บทนำ
จุดเริ่มต้นของวงจรมาเฟียเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น...
กระสุนปืนโหมถล่มไม่ต่างจากหยาดฝนที่สาดเทชุ่มฉ่ำ หากมันไม่ใช่หยดน้ำ แต่กลับเป็นหยาดโลหิตสีแดงสดที่ไหลหลั่งราวกับสายธาร
ปัง!
ปัง!
ปัง!
ลำปืนจ่อยิงโดยเป้าหมายการเพ่งเล็งนั้นอยู่ที่ ‘ไตรพัฒน์’ เพียงจุดเดียว กลุ่มคนนับสิบเบนศูนย์หน้าปรี่มายังตัวมาเฟียหนุ่มหมายเอาชีวิต แต่ด้วยทักษะและประสบการณ์ที่เพียรพบกลับทำให้รอดพ้นดงลูกตะกั่วมาได้อย่างหวุดหวิด
ไตรพัฒน์วิ่งหนีไปตามตรอกซอยหลังจากที่ออกมานอกตัวร้านสังสรรค์ อาศัยความชำนาญพื้นที่และความคล่องแคล่วของร่างกายให้พาตัวเองเข้ามาหลบหลีกในตรอกแคบ ๆ มืดมิดไร้แสงไฟ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่ไม่ได้ประคองลำปืนก็คอยติดต่อหาลูกน้องคนสนิทที่รับหน้ากับศัตรูอีกกลุ่มไปด้วย
“ฉิบ!” เสียงสบถด่ากร้าวดังเค้นลอดไรฟันที่มันเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ
มาเฟียหนุ่มทาบฝ่ามือลงบริเวณบาดแผลจากการถูกยิงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มันถูกทำแผลเป็นอย่างดีแต่ก็ปริแตกเนื่องจากใช้กำลังแรงในการหลบหนีศัตรูที่หวังพรากชีวิตให้สิ้น
เขาทิ้งตัวลงสู่พื้นพลางผ่อนลมหายใจออกหนัก ๆ เพื่อหวังควบคุมสติของตัวเองที่ลดน้อยลงทุกที หากไม่มีบาดแผลการถูกยิงที่หน้าท้องฝั่งซ้าย เขาเองก็มั่นใจว่าป่านนี้คงได้ออกไปเผชิญหน้ายิงสวนกับเหล่าลูกน้องของศัตรูให้ตายราบคาฝ่าเท้าไปแล้ว
“นะ...นี่มันอะไรกัน กรี๊ด!!!”
ทว่าเสียงเล็กของใครคนหนึ่งกรีดร้องขึ้นหลังจากที่เปิดประตูออกมาจากด้านหลังร้านสังสรรค์ ไตรพัฒน์หันขวับก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปชาร์จและใช้มือปิดทาบริมฝีปาก หนำซ้ำยังออกแรงดันร่างกายเล็กเบียดชิดให้เธอคนนั้นนั่งลงกับพื้นโดยมีตัวของเขากำบังไว้จนมิด
“หุบปาก! อยากตายหรือไง!” มาเฟียหนุ่มตวาดเสียงเข้ม นอกจากเสียงแหลม ๆ ของเธอจะพาซวยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้นาทีชีวิตสั้นลงกว่าที่ควรเป็นเข้าไปใหญ่
มือหนากดย้ำที่ริมฝีปากบาง ส่งสายตาคาดโทษดุดัน เฉกเช่นเดียวกับการควบคุมลมหายใจเพื่อหวังให้พื้นที่แห่งนี้เกิดเสียงเบาบางมากที่สุด
ไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุเกิดขึ้นจากอะไร หากแต่เธอมั่นใจว่าเขาคนนี้กำลังถูกไล่ล่าจากกลุ่มคนนับสิบ เธอได้ยินเสียงปืนสนั่นไปทั่วทั้งเมืองจนต้องเปิดประตูออกมาดู แต่ไม่ทันคิดว่าต้นเหตุต้นเรื่องจะอยู่ใกล้ตัวจนทำให้ซวยร่วมไปด้วยแบบนี้
“ถ้าเธอร้องไอ้พวกคนนั้นมันก็จะกลับมาฆ่าทั้งเธอและฉัน!” ไตรพัฒน์กดเสียงต่ำค่อย ๆ คลายมือออกจากใบหน้าหวานและเปลี่ยนไปคว้าหมับจับที่ข้อมือเล็กก่อนจะนำพาเธอวิ่งหลบหนีไปอีกทาง
เรี่ยวแรงของเขาในตอนนี้ลดน้อยลง จวบจนร่างกำยำทิ้งตัวและพิงแนบไปกับกำแพง เมื่อไม่สามารถฝืนความเจ็บปวดได้อีกต่อไป
“คะ...คุณ คุณถูกยิงเหรอ!” เมื่อตั้งสติถึงได้รู้ว่าบริเวณหน้าท้องของเขามีเลือดไหลหลั่งออกมาเป็นจำนวนมาก
“อึก...หุบปากอย่าส่งเสียง! ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทำให้เธอตายแน่นอน” เขาบอกทั้งที่เสียงขาดห้วงไม่ได้ศัพท์ ในขณะที่ลมหายใจเริ่มเร่งระดับหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เม็ดเหงื่อผุดตามกรอบหน้าคมคาย สีเลือดตามร่างกายกลับค่อย ๆ ซีดเผือดลงถนัดตา
“ฮึก...นี่มันอะไรกัน ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ ฉันจะ...”
