“...ฉันจำได้ว่ามีแสงจ้า จ้ามาก ๆ ตอนนั้นก้นยังไม่แตะเก้าอี้เลยด้วยซ้ำ เชื่อไหม จู่ ๆ ก็มองไม่เห็นอะไรเลย แสงมันสว่างจ้าจนต้องหลับตา เหมือนตาบอดอยู่ชั่วขณะ แล้วหน้าก็ร้อนไปหมด พวกตำรวจพยายามจะหยุดซอนย่า ฉันได้ยินเสียงปืนด้วย เธอคงพยายามจะหนี ฉันได้ยินแค่เสียงเท่านั้น เลยไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนะ รู้แต่ พวกตำรวจพยายามจะหยุด แต่ก็ยังไม่ทัน”
“เล่ามาตั้งนาน สรุปแล้ว พลังพิเศษที่ว่าคืออะไรวะ” เวดถามจี้
“แสงไง ก็บอกแล้วว่าเป็นแสงจ้า ๆ”
“แสงอะนะ”
“ใช่ แสง” แอนโธนี่ย้ำ
เวดหันมาหาเธอ “ไม่เข้าใจแฮะ แสงทำอันตรายคนเราได้ด้วยเหรอ”
“คงเหมือนกับเวลาที่เรามองพระอาทิตย์ตอนเที่ยงไม่ได้ แสงมีความร้อนนะ” อเล็กซิสเดาก่อนหันกลับไปทางแอนโธนี่ “แบบนี้ใช่หรือเปล่า”
“ใช่ ๆ ประมาณนั้นแหละ หรือไม่ก็...ซอนย่าอาจจะควบคุมแสงได้ หลังจากที่ทุกอย่างสงบ พอลืมตาได้ ฉันเห็นหลอดไฟแตกหมดเลย มีเด็กผู้หญิงสองคนได้รับบาดเจ็บ ผิวไหม้ แล้วก็ลืมตาไม่ขึ้น พวกเธอถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว”
กลุ่มของอเล็กซิสแลกเปลี่ยนข่าวสารกับกลุ่มของแอนโธนี่ ทั้งหมดคุยกันผ่านห้องขัง “ฉันคิดว่าซอนย่าคงกลัว พอเห็นไอ้เก้าอี้พวกนั้น เธอก็เลยระเบิดพลังออกมา เธอคงไม่ได้ตั้งใจจะแสดงให้พวกเราดูหรอก”
“แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนแล้ว”
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ไม่รู้ว่าพวกเขาพาเธอไปที่ไหนด้วย”
อเล็กซิสมองไปยังห้องขังของครูโดบี้ส์กับน้องสาวของเธอ ตอนนี้ในห้องว่างเปล่า ไม่มีผู้ต้องขังอยู่
“แล้วเรื่องสอบสวนล่ะ เป็นไง” เวดยังคงซักต่อ
“ยกเลิกไปแล้ว แต่ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะ ว่ายกเลิกตลอดไปหรือแค่ชั่วคราว”
อดีตกัปตันทีมฟุตบอลหันกลับมาหาออสโล่กับอเล็กซิส “ซอนย่า โรมูลเลอร์คือใคร ฉันไม่เห็นรู้จักเลย”
อเล็กซิสกลอกตา คุยตั้งนาน
“รุ่นน้องพวกเราปีนึง เธอเป็นคนเงียบ ๆ แต่นิสัยดีนะ” ออสโล่ตอบ “ฉันนึกว่านายรู้จักคนเยอะแยะซะอีก”
เวดส่ายหน้า “ไม่เยอะหรอก นายจะให้ฉันรู้จักทุกคนในโรงเรียนไม่ได้หรอกนะ มันเป็นไปไม่ได้ แล้วยิ่งนายเพิ่งบอกว่าคนนี้เป็นคนเงียบ ๆ อีก จะให้ฉันรู้จักคนเงียบได้ไงวะ”
“ฉันเห็นซอนย่าในงานปาร์ตี้ที่บ้านนายออกจะบ่อย”
“โธ่ ฉันไม่ได้รู้จักแขกที่มาทุกคนหรอก พอฉันบอกเพื่อน ๆ ว่า เฮ้ย จะจัดปาร์ตี้นะเว้ย ทุกคนก็แห่มาบ้านฉันเอง ชวนกันปากต่อปากมั้ง ฉันยังไม่รู้เลยว่านายก็มาด้วย จนกระทั่งโดนจับมาด้วยกันนี่แหละ อเล็กซ์ เธอรู้จักซอนย่าคนนี้หรือเปล่า”
อเล็กซิสพยักหน้า “รู้จักสิ เธอเป็นนักร้องในคณะประสานเสียงของโรงเรียนนี่นา”
“ถ้างั้น แสดงว่าคนนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงจริง ๆ สินะ” เวดหันไปหาเบลินดาที่นั่งไกลออกไป “ยินดีด้วยนะ” เขาปรบมือเป็นจังหวะช้า ๆ “เธอช่วยพวกตำรวจหาตัวกลุ่มเสี่ยงเจอแล้ว เย่”
“พอเถอะ ปล่อยเธอไปเถอะ” ออสโล่ขอ “แค่อย่าไปยุ่งกับเธอก็พอ ทำได้ไหม”
“จ้า พ่อนักบุญออสโล่” เวดงึมงำ
สองชั่วโมงต่อมา นายตำรวจเข้ามาปล่อยตัวกลุ่มแอนโธนี่ยกกลุ่ม อเล็กซิสเอาหน้าแนบกับลูกกรงจนหัวแทบจะทะลุออกมา ตั้งแต่ผ่านขั้นตอนการสอบสวนแสนหฤหรรษ์ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงสัญญาณปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์เอ๋ย ได้โปรดตอบรับคำขอของฉันด้วย
สายตาของเธอจ้องไปยังกลุ่มแอนโธนี่ เมื่อพวกตำรวจสั่งให้พวกเขาออกมา หลายคนกลับมีท่าทีรีรอ
“อ้าว ไม่อยากกลับบ้านกันเหรอไง พวกเธอเป็นอิสระแล้ว”
“แล้วพวกเขาล่ะครับ” แอนโธนี่ชี้ไปยังห้องขังที่อเล็กซิสอยู่ “คุณจะปล่อยพวกเขาด้วยหรือเปล่า คุณเจอกลุ่มเสี่ยงแล้วนี่ครับ”
อเล็กซิสนึกอยากจะหอมเขาสักฟอด
