เจ้าหน้าที่สอบสวนหันไปปรึกษากัน อเล็กซิสมองสำรวจไปรอบห้อง เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายทำหน้านิ่งราวกับรูปปั้นหินอ่อน อเล็กซิสพยายามมองหาชื่อของตำรวจสาวเหมือนที่เคยทำกับเจ้าหน้าที่คนอื่น แต่ผมเปียหางปลาของหญิงสาวบังป้ายชื่อเธอเอาไว้
ไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่สาวกลับมาสอบสวนอเล็กซิสต่อ
“คุณเดวิส โปรดมองที่หน้าจอนี้นะ” อเล็กซิสเงยหน้า จ้องแผนผังภายในสถานีตำรวจบนจอภาพแบนขนาดประมาณหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่ง เธอไม่เคยเห็นเทคโนโลยีล้ำสมัยเช่นนี้มาก่อน เพราะว่าเพียงแค่เจ้าหน้าที่สัมผัสหน้าจอ ทุกอย่างก็ปรากฏขึ้นเองราวกับมีเวทมนตร์ เพียงแค่สัมผัสก็ควบคุมแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ผ่านหน้าจอเท่านั้น เจ้าหน้าที่สอบสวนหญิงนับหนึ่งถึงสิบแล้วส่งสัญญาณให้นายตำรวจโจเซฟปลดล็อกข้อมือข้างขวาของเธอ “ช่วยวาดแผนผังเมื่อครู่ให้ทีนะจ๊ะ” เธอสั่งแล้วคว่ำหน้าจอลง
“ข้างซ้ายค่ะ” อเล็กซิสบอกกับนายตำรวจ เขาพยักหน้าแล้วเปลี่ยนมาปลดล็อกมือข้างซ้ายแทน
พวกเขาให้กระดาษใสกับปากกาสีดำมาอย่างละหนึ่ง อเล็กซิสเริ่มวาดแผนผังตามความจำของเธอ ซึ่งใช้เวลาประมาณห้านาทีเท่านั้น จากนั้นเธอจึงส่งรูปวาดให้กับนายตำรวจ เขาล็อกแขนเธออีกครั้ง
เจ้าหน้าที่สาววางรูปวาดลงบนจอแล้วยกขึ้นให้ดูเพื่อแสดงให้เห็นว่ารูปวาดของอเล็กซิสนั้นตรงกับแผนผังตัวอย่างพอดิบพอดี
“คุณค้นพบทักษะนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“น่าจะประมาณเจ็ดขวบ ไม่ค่อยแน่ใจนะคะ”
“แล้วคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นหรือแปลกกว่าคนอื่นหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ มันก็แค่ทักษะการจำ มีคนอีกหลายคนที่มีทักษะหลายอย่างเก่งกว่าของฉันเสียอีก หรืออาจจะแปลกกว่าก็ได้ ฉันชอบความสามารถนี้นะคะ โดยเฉพาะเวลาทำข้อสอบ มันสะดวกดี”
เจ้าหน้าที่สาวหัวเราะเบา ๆ “ก็จริงนะ แล้วพ่อแม่ของคุณทราบหรือเปล่า”
อเล็กซิสชะงักราวสองสามวินาที เพราะกลัวว่าคนพวกนี้จะพยายามหาข้ออ้างจับพ่อแม่ของเธอ “ค่ะ...ทราบค่ะ พวกเขาบอกว่าพระเจ้ามอบพรสวรรค์ที่แสนวิเศษให้กับฉัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะแตกต่างหรือเก่งกว่าคนอื่น”
“พวกเขาพูดอย่างนั้นหรือจ๊ะ ไม่ใช่ว่า พวกเขาพยายามช่วยปกปิดหรอกนะ”
อเล็กซิสพยายามหาคำพูดที่ดีที่สุด “ไม่ค่ะ ถ้าพวกเขาพยายามจะปกปิดพรสวรรค์นี้ พวกเขาคงบอกให้ฉันซ่อนมันไว้ให้มิด แต่พวกเขาไม่ได้บอกแบบนั้น พวกเขามองว่ามันเป็นของขวัญล้ำค่า” มันเป็นความจริงครึ่งเดียว แต่ไอ้เครื่องช็อกไฟฟ้าก็ไม่ได้ทำอันตรายออสโล่เลย
“เธอกับครอบครัวของเธอคิดว่าสิ่งนี้ปกติ” เจ้าหน้าที่ชายที่เพิ่งสอบสวนเวดแทรกขึ้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่คนอื่นพยักหน้าว่าเห็นด้วย ท่าทางที่เหมือนกันหมดของพวกเขาทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในช่องท้อง คนพวกนี้ดูเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ออกมาจากโรงงานเดียวกัน
อเล็กซิสพยายามไม่ปล่อยให้ความวิตกกังวลรบกวนความคิด เด็กสาวพูดความจริงและความจริงนั้นจะไม่ทำอันตรายเธอทีหลัง หากพวกเขาพยายามที่จะแจ้งข้อหาแปลก ๆ ล่ะก็ ไม่มีทาง เธอมั่นใจ ไม่เป็นอะไรหรอก เราก็แค่มีความจำดีเท่านั้นเอง พ่อมักบอกว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่พิเศษแต่ไม่ได้อันตราย แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณสตีเว่นกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงเอ่ยชื่อของเธอ
“คุณเดวิส คุณมีอาการอย่างไรเวลาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น”
“ก็คัน ๆ น้ำมูกไหล ผื่นขึ้นที่ผิวหนังค่ะ”
เธอเกลียดเวลาพวกเขาสบตากัน
สุดท้าย เจ้าหน้าที่หญิงประกาศคำตัดสินออกมาจนได้ “สำหรับกรณีของคุณ เราไม่อาจบอกได้อย่างเต็มปากว่าคุณมีอาการไฮโปคอนดริเอซิสหรืออาการที่คนไข้คิดไปเองว่าป่วย เพราะว่าคุณถูกทำให้เชื่อตั้งแต่เด็กว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่น บางครั้ง ร่างกายของเราก็เล่นตลกกับเรานะจ๊ะ แต่ว่าจากผลตรวจเลือด คุณไม่มีอาการแพ้สารใดเลย ซึ่งหมายความว่า ร่างกายของคุณแข็งแรงร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นแมรี่ สตีเว่นจงใจกรอกข้อมูลเท็จลงในประวัติการรักษาของคุณเพื่อปกปิดบางสิ่งในตัวคุณ...จากสายตาของพวกเรา”
