่เขาพยายามขับรถไล่ตามไปแต่ทว่ารถมือสองคันเก่าเก็บหรือจะสู้ความไวของรถหรูหราราคาแพงระยับคันนั้นได้ เพียงเขาเผลอแผล็บเดียวเจ้ารถคันนั้นก็เลี้ยวเข้าซอยหายไปดื้อๆ แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือสองแม่ลูกนั่นถึงขั้นย้ายที่อยู่หนีเขาไปโดยไม่บอกกล่าวนี่สิ ทำให้ตอนนี้เขาเองก็มืดแปดด้าน ยังดีที่เขารู้ว่ารุจารินทำงานที่ไหน อย่างน้อยก็ยังพอมีหวัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงตัวลูกสาวผู้ใจแข็งคนนี้“เฮ้อ...” คิดแล้วก็หนักใจ“กรี๊ดดด” ชายกลางคนสะดุ้งตกใจ เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากในบ้าน“ปราณี!” ไวเท่าใจคิดเขารีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปในบ้านทันทีที่ห้องนั่งเล่นกลางบ้าน นางปราณีหลับหูหลับตากรีดร้องเสียงหลง มือจิกทึ้งผมตัวเองราวกับคนคลุ้มคลั่งเสียสติ จนผู้เป็นสามีต้องรีบวิ่งเข้ารวบตัวไว้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำร้ายตัวเองหนักกว่านี้“อะไรกัน มีอะไรคุณณี”“พี่ยะ...ฮือๆ” เสียงที่เอ่ยโหยหวนชวนให้ใจคอไม่ดี“มีอะไร ค่อยๆ พูด เกิดอะไรขึ้น”“พ
“เห็นไหม ยานั่นไม่ขมแล้ว”“คะ...คุณจูบฉันอีกแล้วนะคนฉวยโอกาส”“ผมป้อนยาคุณต่างหาก โอ๊ย!” ชายหนุ่มแสร้งร้องโอดโอยเมื่อถูกคนป่วยทุบอกปั๊กๆ ฐานขโมยจูบทีเผลอ“ทำแบบนี้ทำไม ถ้าแม่ฉันมาเห็นเข้าจะว่ายังไง”“ก็ไม่ว่าอะไร หรือคุณอยากให้ผมว่าอะไรล่ะ”“นี่คุณ อย่ามาเล่นลิ้นแบบนี้นะคะ ฉันไม่ชอบ”“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ ผมจะได้จัดให้ตามที่คุณชอบ” สายตาวาวชวนหวามของคนพูดทำให้หญิงสาวชาวาบไปทั้งร่าง เมื่อสบสายตายั่วเย้าคู่นั้น หัวใจก็เริ่มไม่เป็นของเธออีกครั้ง“ผมพูดจริงนะ หรือถ้าคุณโอเค จะให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่คุณฟังแล้วรับผิดชอบคุณก็ยังได้”“รับผิดชอบ? คุณจะรับผิดชอบฉันในฐานะอะไรล่ะคะ”“นั่นแล้วแต่คุณเลย อยากได้แบบไหนก็บอกมา”อยากได้แบบไหนเหรอ...หญิงสาวฉุกคิด นั่นสิ ที่แท้แล้วเธออยากคบเขาแบบไหนกันแน่นะ คนรักก็ไม่น่าใช่ คนรู้ใจก็ไม่เชิง หรือจะแบบคู่นอนก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ จู่ๆ สมองก็ดันมีผู้หญิงอีกคนโผล่แทรกเข้ามากวนใจให้สมองชะงัก“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ลืมแล้วหรือไงคะ”“ผมไม่ได้ลืม คุณต่างหากที่ลืม ผมบอกแล้วว่ากำลังจะหาทางขอยกเลิกการหมั้น” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ “ผมไม่ได้ล้อคุณเล่น แต่ผมคิดมานานแล้
“นั่นคุณหัวเราะอะไรคะ แล้วมาบ้านฉันทำไมกันแน่”“ก็บอกแล้วว่ามาเยี่ยมไข้”“ไม่จริง มาจับผิดมากกว่า”“ก็แล้วคุณทำผิดอะไรไหมล่ะ” ภูเบศแกล้งเอ่ยหน้านิ่ง แต่ดวงตาพราว “ผมจะได้จับ...”“มะ...ไม่ เอ่อ...นี่คุณ!” “คุณอยู่กับแม่ที่นี่แค่สองคนเหรอ” เห็นอีกฝ่ายอึกอัก หน้าแดงเรื่อสมใจ เขาจึงยอมเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เธอเก้อเขินมากไปกว่านี้ พลางมองไปรอบกาย“ห้องสะอาดน่าอยู่ดีนะ แต่แคบไปหน่อย”“เรื่องของฉัน” คนป่วยสะบัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “คุณรีบกินรีบกลับไปดีกว่าค่ะ ที่นี่ทั้งเล็กและแคบมาก ไม่เหมาะจะต้อนรับคนมีระดับอย่างคุณหรอกค่ะ”“ทำไมหนีมาไม่ยอมรอผมก่อน” นั่นไง นอกจากจะเป็นแมวแล้วยังเป็นฝ่ายสืบสวนอีกด้วย“ทำไมต้องรอคะ ตัวเราสองคนไม่ได้ติดกันเสียหน่อย” ภูเบศมองใบหน้าหวานที่อิดโรย ขอบตาบวมช้ำ แต่ยังอุตส่าห์มีแรงรวนเขาอย่างมันเขี้ยว“คุณแน่ใจหรือว่าเราไม่เคยตัวติดกัน ผมว่าเราสองคนน่ะยิ่งกว่าเคยตัวติดกันอีกนะ”“คนบ้า อย่ามาทะลึ่งที่บ้านฉันนะ” คนป่วยแหวเสียงเขียว ใบหน้าร้อนผ่าว“อย่าเพิ่งชวนทะเลาะเลยน่า ผมหิวแล้วกินข้าวกันเถอะ หรือว่าอยากให้ผมป้อนก็ได้นะ คุณไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ” แขกไม่ได้รับเ