“พวกเขาถูกตัดสินแล้วว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย (“ฮะ! ฉันเนี่ยนะ กลุ่มต้องสงสัย” เวดตะโกนแทรก) ถ้าพวกเธอไม่ไป ฉันจะจับพวกเธอเข้าไปใหม่ แล้วนาย ไอ้หนูมิลเลอร์ หุบปากไปเลย”
“ทำไมล่ะ” เวดถาม “คุณปล่อยพวกเขาไปได้ ทำไมไม่ปล่อยพวกเรา พวกคุณเจอกลุ่มเสี่ยงแล้วนะ พวกเราไม่ใช่สักหน่อย”
“ฉันว่าฉันเพิ่งบอกไปแล้วนะว่าพวกนายถูกตัดสินแล้ว ว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย” โจเซฟตอบ แล้วหยิบไม้กระบองขึ้นมาอวด “อยากโดนฟาดอีกรอบไหมล่ะ”
อเล็กซิสไหล่ตก เดินกลับมายังที่นั่งประจำตัว เธอหัวเราะเสียงแห้งประหนึ่งอดสูตัวเองเมื่อครู่ พอสบตามองออสโล่ ก็เห็นเขานั่งพิงกำแพง ยิ้มให้เพื่อนทั้งสอง พร้อมกระดิกเท้า “พวกนายยังหวังกันอยู่อีกเหรอ”
“ใช่” เธอยอมรับ “มีปัญหาเหรอ”
“เปล่า ไม่ได้จะขัดเธอสักหน่อย อเล็กซ์ก็” ออสโล่ส่ายหน้า “เอาเถอะ ฉันไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ไม่คิดหวังอะไรแล้วด้วย คงมีแต่นอนนี่แหละ ฝันดีนะ ทั้งสองคน” เด็กหนุ่มผมแดงเอนหลังลงบนพื้นแข็ง ๆ พวกเขานอนแบบนี้กันมาสามวันเต็ม มันไม่สบายเอาเสียเลย อเล็กซิสปวดหลังมาก
“พวกเขาโชคดีเนอะ” อเล็กซิสยังคุยกับเวดต่อ “ไม่ต้องเจอการสอบสวนแบบพวกเรา ไม่ถูกตัดสินแบบพวกเรา แถมยังถูกปล่อยตัวอีก ฉันภาวนาให้ตัวเองโชคดีแบบนั้นบ้าง”
เวดลูบไหล่เธอเบา ๆ “เข้าใจ ๆ ฉันรู้สึกเหมือนเธอนั่นแหละ แต่ทำอะไรไม่ได้อย่างที่หมอนี่ว่า”
พวกเขานั่งเงียบกันอยู่สักพัก สายตาของอเล็กซิสมองไปยังออสโล่ที่กำลังหลับสนิท
เวดเอ่ยขึ้นมาว่า “ตลกดีนะ...เกิดเห็นด้วยกับหมอนี่เฉยเลย สิ่งเดียวที่เราทำได้ คือนอนอย่างเดียวจริงด้วยสินะ”
อเล็กซิสขำ
เวดเอนหลังลงบ้าง “เธอจะนอนบนแขนฉันก็ได้นะ หรือตรงนี้ก็ได้” เขาทุบอกตัวเองเบา ๆ ยิ้มให้อเล็กซิสอย่างเจ้าเล่ห์ เธอเตะขาเขาไปหนึ่งที ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างออสโล่
“นายว่าพวกตำรวจพาพวกครูไปไหน” อเล็กซิสถามถึงครูโดบี้ส์และพยาบาลสตีเว่น
“ไม่รู้สิ หวังว่าคงไม่ได้เอาไปทำทารุณกรรมอะไรอีกนะ”
ในห้องขังทั้งหมด ตอนนี้เหลือผู้ต้องขังอยู่เพียงสี่คน บรรยากาศวังเวงลงทันที
กี่ชั่วโมงผ่านไปเธอไม่ค่อยแน่ใจ แต่ยังไม่เช้าแน่นอน อาจเป็นช่วงประมาณตีสาม อเล็กซิสตื่นเพราะรู้สึกเหมือนมีคนเขย่าตัว เธอกะพริบตาเพื่อปรับสายตา พอหันมาจึงเห็นนายตำรวจในชุดเครื่องแบบนั่งยอง ๆ อยู่ข้างตัว อารามตกใจ อเล็กซิสเกือบร้องออกมาแล้ว แต่เขาเอามือปิดปากเธอได้ทัน จากนั้นสั่นหัวไม่ให้เธอพูดอะไร แสงไฟจากหลอดนีออนส่องให้เห็นสีหน้าและดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาด คล้ายกับมีบางสิ่งปั่นป่วนในท้อง บรูซกระซิบบอกว่ามีโทรศัพท์มาถึงเธอ มีเหตุฉุกเฉินบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวของอเล็กซิส
ประตูห้องขังเปิดค้างไว้ บรูซคงเข้ามาข้างในเพื่อปลุกเธอโดยเฉพาะ ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากรบกวนเด็กคนอื่นที่นอนอยู่
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาคะ”
คิ้วทั้งสองข้างเลิกขึ้น เหมือนนายตำรวจต้องการบอกว่าอย่าถามให้มากความ อเล็กซิสอดแปลกใจไม่ได้ บรูซไม่เหมือนกับคุณลุงใจดีก่อนหน้านี้ แต่เธอลุกขึ้นแต่โดยดี แถมยังเผลอไปเตะออสโล่เข้า เลยเผลอปลุกเพื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ “จาปายหนายตอนเน้” เขาถามทั้งที่ยังงัวเงีย และเมื่อเขาเห็นเจ้าหน้าที่อยู่ในห้องขัง ออสโล่ตื่นขึ้นมาทันที “เฮ้ย”
“โทษที พอดีมีเรื่องฉุกเฉินนิดหน่อย” เธอกระซิบบอก ระหว่างนั้น เวดยังคงนอนกรนสนั่นลั่นห้อง บรูซเดินออกแล้วเร่งให้เธอตามเขาออกไปไว ๆ
เมื่อเธอยืนอยู่ข้างนอกแล้ว บรูซไขกุญแจปิดล็อกอีกครั้ง เขาไม่ลืมบอกออสโล่ให้นอนหลับต่อให้สบาย อย่างไรก็ตาม เมื่ออเล็กซิสหันกลับมา ออสโล่ยังคงมองตามอยู่จนเธอเดินหายไป