“มันเป็นพรสวรรค์ธรรมดาเท่านั้น” เวดโพล่งออกมา อีกครั้งที่กระแสไฟฟ้าช็อกเข้าร่างอเล็กซิส “ขอโทษ ๆ ฉันขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกนะ” อเล็กซิสขอร้องเพื่อนชาย แม้รู้อยู่เต็มอกว่าเขาแค่อยากปกป้องเธอและตัวเขาเอง นั่นเป็นเพราะว่า ถ้าทางการไม่พบกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยงเข้าสักคน เวดแค่เพียงจ่ายค่าปรับแล้วกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
“เราเสียใจนะจ๊ะที่ต้องแจ้งว่า คุณเข้าข่ายกลุ่มต้องสงสัย”
มันเป็นอาการเดียวกับเมื่อครั้งที่เธอเห็นจูนกับเดวี่อยู่ด้วยกัน ความว่างเปล่าเฉียบพลันที่เกิดขึ้นในอก หลังจากนั้นคลื่นแห่งความผิดหวังซัดเข้าใส่
“ฉันพูดความจริง และทักษะนี้ก็เป็นเพียงทักษะปกติไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเลย”
อเล็กซิสบอก พยายามควบคุมน้ำเสียงและระดับให้เป็นปกติ“เด็กน้อย พวกเรามีความเห็นตรงกันว่าคุณมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในกลุ่มต้องสงสัยและจำเป็นต้องเข้าโปรแกรมบำบัด อย่าห่วงเลยจ้ะ เราจะรักษาคุณเอง”
รักษาเหรอ ตลกสิ้นดี ฉันไม่ได้ป่วย แล้วฉันจะโต้แย้งคำตัดสินผิด ๆ แบบนี้ไม่ได้เหรอไง อเล็กซิสพยายามควบคุมตัวเองให้สงบ หายใจเข้า หายใจออก
มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับคำตัดสินง่าย ๆ เหมือนที่อเล็กซิสเคยทำ เพราะว่าคำตัดสินส่งผลกระทบที่มากกว่านั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน หากไม่นับเรื่องที่เธออกหักซึ่งกลายเป็นเรื่องเก่าแรมปีไปแล้ว อเล็กซิสยังคงเห็นตัวเองในฐานะนักศึกษาปีหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้าวิทยาลัยการแพทย์ในเดลฟี ในกรณีที่เธอไม่ได้ทุนการศึกษา แม้จะไม่มีเดวี่กับจูน แต่เส้นทางชีวิตของเธอยังโรยด้วยกลีบกุหลาบ อเล็กซิสจะเข้าสโมสรหญิงล้วนสักกลุ่ม แล้วก็สมัครเข้าทีมบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัย เธอยังรับงานถ่ายแบบให้กับนิตยสารเพื่อหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากนั้นกลับบ้านทุกวันหยุด การถูกตีตราว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยหมายถึงอนาคตทั้งหมดดับวูบ หมดสิ้นทั้งอิสรภาพและความฝัน โปรแกรมบำบัดที่พวกเขาอ้างว่าจะรักษาคนพวกนี้ไม่เคยประสบความสำเร็จว่าสามารถรักษาคนที่ถูกกล่าวหาได้ ไม่มีใครกลับมาเล่าความจริงว่าพวกเขาเจออะไรและถูกกระทำเช่นไร อเล็กซิสไม่อาจกลับบ้านได้อีกแล้ว ทั้งที่ บ้าน คือ สถานที่ที่ดีที่สุด เธอไม่อาจกลับไปอยู่กับคนที่เธอรักได้อีกแล้ว
นี่เหรอ...อิสรภาพครั้งใหม่
“คุณมีอะไรจะพูดกับพวกเราอีกหรือเปล่า”
“เชื่อฟังพวกเขา” เสียงของเจสซี่เตือน ไม่ หัวใจของเธอแย้ง แต่...แล้วฉันจะทำอะไรได้เหรอ ฉันจะเปลี่ยนใจพวกเขาได้อย่างไร ถ้าฉันพยายามที่จะปกป้องตัวเอง ออสโล่ก็จะบาดเจ็บ
“ไม่มีค่ะ” อเล็กซิสฝืนใจตอบ น้ำตาคลอเบ้า
เธอเป็นเด็กดีและเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เธอพ้นภัย อเล็กซิสไม่ใช่คนเดียวที่ร้องไห้ เบลินดาและเวดก็ร้องเหมือนกัน เพราะทั้งสองทราบชะตากรรมตัวเองแล้ว พวกเราเป็นเพียงทาสของระบบที่เสื่อมทราม
“...เหรอ ถ้าพวกคุณพบว่ามีกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยง ผมต้องเข้าโปรแกรมด้วยใช่หรือเปล่า”
เธอมองเวด แต่เขาไม่ได้มองหน้าใคร เด็กหนุ่มเอาแต่จดจ่ออยู่กับเท้าของเขา ฉันขอโทษ ฉันขอโทษที่สู้เพื่อตัวเองไม่ได้ ฉันขอโทษที่ลากนายเข้ามาด้วย
คนสุดท้ายคือออสโล่ เธอหวังว่าเขาจะรอดจากความอยุติธรรมนี้ แต่ถึงกระนั้น ชายที่สัมภาษณ์เขากลับยกตัวอย่างความผิดปกของเกรดที่ครูโดบี้ส์ ผู้เป็นคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์บันทึกไว้ เธอยังเป็นพี่สาวของนางพยาบาลสตีเว่นด้วย
“...คุณเจสเซ่น เราแน่ใจว่ากรณีของคุณเหมือนกับกรณีของคุณเดวิส นั่นคือคุณนายโดบี้ส์พยายามที่จะปกปิดความสามารถของคุณ ตามประวัติแล้ว เป็นไปได้ที่ว่าคุณจะมีคุณสมบัติเข้าข่ายกลุ่มต้องสงสัย พวกเรามีความเห็นตรงกันว่าคุณควรเข้ารับโปรแกรมบำบัดเช่นเดียวกับคุณเดวิส”
“มันไม่ชัดเลยสักนิดว่าผมเป็นกลุ่มต้องสงสัย ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าผมจะเข้าข่าย ผมไม่คิดว่าตัวเองสมควรได้รับ...”
