นับหนึ่งกลับถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน เธอแทบจะไม่มีแรงยืน หรือเดินไปไหน ได้แต่ทอดตัวนอนที่โซฟาตัวเก่า ที่ทำให้รำลึกถึงความหลัง ที่ครั้งหนึ่งธนญเคยนอนอยู่ตรงนี้ กลิ่นหอมละมุนที่คุกรุ่นผสมกับกลิ่นเหงื่อทำให้นับหนึ่งต้องหลับตาลง น้ำหอมที่เธอใช้คือกลิ่นที่เขาบรรจงสร้างสรรค์ให้กับเธอ ตั้งแต่ได้มันมา เธอไม่เคยแตะต้องกลิ่นอื่นอีกเลย
การมาปรากฏตัวของธนญ ที่แม้เวลาจะผ่านไป 10 ปี นับหนึ่งก็ไม่เคยลืมเขา แม้ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเขาจะสร้างความเจ็บช้ำแสนสาหัสให้แก่เธอมากก็ตาม แต่ใจที่รักเขามานานแสนนาน กลับเก็บเขาไว้จนลึก ยากที่จะหาใครมาทดแทนหรือเติมเต็มหัวใจของเธอได้อีก
“ทำไมนายเงียบจัง” สืบสายถามเพื่อนรัก เมื่อเห็นเขาเงียบไป เอาแต่ดื่ม มีแต่เขาและพัศวีที่พูดคุยกันอยู่สองคน
“ได้ข่าวว่านายไปเทคบริษัทออลโมส ฟราแกรนซ์มาเหรอ” พัศวีสนใจข่าวสังคมธุรกิจที่กำลังมาแรง
“ใช่ วันนี้เพิ่งเข้าไปแนะ
ใบหน้าที่เคร่งเครียด จับจ้องอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์ นับหนึ่งกำลังอ่านรายงานความเสียหายจากเหตุระเบิดห้องวิจัยเมื่อสองวันก่อน เธอหัวหมุนมาสองวันเต็ม เพิ่งจะมีโอกาสได้นั่งพัก และอ่านรายงานต่างๆ รวมถึงเมล์ที่ส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นร้อย ๆ เรื่อง ที่เธอต้องอ่านและตอบกลับโดยด่วนในขณะที่มินตรา กำลังเรียบเรียงเอกสารที่นับหนึ่งต้องเซ็นอนุมัติมากมายตามลำดับความสำคัญก่อนหลัง และไม่ลืมที่จะเตือน นัดหมายเรื่องสำคัญ“วันนี้ช่วงบ่าย ท่านรองจะพาท่านประธานมาเยี่ยมชมแผนกของเรา และดูความคืบหน้าเกี่ยวกับ การปรับปรุงห้องแล็ปที่ได้รับความเสียหาย แล้วก็พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับท่านประธานและคณะ ผอ.จะให้ดิฉันไปรับชุดจากที่ร้านมาให้ที่นี่เลยใช่ไหมคะ”นับหนึ่งหยุดคิดนิดหนึ่ง เมื่อมินตรารายงานเรื่องที่ ธนญ จะมาเยี่ยมแผนกของเธอในวันนี้ และยังจะเรื่องชุดที่ใส่ในงานเลี้ยงต้อนรับ ที่เพิ่งมีเมล์แจ้งมาว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับประธานคนใหม่ที่ชั้นดาดฟ้าของตึกสำนักงาน ในธีมแองเจิล
นับหนึ่งเอนกายพิงศีรษะลงที่ขอบพนักเก้าอี้ทำงาน และหลับตาลง เพื่อพักสายตาที่อ่อนล้าจากการจ้องมองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูเบาๆ เธอจึงลืมตาขึ้นและยืดตัวลุกขึ้นนั่งในท่าปกติที่สง่างาม“เชิญค่ะ” นับหนึ่งขานรับ“ผอ.