“เรื่องไม่ดีเหรอคะ ครอบครัวหนูเป็นอะไรคะ” อเล็กซิสกลุ้มใจ ยิ่งนายตำรวจเร่งให้เธอเดินตาม เธอก็ยิ่งเครียด กลัวว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีจริง ๆ
“เดี๋ยวก็รู้เอง”
สถานีตำรวจในเวลานี้เงียบสงบผิดกับบรรยากาศวุ่นวายในวันแรกที่เธอมาถึง อเล็กซิสไม่เคยย่างกรายเข้ามาในนี้มาก่อนเลยจนกระทั่งถูกจับกุม ไม่มีนักโทษที่ต้องรอกระบวนการทางกฎหมายอื่น นอกจากเด็กวัยรุ่นทั้งสี่คน
ประตูห้องข้างหน้าแง้มเปิดเล็กน้อย อเล็กซิสจึงได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังลอดออกมาจากข้างใน เธอมองเข้าไปผ่านช่องว่าง เห็นเจ้าหน้าที่โจเซฟและคู่หูสาวนั่งหลับฟุบอยู่กับโต๊ะ เพราะเธอเจอสองคนนี้บ่อยกว่าเจ้าหน้าที่คนอื่น พอเห็นท่าทางสลบไสลสิ้นฤทธิ์ ผิดจากสีหน้าเครียดทำเป็น
เคร่งขรึม อเล็กซิสจึงนึกขันอยู่ในใจ เธอไม่ค่อยแน่ใจตำแหน่งของคนทั้งคู่เท่าไร แต่น่าจะไม่มีขั้นสูง อเล็กซิสเหลือบมองสำรวจยศบนบ่าของบรูซ มันไม่ได้ต่างจากยศบนบ่าของเจ้าหน้าที่กำลังอู้หลับอยู่เช่นกันบรูซกระซิบเร่งให้เธอเดินเร็วขึ้น อเล็กซิสเดินผ่านห้องอาหารของพวกเจ้าหน้าที่ที่ดูเหมือนกับห้องครัวขนาดย่อม ตอนนี้คงมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตรงด้านหน้าสำนักงานสักหนึ่งหรือสองคน ระหว่างนั้นอเล็กซิสครุ่นคิดวุ่นวายอยู่แต่กับเรื่องที่บ้านว่าจะเป็นอย่างไร เธอเป็นห่วงเบียนน่ามากกว่าใครทั้งหมด เพราะครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ซึ่งก็คือเมื่อเช้านี้ เบียนน่ายังทำใจไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่ลูกถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย
อเล็กซิสเพิ่งสังเกตว่าท่าทางของนายตำรวจใจดีผู้นี้เปลี่ยนไปจริง ๆ และเมื่อทั้งสองควรจะต้องเลี้ยวซ้ายเพื่อไปยังห้องเยี่ยม เพราะตู้โทรศัพท์ประจำอยู่บริเวณหน้าห้องเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังและตรงล็อบบี้ แต่เขากลับพาไปอีกทาง
อเล็กซิสชะงักฝีเท้า ใจคอไม่ค่อยดี “คุณตำรวจคะ ทางนั้นไม่ใช่ทางที่เราจะไปไม่ใช่เหรอคะ ต้องไปที่ห้องเยี่ยมผู้ต้องขังนะคะ”
บรูซจับแขนเธอ “ทางนี้แหละ เรามีตู้โทรศัพท์ตั้งหลายที่ แม่หนู เธอลืมไปแล้วเหรอ ว่าฉันทำงานที่นี่”เขาพูดถูก แต่อเล็กซิสรู้สึกไม่ดีเลย เด็กสาวค่อย ๆ ดึงมือเขาออกอย่างสุภาพ “แล้วใครโทรมาเหรอคะ เรื่องด่วนที่ว่า เกี่ยวกับอะไร”“ถ้าเธอถามอีกรอบ ฉันจะตบให้หายสงสัยเลย เชื่อไหม”เขาถอดหน้ากากคุณลุงใจดีออกเรียบร้อยแล้ว อเล็กซิสใจสั่น เธอมองไปข้างหน้าซึ่งไม่ได้ทำให้เธอไว้ใจเขามากขึ้นเลย อย่างไรก็ตาม เด็กสาวพยักหน้า แต่พอนายตำรวจหันกลับไป เธอวิ่งหนีทันที“ช่วยด้วย”วัตถุแข็งบางอย่างกระแทกเข้ากับหลัง อาจเป็นไม้กระบอง ความเจ็บปวดเฉียบพลันทำให้เธอชะงักฝีเท้า นายตำรวจคว้าตัวเด็กสาวไว้ได้ทัน เขาปิดปากเพื่อกันไม่ให้เธอร้องแล้วลากตัวเธอกลับไป อเล็กซิสถูกจับโยนเข้าไปในห้องเก็บของ พอเธอเงยหน้าขึ้นจึงเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกล่ามโซ่ทั้งแขนและขาติดกับกำแพง ที่ตามีผ้าปิดตาคาดไว้ ตรงปากมีเทปปิดทับเช่นกัน ผมสีดำของเธอหลุดลุ่ยออกจากเปียทั้งสองข้าง เด็กสาวมีรอยช้ำและรอยเลือดทั่วตัว สิ่งที่น่าสยดสยองกว่าอะไรทั้งห
ทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นวายร้ายในคราบตำรวจจิตใจดี มือแข็งแรงข้างหนึ่งยึดข้อเท้าเธอไว้แล้วลากกลับมา อเล็กซิสทรงตัวไม่อยู่จึงหน้าคะมำล้มลงกับพื้น ครั้งนี้ คางฟาดกับพื้นไปด้วย เธอได้ชิมเลือดตัวเองจนได้ คาเมรอนโกรธเลือดขึ้นหน้า เขาใช้ไม้กระบองฟาดตัวเด็กสาวอย่างแรง ทุกแรงกระทบเจ็บไปถึงกระดูก นี่คงเป็นความรู้สึกของเวดในตอนนั้น อเล็กซิสยกแขนขึ้นป้องกัน สู้ไม่ถอย เธอได้กลิ่นเหงื่อของมัน และสุดท้าย เขานอนกดเธอไว้สำเร็จ มือสกปรกล้วงเข้าเสื้อชั้นในทันที เด็กสาวไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้อีกต่อไปเพราะถูกปิดปากไว้สนิท คาเมรอนยั้งมือชั่วครู่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินก่อนจะพยายามรุกล้ำเสื้อผ้าของเหยื่อต่อ“คาเมรอน ฉันว่าพวกเขาได้ยินว่ะ ถ้า...โจเซฟมา พวกเราตายแน่”“หุบปาก ไอ้ขี้ขลาด แกออกไปเช็กสิวะ ฉันขอสั่งสอนยัยตัวแสบนี่สักหน่อย”พวกคุณต้องได้ยินบ้างเซ่ อเล็กซิสหวังว่าตำรวจสองนายจะสังเกตเห็นหรือรับรู้ว่ามีอาชญากรรมอุบาทว์เกิดขึ้นในโรงพักที่ตัวเองประจำอยู่ มันเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของเหยื่อหรือพวกเขาแค่เมินเฉยต่อเรื่
อากาศวันนี้สดใส ปกติแล้วท้องฟ้าในหน้าร้อนมักเป็นแบบนี้เสมอ ปลอดโปร่งปราศจากเมฆสีดำ มีเพียงปุยเมฆสีขาวช่วยแต่งแต้มลวดลายบนพื้นนภาสีฟ้า เธอรู้สึกราวกับว่าไม่ได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้มาเป็นแรมปี เหมือนวันเวลาที่ผ่านมา เธอเอาแต่นั่งจ้องเพดานโล่ง ๆ อยู่ในห้องขัง ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน แสงอาทิตย์ด้านนอกเจิดจ้า โชคดีที่มีลมเย็นสบายพัดผ่าน แสงสีทองจึงทำได้เพียงส่งไออุ่นมากกว่าทำให้บรรยากาศร้อนอบอ้าว เพราะลมได้บรรเทาความร้อนไปแล้ว“Head homeward, little bird,Fly up high, Thou art free,Misery is no more,Time means not to thee”“ทำไมฉันถึงได้ยินเสียงคนร้องเพลง มีคณะประสานเสียงของโรงเรียนมาด้วยเหรอ”“เปล่า ครอบครัวโรมูลเลอร์ขอให้คณะประสานเสียงจากในโบสถ์มาร้องเพลงที่นี่ ร้องให้กับเด็กที่ตาย พวกเขาคิดว่า วิธีนี้จะช่วยนำพาจิตวิญญาณของเธอไปยังที่ที่ควรไป”“ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลยแฮะ”ไบรซ์ยักไหล่ขึ้น “จะให้พวกเขาทำอะไรเพื่อคนตายล่ะ พวกเราไม่รู้วิธีสื่อส
สิ่งแรกที่เธอเห็นคือรถตู้ตำรวจที่จอดรออยู่ แม้ว่ามันจะจอดไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่มากก็ตาม แต่เพราะว่าเธอเห็นครอบครัวโรมูลเลอร์อยู่แถวนั้นด้วย สายตาเลยเหลือบไปเห็นเจ้าพาหนะที่จะพาเธอไปยังสถานที่หนึ่ง เมื่อพ่อแม่ของซอนย่าเห็นอเล็กซิส พวกเขาโน้มคอลงเหมือนจะกล่าวทักทาย และรีบเดินจากไปสองวันหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น บรูซกับคาเมรอนถูกส่งตัวไปยังศาลปกครองที่เมืองฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิสทันที เมืองเดียวกับที่นางพยาบาลสตีเว่นและครูโดบี้ส์ถูกส่งตัวไปสำเร็จโทษ อเล็กซิสได้ยินมาว่าสามีของเธอพาลูก ๆ ตามไปด้วย น่าสงสารทั้งคุณโดบี้ส์ และลูก ๆ ของพวกเขา เด็ก ๆ ยังเล็กเกินกว่าที่จะสูญเสียแม่ส่วนตัวฉัน ก็ยังเด็กเกินไปที่จะสูญสิ้นทุกอย่าง เธอไม่เคยลืมใบหน้าของซอนย่าในตอนนั้นเลย ผิวของเธอไหม้เกรียม ทำให้บางส่วนปริลอกออกมาจนเห็นเนื้อสดสีแดงข้างใน ดวงตาทั้งสองข้างไหม้ดำ ไม่ว่าเธออยากจะลืมภาพนั้นเท่าไร แต่อเล็กซิสรู้ดีว่าใบหน้าตอนตายของซอนย่าจะติดตัวเธอไปตลอด ยกเว้นแต่ว่า ลมหายใจเธอจะดับสิ้น“ลูกอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า” พ่อถาม เขายืนรออยู่กับแม่และเ
เขามองเธอแป๊บเดียวแล้วผลักเธอขึ้นรถ จากนั้นไปช่วยเฮลก้าจัดการกับเวด ทั้งสองช่วยกันลากเด็กหนุ่มขึ้นรถอย่างทุลักทุเล เป็นงานหินสำหรับพวกเขามาก เพราะเวดนั้นตัวโตกว่าคนทั้งคู่ และที่สำคัญ เขาขืนตัวสุดกำลัง “โอ๊ย ให้เวลามากกว่านี้หน่อยสิ ปล่อยสิวะ ไปไกล ๆ เลยแม่ง” แต่สุดท้ายเวดก็ถูกผลักเข้ามาจนได้ แถมยังล้มทับอเล็กซิสกับออสโล่ที่อยู่ข้างในด้วยเบลินดาเข้ามาเป็นคนสุดท้าย เธอเดินเข้ามาด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครลากเข้ามา ท่าทางสงบลงมากกว่าวันที่ถูกตัดสินว่ากระทำผิด เธอเป็นคนเดียวที่บอกลาทุกคนด้วยท่วงท่าสงบนิ่งและสง่างามกว่าใครเพื่อนประตูรถค่อย ๆ ปิดลงและพวกเขายังคงพยายามมองหาครอบครัวตัวเอง เมื่อประตูถูกปิดสนิท พวกเขาได้ยินแต่เสียงเรียกเท่านั้น“นี่...ฉันคิดว่าที่ผ่านมากำลังฝันอยู่เลยนะเนี่ย แบบหลับยาวเป็นอาทิตย์อะไรแบบนั้น” เวดสารภาพ “คิดว่า...มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดสักอย่างแหง ๆ ...”“ฉันอยากให้ใครสักคนตบหน้าฉันแรง ๆ แฮะ ฉันมันคนขี้เซา แม่ต้องตบหลังทุกครั้งเลยเพื่อปลุกให้ตื่น” ออสโล่เสริม หัวเราะเสียงแห้ง
ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งเช็กซองบุหรี่ที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าทรงดัฟเฟิลทำจากหนังแท้อย่างดี ตัวกระเป๋าเป็นรุ่นพรีเมี่ยมออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง ฟลาเวีย นีโร พอนับหมดแล้วพบว่ายังเหลืออยู่ครบยี่สิบซอง เทียบจากครั้งก่อน แสดงว่าไม่มีใครขโมยไป“นับทำไมวะ ใช้ไม่ได้อยู่ดี”เจ้ากระเป๋าใบนี้ถูกนำมาใช้เฉพาะกิจเพื่อเก็บแพ็กบุหรี่ยี่ห้อ ‘เบสต์ อามี’ ที่เขาหวงแหน มันเป็นยี่ห้อบุหรี่ที่ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้ (ถึงแม้ว่าจะยัดไส้พิเศษก็ตาม) มันเข้าคู่กับไฟแช็กแฮนด์เมดที่ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ตกแต่งด้วยเพชรรูปไข่ขนาดเล็กรายล้อม บนตัวไฟแช็กมีอักษรย่อสลัก ‘บี.อาร์.’ เขาอยากจุดบุหรี่ขึ้นสูบเหลือเกิน อยากเห็นบุหรี่ในมือค่อย ๆ มอดไหม้พร้อมกับสูดควันศักดิ์สิทธิ์เข้าปอด แต่เมื่อนึกถึงผลที่จะตามมา เขาจำต้องเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อแทน หนทางที่จะได้สูบมันอีกครั้งอาจจะยังมีอยู่...หรือไม่มีวันนั้นแล้วก็ได้ พอคิดแบบนี้ เขาถอนหายใจด้วยความเสียดายของถ้าเลือกได้ เบนอยากสูบบุหรี่ให้หมดไปมากกว่าทิ้งมันไว้แบบนี้ บุหรี่พวกนี้ไม่สมควรถูกเก็บไว้ประหนึ่งของดูต่างหน้าในพ
เบนไม่มีโอกาสเห็นท้องฟ้าสีครามอีกเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาลุกขึ้น เก็บถาดแล้วทิ้งลงในกล่องที่เขียนแจ้งว่า ‘ถังขยะ’ จากนั้นเดินตามกลุ่มเด็กทั้งสามไป เขาอยากรู้จักเด็กคนนั้นตรงข้ามห้องอาหารมีจอสีดำขนาดยักษ์ติดอยู่ตรงกำแพง แต่ไม่มีข้อความอะไรประกาศทิ้งไว้ หรือพูดให้ถูกก็คือ หน้าจอนั้นดำมืดตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาอยู่ที่นี่แล้วรัฐบาลใช้สถานที่แห่งนี้จัดโปรแกรมบำบัดสำหรับกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัย ทว่าผู้คนที่อยู่ในนี้เรียกว่า ‘หอพัก’ ไม่มีการรักษาใด ๆ ทั้งนั้น ไม่มีพนักงาน หมอ หรือเจ้าหน้าที่เลยสักคน ไม่มีแม้แต่ตารางเวลากำหนดกิจกรรมต่าง ๆ พวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่กันอย่างอิสระ ทว่าเป็นอิสระในเชิงพิลึก ก็แค่สามารถทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจภายในคุกประหลาดแห่งนี้มากกว่าหอพักแห่งนี้เปรียบเสมือนกับชุมชนขนาดย่อม คนที่อยู่อาศัยสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สปา ฟิตเนสยิม สนามกีฬา ผับ เลานจ์ โรงภาพยนตร์ขนาดเล็กที่มักเล่นหนังโรแมนติกสมัยรุ่นคุณย่าคุณยาย เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งที่สามารถพบเจอในโรงแรมหรู ยกเว้นแต่ว่าไม่มีห้องสมุดแ
