นับหนึ่งเอนกายพิงศีรษะลงที่ขอบพนักเก้าอี้ทำงาน และหลับตาลง เพื่อพักสายตาที่อ่อนล้าจากการจ้องมองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูเบาๆ เธอจึงลืมตาขึ้นและยืดตัวลุกขึ้นนั่งในท่าปกติที่สง่างาม
“เชิญค่ะ” นับหนึ่งขานรับ
“ผอ.ค่ะ ดิฉันรับชุมมาเรียบร้อยแล้วค่ะ ให้ไว้ที่ห้องพักเลยไหมคะ”
มินตรานำชุดที่จะใส่ในงานเลี้ยงคืนนี้มาให้เธอ เพื่อจะถามเธอว่าจะเอาไว้ที่ห้องแล็ปที่เปรียบเสมือนห้องพักส่วนตัวของเธอเลยหรือไม่
“ค่ะ ขอบใจนะคุณมินตรา” นับหนึ่งยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
นับหนึ่งมองที่นาฬิกาบอกเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว แต่เธอยังไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด เพราะติดพันธ์งานวิจัยเปลือกไม้ที่หยุดมาสักระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้น เมื่อหยิบมันขึ้นมาทำต่อ จึงลืมเรื่องอื่นไปเสียสนิท อีกประมาณ 20 นาทีก็จะเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ไปช้าสักหน่อยคงจะไม่เป็นไร เพราะสถานที่จัดเลี้ยงก็อยู่ที่ชั้นดาดฟ้าสำนักงานนี่เ
ขบวนขันหมากของปารวัตรมาถึง โดยมีเพื่อนเจ้าบ่าวในชุดราชปะแตนสีขาวนุ่งโจงสีม่วง ส่งเสียงโห่ร้องที่หน้าบ้านของเจ้าสาวอย่างอึกทึก มัสยาวิ่งออกมาดูด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบเข้าไปดูความเรียบร้อยของเจ้าสาว ณัฐการในชุดไทยจักรพรรดิสีครีมห่มสไบรองสีฟ้าอมเขียวทับด้วยสะพักปักลายวิจิตรบรรจงทั่วทั้งผืน ผ้านุ่งไหมยกสีครีมไล่สีเหลือบวาว ในขณะที่เพื่อนเจ้าสาวสวมชุดไทยอัมรินทร์คอตั้ง แขนกระบอกเข้ารูปแบบเรียบง่าย สีชมพูอ่อนแต่ดูสง่างามปารวัตรในชุดราชปะแตนสีครีม ผ้านุ่งโจงสีเขียวอมน้ำตาล ถูกเด็กๆ ตัวน้อยลูกหลานเครือญาติที่มาร่วมงาน กั้นประตูเงินประตูทอง 5 ชั้น แจกซองค่าผ่านประตู เป็นที่สนุกสนานกว่าที่เจ้าบ่าวจะผ่านด่านเข้ามาได้พิธีหมั้น และพิธีรดน้ำสังข์ถูกจัดต่อเนื่องในช่วงเช้า นับหนึ่งมองดูพิธีการและขั้นตอนต่างๆ อย่างสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวสู่ขอเจ้าสาว และแสดงสินสอดต่อหน้าพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง การสวมแหวนและรับพรจากผู้ใหญ่ จนถึงพิธีการทางสงฆ์ ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของคุณหญิง
เกศิตาพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ โดยหันหลังให้เขามองออกไปด้านนอกกระจกใสที่มองเห็นทิวทัศน์บรรยากาศของโรงแรมยามค่ำคืนภายนอกที่ประดับแสงไฟระยิบระยับ“ผู้ชายคนนั้นเหรอที่คุณไปหาเขา”เสียงที่คุ้นหู ทำลายภวังค์ของเธอจากทิวทัศน์ยามราตรีลง และค่อยๆ หันมามองเจ้าของเสียงด้วยอาการตกตลึงที่ได้พบเขา สหัสวรรษในสูทสีเทาเข้ม ผูกเนคไทสีฟ้าคราม“ทำไมคุณอยู่ที่นี่” เกศิตาเสียงสั่น“ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว” สหัสวรรษยิ้ม“ไหนว่าเลิกคบกับวัตรแล้ว” คิ้วทั้งสองขมวดเป็นปม“กลับมาคบกันใหม่แล้ว” เขาตอบเธอหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเขากับปารวัตรมาก่อนเกศิตาจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินหนีเขาไปทางอื่น การเลี่ยงที่จะเจอเขาดีกว่าจะให้เขากับพัศวีเผชิญหน้ากัน แต่เขาใช้ตัวขวางไว้ จนเธอชนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา จนเกศิตาต้องรีบผลักตัวเองออกจากเขา“ที่นี่คนเยอะ มีนักข่าว” เกสิตาค่อนข้างระวังตัว
