บทที่ 4
สายสืบ
พลั่ก!
ตุ้บ!
“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาล
ร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอด
ครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานาน
กลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้อง
ทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์
“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง
“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”
ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมา
ประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างกายของฉันสั่นเทิ้มไปทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกับดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใสที่พร้อมไหลหลั่งออกมาได้ทุกเมื่อ
สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้แทบไม่ต่างจากฉากโหดร้ายในละครเลยสักนิด ชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตที่มีอาวุธติดกาย พื้นที่ลับมืดมิด การเค้นถามด้วยวิธีหยาบช้า ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน หากแต่มันเป็นเรื่องจริงที่ฉันกำลังเผชิญไม่ใช่เหตุการณ์บนหน้าจอโทรทัศน์!
“ตอบมา!”
“ฮึก...” แรงสะอื้นตีตื้นทั้งที่พยายามกักเก็บ
ฉันก้มหน้างุดเนื่องจากหวาดกลัวกับแรงตะคอกตอกหน้า ไหนจะกระบอกปืนที่ประจันหน้า และชายชุดดำหน้าตาโหดเหี้ยม สิ่งที่พบเห็นแทบไม่ต่างจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่กำลังรังแกคนไร้อำนาจเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่อยากตายก็ตอบมา!”
“ฮึก...ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่ได้ทำอะไร”
“แล้วไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้ยังไง ใครส่งเธอมา!”
ปึก!
สิ้นเสียงคำราม กระบอกปืนสีดำก็ตบทิ้งลงสู่พื้นเพื่อเป็นการขู่ขวัญให้แตกเตลิดเข้าไปใหญ่
ฉันส่ายหน้าและหลับตาแน่น ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่โชคร้ายเข้าไปเผชิญกับเหตุการณ์นั่น ไม่เคยรู้จักกับเจ้านายของเขา ไม่เคยเห็นหน้า ไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อ แต่ทำไมฉันถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกเค้นถามด้วยวิธีกักขฬะแบบนี้
“ฮึก...ฉันเป็นพนักงานที่ร้านคุณเวย์ ฉันเปิดประตูไปเจอกับเจ้านายคุณตอนเกิดเรื่องพอดี” รวบรวมความกล้าและเปิดปากเอ่ยออกไป ไม่รู้ว่าฉันตกเป็นผู้ต้องสงสัยแบบไหน แต่การยกสถานะพนักงานและชื่อเจ้าของร้านขึ้นมา ฉันก็คิดว่ามันน่าจะมีน้ำหนักพอที่ทำให้คนตรงหน้าเชื่อถือได้บ้าง
“ชุดฮู้ดสีดำ สวมหมวกแก๊ป เรือนผมสีน้ำตาลเข้ม ส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้า...คนในภาพนี้ใช่เธอหรือเปล่า!”
ภาพถ่ายมากมายถูกปาเข้าใส่ใบหน้าอย่างจังก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงสู่พื้น
“เธอตามเจ้านายฉันมาตั้งแต่แรก แอบซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ และพอล่อให้ออกจากร้านเธอก็ลอบยิงเจ้านายของฉัน!”
ฉันกวาดสายตามองไปยังภาพถ่ายนับสิบใบเหล่านั้น มันเป็นภาพของคนคนหนึ่งที่อยู่ในชุดฮู้ดแขนยาวและมีรูปร่างตามที่คนตรงหน้าบอกทุกอย่าง หากมองผ่าน ๆ ก็กล้าตอบออกไปตรง ๆ ว่าคนในภาพนั้นคล้ายฉันพอสมควร แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ ก็รู้ได้เลยว่าคนในภาพนั้นไม่ใช่ตัวฉันอย่างที่ถูกกล่าวหา
“ไม่ใช่ฉัน! ฉันมาถึงร้านตอนสองทุ่ม เดินเข้าประตูด้านหลังร้าน หลังจากนั้นก็เริ่มทำงานโดยที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไปหาดูจากกล้องวงจรปิดแถวนั้นก็ได้ แต่ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่ใช่คนในภาพนี้แน่นอน”
จากความหวาดหวั่นกลายมาเป็นความกล้าที่พร้อมจะกล่าวความจริงตอกหน้า ฉันเองก็ไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้มีอิทธิพลมากแค่ไหน แต่ก็ควรได้อธิบายและยืนยันความจริงออกไปว่าฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน
“แล้วการที่คุณจับตัวฉันมาแบบนี้ ฉันสามารถแจ้งตำรวจได้เลยนะ!”
“ไม่มีอะไรที่เจ้านายฉันทำไม่ได้ ถ้าไม่อยากหายสาบสูญแบบไม่ได้เผาผีก็บอกความจริงมาซะว่าเธอเป็นใคร แล้วใครส่งเธอมา!”
“อึก...” น้ำลายอึกใหญ่ลอบกลืนลงคอเมื่อทวนคำคำนั้นอยู่ในหัว
หายสาบสูญอย่างนั้นเหรอ...