ค่ะ ดิฉันรับชุมมาเรียบร้อยแล้วค่ะ ให้ไว้ที่ห้องพักเลยไหมคะ”มินตรานำชุดที่จะใส่ในงานเลี้ยงคืนนี้มาให้เธอ เพื่อจะถามเธอว่าจะเอาไว้ที่ห้องแล็ปที่เปรียบเสมือนห้องพักส่วนตัวของเธอเลยหรือไม่“ค่ะ ขอบใจนะคุณมินตรา” นับหนึ่งยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนนับหนึ่งมองที่นาฬิกาบอกเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว แต่เธอยังไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด เพราะติดพันธ์งานวิจัยเปลือกไม้ที่หยุดมาสักระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้น เมื่อหยิบมันขึ้นมาทำต่อ จึงลืมเรื่องอื่นไปเสียสนิท อีกประมาณ 20 นาทีก็จะเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ไปช้าสักหน่อยคงจะไม่เป็นไร เพราะสถานที่จัดเลี้ยงก็อยู่ที่ชั้นดาดฟ้าสำนักงานนี่เ
ขบวนขันหมากของปารวัตรมาถึง โดยมีเพื่อนเจ้าบ่าวในชุดราชปะแตนสีขาวนุ่งโจงสีม่วง ส่งเสียงโห่ร้องที่หน้าบ้านของเจ้าสาวอย่างอึกทึก มัสยาวิ่งออกมาดูด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบเข้าไปดูความเรียบร้อยของเจ้าสาว ณัฐการในชุดไทยจักรพรรดิสีครีมห่มสไบรองสีฟ้าอมเขียวทับด้วยสะพักปักลายวิจิตรบรรจงทั่วทั้งผืน ผ้านุ่งไหมยกสีครีมไล่สีเหลือบวาว ในขณะที่เพื่อนเจ้าสาวสวมชุดไทยอัมรินทร์คอตั้ง แขนกระบอกเข้ารูปแบบเรียบง่าย สีชมพูอ่อนแต่ดูสง่างามปารวัตรในชุดราชปะแตนสีครีม ผ้านุ่งโจงสีเขียวอมน้ำตาล ถูกเด็กๆ ตัวน้อยลูกหลานเครือญาติที่มาร่วมงาน กั้นประตูเงินประตูทอง 5 ชั้น แจกซองค่าผ่านประตู เป็นที่สนุกสนานกว่าที่เจ้าบ่าวจะผ่านด่านเข้ามาได้พิธีหมั้น และพิธีรดน้ำสังข์ถูกจัดต่อเนื่องในช่วงเช้า นับหนึ่งมองดูพิธีการและขั้นตอนต่างๆ อย่างสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวสู่ขอเจ้าสาว และแสดงสินสอดต่อหน้าพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง การสวมแหวนและรับพรจากผู้ใหญ่ จนถึงพิธีการทางสงฆ์ ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของคุณหญิง
เกศิตาพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ โดยหันหลังให้เขามองออกไปด้านนอกกระจกใสที่มองเห็นทิวทัศน์บรรยากาศของโรงแรมยามค่ำคืนภายนอกที่ประดับแสงไฟระยิบระยับ“ผู้ชายคนนั้นเหรอที่คุณไปหาเขา”เสียงที่คุ้นหู ทำลายภวังค์ของเธอจากทิวทัศน์ยามราตรีลง และค่อยๆ หันมามองเจ้าของเสียงด้วยอาการตกตลึงที่ได้พบเขา สหัสวรรษในสูทสีเทาเข้ม ผูกเนคไทสีฟ้าคราม“ทำไมคุณอยู่ที่นี่” เกศิตาเสียงสั่น“ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว” สหัสวรรษยิ้ม“ไหนว่าเลิกคบกับวัตรแล้ว” คิ้วทั้งสองขมวดเป็นปม“กลับมาคบกันใหม่แล้ว” เขาตอบเธอหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเขากับปารวัตรมาก่อนเกศิตาจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินหนีเขาไปทางอื่น การเลี่ยงที่จะเจอเขาดีกว่าจะให้เขากับพัศวีเผชิญหน้ากัน แต่เขาใช้ตัวขวางไว้ จนเธอชนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา จนเกศิตาต้องรีบผลักตัวเองออกจากเขา“ที่นี่คนเยอะ มีนักข่าว” เกสิตาค่อนข้างระวังตัว