“อยู่เฉย ๆ ได้ไหมวะ!” เสียงคำรามดุกร้าวแผดลั่น
เวลาแบบนี้ต่อให้มีนายตำรวจยศใหญ่ลงพื้นที่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ มันมีผลประโยชน์อยู่กั้นกลาง และที่สำคัญผู้บงการอยู่ในเงามืดที่ไม่มีใครจับตัวได้
วงการสีเทาน่ากลัวกว่าที่คิดจินตนาการไว้มาก หากแต่การย่างกรายเข้ามาบนเส้นทางนี้ย่อมไม่มีหนทางให้หวนกลับ มีแต่จะเดินตรงต่อไปข้างหน้าหรือไม่ก็คือการจบชีวิตเพื่อล้างไพ่เท่านั้น
“พวกมันวนกลับมาทางนี้!” มือใหญ่ปิดทาบที่ริมฝีปากของหญิงสาวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังเข้ามาใกล้กับบริเวณที่หลบซ่อน
“กูได้ยินเสียงแถว ๆ นี้ พวกมึงมาค้นดูตรงนี้! กูว่ามันต้องหลบอยู่แถว ๆ นี้แน่!”
“นายสั่งมา ถ้าเจอก็ให้ฆ่ามันทันที!”
เสียงฝีเท้าหนักของผู้คนนับสิบรวมไปถึงบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธคืบคลานประชิด ไตรพัฒน์เก็บกลั้นลมหายใจ เฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวตัวน้อยที่ซุกตัวนั่งลงสู่พื้นจนแทบเกยมาอยู่บนตัก
เขาขยับวงแขนเปลี่ยนเป็นการดึงรั้งคนตัวเล็กเข้ามากอด หวังให้ร่างกายของเธอจมประสานกลมกลืนกับตัวเองมากที่สุด ถึงแม้ว่าการมีอีกหนึ่งชีวิตติดสอยห้อยตามจะทำให้การหลบหนีเกิดความลำบาก แต่อย่างไรแล้วคนที่เป็นต้นเหตุต้นเรื่องอย่างเขาก็ควรตายก่อนผู้บริสุทธิ์แบบเธอ
แต่ทว่า...
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงปืนดังถี่รัวขึ้นอีกครั้งในจังหวะที่สติอันเลือนพร่าจะดับวูบเข้าสู่ห้วงแห่งความมืดมิด
มาเฟียหนุ่มพยายามข่มความเจ็บปวดและเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งเพื่อมองภาพสถานการณ์ เขาเห็นกลุ่มชายชุดดำกำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้ มองถัดไปยังเบื้องล่างก็พบว่ามีอีกกลุ่มคนมากมายเช่นกันที่นอนเกลื่อนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น
“นายครับ! นาย!”
“พวกมึงเข้ามาพยุงตัวนายสิวะ!”
เสียงเข้มดังตีพันจนจับจุดไม่ได้ จังหวะเดียวกันนั้นสัมผัสความอบอุ่นจากคนข้างกายก็ค่อย ๆ หายลับไป และถูกแทนที่ด้วยมือใหญ่ของคนหลายชีวิตที่ตรงปรี่เข้ามาประคอง
หญิงสาวในอ้อมแขนถูกดันให้ออกห่าง เธอกำลังตัวสั่นเทาด้วยความหวั่นกลัว หากแต่ดวงตากลมโตกลับจดจ้องมองมาที่เขาด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด
“พวกคุณเป็นใครคะ จะเอาตัวเขาไปไหน เขาเจ็บอยู่นะ!”