นับหนึ่งพยุงธนญเข้าบ้านอย่างทุลักทุเล ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ ทำให้น้ำหนักตัวของเขาก็มากตามไปด้วย แม้นับหนึ่งจะแข็งแรงแค่ไหน แต่กับร่างที่ไร้สติ น้ำหนักก็จะถูกเทมาอีกคนช่วยประคองเสมอ นับหนึ่งวาง ธนญ ลงนอนที่โซฟาตัวเดิม ก่อนจะนำผ้าเย็นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขาอาการกระวนกระวายเพ้อพร่ำเพราะพิษน้ำเมา ธนญ พูดจาไม่ได้ศัพท์ เขาพูดบางอย่างที่นับหนึ่งไม่เข้าใจ และพยายามเรียกหาแต่เธอไม่ยอมสงบลงง่ายๆ“นับหนึ่ง”“ฉันอยู่นี่แหละ” นับหนึ่งขานรับเพื่อปลอบประโลมเขา ที่เอาแต่พร่ำเพ้อเรียกชื่อเธออยู่อย่างนั้น“ขอโทษ” ธนญกล่าวคำขอโทษ แต่นับหนึ่งไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไร“อืม”นับหนึ่งรับคำ เพื่อไม่ให้เขาอาละวาด เพราะหากเธอไม่ตอบเขา ธนญจะส่งเสียงดัง จนถึงขั้นตะโกนออกมา ด้วยความอัดอั้นบางอย่าง“ฉันเมา ฉันผิดสัญญาหนึ่ง”ธนญพูดถึงเรื่องที่เขารับปากเธอว่าจะดื่
คอนโดที่พักของเกศิตาถูกขายไปหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ถูกบังคับให้ไปอเมริกา ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตหลังกลับมาในโรงแรม ก่อนจะได้ที่พักแห่งใหม่ เธอหายไปจากงานแต่งของปารวัตรก่อนเวลาเลิก ยิ่งทำให้นายพลวัตรฉุนเฉียวหนัก เพราะไม่สามารถติดต่อเธอได้ และไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่ใด เสื้อผ้าน้อยนิดที่นำติดตัวมา ทำให้เกศิตาต้องใช้เวลากับการหาซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น ก่อนการหาที่พักระหว่างที่เดินเลือกซื้อสินค้าภายในห้างหรู เธอไม่คาดคิดว่าโลกจะกลมดังที่ใครเขาชอบพูดกัน เกศิตาเผชิญหน้าอยู่กับนายทรงกลด ที่ควงคู่มากับหญิงสาวนางหนึ่ง ที่เคาน์เตอร์น้ำหอมแบรนด์หรู ทั้งสองจ้องมองกัน เกศิตามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ต่างกับทรงกลดที่มองเธอด้วยสายตาเย้ยหยัน รังเกียจชิงชัง เพราะเธอทำให้เขาเสียชื่อเสียงอย่างมากเมื่อสิบปีก่อนแม้เรือนร่างของเกศิตาจะยังเย้ายวนเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่ลืมว่าพฤติกรรมวิปริตชอบความรุนแรงป่าเถื่อน ชอบโชว์ในที่สาธารณะของเธอมันน่าสะอิดสะเอียนแค่ไหน เขาเคยชอบท
นักข่าวพากันวิ่งกรูตามเขาไป โดยทิ้งให้อริศรายืนเท้งเต้ง กำมือแน่นจนแทบจะกรีดร้อง ที่สืบสายกล้าบอกคนอื่นต่อหน้าเธอว่าพระแพงคือภรรยาของเขา“เดี๋ยวก่อนค่ะ หมายความว่ายังไงคะที่คุณพระแพงคือภรรยาของคุณ” นักข่าวที่วางแผนกับอริศราเริ่มยิงคำถาม“เธอเป็นภรรยาผมมากว่าสิบปีแล้ว” เขาตอบแค่นั้น“แสดงว่าคุณคบซ้อน” คำถามพุ่งความผิดไปที่สืบสาย“คุณสืบสายไม่เคยคบซ้อน เราแค่ให้อิสระซึ่งกันและกัน”พระแพงออกรับแทนเขา และกำมือสืบสายไว้ เพื่อเป็นการบอกเขาว่าเธอเข้มแข็งพอ และไม่ยอมตกเป็นเหยื่อนักข่าวตามที่อริศราหวังไว้“เราคบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 3” คำตอบของสืบสายสร้างเสียงฮือฮา“หลังจากนั้นสืบไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันได้งานทำที่นี่ เราไม่ได้เลิกกัน ส่วนเขาจะไปมีอะไรกับใครชั่วครั้งชั่วคราวดิฉันไม่ได้สนใจ”พระแพงทำเสียงเข้ม เพื่อตอกย้ำอริศราว่าเธอเป็นแค่ของชั่วคราว