นับหนึ่งพยุงธนญเข้าบ้านอย่างทุลักทุเล ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ ทำให้น้ำหนักตัวของเขาก็มากตามไปด้วย แม้นับหนึ่งจะแข็งแรงแค่ไหน แต่กับร่างที่ไร้สติ น้ำหนักก็จะถูกเทมาอีกคนช่วยประคองเสมอ นับหนึ่งวาง ธนญ ลงนอนที่โซฟาตัวเดิม ก่อนจะนำผ้าเย็นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขาอาการกระวนกระวายเพ้อพร่ำเพราะพิษน้ำเมา ธนญ พูดจาไม่ได้ศัพท์ เขาพูดบางอย่างที่นับหนึ่งไม่เข้าใจ และพยายามเรียกหาแต่เธอไม่ยอมสงบลงง่ายๆ“นับหนึ่ง”“ฉันอยู่นี่แหละ” นับหนึ่งขานรับเพื่อปลอบประโลมเขา ที่เอาแต่พร่ำเพ้อเรียกชื่อเธออยู่อย่างนั้น“ขอโทษ” ธนญกล่าวคำขอโทษ แต่นับหนึ่งไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไร“อืม”นับหนึ่งรับคำ เพื่อไม่ให้เขาอาละวาด เพราะหากเธอไม่ตอบเขา ธนญจะส่งเสียงดัง จนถึงขั้นตะโกนออกมา ด้วยความอัดอั้นบางอย่าง“ฉันเมา ฉันผิดสัญญาหนึ่ง”ธนญพูดถึงเรื่องที่เขารับปากเธอว่าจะดื่
คอนโดที่พักของเกศิตาถูกขายไปหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ถูกบังคับให้ไปอเมริกา ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตหลังกลับมาในโรงแรม ก่อนจะได้ที่พักแห่งใหม่ เธอหายไปจากงานแต่งของปารวัตรก่อนเวลาเลิก ยิ่งทำให้นายพลวัตรฉุนเฉียวหนัก เพราะไม่สามารถติดต่อเธอได้ และไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่ใด เสื้อผ้าน้อยนิดที่นำติดตัวมา ทำให้เกศิตาต้องใช้เวลากับการหาซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น ก่อนการหาที่พักระหว่างที่เดินเลือกซื้อสินค้าภายในห้างหรู เธอไม่คาดคิดว่าโลกจะกลมดังที่ใครเขาชอบพูดกัน เกศิตาเผชิญหน้าอยู่กับนายทรงกลด ที่ควงคู่มากับหญิงสาวนางหนึ่ง ที่เคาน์เตอร์น้ำหอมแบรนด์หรู ทั้งสองจ้องมองกัน เกศิตามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ต่างกับทรงกลดที่มองเธอด้วยสายตาเย้ยหยัน รังเกียจชิงชัง เพราะเธอทำให้เขาเสียชื่อเสียงอย่างมากเมื่อสิบปีก่อนแม้เรือนร่างของเกศิตาจะยังเย้ายวนเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่ลืมว่าพฤติกรรมวิปริตชอบความรุนแรงป่าเถื่อน ชอบโชว์ในที่สาธารณะของเธอมันน่าสะอิดสะเอียนแค่ไหน เขาเคยชอบท
