บทที่ 9
อย่าได้เจอกันอีก
“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”
ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”
“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆ
ครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่
“ถามก็ตอบ”
“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆ
ก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น
“รู้จักมันได้ยังไง”
“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”
ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกอย่างชัดเจน
แต่ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยอะไรออกไปมากกว่านั้น แรงสั่นครืดคราดของเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังแทรกขึ้น คนตรงหน้าหยิบมันมารับสาย หากแต่ดวงตาคมเข้มกลับกดมองฉันด้วยความแข็งกร้าวไม่วางตา
“ที่งานเรียบร้อยไหม”
ฉันเม้มปากแน่นเมื่อถูกจับตามอง ครั้นคิดว่าสายที่โทรเข้ามาน่าจะเป็นลูกน้องของเขาที่สั่งการให้ดูแลงานต่อ ฉันถึงถือวิสาสะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่อยู่ใกล้ ๆ เพราะหากให้เดาแล้วการพูดคุยสนทนาระหว่างฉันและเขาคงต้องใช้เวลาพอสมควร
“กูฝากจัดการด้วย ให้นักข่าวกับคนในงานปิดปากให้ดี ถ้าข่าวหลุดจากสำนักไหนกูจะจัดการมันเอง!”
เสียงเข้มดุดันที่เอ่ยนั้นพลันทำให้ฉันถึงกับสะอึก คำว่า ‘จัดการ’ ทำให้ฉันคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากการตามจัดเก็บให้สิ้นซาก ตามแบบฉบับมาเฟียที่เคยเห็นในละคร
ฉันเองก็ไม่กล้าปักใจว่าคุณไตรเป็นผู้มีอิทธิพลมากขนาดไหน แต่ดูจากจำนวนลูกน้องและอาวุธปืนที่เคยถูกข่มขู่แล้ว มันก็พอคาดเดาได้ว่าเขาเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“แล้วมึงตามจับคนยิงได้ไหม...”
ฉันนั่งฟังคุณไตรพูดกับคนปลายสายไปราว ๆ ห้านาทีจวบจนเขากดวางสายนั่นแหละ ฉันถึงได้เสสายตาไปมองเพราะอยากรีบเคลียร์กับเขาแล้วจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนสักที
ถึงจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาสามครั้งติด ในชนิดที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ทำให้ฉันไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะเผชิญไหว อย่างน้อยการได้กลับบ้านไปพักผ่อนก็นับว่าเป็นการปรานีคนโชคร้ายอย่างฉันมากที่สุดแล้ว
“มือปืนหนีไปได้ แต่ก็ถูกยิงบาดเจ็บไปเหมือนกัน” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย หากแต่นัยน์ตาดำขลับกลับจดจ้องมองมาที่ฉัน ราวกับเป็นการพูดหยั่งเชิงเพื่อลอบสังเกตถึงพฤติกรรม
“แล้วไง? นี่ยังคิดว่าฉันเป็นสายสืบอีกเหรอ ฉันโดนยิงขนาดนี้คุณยังคิดว่าฉันเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นอีกหรือไง”
“จะกลับบ้านใช่ไหม ไปสิ กลับได้เลย”
“หะ...ฮะ?” เกือบจะหลุดคำด่าออกมาแล้วถ้าไม่ได้ทบทวนคำพูดของเขาเมื่อครู่
ฉันหลุดเสียงร้องออกมาเบา ๆ เมื่อมั่นใจว่าคำพูดจากปากคุณไตรนั้นเป็นการบอกให้ฉันกลับบ้านได้โดยง่าย
“กลับไปสิ” เขาทวนย้ำอีกครั้ง พร้อมกับการเลิกคิ้วมองฉันด้วยท่าทางเรียบเฉย หากแต่ฉันกลับมองว่ามันช่างยียวนอย่างถึงที่สุด
เขาเป็นคนนิ่งที่กวนตีนมาก!
“ฉัน...ฉันกลับได้จริง ๆ เหรอ กลับจริง ๆ นะ!”