“เออ ไม่มีน่ะสิ”พวกเขาหยุดอยู่หน้าประตูโลหะสีดำ มันเป็นสีดำ เพราะอย่างนี้นี่เอง ห้องนี้จึงโดดเด่นขึ้นมาจากห้องอื่น เพราะสีที่ต่างกับที่อื่นทำให้เบนรู้สึกถูกใจขึ้นมาทันที แม้ยังไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไรก็ตาม สีดำเป็นสีคลาสสิกและสะท้อนรสนิยม เพราะสีดำมีสไตล์ในตัวมันเองอเล็กซ์เปิดประตูนำเข้าไป ดวงตาสีดำเปิดประกายเจิดจ้าขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ ที่แท้ ห้องนี้คือห้องท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ ทรงกลม มีโปรเจ็คเตอร์ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมกับที่นั่งรอบกำแพงจำนวนสิบที่ ท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนอวดดวงดาวนับพันที่กำลังส่องแสงระยิบระยิบ ตรงข้ามกับอเล็กซ์ เบนกลับผิดหวังที่มันเป็นท้องฟ้าจำลอง เพราะเขาไม่ใช่คนที่สนใจดูดาวพวกนี้เลย ทั้งความเงียบและท้องฟ้ามืด ๆ ดาวอะไรก็ไม่รู้ เบนไม่รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น เขายอมอยู่ในห้องฉายภาพยนตร์ที่มีแต่หนังโรแมนติกเก่า ๆ เล่าเรื่องราวความรักน้ำเน่ายังดีกว่า อเล็กซ์เดินวนไปวนมา จ้องมองท้องฟ้าข้างบนด้วยท่าทางครึกครื้น“นี่นะเหรอ...ที่ที่นายบอกว่าเจ๋ง”“เดี๋ยวสิวะ อ
“เออฉันนี่...” เขาหันไปยิงอีกตัว ปืนในมือแสตนเนอร์อานุภาพร้ายแรงกว่าปืนปกติ เพียงนัดเดียวก็เป่าหัวหุ่นเหล็กกระจุย รอบตัวเริ่มชุลมุนหนักขึ้นทุกที เขารู้สึกเหมือนทุกคนเบียดเป็นวงล้อม กลุ่มทหารเปิดวงจรอะไรบางอย่างที่คล้ายกับสร้างเกราะที่มองไม่เห็นขึ้นมากันไม่ให้เขากับอเล็กซิสเป็นลูกหลง (แม้จะแส่หาเรื่องเข้ามาเอง) เมื่อพวกเขาทำลายบานเหล็กได้สำเร็จก็รีบพากันออกมาทั้งหมด“บ้าชะมัด ฉันบอกให้พวกเธอรอ แล้วเข้ามาได้ไง” แสตนเนอร์ตามมาเอ็ด ทั้งเขาและอเล็กซิสคล้องแขนแล้วก้มหน้า ทหารคนหนึ่งรีบดึงดาบในมือออกไปด้วยโดยไม่หันมามองว่าสีหน้าไมเคิลอาลัยมันแค่ไหน ดูเหมือนว่าหุ่นยนต์มีหน้าที่ปกป้องตึก เมื่อผู้บุกรุกออกไป มันกลับไม่ตาม ทั้งหมดมองกลับไปเห็นหุ่นเหล็กยืนสงบ ดวงตาสีแดงอับแสงลง“คุณจะโกรธพวกเราไม่ได้” เพื่อนสาวดูท่าจะรวบรวมความกล้าได้ก่อน “พวกคุณไม่บอกอะไรเราเลย ฉันอยากจะช่วยเบ็กกี้” อเล็กซิสระเบิดออกมาได้แป๊บเดียวเท่านั้น ท่าทางดั่งสิงโตเมื่อกี้หายกลายเป็นลูกแมวเมื่อเธอมองสภาพทหารบางคนที่รอดออกมา ร่างพวกเขาโชกเลือด ไมเคิลรู้ดี
กลุ่มทหารยกพลกันมาสองคันรถ ตัวรถถังกึ่งรถบรรทุกจุคนได้ราวยี่สิบ เขานับเมื่อทั้งหมดออกมาจากรถ บวกกับพลเดินเท้าอีกหยิบมือก็ได้สี่สิบกว่า ทั้งหมดสวมชุดป้องกันและอาวุธพร้อม ไมเคิลตัดสินใจดูเชิงอยู่ห่าง ๆ พวกเขากำลังจะบุกเข้าไปในตึกสูงเจ็ดชั้นซึ่งเมื่อก่อนน่าจะเป็นศูนย์บังคับการกลางของเขตราซา ตัวตึกเป็นทรงห้าเหลี่ยมขนาดกว้างพอดู ไมเคิลกับอเล็กซิสเล็งไว้ว่าจะเข้าไปหลังจากพักเหนื่อยแต่ถูกตัดหน้าเสียก่อน เจ้าหน้าที่รายหนึ่งถือแผ่นจอสกรีนแบบที่พวกเขาชอบพกกัน (มีไว้ครอบครองเพียงแค่ข้าราชการ) กดอะไรบางอย่างแล้วปรึกษากับเจ้าหน้าที่อีกคน สักพัก คนที่สองยกมือหมุนรอบหนึ่ง ทหารทุกนายหันหน้ามาพร้อมเพรียง“ระวังตัวให้มากที่สุด และพยายามหาตัวประกันให้เจอ ผู้ต้องสงสัยทุกรายขอให้จับเป็น แต่หากขัดขืน สังหารทิ้งได้ทันที เราจะไม่เสียกำลังพลของเราเพื่อแลกกับพวกมัน นอกจากปกป้องตัวประกัน คำสั่งของท่านซีโนฮอฟเป็นอันว่าที่สุด”ทั้งหมดยกมือขวาทาบอกตอบพร้อมกันว่า “ขอรับ!”เขามองหน้าอเล็กซิส “ซีโนฮอฟ เธอเคยได้ยินชื่อนี้ไหม”เพื่อนข้างตัวส่ายหน้า &ldqu
รสช็อกโกแลตในปากออกขมมากกว่าหวาน เขาคลี่ซองดูเห็นว่ามันเป็นรสดาร์ก หยิบผิดหรือนี่ อันที่จริงเขาน่าจะพอเดาที่มาอารมณ์หดหู่ของเธอได้ “มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะ”อเล็กซิสยังคงไม่สบตา เขามองเธออย่างเข้าใจ เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแพทย์ช่วยลบรอยแผลทุกอย่างออกจากตัวเธอ เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเธอถูกกระทำอะไรบ้าง มีเพียงรอยหมัดของหนุ่มผิวแทนคนนั้นที่ฝากไว้บนหน้า สิ่งเดียวที่เขาสังเกตเห็นคือเธอผอมลงและเงียบผิดปกติ มันมีบางอย่างในใจที่เธอเก็บไว้แล้วไม่บอกใคร เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะท่าทางของเธอเหมือนกับแม่ยามคิดถึงพ่อ เอาแต่โทษตัวเอง หมกมุ่นกับความคิดร้ายต่าง ๆ นานา และแม้ปาสคาลจะปลอบเธอเท่าไร แม่ก็ไม่เคยสดใสขึ้นอีกเลยเขานั่งลง เผชิญหน้ากับอเล็กซิส “เธออยากมาที่นี่ ส่วนหนึ่งเพื่อหาร่องรอยเบ็กกี้ และอีกส่วนคือเธอไม่อยากเจอคนอื่นใช่ไหม”อเล็กซิสไม่ตอบ เขาไม่ชอบเวลาเธอเงียบแบบนี้เลย ปกติแล้ว มันควรเป็นตัวเขาสิ แต่ตั้งแต่เวดถูกพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ จนอเล็กซ์งี่เง่าแล้วพวกเขาเลิกกัน แล้วมาเรื่องนี้เอง ไมเคิลไม่คิดว่าอเล็กซิสคนเดิมจะกล