“เขาเป็นเจ้านายของผม ผมกำลังจะพาเขาไปในที่ปลอดภัย ส่วนคุณช่วยขยับออกไปด้วยครับ ผมไม่อยากรังแกผู้หญิง” คำพูดราบเรียบแต่กลับแฝงซ่อนไปด้วยความโหดเหี้ยมมากมาย แน่นอนว่าประโยคนั้นทำให้คนตัวเล็กถอยหลังไปหลายก้าว ไม่ว่าจะเป็นความหวั่นกลัวจากชายฉกรรจ์นับสิบ รวมไปถึงปืนสีดำขลับและอาวุธครบมือที่อยู่ห่างจากร่างกายไม่ถึงหนึ่งเมตร สิ่งเหล่านั้นทำให้เธอจำต้องขยับหนีเพื่อรักษาชีวิต
“เธอ...อึก...ชื่อเธอ เธอชื่ออะไร” ไตรพัฒน์รวบรวมเรี่ยวแรงและเปล่งคำถามออกไป สติของเขาไม่ได้มีมากพอที่จะจดจำเรื่องราว ณ ตอนนี้ได้นัก แต่สิ่งที่เขาควรบันทึกเข้าสู่สมองนั้นก็คือชื่อของผู้หญิงคนนี้ที่ร่วมฝ่าดงกระสุนไปพร้อม ๆ กันในค่ำคืนเลวร้าย
“ป่าน...สายป่าน ฉันชื่อสายป่าน” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วเบา หากแต่มันดังพอที่จะทำให้เขาจดจำชื่อของเธอ
ทว่าดวงตาคมเข้มกลับดับวูบลงไปพร้อม ๆ กับเรี่ยวแรงมหาศาลที่ทิ้งผ่อนลงมา
เสียงสุดท้ายก่อนสติเลือนพร่าคือเสียงจากคนแปลกหน้าที่เขาเพิ่งพบเจอ และภาพสุดท้ายก่อนดวงตาจะหลับใหลก็เป็นเจ้าของชื่อ ’สายป่าน’ พยายามพุ่งมาหาเขาโดยมีสายตาอาทรที่สะท้อนผ่านออกมา
ไตรพัฒน์ไม่อาจทนพิษบาดแผลความเจ็บปวดได้อีกต่อไป สติของเขาวูบไหวดับสิ้น และถูกแทนที่ด้วยเงามืดสีดำขลับ...
บทที่ 1เด็กเสิร์ฟบรรยากาศความวุ่นวายภายในร้านสังสรรค์เกิดขึ้นนับตั้งแต่ถึงเวลาเริ่มงานเมื่อตอนหกโมงเย็น ไม่ว่าพนักงานเสิร์ฟ เด็กโฮสต์ บาร์เทนเดอร์ หรือพนักงานครัว ต่างก็เดินวุ่นกันขวักไขว่ เนื่องจากลูกค้าแน่นเอี้ยดเต็มร้านจนบริหารการทำงานแทบไม่ไหวนอกจากจะเป็นวันศุกร์ที่เหมาะสำหรับการดื่มกินแล้ว มันยังเป็นวันจัดงานเลี้ยงของบรรดาไฮโซที่ปิดร้านเพื่อฉลองเนื่องในวันเกิดของค่ำคืนนี้“พี่เอ็ม ป่านมาแล้วค่ะ ขอโทษที่มาช้านะคะรถติดมากเลยค่ะ” เสียงปนหอบเอ่ยขึ้นหลังจากที่นำพาร่างกายมาถึงด้านในตัวร้านได้สำเร็จ“ไม่เป็นไร ๆ พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่รบกวนป่าน วันนี้ไม่ใช่วันทำงานของเราแท้ ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์เข้ามาช่วยงาน” ผู้จัดการของร้านกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ“ไม่เป็นไรค่ะพี่เอ็ม ป่านร้อนเงินพอดี อยู่บ้านก็ว่าง นี่พอป่านเห็นข้อความในกลุ่มป่านรีบอาบน้ำแต่งตัวมาเลยนะเนี่ย” สายป่านส่ายหน้าพลางหยิบผ้ากันเปื้อนยีนซึ่งเป็นยูนิฟอร์มของร้านมาสวมใส่เธอหยิบกระจกพกพาที่อยู่ในกระเป๋ามาส่องความเรียบร้อยของใบหน้า แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีชมพู ลามไปถึงผมเผ้าที่ถูกเก็บรวบไว้อย่างเรียบร้อย และเพียงไม่ถึงสองนาทีก็อยู
บทที่ 2บุคคลอันตราย“อ้าวป่าน เป็นอะไรน่ะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”ขาเล็กก้าวตึง ๆ เข้ามาในตัวร้านด้วยความกรุ่นโกรธและแรงโทสะที่อยู่เต็มอก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกเรียกรั้งจากผู้จัดการของร้าน น้อยครั้งนักที่จะเห็นหญิงสาวอยู่ในอิริยาบถแบบนี้“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่เอ็ม ป่านขึ้นไปข้างบนก่อนนะ เมื่อกี้นี้แอบอู้งานอะ คุณเวย์บ่นแล้วมั้งเนี่ย” สายป่านเอ่ยก่อนจะเดินแยกไปยังชั้นบนซึ่งมีโต๊ะเจ้าของร้านที่เธอรับหน้าที่ดูแลอยู่ เนื่องจากเมื่อครู่นี้เธอใช้เวลาทำงานในการระงับความเดือดดาลของตัวเองไปไม่น้อยถึงจะเดินกลับเข้ามาขาเล็กก้าวฉับ ๆ อย่างทะมัดทะแมง ซึ่งจุดหมายก็คือโต๊ะเวย์คินที่กำลังนั่งดื่มสังสรรค์ ระดับสายตาปราดเห็นว่าตอนนี้ที่โต๊ะนั้นมีคนมานั่งเพิ่มหนึ่งคนจากเดิมที่มีเพียงสอง ถัดไปไม่ไกลก็มีชายชุดดำหยัดยืนอยู่สายป่านหรี่สายตาเพื่อปรับให้มองเห็นบุคคลที่มาใหม่ให้ชัดเจน เธอมองไปยังชายชุดดำก็พบว่าท่าทางของเขาแทบไม่ต่างจากลูกน้องมาเฟียที่เคยเห็นในละคร ท่าทางเรียบนิ่ง ขึงขัง สายตากวาดมองพื้นที่รอบข้างราวกับสำรวจความเรียบร้อยและความปลอดภัยแต่ทั้งหมดทั้งมวลกลับทำให้เธอเลิกคิดสนใจก่อนจะเดินตรงเข้าไปยั