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทว่าแรงเคาะประตูดังขึ้นส่งผลให้การพูดคุยภายในห้องหยุดชะงักไปพัลวัน กระทั่งประตูห้องถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างสูงของคนคนหนึ่งในชุดนักศึกษาที่โผล่ใบหน้าเข้ามา
“ขออนุญาตคร้าบ ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
ร่างสูงของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาด้านในห้อง ซึ่งก็อยู่ในมุมองศาที่จะทำให้ฉันเห็นหน้าบุคคลที่เข้ามาใหม่ได้อย่างชัดเจน
ความคลับคล้ายและคุ้นตาบางอย่างกลับทำให้ฉันกดสายตาเพ่งเล็งไปที่เขาคนนั้นอย่างลืมตัว จวบจนกวาดสายตามองไปยังชุดนักศึกษาที่เจ้าตัวสวมใส่ก็พบว่ามันเป็นชุดของมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่เช่นกัน
“ตุลย์...”
“อ้าว เธอ...เธอชื่อไรนะ สายป่านที่เรียนบัญชีใช่ป้ะ ที่เพื่อนฉันเคยจีบเธออะ เอ๊ะ...หรือไม่ใช่วะ”
คำกล่าวทักทายเหล่านั้นทำให้ฉันรีบพยักหน้ารับ เพราะปากหนักและคิดหาคำพูดใดเอ่ยออกมาไม่ได้ ถึงได้แสดงท่าทางออกไปแทน
‘ตุลย์’ เป็นนักศึกษาที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันและชั้นปีเดียวกัน ต่างกันแค่คณะที่เลือกเรียนเท่านั้น ในส่วนการรู้จักและสนิทสนมก็ต้องเรียกได้ว่าไม่ถึงขั้นคำว่าเพื่อน เนื่องจากฉันรู้จักตุลย์เพราะเขาค่อนข้างฮอตในหมู่สาว ๆ อีกทั้งเพื่อนร่วมคณะของตุลย์เองก็เคยคุย ๆ ทำความรู้จักกับฉันมาก่อนเหมือนกัน
นั่นจึงทำให้ทั้งฉันและตุลย์ต่างก็พอรู้จักตัวตนและการมีอยู่ของกันและกัน ในฐานะเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นพี่รุต” ตุลย์ถามและเดินเข้ามาหาฉันก่อนที่เขาจะย่อตัวลงสู่พื้นให้อยู่ในระดับเดียวกัน
“ตุลย์ ชะ...ช่วยเราด้วย” เหมือนเห็นความหวังอยู่รำไร อย่างน้อย ๆ ฉันก็ควรขอความช่วยเหลือจากคนรู้จัก ที่ถึงแม้ว่าตุลย์นั้นน่าจะสนิทสนมกับคนที่กำลังเค้นถามฉันก็ตาม
“คุณตุลย์ออกไปเถอะครับ ถึงคุณจะรู้จักเธอ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะบริสุทธิ์”
“เฮ้ย เขาเป็นเพื่อนผมที่มหา’ลัย ป่านไม่ใช่สายสืบอย่างที่พี่เข้าใจหรอก อันนี้ผมรับรองได้” ตุลย์รีบแย้งพร้อมกับการเดินมาอยู่ตรงกลางระหว่างฉันและคนตรงหน้า
คำพูดของเขาทำให้ฉันเข้าใจเพิ่มอีกหนึ่งอย่างว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจับมาเค้นถามหาความจริง ฉันเป็นหนึ่งในกี่คนไม่รู้ที่โชคร้ายโดนจับมาอยู่ในห้องคับแคบเหม็นอับแบบนี้
“เราทำงานพิเศษที่คลับดาร์กไนต์ แต่บังเอิญเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่คุณไตรโดนยิงเข้า เราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนะ เราเองก็เกือบตายเหมือนกัน” ฉันพยายามอธิบายให้ตุลย์ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งหลังจากที่พูดจบ ดวงตาคมเข้มของตุลย์ก็เบิกกว้าง ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ที่หยัดขึ้นราวกับกำลังร้อนรนตกใจ
“พี่ไตรถูกยิงเหรอ!”
“ครับ แต่ตอนนี้หมอรินดูแลอยู่ครับ คุณตุลย์ไม่ต้องห่วง”
“พี่ผมถูกยิงทั้งคนไม่ให้ห่วงได้ไงวะ! แม่งเอ๊ย...พักนี้พวกมันเริ่มหนักข้อขึ้นทุกทีแล้วนะ อย่าให้เจอตัว!”
เสียงสบถด่าของตุลย์ทำให้ฉันขยับตัวหนี มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นความเดือดดาลออกมาจากตัวเขา เพราะภายนอกของตุลย์นั้นเป็นคนร่าเริงและเข้าถึงง่าย ออกแนวเจ้าเสน่ห์แพรวพราว ครั้นเห็นท่าทางแบบนี้ก็อดที่จะทำให้กลัวขึ้นมาได้เหมือนกัน
และอีกหนึ่งข้อมูลที่รับรู้เข้าสู่สมองที่ทำให้ฉันทั้งตกใจแปลกใจ นั่นก็คือตุลย์เป็นน้องชายของคุณไตร
“เพราะแบบนี้ผมถึงต้องเค้นถามความจริงจากเธอคนนี้ไงครับ ผมไม่สามารถไว้ใจใครได้!”