นักข่าวพากันวิ่งกรูตามเขาไป โดยทิ้งให้อริศรายืนเท้งเต้ง กำมือแน่นจนแทบจะกรีดร้อง ที่สืบสายกล้าบอกคนอื่นต่อหน้าเธอว่าพระแพงคือภรรยาของเขา“เดี๋ยวก่อนค่ะ หมายความว่ายังไงคะที่คุณพระแพงคือภรรยาของคุณ” นักข่าวที่วางแผนกับอริศราเริ่มยิงคำถาม“เธอเป็นภรรยาผมมากว่าสิบปีแล้ว” เขาตอบแค่นั้น“แสดงว่าคุณคบซ้อน” คำถามพุ่งความผิดไปที่สืบสาย“คุณสืบสายไม่เคยคบซ้อน เราแค่ให้อิสระซึ่งกันและกัน”พระแพงออกรับแทนเขา และกำมือสืบสายไว้ เพื่อเป็นการบอกเขาว่าเธอเข้มแข็งพอ และไม่ยอมตกเป็นเหยื่อนักข่าวตามที่อริศราหวังไว้“เราคบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 3” คำตอบของสืบสายสร้างเสียงฮือฮา“หลังจากนั้นสืบไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันได้งานทำที่นี่ เราไม่ได้เลิกกัน ส่วนเขาจะไปมีอะไรกับใครชั่วครั้งชั่วคราวดิฉันไม่ได้สนใจ”พระแพงทำเสียงเข้ม เพื่อตอกย้ำอริศราว่าเธอเป็นแค่ของชั่วคราว
เนื้อน้องเพลียหลับสนิท ไม่ขยับตัวเลยสักนิด พัศวีไม่รู้ว่าเขาต้องพาเธอไปที่ใด เพราะตั้งแต่คบกับเธอมา เขาไม่เคยรู้จักบ้านของเธอที่นี่เลย แม้แต่ที่ทำงานก็ยังไม่รู้จัก เมื่อทบทวนเหตุการณ์หลายๆ อย่างเขาแทบจะไม่รู้จักหรือสนใจจะรู้จักกับคนในครอบครัวของเธอเลยสักนิด ความรู้สึกผิดที่ประดังประเดเข้ามาพัศวีตัดสินใจว่าเธอไปพักรีสอร์ทขนาดเล็กใกล้ๆ ที่เขาสอบถามจากพนักงานก่อนหน้านี้ เพราะเขาจะไปพักที่นั่นหากขับรถไม่ไหวจริงๆ บ้านพักขนาดย่อมๆ ติดทะเล 5 หลังเป็นสัดส่วนสามารถจอดรถด้านข้างได้สะดวกสบาย แม้ไม่ได้หรูหรานัก แต่ก็สะอาดสะอ้านเหมาะกับการพักชั่วคราวแบบไม่ต้องคิดอะไรมากพัศวีอุ้มเนื้อน้องเข้าไปวางบนที่นอนที่ปูอยู่กับพื้นไม่มีเตียง เธอขยับกายนิดหนึ่งแต่ก็ไม่ยอมตื่น นอนขดตัวทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงานที่ค่อนข้างจะทางการ“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเธอนอนทั้งชุดนี้ไม่ได้”พัศวีดึงเนื้อน้องที่พลิกกายหันหลังให้เขา ร่างที่สูงใหญ่ กับพื้นที่เตี้ย สร้างความลำบากให้เขา
อาการบอบช้ำตามร่างกายของวิกรม ทุเลาลงมาก เขาร้อนใจ เมื่อพนมกรมารายงานความคุ้มคลั่งของอักษะที่นับวันจะทวีความรุนแรง และออกคำสั่งที่ดูเหมือนคนขาดสติและมิได้ไตร่ตรอง เรื่องหนึ่งไม่ทันจะหายเรื่องใหม่ก็เข้ามาพนมกรประคองร่างที่ยังเดินได้ไม่ดีนักของวิกรมมาที่รถของเขา ก่อนจะรีบเปิดประตูให้วิกรมได้นั่งสบายๆที่เบาะหลัง เขาปฏิบัติต่อวิกรมต่างจากอักษะ ราวกับวิกรมนั้นเป็นนายใหญ่แทนอักษะเสียอีก ดูจะมีความเคารพยำเกรงและเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าเสียด้วยซ้ำไม่ทันที่พนมกรจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เสียงโทรศัพท์ของวิกรมก็ดังขึ้น“เรื่องที่ผมเคยขอให้คุณวิกรมลองตัดสินใจ ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะไม่รอคำตอบจากคุณอีกแล้วครับ ผมเลือกแล้ว”“มีอะไรหรือคุณเมืองนาย คนของผมเพิ่งมารับผมออกจากโรงพยาบาลวันนี้”“คุณวิกรมทบทวนข้อเสนอของนายธนญหรือยัง ก่อนหน้าที่ผมเคยบอกกับคุณไว้ ว่ามันเป็นทางเลือกที่ดี และผมฝากคุณวิกรม ไปบอกท่านอักษะด้วยว่า ผมขอยุติการเป็นตัวแทนในการทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมายนั่น ถึงผมจะรักเงินมากแค่ไหน แต่น้องชายของผมก็สำคัญกว่าเงินนั่นมากกว่าเป็นหลายเท่า อย่าได้ริอาจมาแตะต้องน้องชา