ความหมั่นไส้มีไม่มากเท่ากับความดีใจที่จะได้กลับบ้าน ฉันเอ่ยถามในขณะที่ดวงตาวาววับบ่งบอกว่ากำลังดีใจอย่างออกนอกหน้า
“อืม กลับเองได้ใช่ไหม” ใบหน้าคมคายเชยขึ้นมอง จังหวะนั้นมือหนาก็ลูบที่คางของตัวเองเบา ๆ
“ได้ค่ะ! ฉันกลับเองได้! ขอบคุณนะคะ ฉันไปแล้วนะ ฮือ อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลยค่ะ ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย หมดเวรหมดกรรมต่อกันนะคะ สาธุ ๆ เพี้ยง!” ความในใจเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าขั้นสุด หนำซ้ำฉันยังยกมือไหว้ในจังหวะที่พูดถึงคำว่าสาธุ เพื่อเป็นการย้ำน้ำหนักในความศักดิ์สิทธิ์ ที่หวังว่าโชคชะตาจะช่วยดลบันดาลให้ไม่ได้พบเจอกันกับคุณไตรอีกในชาตินี้
พอกันที...อย่าได้เจอกันอีกเลย!
ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยรถที่เรียกผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็มาถึงจุดหมาย
สิ่งแรกที่ทำก็คือการเดินเข้ามาในตัวบ้าน โดยไม่ลืมที่จะลงกลอนอย่างแน่นหนาตั้งแต่รั้วบ้านและประตูด้านใน หากแต่ความผิดปกติบางอย่างกลับทำให้สองขาที่กำลังจะก้าวกลับหยุดชะงัก
ประตูบ้านด้านในปิดสนิทแทบไม่มีความแปลกไป แต่มันกลับเป็นการลงกลอนชั้นเดียวอย่างที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน เพราะประสบการณ์การอยู่คนเดียวคอยสั่งสอนให้ฉันระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ ประตูบ้านแต่ละชั้นจะถูกล็อกอย่างแน่นหนาและไม่ต่ำกว่าสองขั้นตอน แต่ทว่าประตูตรงหน้านี้กลับมีการล็อกเพียงชั้นเดียว แถมข้าวของภายในบ้านก็ถูกจับวางเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิม
ฉันถอยหลังก้าวออกมา ขณะที่ในมือก็กำโทรศัพท์ตัวเองเอาไว้แน่น กระทั่งเสียงปริศนาบางอย่างดังแทรกเข้าสู่โสตประสาท นั่นจึงทำให้ฉันตัดสินใจหันไปหยิบไม้เบสบอลที่ซ่อนไว้หลังตู้ใส่รองเท้ามาถือเอาไว้
หากเกิดอะไรขึ้นฉันเองก็มั่นใจว่าจะจัดการต่อสู้และฟาดมันด้วยไม้อย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ไอ้โจรสารเลว ไอ้สวะ ไอ้ชาติหมา แกตายแน่!”
เสียงนั้นคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกถึงไอร้อนบางอย่าง ส่งผลให้ฉันตวาดคำด่ากราดพร้อมกับการง้างมือขึ้นฟาดไม้ไปตามความรู้สึกที่ประสาทรับรู้
แต่ทว่า...
หมับ!
“หยุด! พี่เองป่าน นี่พี่เอง!”
ข้อมือของฉันถูกคว้าหมับก่อนที่แรงบีบรัดจะหนักแน่นขึ้น จนกำลังแรงในการจับไม้เบสบอลร่วงหล่นสู่พื้น
ฉันเบิกตากว้างและรีบหันขวับใบหน้าไปมองยังต้นเสียง หัวสมองประมวลสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ทันการว่ามันใช่เสียงที่คุ้นเคยหรือเปล่า หากแต่คำพูดที่ดังขึ้นนั้นกลับทำให้ฉันเริ่มมั่นใจว่าคนคนนั้นคือพี่สาวของฉันจริง ๆ
“พะ...พี่ด้าย!”
“ก็พี่เองน่ะสิ ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย!”
ทันทีที่หันไปก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือพี่สาวของฉันจริง ๆ
“ป่าน...คือป่านนึกว่าเป็นโจรอะ”
“เฮ้อ...แต่ที่พี่ทำมันก็เหมือนโจรจริง ๆ นั่นแหละ แล้วทำไมเพิ่งกลับ ไปไหนมาทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้”
เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่คำถามจะสวนกลับมาพร้อมกับสายตาของคนเป็นพี่สาวที่กวาดมองเสื้อผ้าที่ฉันกำลังสวมใส่
“อย่าบอกนะ...ว่าแกไปทำงานพริตตี้ที่งานเปิดตัวไทรอัมพ์วันนี้!”