“แต่ป่านไม่ใช่สายสืบพี่รุต ป่านเป็นพนักงานร้านพี่เวย์จริง ๆ ทำงานตั้งนานแล้วด้วย ผมว่าพี่ถูกไอ้สายสืบนั่นตลบหลังแล้วล่ะ”
จากท่าทางขึงขังดุดันของตุลย์กลายเป็นความปกติที่ผ่อนคลายลง เหตุนั้นฉันถึงกับรีบพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“แต่...”
“ผมไม่ออกหน้าแทนใครหรอกนะ ปล่อยเธอไปซะ นี่คือคำสั่งของผม!”
เสียงตวาดกร้าวดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องที่ปิดสนิท ความน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมาทำให้ฉันหลุบสายตาต่ำลง แต่ก็เกิดความรู้สึกดีใจที่สามารถรอดพ้นไปจากสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้าได้
จังหวะที่ฉันกำลังหยัดตัวขึ้นเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เสียงทุ้มห้าวเค้นลอดไรฟันที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธทำให้ฉันตัวสั่นจนแทบไม่กล้าก้าวขาเดิน
“ถ้าฉันเจอเธออีกเมื่อไหร่...เธอไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งนี้แน่!”
บทที่ 5บังเอิญการทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้วฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้
บทที่ 6บังเอิญ…อีกแล้ว!?หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปงานเปิดตัวรถนำเข้าถูกจัดขึ้นที่ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีแขกมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เนื่องจากงานในวันนี้เป็นที่จับตามองของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก รวมไปถึงวงการข่าวมากมายที่ต่างก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากวันรวมตัวคนดังระดับประเทศรถยนต์คันหรูราคาแปดหลักจอดเรียงรายอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในวันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Triumph Auto Service โดยผู้บริหารผู้รังสรรค์และเนรมิตทุกอย่างนั่นก็คือไตรพัฒน์ไตรพัฒน์เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้องติดตามด้านหลังจำนวนสามคน หนึ่งในนั้นมีมารุตมือขวาคนสนิทที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อยของงาน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของผู้เป็นนายจวบจนภารกิจในวันนี้จะจบสิ้นไปได้ด้วยดีการรวมตัวผู้คนมากมายภายในงานแห่งนี้ย่อมมีความเสี่ยงกับผู้ทรงอิทธิพลอย่างไตรพัฒน์มาก นอกจากจะไม่สามารถควบคุมแขกร่วมงานได้แล้ว ความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายก็มีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว หากแต่งานที่ถูกจัดขึ้นย่อมก็เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทำให้ไตรพัฒน์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกจากที่มืดและกลายเป็นจุดล่อเป้ากับศัตรูที่หวังพรากชีวิต“ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีครับ ผม
บทที่ 7กระสุนปริศนาSAIPAN’S PART ;เวร!เวรแล้วไงไอ้ป่าน!คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้เวร เวร แล้วก็เวร!ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้วการปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมองไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นแม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใดจากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายร
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 9อย่าได้เจอกันอีก“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่“ถามก็ตอบ”“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น“รู้จักมันได้ยังไง”“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 9อย่าได้เจอกันอีก“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่“ถามก็ตอบ”“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น“รู้จักมันได้ยังไง”“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 7กระสุนปริศนาSAIPAN’S PART ;เวร!เวรแล้วไงไอ้ป่าน!คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้เวร เวร แล้วก็เวร!ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้วการปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมองไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นแม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใดจากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายร
บทที่ 6บังเอิญ…อีกแล้ว!?หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปงานเปิดตัวรถนำเข้าถูกจัดขึ้นที่ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีแขกมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เนื่องจากงานในวันนี้เป็นที่จับตามองของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก รวมไปถึงวงการข่าวมากมายที่ต่างก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากวันรวมตัวคนดังระดับประเทศรถยนต์คันหรูราคาแปดหลักจอดเรียงรายอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในวันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Triumph Auto Service โดยผู้บริหารผู้รังสรรค์และเนรมิตทุกอย่างนั่นก็คือไตรพัฒน์ไตรพัฒน์เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้องติดตามด้านหลังจำนวนสามคน หนึ่งในนั้นมีมารุตมือขวาคนสนิทที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อยของงาน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของผู้เป็นนายจวบจนภารกิจในวันนี้จะจบสิ้นไปได้ด้วยดีการรวมตัวผู้คนมากมายภายในงานแห่งนี้ย่อมมีความเสี่ยงกับผู้ทรงอิทธิพลอย่างไตรพัฒน์มาก นอกจากจะไม่สามารถควบคุมแขกร่วมงานได้แล้ว ความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายก็มีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว หากแต่งานที่ถูกจัดขึ้นย่อมก็เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทำให้ไตรพัฒน์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกจากที่มืดและกลายเป็นจุดล่อเป้ากับศัตรูที่หวังพรากชีวิต“ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีครับ ผม
บทที่ 5บังเอิญการทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้วฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้
บทที่ 4สายสืบพลั่ก!ตุ้บ!“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาลร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอดครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานานกลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้องทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมาประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างก