เสียงร้องของเบลินดาดังโหยหวนเหมือนกับเสียงของเวดและอเล็กซิสก่อนหน้านี้ ออสโล่ปิดปากตัวเองสนิท อเล็กซิสเหลือบเห็นน้ำตาไหลจากหางตาของเขา แต่เขาพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างอดทน ในห้องนี้ ทุกคนสมควรได้รับการปล่อยตัวจากเคสเอชโอวันบ้าบอคอแตกมากกว่าถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยเสียเอง พวกเขากล้ำกลืนความขมขื่นลงไปข้างใน เพราะว่าบางครั้ง น้ำตาไม่อาจช่วยปลดปล่อยความเศร้า แล้วอนาคตของพวกเขาล่ะ ใครจะรับผิดชอบ พวกเขาจะถูกทำอะไรบ้าง ใครจะรู้
มันไม่ใช่เรื่องตลก
นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ
ภายใต้หลอดไฟดวงเล็กที่ส่องแสงสลัวอยู่บนเพดานสีขาวอมเทา อเล็กซิสไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในห้องขัง แต่กำลังเวียนว่ายหาฝั่งอยู่ในทะเลแห่งความสิ้นหวัง บางทีเวดและออสโล่อาจจะกำลังแหวกว่ายอยู่ที่ไหนสักแห่งในมหาสมุทรแห่งเดียวกัน เพียงแต่เธอมองเห็นแค่มวลน้ำที่โอบล้อมรอบกาย พวกเขากำลังจมดิ่งลงไปในก้นทะเลลึก ต่อให้พยายามตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเท่าไร สุดท้ายก็หมดแรงสายตาของเธอเหลือบมองเวดและเบลินดา แม้มันไม่ใช่ความผิดของเธอจริง ๆ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พ่อของเวดสามารถจ่ายค่าปรับจำนวนนั้นได้สบาย ๆ และพาเขาออกจากที่นี่ เขาจะกลับไปใช้ชีวิตเดิมได้ ถ้าหากไม่พบว่ามีกลุ่มต้องสงสัย ส่วนเบลินดาอาจหาทนายความช่วยต่อสู้คดีเพื่อลดหย่อนโทษต่อไป คำตัดสินที่พวกเขาได้รับเมื่อครู่ ไม่ต่างจากถูกจำคุกตลอดชีวิตเวดทิ้งตัวนอนราบไปกับพื้น รอยช้ำมากมายปรากฏอยู่บนแขนและไหล่ของเด็กหนุ่ม พอเสร็จสิ้นกระบวนการสอบสวน เมื่อพวกตำรวจปลดล็อกแขนทั้งสองข้าง เขาพุ่งตัวหมายเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐทันที แต่โชคยังดี ใช่ โชคยังดี อเล็กซิสใช้คำถูกแล้ว โชคดีที่ตำรวจสองนายสกัดไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเวดคงโดนโทษหนั
“ก่อนที่พวกเธอเกิด รัฐบาลก่อตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อไล่ล่ากลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะ แต่เพราะคนกลุ่มนี้เริ่มปิดบังตัวตนจากภัยคุกคามที่จะมาถึงตัว การตามล่าจึงลำบากขึ้นกว่าเดิม รัฐบาลจึงประกาศคุณลักษณะของกลุ่มเสี่ยงออกมา จากนั้นจึงมีการบัญญัติคำว่า ‘กลุ่มต้องสงสัย’ เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำ ดังนั้น คำนี้จึงถูกใช้เพื่อระบุกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มเสี่ยงแต่ยังไม่มีอาการบ่งชี้ ตอนนั้นผู้คนบางส่วนต่อต้านและพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับอำนาจรัฐ แต่ก็ใช่ว่ารัฐบาลจะปกครองสหพันธรัฐได้อย่างสงบสุข มีการจลาจลเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน พอมีคนก่อจลาจล รัฐบาลกวาดล้าง จากนั้นก็มีกลุ่มใหม่มาก่อความไม่สงบอีก วนเวียนอย่างนี้เรื่อยมาไม่รู้จบ ผู้ที่คุมรัฐบาลรู้ดีว่า หากปล่อยให้ประชาชนคิดว่ารัฐบาลควบคุมมากเกินไป เมื่อนั้นปัญหาจะไม่มีทางจบสักที ด้วยเหตนี้ พวกเขาจึงปล่อยให้ประชาชนคิดว่ารัฐบาลยังอยู่ในกรอบอำนาจที่ประชาชนมอบให้ ต่อมา ทางการประกาศยกเลิกหน่วยพิเศษนี้เพื่อตอบรับและลดกระแสต่อต้าน แต่หน่วยงานนี้ยังคงทำงานกันอย่างลับ ๆ จนถึงทุกวันนี้”“ครูรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงคะ” อเล็กซิสถาม