“อะ...โอ๊ย! พี่ด้ายอย่าจับแรงสิ ป่านเจ็บ” ฉันร้องขึ้นเมื่อมือของพี่สาวจับรั้งที่ต้นแขนเพื่อให้ฉันหันไปประจันหน้า ซึ่งจุดที่พี่ด้ายจับนั้นเป็นจุดที่ฉันได้รับบาดเจ็บพอดิบพอดี
“ตอบพี่!”
“คือป่าน...”
“ตอบพี่มา!” เสียงตวาดกร้าวดังกึกก้องจนฉันถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพราะมันเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่พี่ด้ายตะคอกเสียงดังใส่กันแบบนี้
“เอ่อ...คือป่านไปทำงานที่งานเปิดตัวรถของบริษัทไทรอัมพ์ แล้วป่านก็โดนยิง...”
“ว่าไงนะ!”
“ตะ...แต่ป่านปลอดภัยนะพี่ด้าย มันแค่เฉียด ๆ นี่ก็ทำแผลแล้ว พี่ด้ายดูสิ ป่านไม่ได้เป็นอะไรมากเลย” ฉันพยายามหมุนตัวไปมาเพื่อให้พี่สาวมั่นใจว่าฉันปลอดภัยกลับมาทุกอย่าง แม้ว่าการขยับเขยื้อนจะทำให้รู้สึกเจ็บถึงบาดแผลก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพยายามแสร้งทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด
“แกคือคนที่โดนยิงเหรอ!”
“แหะ...ป่านเอง ว่าแต่พี่ด้ายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าข่าวออกไปทั่วแล้ว!” ความสงสัยเกิดขึ้นจนคิดไปต่าง ๆ นานา แล้วสิ่งที่พอคาดเดาเองได้นั้นก็คือข่าวคงจะแพร่สะพัดออกไปเป็นวงกว้างแล้ว เนื่องจากภายในงานมีสื่อจากหลายสำนักที่มาทำข่าวด้วยเช่นกัน
“เปล่า ไม่มีข่าวอะไร แต่เพื่อนพี่มันไปงานนั้นพอดี มันเลยเล่าให้ฟังว่ามีคนยิงกัน”
“อ้าวเหรอคะ ป่านก็นึกว่าจะออกข่าวแล้วซะอีก”
“ฮึ...ระดับนั้นไม่ยอมปล่อยให้ข่าวหลุดออกมาง่าย ๆ หรอก เชื่อพี่สิว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างก็ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว”
คำพูดของพี่สาวทำให้ฉันพยักหน้ารับพลางคิดตามสถานการณ์ที่ควรเป็นไป คนระดับคุณไตรคงไม่ยอมปล่อยให้ข่าวเสียหายหลุดออกไปแน่ แถมตัวเขาเองก็มีอิทธิพลไม่น้อย เรื่องการปิดข่าวคงไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับคนอย่างเขา
“ก็จริงนะ อ๊ะ...แล้วที่แขนนั่นพี่ด้ายไปโดนอะไรมา!”