พระแพงมองแผ่นหลังกว้างของสืบสาย ที่แสงจันทร์จับเป็นเงาวาววับ เสียงพูดคุยที่เบา แต่น้ำเสียงหนักแน่น แม้จะได้ยินไม่ถนัดนัก แต่ก็พอเข้าใจจากโทนเสียง น้ำหนักเสียงหนักเบาของเขา ที่แฝงไปด้วยความจริงจังเคร่งเครียดสืบสายรับโทรศัพท์ของธนญที่เรียกเข้ากลางดึก หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเสร็จกิจกันผ่านไปไม่นานนัก นับหนึ่งที่หมดแรงหลับไปแล้ว ส่วนพระแพงเองก็ไม่ขยับตัวเมื่อสืบสายประคองศีรษะของเธอออกจากไหล่ของเขา เพื่อที่จะลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงสืบสายนั่งอยู่ที่ปลายเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า หันหลังให้พระแพงที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ปิดคลุมไว้แค่เนินอก จนกระทั้งรู้สึกว่าไออุ่นที่เคยได้รับจากกายของสืบสายหายไป และไหล่ของเธอเริ่มเย็นเฉียบ จนรู้สึกขนลุก อีกทั้งเสียงใครบางคนที่กำลังคุยกับใคร ทำให้พระแพงค่อยๆ ลืมตา และเพ่งมองไปที่แผ่นหลังของสืบสาย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเขา“ฉันจะให้คงทรัพย์ ส่งคนไปเฝ้าคนร้ายที่โรงพยาบาลทันที ฉันกลัวจะเหมือนคราวที่แล้วอีก คราวนี้เราต้องมีพยานบุคคลให้ได้ แล้วเพื่อนนายเป็นอะไรมากไหม”“เมืองเหนือปลอดภัย แผลแค่ถากๆ แต่เจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกจ
ชายที่ตามไล่ล่าพลอยฟ้า ชะงักฝีเท้าทันที ที่เห็นกลุ่มคนมากมายอยู่ที่รถของพวกเขา แต่ไม่ทันที่จะหลบวิ่งหนีกลับเข้าไปในป่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง“หยุดนะ ไม่งั้นฉันยิ่ง”ทำให้ตำรวจนายอื่นประทับลำกล้องขึ้นไกปืนทันที แต่คนร้ายกลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับคำขู่เลยสักนิด พวกเขาวิ่งกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนตำรวจนายนั้นลั่นกระสุนตามทันที จนเสียงดังกึกก้องป่า ราวกับเสียงฟ้าคำรามยามฟ้าฝนกระหน่ำเช่นนี้ พร้อมกับไว่ไล่ตามไป“เกิดอะไรขึ้นครับ”เมืองเหนือที่มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมภูผารีบตรงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ทันที เมื่อได้ยินเสียงปืน“พวกคนร้ายมันวิ่งหนีการจับกุมครับ”“แล้วผู้หญิงล่ะครับ”“เราไม่เห็นคุณผู้หญิง ผมคาดว่าคุณผู้หญิง อาจจะหลบหนี พวกมันถึงวิ่งหน้าตื่นออกมาตามหาไม่ทันระวังตัวแบบนั้น”“หนีหรือ”น้ำเสียงของเมืองเหนือนั้นตกใจ เพราะเขาชำนาญป่าแถบนี้ และรู้ว่าเป็นพื้นที่อันตราย และมีหุบเหวลึกอยู่มากมาย หากคนไม่ชินทางอาจตกลงไปโดยไม่รู้ตัวฝนที่เบาลง ให้พวกเขาตัดสินใจออกตามล่า พร้อมทั้งตามหาพลอยฟ้าไปพร้อมกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนร้ายยังไม่ได้ตัวเธออย่
ชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถกระบะเก่าคร่ำคร่า จอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ในซอยเล็กๆ ห่างจากบ้านฟ้าร้อยดาวราวยี่สิบเมตร ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าสนใจเกินไปนัก ที่จะเป็นที่สนใจของผู้ผ่านไปผ่านมา เพราะปกติจะมีรถที่หลบเข้ามาหาที่จอด เพื่อเข้ามาทานอาหารหรือมาที่คาเฟ่อยู่เป็นประจำ“ผมซุ่มดูอยู่ครับ ห่างออกมาจากหน้าคาเฟ่ราวยี่สิบเมตรครับ ไม่มีใครสนใจเรา ผู้หญิงนักวิจัยที่มาจากขุนวางพร้อมนายเมืองเหนือพักอยู่ที่นี่ครับ เป็นคาเฟ่เล็กๆครับนาย คนไม่พลุกพล่าน แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งคือ ดูเหมือนไอ้ภูผาคนสนิทของคุณเมืองนายและน้องชายจะเป็นเจ้าของที่นี่ และมันก็พักอยู่ที่นี่ครับ พวกบนเขามีคนของนายภูผาเฝ้าอยู่ และคอยติดตามเข้าป่าไปพร้อมป่าไม้ครับ ยากมากที่จะเข้าถึง ”ชายคนขับกำลังส่งข่าวถึงใครบางคน ซึ่งปลายสายนั้นรู้จักเมืองเหนือและเมืองนายเป็นอย่างดี อีกทั้งการพูดถึงนักวิจัยหญิง ซึ่งคนเดียวที่อยู่ที่นี่นั่นคือพลอยฟ้า รวมถึงภูผาที่เป็นอุปสรรคของพวกมัน“นายว่าไงพี่”“นายบอกให้รอจังหวะ อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม รอดูพวกมันไปก่อน”ทั้งสองเอนเบาะนอนในรถ พร้อมดับเครื่องและแง้มกระจกไว้ให้อากาศได้ถ่ายเท พวกมันตั้งใจ
คนของอักษะที่ซุ่มรอดูอยู่บริเวณคอนโดหรูที่พักของตรีทศ รอเวลาที่ลลิตาจะออกมา ในที่สุดเป้าหมายของพวกเขาก็ปรากฏตัว ลลิตาที่เดินเคียงคู่มาในชุดลำลองของตรีทศ สองหนุ่มสาวเดินออกมาบริเวณด้านหน้า เดินไปตามฟุตบาททางเท้าเพื่อไปยังร้านอาหารที่ห่างออกไปราว สองร้อยเมตรคนของอักษะรีบส่งสัญญาณไปยังคนที่อยู่ในรถ ส่วนคนที่เดินตามก็ตามมาห่างๆ แต่คอยรายงานเป็นระยะ จนกระทั่งตรีทศและลลิตาถึงที่หมายเนื่องจากเป็นร้านอาหารดัง ราคาย่อมเยา รสชาติถูกปากผู้คนในย่านนั้น ทำให้มีคนไปใช้บริการจำนวนมาก จนต้องมีการตั้งโต๊ะเสริมล้นออกมายังริมฟุตบาท“วันนี้ลูกค้าเยอะ สงสัยเราคงต้องนั่งข้างนอกนี้แล้วหละ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งได้”“คุณครับด้านในที่นั่งเต็มหมดแล้วครับ”เป็นอย่างที่คิด พนักงานเสิร์ฟออกมาแจ้งตรีทศ เมื่อเขามาถึงและถามพนักงานว่าด้านในยังพอที่นั่งเหลือไหม โดยที่พนักงานนั้นจำเขาได้ดี เพราะตรีทศเป็นลูกค้าประจำ พนักงานเสิร์ฟกุลีกุจอ เข้าไปสำรวจด้านในทันที ก่อนจะกลับออกมาพร้อมความผิดหวัง“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเรานั่งข้างนอกนี่ก็ได้”ตรีทศตอบและหันไปทางโต๊ะเสริมที่อยู่ห่างออกไปด้านหลัง ไกลจากปา