“พอดีผมได้ยินว่าวันนี้คุณจ๋าเธอลางานไม่สบายเลยแวะมาเยี่ยม อ้อ...รอสักครู่นะครับ” ฝ่ายนั้นผลุนผลันไปที่รถและกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเช้าผลไม้ในมือ“ของเยี่ยมไข้ครับ”“อ้าว งั้นเหรอคะ แล้วทำไมไม่เชิญเจ้านายลูกขึ้นไปข้างบนล่ะจ๊ะ”“คือพอดีจ๋าเห็นว่าท่านจะกลับแล้วน่ะค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เชิญ” คนป่วยเอ่ยหน้าตาเฉย “อะไรกันคะ เพิ่งมาจะรีบกลับแล้วเหรอคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดิฉันตั้งโต๊ะอาหารเช้าไว้แล้ว ถ้าท่านไม่รังเกียจ...”โอ๊ะ เรียกผมธรรมดาดีกว่าครับ อย่าเรียกทงท่านเลย ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างหรอกครับ” เขาเอ่ยพลางปรายตามองใครบางคนที่กำลังเบ้ปากกับนกกับไม้อย่างมันเขี้ยว“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณภูเบศ”“เรียกผมเบสเถอะครับ”“ค่ะ หากคุณเบสไม่รังเกียจอาหารบ้านๆ ก็ขอเชิญ”“แม่คะ...” รุจารินร้องลั่น“ไม่รังเกียจหรอกครับ ถ้าคุณแม่ไม่ว่างั้นผมก็ขออนุญาตฝากท้องสักมื้อ” รุจารินอ้าปากค้าง หันไปมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู“ด้วยความยินดีค่ะ ไปลูก เชิญค่ะคุณ”“แม่คะ แต่ว่า...”“ขอบคุณครับคุณแม่”โอ๊ย...เธออยากจะบ้าตาย ทำไมเรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะกลิ่นหอมๆ ของอาหารรสเด็ดลอยมาแตะจมูกตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้อ
คนถูกถามไม่ขำ รุจารินจ้องหน้าเจ้านายตัวแสบตาเขียวปัด ในใจคุกรุ่นจนแทบจะหักคออีกฝ่ายได้ แต่เธอต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้เพราะเกรงใจพลกฤษณ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยต้องพลอยมาผจญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง“นี่ค่ะขนมของพี่พล”“อ่ะ...อ๋อ ครับ” พลกฤษณ์ที่โดนคู่ต่อสู้น็อกยังไม่หายงงยื่นมือไปรับถุงใส่กล่องขนม แต่อารามรีบร้อนปนตกประหม่าทำให้เผลอจับโดนมือคนส่งถุงเข้าอย่างจังหมับ!“อ๊ะ! พี่ขอโทษครับน้องจ๋า”คิ้วเข้มๆ ของใครบางคนกระตุกทันพลัน ตาดุกร้าวจ้องมือฝ่ายนั้นเขม็ง“ไม่เป็นไรค่ะ” รุจารินส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเข้าใจ โดยไม่ทันเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องอยู่ ผิดกับพลกฤษณ์ที่เห็นสายตาคู่นั้นอย่างจัง“นี่ค่าขนมครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”“ค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะที่ช่วยอุดหนุน ฝากความคิดถึงให้น้าดวงด้วยนะคะ ถ้ามีโอกาสจ๋ากับแม่จะแวะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยไมตรี โดยทำเป็นไม่สนใจใครบางคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับข้างๆ“ไหนคุณบอกว่าไม่สบายไงครับที่รัก ออกมาตากลมนานๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ไข้กลับกันพอดี” คำนั้นทำให้คนเป็นส่วนเกินแอบถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”คนตัวร้ายรวบเอาหญิงสาวม