วันต่อมา ครอบครัวของวัยรุ่นทั้งสี่ได้รับคำสั่งอนุญาตให้เข้าเยี่ยม เอโลดี้มาพร้อมกับครอบครัวอเล็กซิสและเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว เพื่อนซี้ของเธอเอาแต่โทษตัวเองที่เป็นสาเหตุให้อเล็กซิสถูกจับและถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย อเล็กซิสต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรเพื่อปลอบไม่ให้เอโลดี้รู้สึกผิด ทั้งที่เธอควรจะเป็นฝ่ายได้รับการปลอบโยนมากกว่า พ่อของเธอพูดกับเอโลดี้ว่า ถึงแม้อเล็กซิสไม่อยู่ในงานปาร์ตี้ ลูกสาวของเขาก็จะโดนจับอยู่ดี เพราะคำสารภาพของแมรี่ สตีเว่น (หรือพูดให้ถูกคือ ถูกบังคับให้สารภาพ) ทำให้พวกตำรวจไปตามจับเด็กที่ถูกแก้ประวัติเพิ่ม“หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า นักเรียนหัวกะทิแห่งซานโบซ่าข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่รู้ว่าเขียนข่าวมั่วซั่วแบบนั้นได้ยังไง” เจสซี่บ่น“พวกนักข่าวก็คงถูกบังคับให้เขียนรายงาน ไม่ได้ตั้งใจหรอกลูก” พ่ออธิบาย เขาเข้าใจสถานการณ์มากกว่าลูกชาย“อย่างน้อยก็ไม่มีชื่อพวกเราในนั้นใช่ไหม”“ไม่มี ถ้ามีพี่จะฟ้อง”“พี่พูดเหมือนคุณมิลเลอร์เลย!”อเล็กซิสสังเกตเห็นว่าแม่และไบรซ์ไม
“...ฉันจำได้ว่ามีแสงจ้า จ้ามาก ๆ ตอนนั้นก้นยังไม่แตะเก้าอี้เลยด้วยซ้ำ เชื่อไหม จู่ ๆ ก็มองไม่เห็นอะไรเลย แสงมันสว่างจ้าจนต้องหลับตา เหมือนตาบอดอยู่ชั่วขณะ แล้วหน้าก็ร้อนไปหมด พวกตำรวจพยายามจะหยุดซอนย่า ฉันได้ยินเสียงปืนด้วย เธอคงพยายามจะหนี ฉันได้ยินแค่เสียงเท่านั้น เลยไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนะ รู้แต่ พวกตำรวจพยายามจะหยุด แต่ก็ยังไม่ทัน”“เล่ามาตั้งนาน สรุปแล้ว พลังพิเศษที่ว่าคืออะไรวะ” เวดถามจี้“แสงไง ก็บอกแล้วว่าเป็นแสงจ้า ๆ”“แสงอะนะ”“ใช่ แสง” แอนโธนี่ย้ำเวดหันมาหาเธอ “ไม่เข้าใจแฮะ แสงทำอันตรายคนเราได้ด้วยเหรอ”“คงเหมือนกับเวลาที่เรามองพระอาทิตย์ตอนเที่ยงไม่ได้ แสงมีความร้อนนะ” อเล็กซิสเดาก่อนหันกลับไปทางแอนโธนี่ “แบบนี้ใช่หรือเปล่า”“ใช่ ๆ ประมาณนั้นแหละ หรือไม่ก็...ซอนย่าอาจจะควบคุมแสงได้ หลังจากที่ทุกอย่างสงบ พอลืมตาได้ ฉันเห็นหลอดไฟแตกหมดเลย มีเด็กผู้หญิงสองคนได้รับบาดเจ็บ ผิวไหม้ แล้วก็ลืมตาไม่ขึ้น พวกเธอถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว
บรูซจับแขนเธอ “ทางนี้แหละ เรามีตู้โทรศัพท์ตั้งหลายที่ แม่หนู เธอลืมไปแล้วเหรอ ว่าฉันทำงานที่นี่”เขาพูดถูก แต่อเล็กซิสรู้สึกไม่ดีเลย เด็กสาวค่อย ๆ ดึงมือเขาออกอย่างสุภาพ “แล้วใครโทรมาเหรอคะ เรื่องด่วนที่ว่า เกี่ยวกับอะไร”“ถ้าเธอถามอีกรอบ ฉันจะตบให้หายสงสัยเลย เชื่อไหม”เขาถอดหน้ากากคุณลุงใจดีออกเรียบร้อยแล้ว อเล็กซิสใจสั่น เธอมองไปข้างหน้าซึ่งไม่ได้ทำให้เธอไว้ใจเขามากขึ้นเลย อย่างไรก็ตาม เด็กสาวพยักหน้า แต่พอนายตำรวจหันกลับไป เธอวิ่งหนีทันที“ช่วยด้วย”วัตถุแข็งบางอย่างกระแทกเข้ากับหลัง อาจเป็นไม้กระบอง ความเจ็บปวดเฉียบพลันทำให้เธอชะงักฝีเท้า นายตำรวจคว้าตัวเด็กสาวไว้ได้ทัน เขาปิดปากเพื่อกันไม่ให้เธอร้องแล้วลากตัวเธอกลับไป อเล็กซิสถูกจับโยนเข้าไปในห้องเก็บของ พอเธอเงยหน้าขึ้นจึงเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกล่ามโซ่ทั้งแขนและขาติดกับกำแพง ที่ตามีผ้าปิดตาคาดไว้ ตรงปากมีเทปปิดทับเช่นกัน ผมสีดำของเธอหลุดลุ่ยออกจากเปียทั้งสองข้าง เด็กสาวมีรอยช้ำและรอยเลือดทั่วตัว สิ่งที่น่าสยดสยองกว่าอะไรทั้งห
ทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นวายร้ายในคราบตำรวจจิตใจดี มือแข็งแรงข้างหนึ่งยึดข้อเท้าเธอไว้แล้วลากกลับมา อเล็กซิสทรงตัวไม่อยู่จึงหน้าคะมำล้มลงกับพื้น ครั้งนี้ คางฟาดกับพื้นไปด้วย เธอได้ชิมเลือดตัวเองจนได้ คาเมรอนโกรธเลือดขึ้นหน้า เขาใช้ไม้กระบองฟาดตัวเด็กสาวอย่างแรง ทุกแรงกระทบเจ็บไปถึงกระดูก นี่คงเป็นความรู้สึกของเวดในตอนนั้น อเล็กซิสยกแขนขึ้นป้องกัน สู้ไม่ถอย เธอได้กลิ่นเหงื่อของมัน และสุดท้าย เขานอนกดเธอไว้สำเร็จ มือสกปรกล้วงเข้าเสื้อชั้นในทันที เด็กสาวไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้อีกต่อไปเพราะถูกปิดปากไว้สนิท คาเมรอนยั้งมือชั่วครู่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินก่อนจะพยายามรุกล้ำเสื้อผ้าของเหยื่อต่อ“คาเมรอน ฉันว่าพวกเขาได้ยินว่ะ ถ้า...โจเซฟมา พวกเราตายแน่”“หุบปาก ไอ้ขี้ขลาด แกออกไปเช็กสิวะ ฉันขอสั่งสอนยัยตัวแสบนี่สักหน่อย”พวกคุณต้องได้ยินบ้างเซ่ อเล็กซิสหวังว่าตำรวจสองนายจะสังเกตเห็นหรือรับรู้ว่ามีอาชญากรรมอุบาทว์เกิดขึ้นในโรงพักที่ตัวเองประจำอยู่ มันเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของเหยื่อหรือพวกเขาแค่เมินเฉยต่อเรื่
อากาศวันนี้สดใส ปกติแล้วท้องฟ้าในหน้าร้อนมักเป็นแบบนี้เสมอ ปลอดโปร่งปราศจากเมฆสีดำ มีเพียงปุยเมฆสีขาวช่วยแต่งแต้มลวดลายบนพื้นนภาสีฟ้า เธอรู้สึกราวกับว่าไม่ได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้มาเป็นแรมปี เหมือนวันเวลาที่ผ่านมา เธอเอาแต่นั่งจ้องเพดานโล่ง ๆ อยู่ในห้องขัง ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน แสงอาทิตย์ด้านนอกเจิดจ้า โชคดีที่มีลมเย็นสบายพัดผ่าน แสงสีทองจึงทำได้เพียงส่งไออุ่นมากกว่าทำให้บรรยากาศร้อนอบอ้าว เพราะลมได้บรรเทาความร้อนไปแล้ว“Head homeward, little bird,Fly up high, Thou art free,Misery is no more,Time means not to thee”“ทำไมฉันถึงได้ยินเสียงคนร้องเพลง มีคณะประสานเสียงของโรงเรียนมาด้วยเหรอ”“เปล่า ครอบครัวโรมูลเลอร์ขอให้คณะประสานเสียงจากในโบสถ์มาร้องเพลงที่นี่ ร้องให้กับเด็กที่ตาย พวกเขาคิดว่า วิธีนี้จะช่วยนำพาจิตวิญญาณของเธอไปยังที่ที่ควรไป”“ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลยแฮะ”ไบรซ์ยักไหล่ขึ้น “จะให้พวกเขาทำอะไรเพื่อคนตายล่ะ พวกเราไม่รู้วิธีสื่อส
สิ่งแรกที่เธอเห็นคือรถตู้ตำรวจที่จอดรออยู่ แม้ว่ามันจะจอดไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่มากก็ตาม แต่เพราะว่าเธอเห็นครอบครัวโรมูลเลอร์อยู่แถวนั้นด้วย สายตาเลยเหลือบไปเห็นเจ้าพาหนะที่จะพาเธอไปยังสถานที่หนึ่ง เมื่อพ่อแม่ของซอนย่าเห็นอเล็กซิส พวกเขาโน้มคอลงเหมือนจะกล่าวทักทาย และรีบเดินจากไปสองวันหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น บรูซกับคาเมรอนถูกส่งตัวไปยังศาลปกครองที่เมืองฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิสทันที เมืองเดียวกับที่นางพยาบาลสตีเว่นและครูโดบี้ส์ถูกส่งตัวไปสำเร็จโทษ อเล็กซิสได้ยินมาว่าสามีของเธอพาลูก ๆ ตามไปด้วย น่าสงสารทั้งคุณโดบี้ส์ และลูก ๆ ของพวกเขา เด็ก ๆ ยังเล็กเกินกว่าที่จะสูญเสียแม่ส่วนตัวฉัน ก็ยังเด็กเกินไปที่จะสูญสิ้นทุกอย่าง เธอไม่เคยลืมใบหน้าของซอนย่าในตอนนั้นเลย ผิวของเธอไหม้เกรียม ทำให้บางส่วนปริลอกออกมาจนเห็นเนื้อสดสีแดงข้างใน ดวงตาทั้งสองข้างไหม้ดำ ไม่ว่าเธออยากจะลืมภาพนั้นเท่าไร แต่อเล็กซิสรู้ดีว่าใบหน้าตอนตายของซอนย่าจะติดตัวเธอไปตลอด ยกเว้นแต่ว่า ลมหายใจเธอจะดับสิ้น“ลูกอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า” พ่อถาม เขายืนรออยู่กับแม่และเ