ตรีทศตะแคงใช้ศอกค้ำ ฝ่ามือยันศีรษะของตัวเองไว้ นอนมองลลิตาที่มีอาการงัวเงีย เมื่อแสงสว่างจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาในห้อง ทำให้ห้องนอนที่แสนจะเรียบง่ายสว่างขึ้น เปลือกตาที่ค่อยๆเปิดออก เธอปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องตอบเขาไป ราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือความจริง ลลิตาคิดว่าตัวเองฝันไป เธอกระพริบตาอยู่สองถึงสามครั้ง“ตื่นเถอะ”เสียงของตรีทศบอกเธอว่า ไม่ใช่ความฝัน ลลิตาตกใจรีบลุกขึ้น เธอมองไปรอบๆ นี่มันห้องของเขาจริงๆ มันไม่ใช่ความฝัน ตรีทศที่ยังนอนมองลลิตาเหยียดยิ้มออก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งลลิตาที่ทำท่าจะก้าวลงจากเตียงถูกตรีทศรวบเอาไว้ก่อน ลลิตานั่งลงบนตักของเขาอย่างไม่ตั้งใจเพราะแรงยื้อที่เหวียงเข้าหาตัวเขา“คุณทศ ไหนบอกให้ฉันตื่น ฉันจะลุกแล้วนี่ไง”“ผมให้คุณตื่นไม่ได้บอกให้คุณลงจากเตียงเสียหน่อย”ตรีทศกอดรอบเอวลลิตาไว้ เธอนั้นจับท่อนแขนที่แน่นขึ้นของเขา พร้อมทั้งห่อตัว เมื่อตรีทศพยายามซุกไซ้ที่ซอกคอ“นี่สายแล้วนะคะ ไม่ไปทำงานหรือ”“ผมทำงานโปรเจคฯ ไม่ต้องเข้าสำนักงานก็ได้ นี่ไงที่ทำงานผม”“แต่ฉันต้องทำ”“เจ้านายคุณไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ เขาให้คุณดูแลณัฐกา
ตรีทศและนิอรที่เดินออกมายังโถงส่วนหน้าของโรงพยาบาล ห่างไปไม่ไกลจากตรงนั้น ลลิตานั่งรอณัฐการอยู่ที่ร้านกาแฟ ตามที่ณัฐการบอก โดยตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่กำลังสับสนและหวั่นไหวกับความรู้สึกของตัวเอง“นิอร มาทำอะไรที่นี่น่ะ”ณัฐการในชุดคลุมท้องแสนน่ารัก นั่งอยู่บนรถเข็นที่นางพยาบาลช่วยเข็นมาหาลลิตาที่ร้านกาแฟ“คุณอิ๋ง ไม่ได้เจอกันนานเลย ตั้งแต่คุณออกจากบริษัท พวกเราเหงามากเลยค่ะ เจ้านายไม่พาลูกน้องไปเลี้ยงเหมือนเคย อรขอฟ้อง”“นี่พี่อุ๋งกับพี่หัส ละเลยลูกน้องขนาดนี้เลยเหรอฉันต้องจัดการหน่อยแล้ว”“แล้วนี้มาตรวจครรภ์หรือคะ”ตรีทศมองณัฐการ ด้วยความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน ณัฐการเองก็มองเขาแว้บหนึ่งก่อนจะจำได้“อ้อ ฉันจำนายได้แล้ว นายเป็นเพื่อนของนับหนึ่งนี่นา ฉันเป็นเพื่อนนับหนึ่ง เราเจอกันบ่อยๆ ที่มหาวิทยาลัย”“อ้อ! จำได้แล้ว เธอชื่ออะไรนะ ติดอยู่ที่ปาก”“ฉันชื่อณัฐการคณะบริหาร”“อ่อใช่ ผมตรีทศ”ตรีทศยิ้มให้ณัฐการ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน เมื่อจำกันได้“นายเป็นแฟนกับนิอรเหรอ”สิ้นเสียงคำถามของณัฐการ ตรีทศไม่ทันจะได้ตอบ สายต