ฝนตกเหมือนไม่มีวันหยุด แม้ไมเคิลสวมชุดกันฝนไว้แต่มันไม่ได้สบายตัวเท่าไรนัก เพราะเมื่อขยับจะเกิดเสียงเสียดสี ทำไมตกกระหน่ำอย่างนี้วะ มันเหมือนกับไม่ใช่ฝน แต่เป็นมวลน้ำเทโครมลงบนหัว แถมยังรู้สึกว่าน้ำซึมผ่านเสื้อข้างใน เขาไม่ชอบให้ตัวเปียกเหนอะหนะ“ตกหนักชะมัด ตกหนักที่สุดเท่าที่เคยอยู่มาแล้ว” เรมีกอดอก ส่วนอเล็กซิสยืนรอเงียบ ๆ คนอื่นอาจหาว่าบ้าที่พวกเขาตัดสินใจลักลอบเข้าเขตราซาโดยใช้เวลาไตร่ตรองไม่ถึงนาทีดี ในเมื่อมีกฎห้ามไม่ให้เข้า แต่ใช่ว่าไม่มีคนทำ ตรงกันข้าม มีคนลักลอบเข้าไปเยอะแยะ เมื่อวานก่อน ไมเคิลกับเรมีเข้าไปในตลาดมือสองแล้วพบว่าพวกพ่อค้านำสินค้าราคาถูกมาจากเขตนี้ พวกเขาลักลอบเข้าไปหยิบของเหลือทิ้งมาขายต่อหรือใช้เองบ่อยครั้ง สบู่แชมพูอายุสองปี เศษเสื้อผ้า ทุกอย่างที่ยังไม่หมดอายุ ราคาของในตลาดจึงถูกกว่าในซูเปอร์ และเมื่อเขาบอกเรื่องนี้กับอเล็กซิส เธอต้องการตามหาเบ็กกี้ที่นี่เรมีมองนาฬิกาแล้วก้มตัวลงหยิบอิฐออกทีละก้อน ปากบ่นไป “เทสซ่าจะยอมให้หมอนั่นมาหรือเปล่า พักหลังทำตัวเป็นคุณแม่ขี้บ่นอยู่”ไมเคิลไม่คิดว่าเธอทำตัวเป็นคุณแม่หรอก เทสซ่าห่างไกลจากคำนี้มาก แต่เพราะเธอต้องทำหน้า
เธอกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง อเล็กซิสพยายามปลุกสติตัวเอง เล็บของเบ็กกี้จิกลึกมากขึ้นทุกที เลือดไหลทะลักจากใต้ผิว ทุกอย่างช้าลงตรงข้ามกับความรู้สึกที่ทวีคูณ เล็บค่อย ๆ ฉีกออกจากกัน บางนิ้วฝังแล้วกรีดลงบนเนื้อเธอ หนังค่อย ๆ ปริแยกออกพร้อมลาวาสีเลือดเอ่อล้น กล้ามเนื้อขึ้นเป็นเส้นหนาเกร็งไปจนถึงขมับ ตัวเธอถูกยกขึ้นสูงแล้วดิ่งลงปะทะกับพื้น ริมฝีปากชิมน้ำสกปรกและคราบเลือด ใบหน้าถูไถลไป...ตื่น!เธอลืมตาโพล่ง ความทรงจำชัดขึ้นทุกทีจนอเล็กซิสแทบไม่อยากนอน แต่แล้วจำต้องหลับตาอีกรอบเพราะเจ็บเบ้าตาก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดก่อนไอสำลักออกมา มือใครสักคนแปะอยู่บนศีรษะแล้วเลื่อนมาจับไหล่เธอไว้ อเล็กซิสลุกขึ้นนั่งทันที ตกใจ พอมองเต็มตาจึงเห็นดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องกลับมา“ไมเคิล...”คงเรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มผมเงินไม่ได้แล้ว เพราะเฉดผมสีน้ำตาลเริ่มโผล่ออกมามากขึ้น มุมปากของเขาเชิดขึ้น อมยิ้มบาง ๆ “เธอผอมไปนะ”ทันใดนั้น อเล็กซิสโผเข้ากอดเขา เธอไม่ได้ฝันไป และข้างหลังไมเคิลคือเรมีที่นั่งมองพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น เธอกวาดตามอง
เธอนิ่งคิดเมื่อเดสซิเรถามคำถามนี้ เพราะเหตุนี้วันนี้เธอจึงตัดสินใจจะพบไมเคิล แต่ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจความคิดตัวเอง “ก็...”ข้างหลังตึกมีพื้นที่โล่ง ๆ ขนาดเท่าครึ่งสนามบาสเกตบอล เอมอนสวมเสื้อกล้ามเผยผิวแทนแกว่งแขนไปมา เขาพยักหน้าให้หญิงสาวข้างอเล็กซิสแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายปิดบังความสนใจของตัวเองไม่อยู่ แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะอธิบายเป็นคำพูดยาก สิ่งหนึ่งที่อเล็กซิสมั่นใจคือ เอมอนหลงรักเดสซิเร เขาไม่ได้มองเธอเป็นเพื่อน-กิน-กัน-มัน-ดีแต่อย่างใด แต่ฝ่ายหญิงคิดอย่างไร เธอเดาไม่ออกเด็กสาวกวาดตามองโดยรอบแต่ไม่เห็นอุปกรณ์ใด ๆ เลยนอกจากนวมสีน้ำเงิน“นายนี่นะ จะฝึกสาว” เดสซิเรกอดอก ทำเสียงดูแคลน “แน่ใจรึ”ชายหนุ่มยักไหล่ “ก็...ฉันทำร้ายผู้หญิงไม่ลงเธอก็รู้” เขาโยนนวมชกให้อเล็กซิส “ดังนั้น เริ่มบทเรียนด้วยการโดนตัวฉันให้ได้ดีกว่า”เดสซิเรผิวปาก ทึ่ง “เข้าใจคิดนี่”ทว่าคนที่ถูกฝึกกลับผิดหวัง อเล็กซิสอยากให้เขาทำให้เธอแข็งแกร่ง“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเสียใจสิ จ