เนื้อน้องเพลียหลับสนิท ไม่ขยับตัวเลยสักนิด พัศวีไม่รู้ว่าเขาต้องพาเธอไปที่ใด เพราะตั้งแต่คบกับเธอมา เขาไม่เคยรู้จักบ้านของเธอที่นี่เลย แม้แต่ที่ทำงานก็ยังไม่รู้จัก เมื่อทบทวนเหตุการณ์หลายๆ อย่างเขาแทบจะไม่รู้จักหรือสนใจจะรู้จักกับคนในครอบครัวของเธอเลยสักนิด ความรู้สึกผิดที่ประดังประเดเข้ามาพัศวีตัดสินใจว่าเธอไปพักรีสอร์ทขนาดเล็กใกล้ๆ ที่เขาสอบถามจากพนักงานก่อนหน้านี้ เพราะเขาจะไปพักที่นั่นหากขับรถไม่ไหวจริงๆ บ้านพักขนาดย่อมๆ ติดทะเล 5 หลังเป็นสัดส่วนสามารถจอดรถด้านข้างได้สะดวกสบาย แม้ไม่ได้หรูหรานัก แต่ก็สะอาดสะอ้านเหมาะกับการพักชั่วคราวแบบไม่ต้องคิดอะไรมากพัศวีอุ้มเนื้อน้องเข้าไปวางบนที่นอนที่ปูอยู่กับพื้นไม่มีเตียง เธอขยับกายนิดหนึ่งแต่ก็ไม่ยอมตื่น นอนขดตัวทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงานที่ค่อนข้างจะทางการ“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเธอนอนทั้งชุดนี้ไม่ได้”พัศวีดึงเนื้อน้องที่พลิกกายหันหลังให้เขา ร่างที่สูงใหญ่ กับพื้นที่เตี้ย สร้างความลำบากให้เขา
“ลงมาสิ”ตรีวิทย์เรียกมินตรา ที่ยังหลับตาปี๋เพราะความกลัว เขาจอดรถนานแล้ว แต่เธอกลับนิ่งอยู่อย่างนั้น จนเขาลงจากรถ และเดินมาเปิดประตูฝั่งของเธอ“ไม่” เธอเสียงแข็งยืนกรานทั้งที่มือยังกำเข็มขัดนิรภัยแน่น ไม่ยอมลืมตา“ตามใจ งั้นก็อยู่ไปคนเดียว” พูดจบตรีวิทย์ก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังมองเธอด้วยซ้ำเสียงของตรีวิทย์เงียบไปนานแล้ว มินตรารู้สึกว่ารอบตัวเธอเงียบไปหมด จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละข้าง ก่อนจะปรับสายตาเพ่งมองไปในความมืด ใจของเธอเริ่มเต้นแรง ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใดรถของตรีวิทย์เหมือนจะจอดอยู่ในโรงจอดรถที่มิดชิด ประตูม้วนด้านหน้าปิดสนิท ภายในห้องสีเหลี่ยมที่ปิดทึบ มินตรามองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่น เธอก้าวลงจากรถ โดยใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องไปรอบๆ จนพบประตูบานหนึ่งด้านหลัง จึงเปิดมันออก และค่อยๆ ย่องออกไป อย่างกล้าๆ กลัวๆภายในห้องที่เปิดไฟส่องสว่า
ตรีวิทย์เปลี่ยนสวมรองเท้าใส่ในบ้านสีน้ำตาลแดง ที่มินตราหยิบมาให้ มันเป็นรองเท้าของเธอ ในขณะที่มินตราเดินเท้าเปล่า เพราะมีรองเท้าเพียงคู่เดียว เธอไม่เคยมีแขกมาที่ห้องมาก่อน จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมไว้เผื่อใคร เขานั่งลงบนโซฟาบุผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีน้ำตาลอ่อน ขนาดย่อม เมื่อมองดูไปรอบๆ มินตราดูจะชอบเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้สีเข้ม ทึบ ออกโทนแดงเสียเป็นส่วนมาก ทำให้เขาถึงกับยิ้มขำออกมา“คุณหัวเราะอะไร เมื่อกี้ก็มองฉันแปลกๆ ไปทีนึงแล้ว” มินตราขมวดคิ้วก่อนจะวางแก้วน้ำดื่มให้เขา“ผมแค่ทึ่งในรสนิยมของคุณ” ตรีวิทย์จิบน้ำ และยิ้มออกมา“มันเป็นยังไง”“คุณเป็นผู้หญิงที่แปลกดี แทนที่จะชอบสีอ่อนๆ สบายตา กลับชอบสีอึมครึม ทึบๆ ส่วนใหญ่สีแบบนี้มีแต่พวกผู้ชายที่ชอบ”ตรีวิทย์เอนหลังเพื่อเหยียดกาย ปกติมินตราจะเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่กลับมาถึงห้อง แต่เมื่อเขาอยู่ด้วยแบบนี้ เลยรู้สึกแปลกๆ&nb