อ้อ ไม่นับว่าหากเบนคนเดียวอยู่กับผู้หญิงมากกว่าหนึ่ง ข้อนี้ยกเว้น พวกเขาไม่สามารถมองหน้ากันระหว่างทำเรื่องแบบนี้ได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งที่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกันได้แท้ ๆอเล็กซ์เลื่อนสายตามองไปทางอื่นเมื่อเห็นท่าทางยั่วยวนของซาร่าห์ “เอ่อ ล้อเล่น ช่างมันเถอะ คือ ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าหิว ก็เลยออกมา แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียง...เสียงนั้นนั่นแหละ” เขาหรี่ตามองทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มร้ายแน่นอนว่าอเล็กซ์ต้องคุ้นกับเสียงของซาร่าห์ พวกเขาคบหาเป็นคู่รักกันตั้งสองสามสัปดาห์ก่อนที่เบนจะทำลายความสัมพันธ์ลง อย่างน้อย ตอนนี้ทั้งสองต่างคุยกันอย่างปกติ เหมือนเพื่อนที่ดีต่อกัน“มันยากนักเหรอไง ที่จะหาผู้ชายสักคน” อเล็กซ์ถามอดีตแฟน “ที่ดีกว่าหมอนี่?”“ใช่” ซาร่าห์สารภาพระหว่างสางผมสีทองของตัวเอง “ที่นี่ไม่ได้มีหนุ่มฮอตเยอะแยะสักหน่อย แถมส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่สนใจพวกผู้หญิงกันแล้ว...รวมถึงนายด้วย”“เปล่าซะหน่อย...” อเล็กซ์เม้มปาก “ก็พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
เขาพยายามคิดว่าอเล็กซิสจะอยู่ที่ไหน บางทีอาจเป็นห้องฉายภาพยนตร์ เท่าที่เห็น เด็กสาวดูไม่น่าจะชอบที่จอแจ หากเป็นพวกผู้หญิงที่ง่ายหน่อยก็ไม่ต้องใช้เวลามาก แต่กับอีกประเภท ชั้นเชิงเป็นสิ่งจำเป็น แต่เด็กคนนี้ยังเด็กอยู่เลย บางทีอาจไม่ต้องใช้เวลามากก็ได้มั้ง แค่ให้ไอ้หัวทองไปไกล ๆ ก็พออย่างไรก็ตาม เขาไม่เจออเล็กซิสอยู่ดี เขาเจอผู้หญิงอีกคนเขาไม่แปลกใจที่เห็นเธอยืนเหมือนรออยู่แล้ว หญิงสาวยืนพิงกำแพงส่งยิ้มงาม เธอเคยสวยกว่านี้ เบนคิด วันเวลา สภาพที่ถูกกักขังในสถานที่ปิดลดทอนความสดใสในตัวคน ซาร่าห์ตรงหน้าเขาไม่ต่างจากกุหลาบใกล้ตาย เธอบิดริมฝีปากกึ่งเหยียดกึ่งยินดีเมื่อเขายิ้มให้เธอ เขารู้ว่าเธอต้องการอะไร หญิงสาวอาจไม่ผ่านบททดสอบ และแม้ดอกไม้ดอกนี้กำลังแห้งเหี่ยว แต่มันก็ยังดูสวยสง่าในแบบของมัน“ตายแล้ว นี่คือแบตเตอรี่ที่กำลังเสื่อมสภาพหรือเปล่า” ปากเธอว่าอย่างนั้น แต่มือกลับคล้องคอเขา ไม่ว่าจะอยู่ระดับไหน อีตัวก็คืออีตัวอยู่วันยังค่ำ กลิ่นน้ำหอมของหญิงสาวแตะจมูก มันเป็นกลิ่นกุหลาบ“เธอเคยเห็นกระป๋องซุปข้าวโพดที่ไม่ม
เขาเดินเตร็ดเตร่ไปตามทาง พวกเขาอาจจะถูกปล่อยให้เน่าตายอยู่ในนี้ก็ได้ทั้งสองคนตกนรกมาเกือบเดือน มันเริ่มมาจากคืนนั้น เบน อเล็กซ์ และซาร่าห์ ดื่มมากเกินไปหน่อย หรืออาจจะเรียกว่า บริโภคแอลกอฮอล์ไปเกือบถัง ไม่ใช่ถังปกติ แต่ระดับถังกักเก็บน้ำก็เป็นได้ ปกติแล้ว เท่าที่เบนศึกษาจากตัวพวกเขาเอง มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ต้านทานฤทธิ์แอลกอฮอล์และยาได้ดีกว่าคนทั่วไปมาก หรืออาจจะเรียกว่าของพวกนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเขาสูบหรือดื่มในปริมาณขนาดนั้น สุดท้าย ร่างกายก็ยอมแพ้อยู่ดี เมื่อสมองถูกแอลกอฮอล์หรือยาสักชนิดเล่นงาน สติค่อย ๆ ลดลง มันเป็นความประมาทเลินเล่อของพวกเขาด้วย วันนั้น ในห้องเพนต์เฮาส์ของอเล็กซ์ (ของอเล็กซ์จริง ๆ ไม่ใช่ของครอบครัว) ด้วยปราศจากสติสัมปชัญญะ พวกเบนทำเรื่องโง่เง่าที่สุดลงไป นั่นก็คือแสดงพลังเพื่อข่มกันและกันเบนค้นพบความสามารถเหนือมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก ส่วนอเล็กซ์ได้รับพลังพิเศษมาจากอุบัติเหตุ สำหรับซาร่าห์ เขาไม่แน่ใจว่าเธอได้มาได้อย่างไร เพราะเธอไม่เคยเล่าให้ฟัง วันนั้นพวกเขาเพียงแค่แสดงความสามารถที่มี ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนใกล้ชิดคิดทรยศ