บทที่ 3คนโชคร้ายSAIPAN’S PART ;“หุบปาก! อยากตายหรือไง!”เสียงตะคอกตอกหน้าพร้อมกับมือใหญ่ที่ปิดทาบทับริมฝีปากทำให้ฉันรีบเก็บกลั้นเสียงกลืนกลับสู่ลำคอ“อึก...”“ถ้าเธอร้องไอ้พวกคนนั้นมันก็จะกลับมาฆ่าทั้งเธอและฉัน!”สิ้นประโยคร่างกายของฉันถูกกระชากรั้งให้อยู่ในอ้อมแขนของเขา และเพียงเสี้ยววินาทีก็ถูกนำพาให้วิ่งไปหลบซ่อนที่ตรอกซอยเล็ก ๆคนตัวใหญ่จับให้ฉันนั่งทรุดตัวลงกับพื้น ตามมาด้วยร่างกายใหญ่โตที่ทิ้งผ่อนลงมา เสียงหอบหายใจดังถี่กระชั้น ฉันจึงผินใบหน้าไปมองคนข้างกายถึงได้พบว่า บริเวณหน้าท้องฝั่งซ้ายของเขามีหยาดเลือดสีแดงสดที่ไหลหลั่งออกมา“คะ...คุณ คุณถูกยิงเหรอ!” ฉันเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น แถมใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวไร้สีเลือดเปลี่ยนไปถนัดตา“อึก...หุบปากอย่าส่งเสียง! ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทำให้เธอตายแน่นอน” เสียงเข้มเอ่ยบางเบาที่ฉันฟังแทบไม่ได้ศัพท์จนถึงขั้นต้องโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้รับรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เราพูดคุยกันมากไม่ได้ แต่บาดแผลและอาการบาดเจ็บของเขาก็สำคัญไม่แพ้กัน“ฮึก...นี่มันอะไรกัน ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ ฉันจะ...” ฉันพยายามตั้งสติและหาหนทางหนีไปจากพื้นที่ตรงนี้ สิ่งแรก
บทที่ 4สายสืบพลั่ก!ตุ้บ!“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาลร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอดครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานานกลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้องทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมาประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างก
บทที่ 5บังเอิญการทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้วฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้
บทที่ 6บังเอิญ…อีกแล้ว!?หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปงานเปิดตัวรถนำเข้าถูกจัดขึ้นที่ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีแขกมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เนื่องจากงานในวันนี้เป็นที่จับตามองของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก รวมไปถึงวงการข่าวมากมายที่ต่างก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากวันรวมตัวคนดังระดับประเทศรถยนต์คันหรูราคาแปดหลักจอดเรียงรายอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในวันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Triumph Auto Service โดยผู้บริหารผู้รังสรรค์และเนรมิตทุกอย่างนั่นก็คือไตรพัฒน์ไตรพัฒน์เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้องติดตามด้านหลังจำนวนสามคน หนึ่งในนั้นมีมารุตมือขวาคนสนิทที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อยของงาน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของผู้เป็นนายจวบจนภารกิจในวันนี้จะจบสิ้นไปได้ด้วยดีการรวมตัวผู้คนมากมายภายในงานแห่งนี้ย่อมมีความเสี่ยงกับผู้ทรงอิทธิพลอย่างไตรพัฒน์มาก นอกจากจะไม่สามารถควบคุมแขกร่วมงานได้แล้ว ความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายก็มีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว หากแต่งานที่ถูกจัดขึ้นย่อมก็เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทำให้ไตรพัฒน์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกจากที่มืดและกลายเป็นจุดล่อเป้ากับศัตรูที่หวังพรากชีวิต“ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีครับ ผม
บทที่ 7กระสุนปริศนาSAIPAN’S PART ;เวร!เวรแล้วไงไอ้ป่าน!คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้เวร เวร แล้วก็เวร!ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้วการปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมองไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นแม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใดจากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายร
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 9อย่าได้เจอกันอีก“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่“ถามก็ตอบ”“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น“รู้จักมันได้ยังไง”“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 7กระสุนปริศนาSAIPAN’S PART ;เวร!เวรแล้วไงไอ้ป่าน!คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้เวร เวร แล้วก็เวร!ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้วการปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมองไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นแม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใดจากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายร
บทที่ 6บังเอิญ…อีกแล้ว!?หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปงานเปิดตัวรถนำเข้าถูกจัดขึ้นที่ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีแขกมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เนื่องจากงานในวันนี้เป็นที่จับตามองของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก รวมไปถึงวงการข่าวมากมายที่ต่างก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากวันรวมตัวคนดังระดับประเทศรถยนต์คันหรูราคาแปดหลักจอดเรียงรายอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในวันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Triumph Auto Service โดยผู้บริหารผู้รังสรรค์และเนรมิตทุกอย่างนั่นก็คือไตรพัฒน์ไตรพัฒน์เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้องติดตามด้านหลังจำนวนสามคน หนึ่งในนั้นมีมารุตมือขวาคนสนิทที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อยของงาน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของผู้เป็นนายจวบจนภารกิจในวันนี้จะจบสิ้นไปได้ด้วยดีการรวมตัวผู้คนมากมายภายในงานแห่งนี้ย่อมมีความเสี่ยงกับผู้ทรงอิทธิพลอย่างไตรพัฒน์มาก นอกจากจะไม่สามารถควบคุมแขกร่วมงานได้แล้ว ความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายก็มีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว หากแต่งานที่ถูกจัดขึ้นย่อมก็เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทำให้ไตรพัฒน์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกจากที่มืดและกลายเป็นจุดล่อเป้ากับศัตรูที่หวังพรากชีวิต“ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีครับ ผม
บทที่ 5บังเอิญการทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้วฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้
บทที่ 4สายสืบพลั่ก!ตุ้บ!“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาลร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอดครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานานกลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้องทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมาประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างก