ทว่าสายตาของฉันดันสังเกตเห็นผ้าสีขาวที่พันอยู่ตรงต้นแขนข้างซ้ายของพี่ด้าย มันถูกซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ แต่ฉันกลับมองเห็นมันในจังหวะที่พี่ด้ายขยับแขน
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยอะ แต่ก็ทำแผลแล้ว ทางบริษัทเลยให้พี่กลับมาพักที่บ้านอย่างที่แกเห็นนี่แหละ”
ฉันมองหน้าคนเป็นพี่สาวด้วยความแปลกใจ สลับไปกับแผลที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวนั้น แต่ไม่นานก็เลือกที่จะปล่อยผ่านเพราะไม่อยากให้สถานการณ์เกิดความอึดอัดไปมากกว่าเดิม
“ป่านดีใจนะที่พี่ด้ายกลับมา แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีแผลกลับมาด้วย เฮ้อ...เราสองพี่น้องนี่โคตรซวยเลยเนอะ”
“รอพี่อีกหน่อยนะป่าน...หลังจากนี้ชีวิตของเราสองคนจะดีขึ้น แกจะได้ไม่ต้องลำบากทำงานหลายอย่างแบบนี้” ความสั่นเครือเจือปนในน้ำเสียงของพี่สาว ซึ่งฉันเองก็เข้าใจกับคำพูดนั้นเป็นอย่างดีว่าพี่ด้ายนั้นต้องการจะสื่อถึงอะไร
เราสองพี่น้องต้องทำงานอย่างหนัก สู้ชีวิตและต้องดิ้นรนเพื่อถีบตัวเองขึ้นมาจากโคลนตม ความลำบากยากแค้นทำให้เราต้องขยันมากกว่าคนอื่น และภาพฝันอันสวยงามในอนาคตก็คือการอยู่ด้วยกันสองพี่น้องอย่างมีความสุข
มีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง กินอิ่มนอนหลับในทุก ๆ ค่ำคืน เพียงเท่านี้จริง ๆ ที่ฉันต้องการ
“พรุ่งนี้มีเรียนหรือเปล่า แกรีบขึ้นไปนอนไป”
“มีค่ะ แต่มีเรียนตอนบ่าย ตื่นสายได้”
เราสองพี่น้องพูดคุยกันไม่นานก็แยกย้ายกันขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง แต่ก่อนจะทิ้งท้ายค่ำคืนนี้ก็ไม่วายแอบเข้าไปนอนกับพี่สาวในห้อง เพราะการได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้านับได้ว่าเป็นสิ่งที่ฉันโหยหามันมากที่สุด
อย่างน้อย ๆ การได้นอนกอดพี่สาวก็คงทำให้หลับฝันดีกว่าการนอนกอดตัวเอง...
SAIPAN’S PART ; END
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทนำจุดเริ่มต้นของวงจรมาเฟียเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น...กระสุนปืนโหมถล่มไม่ต่างจากหยาดฝนที่สาดเทชุ่มฉ่ำ หากมันไม่ใช่หยดน้ำ แต่กลับเป็นหยาดโลหิตสีแดงสดที่ไหลหลั่งราวกับสายธารปัง!ปัง!ปัง!ลำปืนจ่อยิงโดยเป้าหมายการเพ่งเล็งนั้นอยู่ที่ ‘ไตรพัฒน์’ เพียงจุดเดียว กลุ่มคนนับสิบเบนศูนย์หน้าปรี่มายังตัวมาเฟียหนุ่มหมายเอาชีวิต แต่ด้วยทักษะและประสบการณ์ที่เพียรพบกลับทำให้รอดพ้นดงลูกตะกั่วมาได้อย่างหวุดหวิดไตรพัฒน์วิ่งหนีไปตามตรอกซอยหลังจากที่ออกมานอกตัวร้านสังสรรค์ อาศัยความชำนาญพื้นที่และความคล่องแคล่วของร่างกายให้พาตัวเองเข้ามาหลบหลีกในตรอกแคบ ๆ มืดมิดไร้แสงไฟ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่ไม่ได้ประคองลำปืนก็คอยติดต่อหาลูกน้องคนสนิทที่รับหน้ากับศัตรูอีกกลุ่มไปด้วย“ฉิบ!” เสียงสบถด่ากร้าวดังเค้นลอดไรฟันที่มันเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธมาเฟียหนุ่มทาบฝ่ามือลงบริเวณบาดแผลจากการถูกยิงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มันถูกทำแผลเป็นอย่างดีแต่ก็ปริแตกเนื่องจากใช้กำลังแรงในการหลบหนีศัตรูที่หวังพรากชีวิตให้สิ้นเขาทิ้งตัวลงสู่พื้นพลางผ่อนลมหายใจออกหนัก ๆ เพื่อหวังควบคุมสติของตัวเองที่ลดน้อยลงทุกที หากไม่มีบาดแผลการถูกย