เครื่องตรวจจับควันถูกติดตั้งแทบทุกตารางนิ้ว ยกเว้นห้องใหม่ที่เพิ่งเปิด พวกเขานึกขอบคุณความสะเพร่าของเจ้าหน้าที่ติดตั้งระบบ เบนกับอเล็กซ์จึงได้โอกาสสูบกัญชาอัดปอดกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งรบกวน น่าแปลกที่ว่า เบนควรรู้สึกว่าเป็นผู้ชนะ (ซึ่งตอนแรกก็รู้สึกแบบนั้น) ทว่าอารมณ์เริงร่ายินดีกับเรื่องนี้หมดลง เมื่อเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ทำตัวแปลกไป นับวันอเล็กซ์ยิ่งมีอาการแย่ลง แย่ลง เขาเอาแต่สิงอยู่ในท้องฟ้าจำลองตั้งแต่ที่พบว่ามันเป็นเขตปลอดเครื่องดักจับควัน คิดไปว่าห้องนี้คือพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง เบนมองว่าอเล็กซ์คงเลือกนอนตายในห้องนี้แน่นอนอเล็กซ์ค่อนข้างหงุดหงิดในช่วงแรกที่คนอื่นรู้ว่ามีห้องใหม่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบหรือตื่นเต้นไปกับดวงดาวเท่าไรนัก (เหมือนกับเบน) มีไม่เยอะนักที่จะมานั่งแช่นาน ๆ ดังนั้น ไม่กี่วันผ่านไปจึงเหลือไม่กี่คนที่เข้ามาดู อีกเหตุผลหนึ่งที่แขกมีจำนวนน้อย เพราะอเล็กซ์สูบบุหรี่ เมื่อเขาเริ่มจุด คนเริ่มทยอยหนีออกไป เพราะเหตุนี้ ห้องจึงมีกลิ่นกัญชาเกือบตลอดเวลา อเล็กซ์รู้วิธีไล่คนออกไปจากห้อง เขาต้องการยึดห้องนี้ไว้คนเดียว&
อเล็กซิสมองตาม เห็นอดีตประธานนักเรียนกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่อย่างสนุกสนาน เบลินดาปรับตัวกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เวดทำได้ คงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาเหมือนกัน เธอดูมีความสุขมากขึ้น หากนับจากวันที่ถูกจับมาด้วยกัน“นายยังคุยกับคาร์เตอร์อยู่ ฉันเห็น” อเล็กซิสพูด “นายไม่โกรธเธอเลยเหรอ”เขาสั่นหัว “หายโกรธไปแล้ว พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นา ฉันค่อนข้างเห็นใจเบลนะ พวกเธอสองคนเย็นชาใส่เขามากไปหน่อย”อเล็กซิสจ้องตาออสโล่เขม็ง ชี้นิ้วไปที่หน้าตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ เย็นชาเหรอ เขาตั้งใจจะให้ฉันถูกจับเลยนะ”“ฉันรู้ ๆ อย่างน้อยเธอก็แค่ไม่สนใจเบล ก็ยังดี ฉันก็ไม่ได้จะว่าเธอสักหน่อย”อเล็กซิสถอนหายใจอย่างแรง “ออสโล่ ฉันรู้ว่านายใจอ่อนง่าย โอเค ฉันอาจไม่บ่น ไม่กล่าวโทษคาร์เตอร์ แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะเตือนนายให้ระวังคนแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าคาร์เตอร์คิดอะไรอยู่ แถมเธอยังไม่เคยขอโทษพวกเราเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายยังคุยกับคนแบบนั้นได้ นับถือจริง ๆ”“
วินาทีที่อเล็กซิสหันไปมอง เด็กคนนั้นมองกลับมาอย่างรวดเร็ว มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาด เขามักจะมองกลับมาเร็วเสมอเหมือนรู้สึกตัวตลอดเวลาว่ามีคนมองอยู่ รูปลักษณ์ของเขาดึงดูดสายตาของอเล็กซิสได้สนิท ทั้งผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าเข้ม สีหน้าของเขาเหมือนกับกระจกสะท้อนสีหน้าของอเล็กซิสเช่นกัน เธอสอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีเรดาร์ติดตัวหรืออย่างไร ในเมื่อเขาสามารถจับสายตาคนได้ตลอด เธอจำเด็กหนุ่มคนนี้ได้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ พวกเขาเหมือนรู้จักกันมาก่อน อันที่จริง ควรใช้คำว่า พอคุ้นหน้าคุ้นตามากกว่า“เด็กคนนั้น” โนเอลพึมพำ “เขาไม่คุยกับใครเลย พวกเราพยายามจะเป็นเพื่อนกับเขา แต่เขากลับอยากอยู่คนเดียว เป็นเด็กที่แปลกจริง ๆ ไม่มีใครรู้ชื่อเขาเลยด้วย”“ไมเคิล” อเล็กซิสตอบ“เธอรู้จักเขาเหรอ” เวดถาม เริ่มกระวนกระวายขึ้นมาทันที“อื้อ เราเคยเจอกันนานพอสมควร ฉันว่าเขาน่าจะเป็นคนขี้อายมาก ๆ ...หรือไม่ก็ ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่สิ ไม่ชอบคน”“แล้วไปรู้จักกันตอนไหน”“ตอนที่ไปเทสต์หน้ากล้อง”