ผ้าห่มสีขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมจากการอบความร้อนฆ่าเชื้อ เธอพยายามลุกขึ้นแต่เหมือนติดอยู่ในร่างนี้ เสียงกรีดร้องของเอเลน่าดังเข้าโสตประสาทประหนึ่งมีพลังสั่นคลอนสะเทือนไปจนถึงแกนหูข้างใน อเล็กซิสหันไปเห็นเธออยู่ในสภาพมัดติดกับเตียง เธอร้องระบายความเจ็บปวดข้างในจนขากรรไกรแทบฉีกออกจากกัน “ฆ่าฉันซะ ฆ่าฉันซะ” ราวเหล็กบนเตียงกระตุกรัว อเล็กซิสมองดูเหมือนเตียงจะถล่มตามแรงเคลื่อนไหว เสียงหวีดร้องกรีดหัวใจจนอยากตะโกนบอกให้พวกเขา...ฆ่าเธอซะ ทำตามที่เธออ้อนวอน“เราจะทำอย่างไรดีคะคุณหมอ” “ทำตามที่เธอปรารถนา เราช่วยเธอไม่ได้แล้ว” อเล็กซิสมองทรอย เห็นแต่เพียงแผ่นหลังและผมสีเทา พวกเขาเข็นเตียงเธอออกไปตามคำสั่ง ไม่นานเสียงเอเลน่าสงบลง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเด็กสาว“มันอยู่ในตัวเธอด้วย”เธอส่ายหน้า “ฉันกำลังจะตายเหมือนเธอเหรอคะ”ทรอยไม่ตอบ“มันอยู่ในตัวเธอ”“มันอยู่ในตัวเธอ”อเล
“อย่าปล่อยเด็ดขาด”น้ำตาเด็กสาวไหลรินหยดลงบนแขน ความเค็มของน้ำตาทำให้แผลแสบร้อนนิด ๆ นิ้วของเบ็กกี้จิกลึกลงบนแขนจนเลือดไหลซิบ อเล็กซิสกัดฟันทนความเจ็บปวดทุกอย่าง ขืนตัวรั้งเพื่อนไว้ไม่ให้พวกมันเอาตัวไปได้ ชายสองคนต่างพยายามแยกพวกเธอออกจากกันราวกับเล่นชักเย่อ “ใช้มันซะ เบ็กกี้ ได้โปรด” เธอขอร้อง “ได้โปรด...” เด็กสาวหวีดร้อง เล็บที่จิกอยู่กับเนื้อฉีกขาดฝังอยู่ข้างในเนื้อของเธอ บางนิ้วมีเล็บแข็งเกินจึงเฉือนฉวัดขูดผิวเป็นรอยยาว เสียงดังตุบกลางหลังเด็กสาว เบ็กกี้ล้มฟุบลงกับพื้น ยูฟุนแบกร่างเธอออกไปพร้อมกับเด็กอีกคน“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” เกรกอรี่พึมพำแล้วเหวี่ยงตัวอเล็กซิสลงไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำโสโครกผสมเลือดเจิ่งนอง เธอตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นไม่ทันไรก็ล้มลง เด็กแฝดที่ยังเหลืออีกคนถูกโขกกับกำแพงดังจนคล้ายกับกะโหลกแตก ร่างอ่อนปวกเปียกไถลครูดลงเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต อเล็กซิสปากสั่น เกรกอรี่ย่างสามขุมแล้วกดหน้าเธอลงกับพื้นก่อนจะมัดมือไพล่หลัง เธอดิ้นจนแขนเสียดสีกับเชือก รอยแผลที่เบ็กก
อาคุสะนอนอยู่บนเตียงนิ่งเหมือนไม่ได้ยินใครทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงมากที่สุดคือออร่าหลากสีที่ล้อมเป็นรัศมีรอบตัวเขา พอเธอเขยิบเข้าไป อเล็กซ์ดึงแขนรั้งไว้ทันที “อย่า มันอันตราย”ชายหนุ่มเกาแก้มตัวเอง “ฉันโดนแล้ว มันเหมือนกับพลังของเขากระจายรอบตัว ถ้าเธอเข้าไปในรัศมีนั้นจะเหมือนคนบ้า ทั้งร้องไห้ หัวเราะ ด่าทุกสิ่ง ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะสงบลงได้”หญิงสาวเขยิบถอยหลังทันที ออร่าที่พุ่งออกมาทำให้อาคุสะเหมือนกับเจ้าชายนิทราต้องสาปประมาณนั้น “มันเกิดอะไรขึ้น เพราะแบบนี้ใช่ไหม พวกนายถึงไม่ส่งข่าวมา”เขาพยักหน้า ชายหนุ่มเชื้อเชิญให้เธอหาที่นั่งเอง ส่วนเขาเดินเก็บของผ่านหน้าไปมา ปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น “พวกเราชนะเควสทั้งสองระดับ วันต่อมาระดับสามเปิด พวกเราก็เลยลอง”“บ้าไปแล้ว” เทสซ่าร้อง“ก็จริง” เขาหัวเราะ เธอไม่ได้เห็นเสียงหัวเราะของเขามานานแล้วตั้งแต่เบนจากไป หนุ่มผมดำผู้นี้มีลักษณะเหมือนคนหลายบุคลิก บางครั้งยียวน บางครั้งเงียบขรึม บางครั้งกราดเกรี้ยว “อาคุสะเกือบตาย