บทที่ 1เด็กเสิร์ฟบรรยากาศความวุ่นวายภายในร้านสังสรรค์เกิดขึ้นนับตั้งแต่ถึงเวลาเริ่มงานเมื่อตอนหกโมงเย็น ไม่ว่าพนักงานเสิร์ฟ เด็กโฮสต์ บาร์เทนเดอร์ หรือพนักงานครัว ต่างก็เดินวุ่นกันขวักไขว่ เนื่องจากลูกค้าแน่นเอี้ยดเต็มร้านจนบริหารการทำงานแทบไม่ไหวนอกจากจะเป็นวันศุกร์ที่เหมาะสำหรับการดื่มกินแล้ว มันยังเป็นวันจัดงานเลี้ยงของบรรดาไฮโซที่ปิดร้านเพื่อฉลองเนื่องในวันเกิดของค่ำคืนนี้“พี่เอ็ม ป่านมาแล้วค่ะ ขอโทษที่มาช้านะคะรถติดมากเลยค่ะ” เสียงปนหอบเอ่ยขึ้นหลังจากที่นำพาร่างกายมาถึงด้านในตัวร้านได้สำเร็จ“ไม่เป็นไร ๆ พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่รบกวนป่าน วันนี้ไม่ใช่วันทำงานของเราแท้ ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์เข้ามาช่วยงาน” ผู้จัดการของร้านกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ“ไม่เป็นไรค่ะพี่เอ็ม ป่านร้อนเงินพอดี อยู่บ้านก็ว่าง นี่พอป่านเห็นข้อความในกลุ่มป่านรีบอาบน้ำแต่งตัวมาเลยนะเนี่ย” สายป่านส่ายหน้าพลางหยิบผ้ากันเปื้อนยีนซึ่งเป็นยูนิฟอร์มของร้านมาสวมใส่เธอหยิบกระจกพกพาที่อยู่ในกระเป๋ามาส่องความเรียบร้อยของใบหน้า แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีชมพู ลามไปถึงผมเผ้าที่ถูกเก็บรวบไว้อย่างเรียบร้อย และเพียงไม่ถึงสองนาทีก็อยู
บทที่ 2บุคคลอันตราย“อ้าวป่าน เป็นอะไรน่ะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”ขาเล็กก้าวตึง ๆ เข้ามาในตัวร้านด้วยความกรุ่นโกรธและแรงโทสะที่อยู่เต็มอก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกเรียกรั้งจากผู้จัดการของร้าน น้อยครั้งนักที่จะเห็นหญิงสาวอยู่ในอิริยาบถแบบนี้“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่เอ็ม ป่านขึ้นไปข้างบนก่อนนะ เมื่อกี้นี้แอบอู้งานอะ คุณเวย์บ่นแล้วมั้งเนี่ย” สายป่านเอ่ยก่อนจะเดินแยกไปยังชั้นบนซึ่งมีโต๊ะเจ้าของร้านที่เธอรับหน้าที่ดูแลอยู่ เนื่องจากเมื่อครู่นี้เธอใช้เวลาทำงานในการระงับความเดือดดาลของตัวเองไปไม่น้อยถึงจะเดินกลับเข้ามาขาเล็กก้าวฉับ ๆ อย่างทะมัดทะแมง ซึ่งจุดหมายก็คือโต๊ะเวย์คินที่กำลังนั่งดื่มสังสรรค์ ระดับสายตาปราดเห็นว่าตอนนี้ที่โต๊ะนั้นมีคนมานั่งเพิ่มหนึ่งคนจากเดิมที่มีเพียงสอง ถัดไปไม่ไกลก็มีชายชุดดำหยัดยืนอยู่สายป่านหรี่สายตาเพื่อปรับให้มองเห็นบุคคลที่มาใหม่ให้ชัดเจน เธอมองไปยังชายชุดดำก็พบว่าท่าทางของเขาแทบไม่ต่างจากลูกน้องมาเฟียที่เคยเห็นในละคร ท่าทางเรียบนิ่ง ขึงขัง สายตากวาดมองพื้นที่รอบข้างราวกับสำรวจความเรียบร้อยและความปลอดภัยแต่ทั้งหมดทั้งมวลกลับทำให้เธอเลิกคิดสนใจก่อนจะเดินตรงเข้าไปยั
บทที่ 3คนโชคร้ายSAIPAN’S PART ;“หุบปาก! อยากตายหรือไง!”เสียงตะคอกตอกหน้าพร้อมกับมือใหญ่ที่ปิดทาบทับริมฝีปากทำให้ฉันรีบเก็บกลั้นเสียงกลืนกลับสู่ลำคอ“อึก...”“ถ้าเธอร้องไอ้พวกคนนั้นมันก็จะกลับมาฆ่าทั้งเธอและฉัน!”สิ้นประโยคร่างกายของฉันถูกกระชากรั้งให้อยู่ในอ้อมแขนของเขา และเพียงเสี้ยววินาทีก็ถูกนำพาให้วิ่งไปหลบซ่อนที่ตรอกซอยเล็ก ๆคนตัวใหญ่จับให้ฉันนั่งทรุดตัวลงกับพื้น ตามมาด้วยร่างกายใหญ่โตที่ทิ้งผ่อนลงมา เสียงหอบหายใจดังถี่กระชั้น ฉันจึงผินใบหน้าไปมองคนข้างกายถึงได้พบว่า บริเวณหน้าท้องฝั่งซ้ายของเขามีหยาดเลือดสีแดงสดที่ไหลหลั่งออกมา“คะ...คุณ คุณถูกยิงเหรอ!” ฉันเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น แถมใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวไร้สีเลือดเปลี่ยนไปถนัดตา“อึก...หุบปากอย่าส่งเสียง! ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทำให้เธอตายแน่นอน” เสียงเข้มเอ่ยบางเบาที่ฉันฟังแทบไม่ได้ศัพท์จนถึงขั้นต้องโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้รับรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เราพูดคุยกันมากไม่ได้ แต่บาดแผลและอาการบาดเจ็บของเขาก็สำคัญไม่แพ้กัน“ฮึก...นี่มันอะไรกัน ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ ฉันจะ...” ฉันพยายามตั้งสติและหาหนทางหนีไปจากพื้นที่ตรงนี้ สิ่งแรก