“หวัดดี พวกนาย!” เทสซ่าเดินเข้ามา สวยเด่นมาแต่ไกล พอมาถึงก็เอามือเท้าเอว ส่วนอีกข้างเกาะขอบเก้าอี้ไว้ เทสซ่าสวมเสื้อสายเดี่ยวสีดำครึ่งตัวกับกางเกงทหารสีกากี ศีรษะของเธออยู่ประมาณหูของอเล็กซิส“ได้เวลาพอดีเลย ลุยเลยเพื่อน!” เวดเชียร์เมื่อพวกพี่น้องโธมัสโผล่มาเทสซ่าอายุสิบเก้า เป็นเพื่อนคนแรกของพวกเขา เธอทำตัวเหมือนกับเป็นเจ้าของที่นี่ คอยให้คำแนะนำและพาเดินชมรอบ ๆ จนพวกอเล็กซิสรู้ว่าที่ไหนเป็นอะไรบ้าง พวกเทสซ่าแทบจะเป็นประชากรกลุ่มแรกเลยก็ว่าได้ เพราะอยู่ที่มาก่อนเด็กซานโบซ่าราว ๆ สามอาทิตย์ เธอเล่าว่า ตอนแรกมีคนไม่เยอะเท่าไรนัก แต่เมื่อมีหน้าใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ ที่นี่ก็เริ่มแน่นขึ้นอย่างที่เห็น“อเล็กซิสจ๊ะ ฉันแอบเห็นเธอถามหาจอห์น ลีลอยด์ที่โรงหนังด้วยนะ ถ้าพวกฉันไม่เห็นเขา ก็ไม่มีใครเห็นแล้วล่ะ เชื่อเถอะ” เทสซ่าว่า สายตามองไปยังเสื้อแจ๊กเกตของเพื่อนสาว “ตัวนี้ก็สวยจัง”ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังเทสซ่าคือ มินนี่และโนเอล มินนี่เป็นน้องเล็กสุด อายุสิบเจ็ดปี แม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่มินนี่ไม่เหมือนเทสซ่า เด็กสาว
เสียงเพลงในเลานจ์ดังพอสมควร แม้ดนตรีจะเป็นแจ๊สแต่ก็ออกมาจากตู้เพลง หาใช่ฝีมือนักดนตรีไม่ ครั้งแรกที่เธอเข้ามาที่นี่อดทึ่งและประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปราศจากหุ่นยนต์หรือแรงงานมนุษย์คอยควบคุม หรืออาจจะอยู่เบื้องหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายคอยปรนเปรอ ทุกอย่างเหมือนดีกว่าที่คิดไว้ อย่างน้อยเธอยังมีเพื่อน ทว่าความเหงาไม่ได้ทุเลาลงเลยหากอยากฟังเพลงอะไร อยากดื่มอะไร เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอหรือออกคำสั่งด้วยเสียง ไม่กี่วินาทีของที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอเคยเห็นเทคโนโลยีแบบนี้แค่ในหนังเท่านั้น รัฐบาลโกหกประชาชนไว้หลายอย่าง พวกเขาปิดกั้นความรู้ไม่ให้ชาวนิวโฮปเข้าถึงดั่งอดัมกับอีฟ ทุกคนอยู่ในโลกอนาคต แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนในยุคก่อน และความจริงที่เธอรับรู้ในตอนนี้อาจเป็นเพียงความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความจริงทั้งหมดก็ได้ไม่มีใครให้คำตอบหรืออธิบายข้อสงสัยอะไรทั้งสิ้น คนที่ถูกจับทั้งหมดถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ในเกาะปลีกวิเวกสุดหรู อเล็กซิสเฝ้าถามตัวเองว่า ที่นี่มีไว้ทำอะไรกัน เธอไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลกว่าบ้านหรือเปล่า หรือว่าอยู่ใน
“เออ ไม่มีน่ะสิ”พวกเขาหยุดอยู่หน้าประตูโลหะสีดำ มันเป็นสีดำ เพราะอย่างนี้นี่เอง ห้องนี้จึงโดดเด่นขึ้นมาจากห้องอื่น เพราะสีที่ต่างกับที่อื่นทำให้เบนรู้สึกถูกใจขึ้นมาทันที แม้ยังไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไรก็ตาม สีดำเป็นสีคลาสสิกและสะท้อนรสนิยม เพราะสีดำมีสไตล์ในตัวมันเองอเล็กซ์เปิดประตูนำเข้าไป ดวงตาสีดำเปิดประกายเจิดจ้าขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ ที่แท้ ห้องนี้คือห้องท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ ทรงกลม มีโปรเจ็คเตอร์ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมกับที่นั่งรอบกำแพงจำนวนสิบที่ ท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนอวดดวงดาวนับพันที่กำลังส่องแสงระยิบระยิบ ตรงข้ามกับอเล็กซ์ เบนกลับผิดหวังที่มันเป็นท้องฟ้าจำลอง เพราะเขาไม่ใช่คนที่สนใจดูดาวพวกนี้เลย ทั้งความเงียบและท้องฟ้ามืด ๆ ดาวอะไรก็ไม่รู้ เบนไม่รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น เขายอมอยู่ในห้องฉายภาพยนตร์ที่มีแต่หนังโรแมนติกเก่า ๆ เล่าเรื่องราวความรักน้ำเน่ายังดีกว่า อเล็กซ์เดินวนไปวนมา จ้องมองท้องฟ้าข้างบนด้วยท่าทางครึกครื้น“นี่นะเหรอ...ที่ที่นายบอกว่าเจ๋ง”“เดี๋ยวสิวะ อ