รถเก๋งคันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าหลบมุมที่อะพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนั้นได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ทว่าคนขับยังคงนั่งแช่ในรถ ดวงตาคมเข้มมองไปที่ด้านหน้าประตูทางเข้า แม้จะมีที่อยู่จากเอกสารเรซูเม่พนักงานในมือก็เถอะ แต่การจะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปมันก็ดูจะแปลกๆ ไปหรือเปล่ายัยนั่นไม่สบายมากไหมนะ จะว่าไปเมื่อเช้าหน้าเธอก็ดูซีดๆ อยู่เหมือนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ที่จริงเขาก็แค่อยากเห็นกับตาแค่นั้นว่าเธอไม่เป็นอะไรมากจะได้สบายใจ หรือถ้าเป็นมากก็จะได้ช่วยเหลือขณะที่ชายหนุ่มครุ่นคิด ตามองตรงไปที่ประตูทางเข้ารอคอย แล้วทันใดนั้นเองสายตาเขาก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินออกมา คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นนิดๆ คิดว่าตัวเองตาฝาดไป หากเมื่อเพ่งสายตามองชัดๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าใช่อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าป่วยการเมือง ยัยนั่นตั้งใจหลบหน้าเขาชัดๆ มันน่า...อยากรู้นักว่าถ้าเจอหน้ากันเธอจะแก้ตัวยังไง“ทางนี้ครับน้องจ๋า”ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่คิด จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นเสียก่อนภูเบศปรายตามองไปทางต้นเสียงที่ดังมาจากรถที่จอดเยื้องๆ เขาไปไม่ไกลนัก ก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งโบกมือส่งยิ้มหวานให้เลขาสาวของเขาลูกตาเป็นปร
“ไปพักสักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำต่อเอง”“ใกล้เสร็จแล้วนี่คะแม่ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่ลูกค้าจะมารับขนมแล้วด้วย ทำให้เสร็จก่อนค่อยไปพักทีเดียวดีกว่า” คำตอบกลับมายิ่งทำให้คนเป็นแม่หนักใจ ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของลูกสาวสุดที่รักก็ยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมล้มป่วยไปตอนไหน“ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินอะไรรองท้องซักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปก่อน เหลือไม่เยอะแล้วเดี๋ยวแม่ทำต่อเอง”ถ้าขืนปฏิเสธมารดาของเธอคงเป็นห่วงกังวลไม่เลิกรา ทำให้หญิงสาวจำใจรามือจากขนมที่เพิ่งใส่ลงกล่องเสร็จไปอีกหนึ่ง“ก็ได้ค่ะ งั้นจ๋าขอไปล้างหน้าล้างตาหน่อยละกันนะคะ เดี๋ยวจะได้มาช่วยแพคของต่อ” สีหน้าอิดโรยของลูกสาวทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับตกใจ“ตายจริง ทำไมหน้าตาโทรมเป็นแบบนี้ล่ะลูก”รุจารินลูบใบหน้าตัวเอง พลางฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “จ๋าไม่เป็นไรค่ะ”จะไม่โทรมอย่างไรได้ ในเมื่อต้องอดนอนเพราะเขาคนนั้นไม่ยอมให้เธอได้นอนง่ายๆ รุจารินกัดริมฝีปากเมื่อคิดถึงตัวการที่ทำให้เธอไม่ได้นอนทั้งคืน“ไปให้หมอตรวจหน่อยดีกว่านะแม่ว่า”“จ๋าไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ ค่ะแม่ แค่เพลียนิดหน่อย นอนพักหน่อยเดี
“เดี๋ยวครับ!” วรรณิภาชะงัก “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องยกเลิกนัดแล้วนะครับ เท่านี้แหละ ขอบคุณครับ”คนรับคำสั่งถึงกับตาค้างเหวอไปอีกหนกับการเปลี่ยนคำสั่งแบบสายฟ้าแลบของท่านรองประธานหนุ่มรูปงาม วรรณิภาจำใจตอบรับคำสั่ง ในใจภาวนาให้เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหายป่วยไวๆ จะได้มารับมือคุณเจ้านายสุดหล่อตรงหน้าเสียเองพอคล้อยหลังเลขาเฉพาะกิจ ภูเบศก็กระแทกลมหายใจหนักๆ รู้สึกหงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัวขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ หรือจะบอกให้ถูกคือ เขาไม่อยากยอมรับต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจอยู่ตอนนี้ต่างหากเป็นไข้เนี่ยนะ! เมื่อเช้าก็เห็นอาการยังดีๆ อยู่นี่นา หรือว่าจะช็อกกับเหตุการณ์เมื่อเช้าจนล้มป่วย หรือว่าเพราะเมื่อคืนเขาหักโหมกับเธอมากไปยิ่งคิดใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งยุ่งเหยิง กองแฟ้มที่รอการเซ็นต์อนุมัติถูกผลักออกไปเบาๆ เพราะเจ้าตัวไม่มีอารมณ์จะอ่านเสียแล้ว จิตใจว้าวุ่นครุ่นคิดสะระตะเขาควรไปเยี่ยมเธอที่บ้านดีไหมนะ ถ้าไปเธอจะหลงคิดว่าตัวเองสำคัญกับเขาเกินกว่าฐานะเจ้านายลูกน้องไหม มันจะกลายเป็นว่าเขาให้ความหวังเธอมากไปหรือเปล่า จริงอยู่ที่ว่าเขาอยากจะถอนหมั้นกับสลิลดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปักใจลงเอยกับ
เอาเถอะ ไว้เงินเดือนออกเธอจะเอามันมาใช้ให้เขาทุกบาททุกสตางค์ก็แล้วกัน แม้สิ่งที่เสียไปแล้วเธอเอากลับคืนมาไม่ได้ แต่เธอจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ เธอไม่ต้องการให้ใครมาตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งแฟนชาวบ้าน และไม่ต้องการทำร้ายผู้หญิงด้วยกันเหมือนที่ครั้งหนึ่งพ่อเธอเคยทำร้ายจิตใจแม่เด็ดขาดแต่ทำไมนะ...หัวใจถึงรู้สึกทรมานแบบนี้ มันทั้งเจ็บลึกและทรมานเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาคนนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดครอบครองเป็นเจ้าของเขาได้ แล้วต่อจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร เธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงดีเธอจะมองหน้าเขาติดได้อีกหรือเมื่อต้องทำงานด้วยกันร่างบางทรุดฮวดกอดเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้แน่น ปลดปล่อยน้ำตาไหลริน สีหน้าหม่นหมอง ต่อจากนี้เธอควรทำยังไงดี...“อืม...ไม่เลวนี่ คุณดูดีใช้ได้เลย”ภูเบศมองเรือนร่างระหงในชุดทำงานแบบเพนท์สูทสีน้ำเงินเข้มอย่างพอใจ ด้วยดีไซน์หรูและแบบชุดทรงเข้ารูปทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของคนใส่ชัดเจนทำให้รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าซ่อนรูปไม่น้อยเลย แต่คงจะดูดีกว่านี้ถ้าเจ้าตัวจะยิ้มเสียบ้าง ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเฉยเย็นชาเป็นราชินีหิมะอยู่เช่นนี้ “คุณรอ
ภูเบศส่ายหน้าไปมา มองตามหลังคู่หมั้นที่ปึงปังออกไปราวกับพายุทอร์นาโด ด้วยสีหน้าหนักใจ ถึงแม้จะเตรียมใจล่วงหน้าว่าต้องเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ที่คิดจะดึงเลขาสาวมาร่วมแผนปลดอิสรภาพของตนแบบลับๆ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากทำให้ฝ่ายนั้นเดือดร้อนเช่นนี้ เมื่อคิดถึงเลขาสาว เขาก็รีบปิดประตูหน้าบ้านพร้อมล็อกกลอนแน่นหนา เผื่อว่าคู่หมั้นสาวจะย้อนกลับมาอาละวาดอีกหน แล้วเดินปราดไปที่ห้องนอน“เปิดประตูได้แล้ว”เงียบกริบ...ไม่ใช่ว่ายัยนั่นตกใจจนช็อกตายไปแล้วหรอกนะ ชายหนุ่มชักห่วง รีบไปเอากุญแจสำรองมาไขประตูอย่างรวดเร็วห้องว่างเปล่า สายตาคมเข้มเหลียวมองหาร่างอรชรมาสะดุดตาที่ประตูตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้มเล็กน้อย ร่างสูงจึงตรงเข้าไปกระชากมันออกภูเบศใจหายวาบเมื่อได้เห็นสภาพของเลขาสาวที่นั่งกอดเข่าคุดคู้หลบตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังน่าสงสารจับใจ ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดไร้สีเลือดหม่นหมอง พอเงยหน้าเห็นเขาเธอก็สะดุ้งสุดตัว รีบขยับกายหนี แต่เขากลับเป็นฝ่ายดึงร่างเธอเข้ามากอดปลอบขวัญเสียเอง แม้อีกฝ่ายจะดิ้นขลุกขลักจะหนีจากอ้อมกอดนั้นแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้โฮแต่ก็กลับไม่ หากมีเพียงเสีย