บทที่ 4สายสืบพลั่ก!ตุ้บ!“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาลร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอดครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานานกลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้องทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมาประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างก
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 9อย่าได้เจอกันอีก“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่“ถามก็ตอบ”“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น“รู้จักมันได้ยังไง”“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 7กระสุนปริศนาSAIPAN’S PART ;เวร!เวรแล้วไงไอ้ป่าน!คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้เวร เวร แล้วก็เวร!ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้วการปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมองไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นแม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใดจากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายร
บทที่ 6บังเอิญ…อีกแล้ว!?หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปงานเปิดตัวรถนำเข้าถูกจัดขึ้นที่ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีแขกมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เนื่องจากงานในวันนี้เป็นที่จับตามองของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก รวมไปถึงวงการข่าวมากมายที่ต่างก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากวันรวมตัวคนดังระดับประเทศรถยนต์คันหรูราคาแปดหลักจอดเรียงรายอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในวันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Triumph Auto Service โดยผู้บริหารผู้รังสรรค์และเนรมิตทุกอย่างนั่นก็คือไตรพัฒน์ไตรพัฒน์เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้องติดตามด้านหลังจำนวนสามคน หนึ่งในนั้นมีมารุตมือขวาคนสนิทที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อยของงาน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของผู้เป็นนายจวบจนภารกิจในวันนี้จะจบสิ้นไปได้ด้วยดีการรวมตัวผู้คนมากมายภายในงานแห่งนี้ย่อมมีความเสี่ยงกับผู้ทรงอิทธิพลอย่างไตรพัฒน์มาก นอกจากจะไม่สามารถควบคุมแขกร่วมงานได้แล้ว ความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายก็มีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว หากแต่งานที่ถูกจัดขึ้นย่อมก็เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทำให้ไตรพัฒน์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกจากที่มืดและกลายเป็นจุดล่อเป้ากับศัตรูที่หวังพรากชีวิต“ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีครับ ผม
บทที่ 5บังเอิญการทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้วฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้
บทที่ 4สายสืบพลั่ก!ตุ้บ!“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาลร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอดครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานานกลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้องทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมาประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างก