นายอักษะที่อยู่ในอารมณ์ครุกรุ่น โกรธโมโห และบันดาลโทสะ เขาทำร้ายวิกรมไม่ยั้ง ที่คนของวิกรม ทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ชายสูงอายุสองคนที่เคยเป็นเสมือนเพื่อนรัก คู่หู เจ้านายและลูกน้องที่รักกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องงาน ที่พลาด อักษะไม่เคยให้อภัยใคร เพราะมันหมายถึงชีวิตทั้งหมดของเขาอาจจบสิ้นลงนายวิกรมที่กองอยู่ที่พื้น ถูกลูกน้องสองคนประคองข้างให้ทรงตัวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ในขณะที่ลูกน้องคนหนึ่งยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้นายอักษะเช็ดมือ เอาเลือดของวิกรมที่เปรอะเปื้อนออก ด้วยสายตาและมือที่สั่นเทา เขาไม่เคยเห็นอักษะซ้อมหรือทำร้ายวิกรมถึงขั้นปางตายขนาดนี้มาก่อน เพราะทุกคนรู้ดีว่าวิกรมคือเพื่อนรัก ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ของนายอักษะมาตั้งสมัยยังหนุ่ม จนกระทั่งเรืองอำนาจ อีกทั้งเป็นนายอีกคนของพวกเขา“พามันออกไป”สิ้นคำสั่งสองหนุ่มรีบหิ้วปีกวิกรมออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่วิกรมสิ้นลาย และสูญสิ้นศักดิ์ศรีจากการกระทำที่ไม่ให้เกียรติกันของอักษะ สายตาดุดันเข้มขึ้น เขากัดฟัน และข่มความเจ็บแค้นเอาไว้ด้วยร่างกายที่สะบักสะบอม วิกรมถูกหามส่งโรงพยาบาลทันทีเมื่อสิ้นสติเช้าวันใหม่ที่แสงอร
พลอยฟ้าตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อใกล้รุ่งสาง ดวงตาที่พยายามลืมขึ้นในแสงสลัวที่ฟ้ายังไม่แจ้งดี พลอยฟ้านอนหันหลังให้เขาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มอุ่นคลุมกายอยู่ใต้วงแขน เสียงหายใจแรงของภูผาทำให้พลอยฟ้า ไม่แน่ใจว่าเขาตื่นอยู่หรือว่าหลับก่อนจะค่อยลุกขึ้น และหันไปตามเสียงนั้นช้าๆ ใบหน้าที่เอียงไปทางหนึ่ง แขนทั้งสองวางอยู่บนอก ผ้าห่มคลุมแค่ท่อนล่าง ผิวกายที่ขาวสะอาด มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยแต่ดูแข็งแรงพลอยฟ้ามองหาเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะย่องลงจากเตียง และรีบร้อนสวมใส่มัน และไม่ลืมที่จะเก็บของสำคัญที่เธอตั้งใจมาเอาคืน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอและเขาลงเอยกันบนเตียงเสียงประตูที่ปิดลงเบาๆ ทำให้ภูผาลืมตา เขาตื่นนานแล้ว แต่เพราะกลัวว่าพลอยฟ้าจะทำตัวไม่ถูก เขาจึงแกล้งทำเป็นหลับอยู่ เพราะมันก็ยากสำหรับเขาด้วยเช่นกันที่จะต้องเผชิญหากับเธอพลอยฟ้าที่หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แสงแดดอ่อนๆ ก็ฉายแสงเต็มที่ แต่เธอยังคงหมกตัวอยู่ในห้อง อยากออกไปข้างนอกใจจะขาด แต่ไม่แน่ใจว่าโผล่ไปเจอเขาตอนไหน เธอจึงเอาแต่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องจนกว่าจะได้ยินเสียงของเขา จนกระทั่งช่วงสาย เสียง